|
ห้ามคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ
ต้องขอออกตัวก่อนว่า เรื่องที่จะเล่าไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อเท่าไหร่และอาจไม่ค่อยมีสาระ พอดีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่บนรถ เป็นเรื่องผ่านมานานแล้ว
ผมเป็นคนที่มีนิสัยชอบจับของสามอย่างที่ตัวผมอยู่เรื่อยๆ มี กระเป๋าเงิน กุญแจบ้าน และโทรศัพท์ ระหว่างที่ขับรถก็มีโทรศัพท์เข้ามา ผมก็รับคุยไปเรื่อยๆ จนติดไฟแดง นิสัยประจำผมก็เริ่มทำงาน เริ่มจากคลำหากระเป๋าเงินก่อน อ้า...อยู่ ต่อมากุญแจบ้าน อ้า...อยู่ ชิ้นสุดท้ายคลำไปที่เอวเหลื่อแต่ซอง ใจหายแวบบบ โวยวายกับปลายสายทันทีว่า " เฮ้ยโทรศัพท์เราหายยย " และก็พูดๆไม่หยุดว่าโฮเซ็งเลยอิอิ จนปลายสายตอบกลับมาแบบเอือมๆว่า แล้วที่เอ็งถืออยู่มันคืออะไร อายมากเลยอิอิ ยังนึกว่าดีนะที่ปลายสายไม่เป็นไปด้วย แล้วตอบกลับมาอีกอย่างเป็น เออลองจอดรถหาดูก่อนสิลืมเอาไว้ไหน โอถ้าเป็นแบบนั้นแย่เลย เนียแหละครับ ไม่ค่อยมีสาระอะไรนะครับ หนุกๆ
สำหรับกฎหมายที่กำลังจะออกมาก็ต้องศึกษาทำความเข้าใจกันหน่อย ว่าแบบไหนผิด เกิดเหตุฉุกเฉินแล้วใช้จะผิดมั้ย หรือถ้าเป็นผู้หญิงจะต้องโทรบอกที่บ้านให้เตรียมเปิดประตูบ้านให้ หรือใช้ smalltalk จะได้มั้ยก็ไม่รู้นะครับ ประมาณเนียแหละครับ แต่ยังไงก็ปลอดภัยเอาไว้ก่อนดีกว่า ทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่นนะครับ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่เคยคิดเหมื่อนกันว่าจะเกิดกับตัวเอง เฟอะฟะจริงๆ เคยเห็นแต่ในโฆษนาไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอิอิ หนุกๆนะครับ
Create Date : 08 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 8 พฤษภาคม 2551 23:06:58 น. |
Counter : 407 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ลืม....?
ไม่บ่อยนักที่ตัวผมจะมีโอกาสได้ออกไปต่างจังหวัดสักครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ได้ด้วยโอกาสพิเศษหรือมีธุระอะไรจริงๆก็แทบไม่ได้หยุดจากการทำมาหากินกันแบบลืมวันลืมคืนกันเลย จนเมื่อสงกรานต์ผ่านไปแล้วจึงได้ถือโอกาสกลับไปเยี่ยมเยือนญาติผู้ใหญ่กันสักหน่อย
จุดหมายปลายทางในครั้งนี้คือ มุกดาหาร ระยะทางประมาณ 700 กม ขับรถก็ประมาณ 7-8 ชม แต่เพียงแค่ 2 ช ม ก็สามารถไปถึงสระบุรีได้แล้ว แต่ถ้าด้วยเวลาที่เท่ากันในกรุงเทพก็น่าจะประมาณ บางแคไปสุขุมวิทคงได้ ขับไปเพลินๆพักไปขับไป และด้วยความสงบของสองข้างทางก็สามารถทำให้การเดินทางถึงจุดหมายได้โดยไม่เหนื่อยอะไรมาก เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง สิ่งแรกที่ผมทำคือสูดอากาศเข้าไปให้เต็มๆปอด บ้านญาติผู้ใหญ่ของผมอยู่เกือบถึงแม่น้ำโขง อากาศสบายทีเดียว ถึงคนที่นั่นจะบอกว่าอากาศร้อนหน่อยนะ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกรุงเทพแล้วเย็นสบายกว่ากันมาก ที่นี่ไม่มีรถวิ่งขวักไขว่มองออกไปข้างบ้านก็เป็นทุ่งนาสุดสายตา ตกเย็นเพื่อนบ้านคนรู้จักต่างคนต่างพากันเอาของติดไม้ติดมือมากินข้าวด้วยกันหน้าบ้าน พูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน กินเสร็จเรียบร้อยต่างคนต่างช่วยกันเก็บโต๊ะเก็บจานจับไม้กวาดช่วยกันคนละไม้คนละมือโดยไม่มีใครบอกให้ใครทำ และล่ำลากันกลับบ้าน นี่แค่วันแรกที่ไปก็รู้สึกสุขสงบและเบาหัวเลย
