Smiley"Ohana means family. Family means no one gets left behind."Smiley
Group Blog
 
All blogs
 

เหลือไว้เพียงความทรงจำ (ตำนานธรรมชาติ)


โฉมหน้านักเดินทาง

สมาชิก 11 คน รุ่นพี่ รุ่นน้อง และเพื่อน ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าจะไปยังที่ที่นักเดินทางจำนวนไม่น้อยใฝ่ฝัน อุ้มผาง ชุมชุนเล็กๆ ชายแดนตะวันตกของเมืองไทย พื้นที่ที่อุดมไปด้วยผืนป่ามหาศาล นกหลากชนิด และน้ำตกทีลอซูอันยิ่งใหญ่ การเดินทางของเราเริ่มต้นขึ้นกลางฤดูฝนท่ามกลางความโหดในรูปแบบต่างๆ ซึ่งน้อยคนนักคิดจะก้าวเข้าไป ทุกคนรู้ดีการเข้าป่าหน้าฝนนั้นเป็นอย่างไร ถึงกระนั้นก็มิอาจทำลายความตั้งใจมุ่งมั่นดันทุรังของเราได้ เราออกเดินทางกันกลางดึกของวันที่ 4 สิงหาคม จับรถ กรุงเทพฯ-แม่สอด จากหมอชิตด้วยรถปอ. ชั้น 2 ทั้งหมดกระวีกระวาดขึ้นรถโดยไม่ลืมหิ้วสัมภาระของตนไปด้วย เนื่องจากคำพูดของคนขับรถคนเดียวของเรา “อย่ายึกยัก เดี๋ยวไม่ถึง” เราขึ้นไปแย่งที่นั่ง(กันเอง) คุยกันไป นินทากันไปตามประสาคนปากดี จนกระทั่งรถมาจอดที่ชุมทางนครสวรรค์ ได้พัก 20 นาที เราลงไปยืดเส้นยืดสายทำธุระส่วนตัวกัน พอได้เวลาขึ้นรถคนขับคนเดิมก็โวยอีก “เขาไปไหน ไม่รู้หรือว่ารถอยู่นี่” จนมีคนอาสาลงไปตาม คนไทยก็มีน้ำใจอย่างนี้แหละ ไม่กี่อึดใจเราก็ไปกันต่อ ตลอดทางหลับบ้าง ไม่หลับบ้าง คนอื่นก็ทยอยกันขึ้นลงใกล้รุ่งรถนำเราใกล้ตัวเมืองเข้าไปทุกที ตำรวจที่ดีก็เริ่มทำงานโดยขึ้นมาตรวจตราระวังภัยกัน แกเห็นสัมภาระของพวกเรา หรือด้วยหน้าตาอันน่าพิศมัย อย่างไรมิอาจทราบได้ แกถามพี่วัตว่า “จะไปไหนกัน” พี่แกก็ตอบไปตามตรง แกเลยบอกว่าฝนตกทุกวัน คนตากยังไม่ไปกันเลย เราก็มิได้กว่างอะไร เมื่อผู้ไม่พึงประสงค์(จะร่วมทาง)ลงไปแล้ว รถก็เคลื่อนตัวสู่เส้นทางอันสลับซับซ้อน ขนาบด้วยไม้ใหญ่นานาพันธุ์ จนมาถึงหน้าขนส่ง อ.แม่สอด เราก็หิ้งท้องอันหิวโซมายังตลาดยามเช้าของเมืองแม่สอด ตลาดที่นี่คึกคักมากทั้งชาวไทย ชาวกะเหรี่ยง ต่างนำสินค้าจองตนมาขาย รวมไปถึงของป่าอย่างหน่อไม้ ซึ่งหาได้ไม่ยากในยามนี้ เราปักหลักกันที่ร้านหนึ่งในตลาด อาหารเช้าที่เราหาได้คือ ข้าวซอย แล้วตามด้วยหมูปิ้งกับขนมครก ที่วินกับอ้วนไปซื้อมา มื้อนี้ไม่มีพี่วัตรวมอยู่ด้วยเพราะแกไปติดต่อรถ ระหว่างที่รอเราก็แยกไปซื้อของจำเป็นที่ขาดไม่ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องหอบมาจากเมืองกรุง นั่นคือ ปูนขาว น้ำมันกาด และเชือกมะนิลา เมื่อกลับมาเราก็ได้พบรถปิกอัพสีขาว คนขับสวมหมวกใบเท๋สีดำ มาดอย่าบอกใครเชียว เขาละ...เจ้าพ่อเมืองแม่สอด โดยแท้ พี่วุฒิฮะ แกเป็นเพื่อนของพี่วัต จากนั้นพี่วุฒิพาเราไปศูนย์ส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้วพาเราไปส่งที่อ.อุ้งผาง โดยไม่ลืมแวะรับน้องสาวคนสวยมาด้วย




160 กว่ากิโลแม้ว วกวนซับซ้อนจนเกือบสำลัก จนเราต้องยกนิ้วให้กับคนสร้างจริงๆกว่าจะมาถึงก็วิดตายไปหน เพราะพี่แกเล่นขับรถโดยไม่บีบแตรสักครั้งเดียว (อย่าเอาอย่างแล้วกัน) และแล้วเราก็ได้เหยียบอุ้งผางจนได้ เมื่อถึงเราก็ไม่ลืมที่จะทำสิ่งสำคัญนั่นคือ หาของกิน อย่านึกว่าเราตะกละนะมันเป็นเวลาเพลพอดี เป็นใคร ก็ต้องหิว ยามนี้สายฝนก็เริ่มโปรยปรายอวยพรให้เราพี่วุฒิไปติดต่อคนนำทางให้เราได้ 2 คน จาก 11 ชีวิต กลายเป็น 13 ชีวิต อันที่จริงเราชวนพี่วุฒิไปด้วย แต่ความที่แกบุญน้อยเลยพลาดโอกาสนี้ไป (ไม่ได้แช่งนะ) จริงๆ แล้วพี่แกติดงาน กลับเข้าเรื่องดีกว่า 2 ชีวิตที่เพิ่มขึ้นมาเราขอแนะนำตรงนี้เลยเผื่อใครคิดจะไปจะได้ติดต่อถูก คือพี่ทนกับพี่สุดใจ หรือจะผ่านลุงบุญล่ำ ยอดเมือง พรานมีชื่อของเมืองก็ได้ ทั้งสองท่านมักแทนตนเองว่าพี่แต่เรายกระดับให้ด้วยความแก่อาวุโสของทั้งสองว่าลุง และแล้วพี่วุฒิก็นำเรามาปล่อยป่าที่กม. 15 ของถนนสายอุ้มผาง-ปะละทะ จากนี้เราต้องเดินเท้าเข้าไป หลังจากร่ำลากันแล้ว และได้คำสัญญาว่าพี่ทั้งสองจะมารับเราที่ กม. 23 ของอีก 3 วันถัดไป


การเดินป่าวันแรกของเรา ตามธรรมดาก็ย่อมมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง ตลอด 3-4 ชั่วโมง ขึ้นเขา ลงเขา สมชื่อเนินเขาอ่อน เราได้เห็นผืนป่าใหญ่ ดอกกระเจียวหลากสีบานแข่งกัน จนเท้าทั้งสองนำเรามายัง สายชีวิตแห่งผืนป่าตะวันตก คือลำน้ำแม่กลอง เราจำเป็นต้องข้ามแม่น้ำกันหล่ะ เห็นแม่น้ำแล้วแทบลมใส่ ต่อให้นักว่ายน้ำทีมชาติก็เถอะ อย่าหวังจะไปถึงฝั่งเลย คิดดูน้ำหลากยามหน้าฝนเป็นไง ลุงทั้งสองของเราก็จัดแจงเตรียมแพ แล้วผูกเชือกที่เราคิดว่ายาวพอแล้วนะ(ยังไม่ถึงฝั่งเลย) นั้นไว้กับต้นไม้ แล้วต่อเถาวัลย์อีกช่วง คิดดูว่ากว้างขนาดไหน