นี่คงไม่ใช้แค่การเปลี่ยนที่กินที่นอนซะแล้ว แต่มันทำให้นึกถึงสิ่งที่หลงลืมไปเหมือนกัน บางครั้งการได้เปลี่ยนวงจรชีวิตจากสิ่งที่ทำ และสถานที่คุ้นเคย โดยเฉพาะสถานที่ที่มีความสงบแบบนี้ เวลาสามวันถือว่าน้อยเหลื่อเกิน วันต่อมาได้ใช้เวลาอ่านหนังสือสงบๆอยู่ชานบ้านกลางลมโชย และเงียบสงบ มองดูหลานวิ่งเล่น ส่วนช่วงเย็นก็ได้มีโอกาสไปกราบไหว้เจ้าแม่สองนาง ริมแม่น้ำโขง และได้ใช้เวลานั่งเล่นมองดูลำน้ำโขง ยิ่งมองยิ่งมีมนต์ขลัง ลมเย็นสบายมากๆ เป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุขสงบเต็มอิ่มอย่างบอกไม่ถูก
มานึกย้อนตั้งแต่มาถึงจนใกล้วันจะกลับ เราสามารถมีความสุขง่ายๆเลย ไม่ต้องมีเครื่องเสียง ไม่ต้องมีโรงภาพยนตร์ ไม่ต้องมีร้านอาหารหรูๆราคาแพง และห้างสรรพสินค้า แวบนึงทำให้นึกถึงคำเทศน์ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต)ขึ้นมาว่า ให้มีความสุขเอาไว้ในตัวเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องไปวิ่งหาเอาที่ไหน และกล่าวถึงความสุขสองอย่าง อย่างแรกคือความสุขที่ได้จากการเสพ(ภายนอก) เมื่อได้เสพก็เป็นสุข และมีอันต้องหามาเสพอยู่ร่ำไป ส่วนความสุขอีกอย่างคือสุขที่เกิดจากใจที่เป็นสุข(ภายใน) ทำให้ระลึก และรู้สึกได้ถึงความเต็มอิ่มของความสุขจากใจที่เป็นสุขขึ้นมาทันทีเพียงแค่ยืนมองดูลำน้ำโขง
หลังจากกลับมาก็ยังนึกถึงความรู้สึกของความสุขสงบแบบง่ายๆ นึกเพลินๆจนได้ยินเสียงบีบแตรไล่หลังเพราะออกรถช้า จริงๆไม่ได้ออกช้าเพียงเห็นว่าถ้าเร่งรีบเกินไป เกรงจะเกิดอันตรายจากรถอีกช่องทาง ที่พยายามเร่งให้ทันไฟแดง(ยังไม่เขียวรีบออก แดงแล้วไม่ยอมหยุด) ขับมาได้อีกนิดเปิดไฟเลี้ยวขวาจะขอเข้าเพื่อจะกลับรถแต่ไม่มีใครให้เข้า มีแต่ยิ่งเร่งเครื่องเพื่อกันทางกันหมดทุกคัน สุดท้ายจำต้องวิ่งเลยไปหาที่กลับรถข้างหน้าอีกไกล ทำเอาตื่นจากความคิดตัวเอง จนทำให้แน่ใจว่าเราได้มาถึงเมืองหลวงของเราแล้วจริงๆ เมืองที่เราเรียกว่า พัฒนาแล้ว เจริญแล้ว แต่เรากลับหาน้ำใจและความสงบได้ยากขึ้นทุกวัน มาถึงตรงนี้อดคิดไม่ได้ว่านิยามของการพัฒนาคืออะไร
? เราพัฒนาอะไร..? อะไรคือความเจริญ..? ถ้าการพัฒนาไม่ได้นำพาการพัฒนาภายในตามไปด้วย แถมยังฉุดให้ภายในใจคนย่ำแย่ลง สิ่งที่เรากำลังพัฒนาจะมีประโยชน์อันใด
* ถือเป็นประสบการณ์บางส่วนที่พบเจอนะครับ ยังไงผู้ที่มีน้ำใจก็ยังสามารถพบได้อยู่เช่นกันอิอิ
Create Date : 06 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2551 23:24:14 น. |
Counter : 357 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว...?