ขณะที่เรารอก็เริ่มคุ้ยหาอะไรรองท้อง นึกถึงสัปปะรดใวที่ถือมาแทบตาย ปอกเสร็จตาวินก็ทำตกน้ำซะนี่ พี่แกเอาเท้าควานหา ยังกะจะเจอแน่ะ เลยอดหม่ำไป ต้องงัดลูกใหม่มาแทน ถึงลูกจะเล็กไปแต่ข้างในอย่าบอกใครเชียว มีหรือนักกินอย่างเราจะพลาด แพเสร็จ อันนี้ก็ต้องมีหนูทดลอง พี่อน่างเราก็ต้องให้เกียรติ รุ่นน้องและเพื่อนผู้อาวุโสไปก่อน คือเจ้าเหน่งกับน้องบอม เมื่อข้ามกันครบแล้ว ลุงบอกพวกเราว่าพักันที่นั่แหละ คงไปต่อไม่ได้แล้ว อีกฝั่งหนึ่งของลำน้ำแม่กลอง มื้อเย็นมีข้าวสวย ต้มมาม่า กับปลากระป๋อง ลุงสุดใจเก็บหน่อไม้มาต้มสำหรับมื้อต่อไป อันนี้เราควรสำนึกว่า ป่าย่อมให้ชีวิตกับสรรพชีวิตเสมอ เราใช้ลำธารข้างที่พัก ล้างคราบมอมแมมออกตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมทั้งของนอกกายด้วย คืนนั้นเราไม่ได้ตั้งวงคุยกัน ด้วยความที่ฝนฟ้าไม่เป็นใจ ไม่มีใครนึกอยากจะเก็บผ้าเพราะไม่รู้จะเก็บทำไม ยังไงก็เปียก จึงมุดเข้าเต้นท์กันหมดไม่รู้ว่าฝนหยุดตกเมื่อไหร่




วันรุ่งขึ้น เก็บสัมภาระเสร็จ เตรียมตัวออกเดินทาง เราจำต้องเก็บชุดเก่ามาใส่ เพราะไม่อยากเพิ่มน้ำหนักให้กับหลังของตน ลุกแจกอาวุธ คือไม้ไผ่ให้เราคนละลำ ลำเล็กนะอย่าคิดว่าเป็นท่อนซุงไปเชียว ก่อเดินเราก็เรียกกำลังกันหน่อย อย่านึกว่าจะกินกันอีกล่ะ ที่เรียกกำลังก็คือตั้งท่าถ่ายรูปกัน