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
?
ไม่รู้ว่ายุคสมัยของระบบทุนนิยมแบบปัจจุบัน ในจิตใจของผู้คนแท้จริงแล้วยังคงเชื่อมั่นกับคำโบราณนี้อยู่หรือเปล่า หลายครั้งหลายหนผมมักได้ยินผู้คนนำประโยคนี้มาปรับเปลี่ยนซะใหม่เป็น ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป จะด้วยความท้อแท้ หรือต้องการให้สอดคล้องกับยุคสมัยและความจริงของบุคคลผู้นั้นก็ไม่อาจรู้ได้ ตัวผมเองก็อดคิดตามไม่ได้ และหลายครั้งก็ยังรู้สึกหวั่นไหวตามไปด้วยเหมื่อนกัน หลายเหตุการณ์ที่ผ่านๆมาทำเอาตัวเองรู้สึกแหยง บางครั้งรู้สึกเป็นคนโง่ รู้สึกถูกเอาเปรียบ จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่ทุกสิ่งที่เราได้กระทำ และแสดงออกล้วนไม่ได้กระทำเพื่อใคร..? แต่ทุกความคิด และการกระทำเราล้วนกำลังกระทำให้กับตัวเราเอง คำพูดนี้ได้จากมิตรสหายที่บอกกล่าวออกมา และยังติดอยู่ให้หัวผมมาถึงปัจจุบัน และเมื่อนำมาวิเคราะห์กับตัวเอง จากหลายๆเหตุการณ์ ในการตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไรหลายๆครั้ง ก็มักจะพบว่ามีสองสิ่งที่สลับกันบ่อยๆ ระหว่างสิ่งถูกกับผิด คือในครั้งแรกที่ทำจะดูเหมื่อนดีในตอนเริ่มต้น แต่กลับรู้สึกแย่ในภายหลัง ส่วนสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกโง่ในตอนเริ่ม กลับเปลี่ยนเป็นความรู้สึกถูกต้องและให้ความรู้สึกดีในตอนท้าย เมื่อมาสังเกตตัวเองดู และติดตามความรู้สึกตัวเอง มักจะเห็นว่าวิธีคิดแบบตรรกะภายนอกอย่างเดียวไม่สามารถนำมาใช้วัดตวงถึงสิ่งไหนควร หรือไม่ครวทำได้ พูดอีกอย่างนึงได้ว่า เราไม่สามารถวัดจิตสำนึกถูกผิดจากตรรกะ หรือวิธีคิดบางอย่างได้ วิธีคิดของตรรกะภายนอกเพียงอย่างเดียวน่าจะไม่เพียงพอ ได้อะไร เสียอะไร ชนะ แพ้ คนฉลาด คนโง่ ความเหมาะสมของผู้ที่แข็งแรงที่สุด ถ้าแพ้หมายถึงต้องถูกคัดออก
มาถึงตรงนี้ผมก็เลยอยากเปลี่ยน ดี กับ ชั่ว เป็น รัก กับ กลัว และถ้าเรารักตัวเองเราก็เพียงแต่เลือกกระทำสิ่งต่างๆออกไปจากความรักที่เราเลือกให้กับตัวเราเอง เรื่องจึงเป็นว่าเราสามารถเลือกกระทำสิ่งต่างๆจากความรักได้มากน้อยแค่ไหน หรือถ้าจะให้คิดง่ายๆ เหตุผลคือ ก็เพราะมันถูกต้องไง
? แค่คิดดีหรือทำดีมันก็สมบูรณ์ถูกต้อง ณ ตรงนั้นแล้ว ( มีความสุขเมื่อให้ มิใช้เมื่อได้รับ ) ทำดีกันเข้าไปเถอะครับ
Create Date : 26 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 26 เมษายน 2551 22:39:46 น. |
Counter : 369 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ฉวยวันเวลาเอาไว้