เริ่มก้าวแรกก็ต้องลุยโคลนขึ้นเขากันเลย วันนี้ก็ใช้เวลาสัก 5 ชั่วโมง ลุงบอก เราเดินบ้างพักบ้าง วันนี้คิดว่าเป็นวันที่เหนื่อยที่สุดเดินไปคุยไป ข้ามเขาไม่เท่าไหร่ 6-7 ลูกเอง อ้วนพูดขึ้นมาว่า เราน่าจะมารับน้องกันที่นี่ แต่คิดอีกที ถ้าจริงพี่คงตายก่อนเป็นแน่แท้ เพราะนึกภาพแต่ละคนไม่ออกจริงๆ ก็เพื่อนแต่ละคนของเราสำรวยจะตายไป เลยเลิกคิด วันนี้ผู้นำของเราหาใช่ลุดทั้งสองไม่ แต่เป็นท๊อปกับบอม นำลิ่วไปเลย ลุงแกบอกให้เรียกไว้บ้างกลัวหลง แต่ลุงดูผิดไปแล้ว นายสองคนนี้เดินไปยังกับว่าเคยมาสักสิบครั้งเห็นจะได้ ไอ้เราคนที่แกหวังพึ่งก็ดันตะบี้ตะบันตามไป ก่อนที่เราจะผ่านเขาลูกแรกไปนั้นหนูบีก็ทำวีรกรรมโดยการลงไปตะกายอยู่กับพื้น จากนั้นก็มีอันติดอันดับรั้งท้ายไปเดินคู่กับแอน พี่วัตและลุงทน ส่วนวินก็อาสาคอยไล่หลังให้ แล้วยังมีหน้ามาคุยอีกว่าถ้าไม่มีชั้นแล้วเธอสองคนยังมาไม่ถึงหรอก เหน่งมาเดินกับอ้อยตามรอยท๊อปกับบอมเดินๆไปเราก็เดินวัดรอยเท้าช้างไปโดยไม่รู้ตัว (ไม่เจอตัวหรอก) จนมาถึงป่าหญ้าคาสูงท่วมหัวเจ้าท๊อปก็เริ่มอาการเซนอนไปในปลัก ใครไม่รู้ตามมาถามว่าหลุมอะไรเราก็เลยบอกว่าช้างล้ม เชื่ออีกแน่ะ ช้างของเราก็เดินหายไปเสียแล้ว เดินไปจนถึงลำธาร เราก็พักรอพรรคพวก ได้พักเราก็เสียเวลาเริ่มลงมือคุ้ยเป้กันอีกไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าหาอะไร กว่าเราจะเดินไปถึงที่ทำการนายบอมก็หลุดคำหนึ่งออกมา “หลับภาพ” ถ้าไม่ขยายก็คงจะไม่เข้าใจกัน นั่นคือหลับตานึกภาพเอาแล้วเราจะหายเหนื่อย 5 ชีวิตมาถึงที่ทำการก่อนใคร เหน่งกับลุงทนแวะเก็บลูกกระเพาะตรงปากทาง รสมันเปรี้ยวไม่หน่อยเลย เมื่อมากันครบเราก็จัดแจงกางเต้นท์กันเหนือลำห้วยของสายน้ำตกนั่นเอง หลังจากทานข้าวแล้วลุงทนก็นำเราไปยังน้ำตกที่เราใฝ่หา ลุงสุดใจไม่ได้มาด้วยแกบอกว่าเบื่อมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้ว




ขั้นแรกลุงนำเราไปยังจุดชมวิว แทบไม่น่าเชื่อเลยทีลอซูที่เรากะสันหานั้นกินพื้นที่เขาทั้งลูกเลย เมื่อบริจาคเลือดกันเสร็จ ได้รูปสมใจอยากแล้ว เราก็เดินย้อนลงมาเลี้ยวขวาไม่เจอซาสี่หรอก แต่เจอลูกเด็กเล็กแดงน้ำตกไปหลายชั้น ไม่นานเราก็มาถึงที่ที่เราค้นหา ยิ่งใหญ่ มหึมาเหนือคำบรรยาย สายน้ำที่พุ่งกระเซ็นลงมาจากยอดเขานั้นทำเอาเราแทบทรงตัวไม่อยู่ จุดแรกเราไม่สามารถเล่นน้ำได้เพราะไม่มีแอ่งนับได้สักประมาณ 4 ชั้นได้ เราเริ่มไต่หามุมดีๆ เพื่อเก็บภาพแต่สายน้ำก็ไม่เป็นใจ ละอองฟุ้งกระจายไปทั่ว แม้จะอยู่ห่างไกลออกไปก็ตาม เราเก็บภาพจนพอใจแล้วจัดแจงเก็บของและไต่น้ำตกขึ้นไปอีกครั้ง มุ่งไปสู่อีกด้านหนึ่งซึ่งมีแอ่งน้ำใหญ่ ไม่น่าเชื่อเลยพื้นด้านล่างจะเป็นทรายเม็ดขาวละเอียด เราลงเล่นน้ำกันจนตัวซีดปากสั่น ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็จะมืดแล้วเราจึงต้องกลับ เราคิดว่ามันยังไม่สาแก่ใจเลยกับการบุกบั่นมาแล้วได้ชื่นชมเพียงไม่เท่าไร