ผมเคยคิดเล่นๆว่าเวลาอาจจะมี หรืออาจจะไม่มีอยู่จริง เพราะสิ่งเดียวที่เรารับรู้และควบคุมได้จริงๆ คือปัจจุบันนี้ และเวลาอาจจะไม่ได้เป็น อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในแนวนอนก็ได้ แต่เวลามันอาจจะเป็นไปในแนวตั้ง คือทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต่างดำรงค์อยู่พร้อมๆกัน อยากรู้อดีตก็ดูปัจุบัน อยากรู้อนาคตก็ดูปัจจุบันอีก แต่สำหรับผมชีวิตในช่วงนี้เวลาเหมื่อนจะผ่านไปรวดเร็วจริงๆ หนึ่งวัน หนึ่งอาทิตย์ หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี นึกถึงชีวิตตัวเองในช่วงนึงในอดีตก็รู้สึกว่า ชีวิตนี้มันช่างยาวนาน และมีเวลามากมายเหลื่อเฟือ " โอ้ ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล " แต่ปัจจุบันนี้ความคิดกลับตรงกันข้าม คือเวลามันช่างผ่านไปเร็วชีวิตนี้มันแสนสั้น เปรียบได้กับคนที่เดินข้ามสะพานขึ้นมาช่วงกลางสะพานและรู้ว่าทางข้านหน้าคือทางลง /--------------------\
อีกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มันแสนสั้น และเวลามันช่างผ่านไปเร็ว เพราะรู้สึกกับตัวเองถึงความรักในตนเอง ความรู้สึกว่าชีวิตมันช่างมีคุณค่าและความหมาย เวลามันช่างมีค่าเหลื่อเกิน นึกถึงคำกล่าวนึงจากหนังสือ สมาคมกวีไร้ชีพ ว่าอย่าปล่อยให้คืนวันผันไปอย่างไร้ค่า แต่จงฉกฉวยวันเวลาที่ผ่านเข้ามา และทำชีวิตให้ไม่ธรรมดา ผมคิดว่าชีวิตนี้บางครั้งก็เปราะบาง ความตายก็อยู่กับเราตลอดเวลา บางทียังเคยคิดเล่นๆว่า ถ้าสมมุติว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา เราจะพอใจ และตายตาหลับหรือยัง อะไรสำคัญ และมีคุณค่ากับตัวเราบ้าง เรารู้จักตัวเองดีพอหรือยัง ใครมีความหมายกับเราบ้าง เรารักตัวเองได้มากพอหรือยัง แวบนึงก็ฉุดคิดกับตัวเองว่าที่ผ่านมาบางช่วงบางตอน ตัวผมเองก็ใช้ชีวิตแบบขาดสมดุล มุ่งทำมาหากินแบบลืมตาย ปากท้องก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต แต่เมื่อนึกว่าถ้าจะต้องตาย ก็ชวนให้รู้สึกกับตัวเองว่าชีวิตตัวเองกำลังพลาดอะไรบางอย่างไปจริงๆ
เวลามันผ่านไปเร็ว หันกลับมามองดูคนใก้ลชิด พ่อ แม่ ท่านดูแก่ลงไปถนัดตายิ่งได้เห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าแล้วก็ชวนให้ใจหาย รวมไปถึงเรื่องสุขภาพของตนเอง ที่แทบไม่ค่อยได้ใส่ใจเอาซะเลย ทั้งๆทีมันทำงานตลอด 24 ชม 365 วัน ไม่เคยหยุด แต่ความรู้สึกอยากดูแลตัวเองที่เกิดนี้ ไม่ได้เป็นเพราะความรู้สึกกลัวตายมากไปกว่า รู้สึกว่ายังไม่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างให้ดีมากพอ อยากดูแล พ่อ แม่ ให้ดีอยากดูแลท่านอยากกอดท่านวันนึงจะได้ไม่มานั่งเสียใจและเสียดายว่าตัวเองน่าจะทำให้ดีกว่านี้ ยังมีความสัมพันธ์ที่ยังทำได้ไม่ดีพอ ยังมีบุคคลที่อยากให้อภัย ยังมีหนังสือดีๆบนโลกที่อยากอ่าน ยังมีบทเพลงไพเราะอีกมากมายที่อยากฟัง ธรรมชาติที่งดงามที่อยากชม อยากใช้เวลาให้คุ้มค่า ในทางการแพทย์ความตายของมนุษย์ถือว่าเป็นความล้มเหลว แต่สำหรับผมความตายโดยไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า และมีความหมายดูน่าล้มเหลวมากกว่า
Create Date : 20 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 20 เมษายน 2551 22:02:00 น. |
Counter : 376 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สงกรานต์หรือสงคราม
ช่วงวันสองวันนี้มันร้อนได้ใจจริงๆ แต่ก็ดีได้ถือโอกาศอยู่บ้านสงบๆซักหน่อย สงบจนได้มาอ่านหนังสือพิมพ์และได้เห็นข่าวต่างๆ พร้อมกับได้ออกไปทำธุระข้างนอกบ้านพอดี จึงได้เห็นการละเล่นสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน ทั้งทีเล่นดีๆแบบสุภาพและที่เล่นกันแบบสุดๆไปเลย เรียกว่าใส่หน้ากากจนถึงเหลือกางเกงตัวเดียวรำกันกลางถนนเลยก็มี ดูๆไปแล้วยังนึกว่าโอโฮนี่มันเทศกาล woodstock หรือเปล่าเนีย แต่เท่าทีติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์แล้วลองเปรียบเทียบกันดูก็ยังรู้สึกว่า woodstock ยังดูมีวัฒนธรรมกว่าอีกนะเนี้ย ส่วนเรื่องรดน้ำดำหัวที่พูดๆกันก็กลายเป็นแค่เครื่องเคียงไป ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องหลักขอกคนยุคเก่าก่อน สำหรับสื่อก็อาจจะให้ความสำคัญกับการขับขี่ปลอดภัยมากกว่าการเล่นน้ำแบบสุภาพและสันติ ข่าวที่อ่านมีทั้งยิงกันตายหลายเหตุการณ์ คนเจ็บตายเพียบ จบคนแก้ผ้า ชกตำรวจ มาถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าในปีต่อๆไปมันจะเป็นยังไงหรือประเทศไทยแบบเราๆจะกลายเป็นประเทศที่ไร้รากและไม่พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง โดยสุดท้ายเราก็ปล่อยให้เด็กและเยาวชนกลายเป็นเหยื่อไปเรื่อยๆก็ไม่รู้ เรื่องรองกลายเป็นเรื่องหลักส่วนเรื่องหลักกลับกลายเป็นเรื่องรองแต่ทั้งหลายทั้งปวงที่พูดมาใช่ว่าเรื่องดีๆหรือการละเล่นและการกระทำที่ดีๆจะไม่มี หลายคนได้ไปกราบไห้วผู้ใหญ่ที่เคารพและอีกหลายคนได้กับไปอยู่กับครอบครัวเป็นช่วงสั้นๆเนื่องจากต้องไปทำงานซึ่งห่างไกลกันและนี่ก็ถือเป็นส่วนที่ดีๆที่ยังมีอยู่เช่นเดียวกัน แล้วพวกเพื่อนๆละครับเทศกาลสงกรานต์กลายเป็นสงครามไปหรือยัง
นำข่าวชิ้นนึงมาฝากจากหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