เรากลับมาถึงที่พัก ลุดสุดใจพ่อครัวเอกของเราทำต้มส้มปลาไว้รอ อร่อยหาที่เปรียบไม่ได้เลยจนเราต้องออกปากว่าถุ้งไม่มากับเรานี่เราคงต้องอดโซแน่เลย คืนนั้นไม่มีใครรีบร้อนเข้านอน เรานั่งล้อมวงคุยกัน ขุดเพลงเพื่อชีวิตมาร้องเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ ความมืด แสงหิ่งห้อย เงาทะมึนของยอดไม้ และเสียงน้ำไหลประกอบบทเพลงเราอยู่กันนานเพื่อชดเชยคืนแรกที่เสียไปแล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยฝนเทลงมาอีกครั้ง จนต้องมุดเข้าเต้นท์โดยดุดสดี


เช้าวันที่สาม วินตื่นเป็นคนแรกอีกตามเคย เหน่งกับอ้อยลุกไปเข้าห้องน้ำกันหลังจากแปรงฟันแล้วก่อนไปเราได้ยินเสียงชามข้าวหล่นถึงสองครั้ง ครั้งแรกวินเอาชามจากต้นไม้ชามก็หล่นลงมาหมด วินก็เลยต้องไปล้าง แล้วครั้งที่สองก็ตามมา เราเลยลงไปดู วินบอกชั้นลื่นล้มหน้าคม่ำเลยไม่ทันขาดคำเราก็เอาบ้าง ซึ่งจุดนี้ทุกคนก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น


เมื่อทุกคนตื่นกันหมดเราปฎิบัติภาระกิจประจำวันกันมื้อนี้หรูนะ กลางป่าก็มีสตูกินด้วย มันมาจากอาหารแพ็กของพิสิฐ เป็นอาหารของพวกทหารอเมริกันหาซื้อได้ตามสวนจัตุจักรบ้างเรานี่แหละ เมื่อท้องอิ่มขาก็มีแรง วันนี้ก็ยังย่ำโคลนกันต่อฝนก็ล่อตกแต่เช้าเลย จุดมุ่งหมายของวันนี้คือหมู่บ้านกะเหรี่ยง วันนี้ยังไม่มีใครสร้างวีรกรรมให้เห็น ทุกคนคงชินเราไปกันอย่างสบาย ระหว่างทางเราพบชาวเบลเยี่ยมสองคนบนหลังช้าง เขาจะไปน้ำตกกัน




เราตะโกนบอกพวกข้างหน้าว่า “รอห้วย” ก็รอที่ห้วยแหละ เป็นจุดพักแห่งแรกของวั้นนั้น ลุงทนบอกเราว่าเรามาเลยครึ่งทางแล้วเราใช้เวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงสะพานไม้
ซึ่งอีกฝั่งเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง เราพักกันอยู่อีกฝั่งของลำน้ำ เราเริ่มออกสำรวจหมู่บ้าน สรุปได้ความว่าบ้านผู้ใหญ่บ้านต้องมุงสังกะสี เราเห็นหอกระจายเสียงของหมู่บ้านด้วย ของติดไม้ติดมือกลับที่พักเป็นของที่เราซื้อมาจากหมู่บ้าน ก็มีข้าวสาร ขนม ส่วนส้มโอนั้นจากความเมตตาของคนกะเหรี่ยง หรือจะเป็นความหน้าด้านขอของเราก็ไม่รู้ 2 ใบ รวมเป็น 3 ใบ ในวันเดียวกัน มื้อเย็นเราได้ไก่กะเหรี่ยงมาสองตัว เนื้อเหนียวสุดๆเลย ไก่นี่เราซื้อมานะ ไม่ใช่ได้ฟรี เย็นวันนั้นมีชาวกะเหรี่ยงมาขอยาไปให้ลูก เราเลยแบ่งให้ไปพร้อมทั้งไม่ลืมบอกวิธีใช้และแถมขนมให้ด้วย ด้วยเหตุนี้เองความที่มีเลือดนักพัฒนาเต็มตัวของพี่วัต แกตัดสินใจทันทีว่าจะนำยามาให้และมาสอนเรื่องสาธารณะสุขกับชาวบ้าน คืนนั้นเรานั่งคุยกันไม่นานก็แยกย้ายกันเข้าเต้นท์เหลือ อ้อย แอน ท๊อป บอม นั่งอยู่กลางลานผ้าใบ นายท๊อปก็เริ่มเล่าเรื่องไม่พึงปรารถนาขึ้นมาตามประสาคยขี้เล่น เล่นเอานี ทนไม่ไหววิ่งออกมาตามให้เหน่งกลับไปนอนด้วย เราจึงจำใจเข้านอน สองคนก็ยังไม่เลิก เล่นเอาเราป๊อกๆ ครืดกันทั้งคืน




รุ่งเช้าวินก็ตื่นเป็นคนแรกอีกตามเคย กินข้าวเสร็จทำแผลเรียบร้อยกราก็ออกเดินทางกันทิ้งหมู่บ้านกะเหรี่ยงอันสงบเงียบไว้เบื้องหลัง วันนี้เราสนุกหน่อยช่วงแรกขึ้นเขา ตอนลงเขาเราได้เล่นสไลด์กันมันมาก วันนี้คนที่ลื่นมากสุดเห็นจะเป็นท๊อป ลุงทนที่เราว่าเก่งแล้วยังลื่นล้มเหมือนกันเรายังได้เห็นช้าง(จริง)ลื่นด้วย วันนี้เราต้องข้ามแม่น้ำถึงสองจุดคือแม่ละมุงและแม่กลอง เมื่อมาถึงจุดนัดพบพี่วุฒิยังไม่มาจนเราต้องอาศัยรถของคนที่ผ่านมามาช่วงหนึ่งจึงเปลี่ยนมาขึ้นรถพี่วุฒิ จนมาถึงตัวอำเภอ เราร่ำลาลุงทนกับลุงสุดใจและยกของที่เราหาได้ไม่ยอกนักให้แกไป ด้วยเห็นว่าที่นั่นลำบากกว่าที่เราอยู่ เราฝากท้องไว้กับร้านเดิมกินกันจนอิ่มหลังจากที่อดมานาน จากนั้นก็ขึ้นรถกลับแม่สอด พี่วุฒิพาเราไปตลาดริมเมยให้แวะซื้อของฝากกัน แล้วพาเราไปอาบน้ำที่ฟาร์มของแก ก่อนขึ้นรถกลับเราก็แวะฝากท้องกันอีกครั้งที่ร้านใกล้สถานี จนใกล้เวลารถออกเราร่ำลาพี่ทั้งสองเพราะพี่วัติไม่กลับมาด้วย ขึ้นรถแล้วต่างคนต่างหลับเป็นตาย จนมาถึงหมอชิตก็แยกย้ายกันกลับบ้านเหลือไว้เพียงคำมั่นสัญญาว่าเราจะไปเที่ยวด้วยกันอีก และคำสัญญาที่ให้ไว้กับ ทีลอซูว่าสักวันเราจะต้องกลับมาเหยียบอีก คงจะมีวันนั้น