สงกรานต์โหดโจ๋จับสาวแม่ลูก 1 โยนลงคลองชลประทานดับคาที่ สงกรานต์โหดโจ๋คะนองเล่นแรงโยนสาวแม่ลูกหนึ่ง วัย 26 ปีลงคลองชลประทานหวังกระโดดตามลงไปลวนลามสุดท้ายกลายเป็นศพ เพื่อนสาว ยัน ตะโกนบอกคนตายว่ายน้ำไม่เป็น แต่ไม่มีใครสนใจ
(15เม.ย.) เวลา 18.00 น. ร.ต.ท.ประวิทย์ มีวงษ์ ร้อยเวรสภ.บางจัก อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง รับแจ้งมีเหตุวัยรุ่นจับสาวโยนลงคลองชลประทานเสียชีวิต เหตุเกิดบนถนนวิเศษ-ผักไห่ หมู่ 5 ต.คลองขนาด อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง หน้าปั้มน้ำมันนายสมศักดิ์ สวนศรี หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พ.ต.ท.พิทักษ์ อดิศักดิ์ สว.หน.สภ.บางจัก
ที่เกิดเหตุพบเพียงกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากยืนวิพากวิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนผู้เสียชีวิตถูกนำส่งโรงพยาบาลวิเศษชัยชาญไปก่อนหน้านี้ ทราบชื่อน.ส.ชิดชนก ช่างยา อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72/1 หมู่ 2 ต.คลองขนาด อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
น.ส.วรรณา (นามสมมุติ) เพื่อนผู้ตาย กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุตนและผู้ตายไปเล่นสงกรานต์ที่ถนนข้าวสุก ถูกวัยรุ่นเล่นสงกรานต์แบบป่าเถื่อนโดยการไล่จับหน้าอกผู้หญิง ตนและผู้ตายจึงย้ายมาเล่นกันที่เกิดเหตุ ระหว่างที่เล่นสาดน้ำกันอยู่บนถนน ปรากฏว่าได้มีรถปิกอัพขับมาบริเวณดังกล่าว จากนั้นวัยรุ่นชายที่นั่งกระบะหลังรถได้กรูกันลงมาปะแป้งก่อนที่จะอุ้มตัว น.ส.ชิดชนกโยนลงคลองชลประทานเพื่อที่จะลงไปลวนลาม แต่น.ส.ชิดชนก ซึ่งว่ายน้ำไม่เป็นได้จมน้ำเสียชีวิตทันที ซึ่งขณะนั้นแม้ตนจะร้องด้วยความตกใจและตะโกนบอกวัยรุ่น ว่า น.ส. ชิดชนกว่ายน้ำไม่เป็น แต่ไม่มีใครสนใจกลับวิ่งขึ้นกระบะหลังรถขับหลบหนีไปทันที
สำหรับน.ส. ชิดชนกนั้น แต่งงานแล้วและมีลูกอายุ 3 ขวบ ก่อนเกิดเหตุน.ส.ชิดชนกขออนุญาติแฟนออกมาเล่นสงกรานต์โดยปล่อยให้ลูกซึ่งกำลังอยู่ในวัยน่ารักให้ผุ้เป็นพ่อเลี้ยง โดยไม่คิดว่าการเล่นสงกรานต์ครั้งนี้เพื่อนจะต้องมาเสียชีวิต
ร.ต.ท.ประวิทย์ กล่าวว่า หลังรับแจ้งและทำการสอบสวนบุคคลในที่เกิดเหตุก็ทราบว่าผู้ตายเล่นสงกรานต์บริเวณดังกล่าวจากนั้นมีวัยรุ่นขับรถยนต์มาและลงไปปะแป้งจากนั้นก็จับผู้ตายโยนลงคลองชลประทาน จนเพื่อนๆผู้ตายช่วยกันไปงมขึ้นมาแต่เนื้อตัวเขียวเสียชีวิตแล้ว ซึ่งจะตามกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
Create Date : 15 เมษายน 2551 | | |
Last Update : 16 เมษายน 2551 22:59:44 น. |
Counter : 381 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|