หมดสภาพ



วันนี้ เหลือไว้เพียงความทรงจำอันน่าประทับใจ น้ำใจของคนเมืองตาก บทเรียนชีวิตจากป่าอุ้มผาง วานนี้ อุ้มผางอาจเป็นเพียงอำเภอเล็กๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ ท่ามกลางความทุรกันดาร ถึงวันนี้ป่าเขาอันงดงามบริสุทธิ์ คือเรื่องราวที่บอกเล่าถึงต้นกำเนิดของผืนป่าตะวันตก การเดินสู่ถนนสายนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีหัวใจรัก และเข้าใจ ในการตระหนักรักษา ให้สมกับความสำคัญของป่าผืนนี้ ก่อนที่จะเหลือไว้เพียงตำนาน Smiley



ภาพอดีต


หลายปีผ่านมา






ปัจจุบัน





 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2554 12:05:59 น.
Counter : 1014 Pageviews.  

ตามล่า...ตราประทับ


เป็นอีกเรื่องสนุกสำหรับคนเที่ยวญี่ปุ่น กิจกรรมดีๆ เสริมประสบการณ์
การท่องเที่ยว

ขอเรียงตามลำดับการเดินทางของเรานะ
วันแรก จากกรุงเทพฯ
วันนี้มีแต่ตราประทับในหนังสือเดินทาง

วันที่ 2 ถึงสนามบินคันไซ โอซาก้า-สถานีชินโอซาก้า-ปราสาท
โอซาก้า-ย่านนันบะ-ชินไซบาชิ

ประทับเข้าเมืองเสร็จแล้ว ก็มาที่ Rail Pass Exchange Centerก๊ได้ตรามา 1 ละ


นั่ง JR Haneku Express Kansai Airport มาลงสถานี Shin Osaka St.
แล้วเดินมาที่โรงแรม hotel Shin’osaka เก็บของเข้าโรงแรมก่อนแล้วค่อยไปลุยต่อ

จากสถานี Shin Osaka นั่ง JR Loop Line มาที่ Osakajo-koen St. ก็ได้มาอีก


อีกตรา Rekishi Kaido Osaka


ตรา Osaka Castle

รวมแล้วที่ปราสาทโอซาก้า ได้มา 3 ตรา

ถ้าหาตราประทับไม่ได้ ก็ถ่ายรูปฝาท่อระบายน้ำแล้วกัน
ฝาท่อเมืองโอซาก้า


นั่ง Subway ไป Namba St./Shinsaibashi ไม่ได้ตราอะไรมาเลย มัวแต่เดินอยู่


วันที่ 3 เริ่มที่สถานีชินโอซาก้า-Universal Studio-Osaka-Shisaibashi อีกรอบ
นั่ง JR Yumesaki มาที่ Universal City St.
ไม่ได้อะไรเหมือนกัน ไม่รู้ไปทำอะไรอยู่อะ

วันที่ 4 จากสถานี Shin Osaka มาโตเกียว Kyoto St.
แล้วเดินมาที่โรงแรม Kyoto Tower Hotel Annex เก็บกระเป๋าเสร็จ ก็ปนั่งรถไฟกันก่อน ไปนาระ
เก็บตราได้ที่สถานีNara St.


นั่งรถบัสไป วัด Todaiji Temple


หลวงพ่อโต Daibutsu


แล้วก็เลยเก็บรูปฝาท่อเมืองนารา สวนกวางนาระ มาฝาก


ตราบนซองของฝาก


นั่งรถไฟกลับมาที่ Kyoto ก็ได้ตราประทับ
Kyoto St.


ต่อรถมาที่ Inari St. เพื่อจะมาเที่ยวที่ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ Fushimi Inari Shrine


ปิดท้ายด้วยการมาเดินเล่นที่ กิออน แล้วก็หาอะไรทาน


วันที่ 5 วันนี้ไปซื้อตั่วรถเมล์ 1 Day Kyoto City Bus เพื่อนั่งรถเที่ยวเกียวโตได้ทั้งวัน
เริ่มไปที่ Kinkakuji Temple ปราสาททองคินคาคุจิ


เที่ยวเสร็จก็มาที่ วัดเงิน Ginkakuji Temple
และไปกันต่อที่ Kiyomisudera Temple วัดคิโยมิซึ เดระ


เที่ยวเสร็จก็นั่งรถไฟมาที่โตเกียว ไปพักแถวอุเอโนะ สถานีใหญ่มากเลยหาที่ประทับไม่ได้ ไม่รู้จะไปทางไหนดี ต้องไปโรงแรมก่อน เลยพักไว้ก่อนที่ Ueno St.

วันที่ 6 จากสถานีอุเอโนะ ก็จะไปตลาดปลาซึกิจิ ลงที่สถานี Tuskiji shijo


กินข้าวเช้ากันแล้วก็ไปที่ วัด Sensoji Temple


ข้ามไปเก็บตราที่ Asakusa Information Center


จะนั่งรถต่อไปสถานี Odawara Station แล้วละ
นั่งสาย JR Tokaido Line Tokyo ไป Odawara St.
ซื้อ Hakone Freepass นั่ง Odakyo Line ไป Hakone นั่งรถไฟต่อรถบัสต่อรถโรงแรม ไปโรงแรมหรู คืนนี้พักกันที่ Hotel de Yama


วันที่ 7 รถโรงแรมไปส่งที่ สถานี Motohakone-ko เพื่อจะไปลงเรือกัน ล่องทะเลสาบคาวากูชิโกะ ไปขึ้นที่ สถานี Togendai ไปนั่ง
Ropeway Togendai




ลงที่ Owakudani St.


จากนั้นต่อ Cable car Sounzan


ไปลงที่ สถานีโกร่า Gora


นั่งรถไฟ JR มาที่ สถานี Shin Yokohama เพื่อไป ราเมน มิวเซียม Ramen Museum


แล้วนั่งรถกลับมาที่อุเอโนะเหมือนเดิม

วันที่ 8 จากอุเอโนะ เราก็นั่ง JR Yokosuka Line ไปที่ Kamakura St.ไปดูพระใหญ่คามาคุระกัน


เดินจากวัด ไปแวะอีกวัด Hasedera Temple
แล้วเดินกลับมาสถานีเดิมคิตะ คามาคุระ เปลี่ยนไปนั่ง Tram Enoden Line เพื่อเลียบทะเลโชนัน ไปลงสถานี Enoshima St.

จากที่นี่ข้ามไปเที่ยวเกาะเอโนะชิม่าได้

ขากลับก็เดนขึ้นเนินมาที่สถานี Monorail Shonan Enoshima ไปลงสถานี
Ofuna แล้วนั่งรถไฟกลับเข้ามาโตเกียว
ก่อนจะไปต่อกันที่ Ikebukuro st. Sunshine City แวะไปเที่ยวที่
Namja Town


วันที่ 9 จะกลับบ้านแล้วละ
แต่มีเวลาไปเก็บตกที่ตลาดอาเมโยโกะโช Ameyayokocho


และอุเอโนะ ปาร์ค Ueno Park ที่มีหมีแพนด้านั่นละ


ขากลับตั๋ว JR ก็หมดเวลาใช้แล้ว ก็เลยนั่ง Skyliner K’sei Line มาสนามบินาริตะ

ก็เลยได้เก็บตราอีก 2 ตรา Kutan Narita Airport


ประทับตราออก แล้วก็ประทับตราเข้า ก็จบแล้วละ




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2554 12:23:01 น.
Counter : 2862 Pageviews.  


Hi Aoy
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]






ยินดีต้อนรับจ้าSmiley
และขอบคุณเพื่อนๆ ที่หลวมตัวเข้ามาบ้านเรา



สวัสดีปีใหม่ ขอให้เบิกบานดั่งดอกไม้แรกผลิ
ขอบคุณ
ป้ามด BG เท้าสีฟ้า
tlcthai.com emo Ms.Bสาวขาโหด
และเพื่อนๆ ใจดีทุกคน








Got My Cursor @ 123Cursors.com
hits
Friends' blogs
[Add Hi Aoy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.