กรรมฐาน > Meditation
Group Blog
 
All Blogs
 

ทำไมเราสวดมนต์บทเมตตาใหญ่ล่ะ?




เพื่อนเกือบทุกคน (อาจจะทุกคน)ไม่รู้ว่า อรมันจะสวดมนต์ยาวกว่าปกติ ในวันธรรมะสวนะทำไม?

ตอบ "อรอะ ไปลั่นสัจจะไว้ ว่าในวันธรรมะสวนะ นอกจากการสวดมนต์ตามหลักพระสังฆราชสอนไว้ ก็จะสวดมนต์ให้ เทวดาท่าน ทั้งเทวดาประจำวันเกิดของอร รวมไปถึงเหล่าเทวดาที่มาสถิตที่พระพุทธรูปคอยปกปักรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข " บทสวดที่ว่า คือ "บทเมตตาใหญ่"

ในหนังสือเล่มที่ได้มาสวด บทเมตตาใหญ่ มีเขียนเรื่องราวที่มาของบทสวดมนต์นี้ โดย หลวงพ่อจรัญ (พระธรรมสิงหบุราจารย์) ว่า

แม่ชีคนหนึ่ง ชื่อ แม่ชีก้อนทอง นามสกุล ปานเณร แม่ชีคนนี้เคยไปอยู่มาหลายสำนัก ไปอยู่สำนักปฏิบัติของ หลวงพ่ออ่อน ที่สิงห์บุรี ไปอยู่ที่เขาถ้ำตะโก วันหนึ่งก็มาขออาตมาว่า

แม่ชีทองก้อน "พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ดิฉันจะขอมาอยู่นั่งกรรมฐานได้ไหม"

หลวงพ่อตอบว่า "เอ...โยม วัดนี้ไม่มีสำนักชี แล้วไม่มีกุฏิชีอยู่ จะอยู่ได้หรือ กลัวผีหรือเปล่า ถ้าไม่กลัว อยู่บนศาลา มันมีห้องอยู่ทางนี้"

สมัยนั้นมันเป็นป่าดงพงไพรมาก แม่ชีผู้นี้อายุก็ประมาณ ๗๐ กว่า ตอนตายก็อายุ ๙๖-๙๗ ปี เพิ่งจะเสียไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง อาตมาก็ให้อยู่บนศาลา พออยู่บนศาลาก็ให้เดินจงกรม เดินจงกรมแล้วก็นั่ง พองหนอยุบหนอ แล้วตั้งสติเข้าไว้

เดือนผ่านไป โยมชีก็ให้อาตมาสอบอารมณ์ให้ทุกวัน ตอนเช้าอาตมาก็ไปสอบอารมณ์ให้ แม่ชีเล่าให้อาตมาฟังว่า

แม่ชีทองก้อน "หลวงพ่อฉันจะลำบากเสียแล้ว เทวดามากวน"

หลวงพ่อ "เทวดามาทำไม"

แม่ชีทองก้อน "มาชวนฉันสวดมนต์"

อาตมาก็ให้กำหนดเห็นหนอ พอมาอีกคืนหนึ่ง แม่ชีก็เล่าว่ากำหนดเห็นหนอ ๆ แต่เทวดาไม่ไป ไม่ยอมไป

อาตมาถามว่า "เทวดาอยู่ที่ไหน ถามเทวดาซิ"

แม่ชีทองก้อน "เทวดาบอกว่าอยู่ที่ต้นพิกุล"

หลวงพ่อ "เอ..มาอยู่ได้อย่างไรที่ต้นพิกุล เชื่อไม่ได้ ถามเทวดาซิทำไมมาอยู่ที่ต้นพิกุลนี่"

แม่ชีทองก้อน " เทวดาบอกว่า โดนสาปมาจากสรวงสวรรค์ ผิดประเวณีนางฟ้า"

เทวดาโดนสาปแล้วให้มาอยู่ที่ต้นพิกุลนี้ ๑๐๐ ปีตรงกับวันที่เท่านั้นเวลา ๙.๔๕ น. ครบ ๑๐๐ ปี อาตมาก็จดไว้

หลวงพ่อ "เทวดามาชวนสวดมนต์ตอนไหน"

แม่ชีทองก้อน "ตี ๑๒.๐๑ นาที"

เทวดาจะมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า อาตมาได้ตำราเยอะเลยจากเทวดา นี่ถ้าบ้านไหนมีเครื่องสักการะบูชา พระพุทธรูปเปรียบเสมือนประติมากรรม แทนองค์พระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าหากว่าตั้งไว้เฉย ๆ เทวดาไม่สิง ถ้าหากว่าสวดมนต์ไหว้พระอยู่ตลอดเวลา เทวดาก็จะมาสิง เรียกว่า เทพ เทวดาบอก แล้วบอกว่าหลวงพ่อโสธรนี่ เทพสิงจึงขลังมาก แล้วพระพุทธรูปที่เสาชิงช้านี่ เอามาตั้งและสวดมนต์ทุกวันก็ยังสิงเลย เทวดาเค้าบอกว่าจะมาเฝ้าพระพุทธเจ้าตอน ๒๔ นาฬิกา แล้วทีนี้เราไปเช่าพระอู่ทองเชียงแสนมาเป็นตุ๊กตา ราคาหลายแสน ถึงเป็นของเก่าก็จริง เจ้าของไม่นำพา ไม่สวดมนต์บ้านนั้นและบ้านนั้นเอาลูกเด็กเล็กแดงมานอนหน้าพระ เทวดาบอกหนีหมด ไม่สวดมนต์ให้ บางบ้านทำห้องพระไว้นอนกันเต็มหมด เทวดาไม่มาสิง ไม่มาสวดมนต์ อาตมานึกว่าคงไม่มีจริง แต่มันเกิดมีจริงขึ้นมาแล้ว อาตมาก็จดไว้เดี๋ยวนี้ยังจดไว้พร้อม

แล้วบอกแม่ชีให้ถามเทวดาซิ มาอยู่ที่ต้นพิกุลนี่ลำบากลำบนแค่ไหน บอกไปเที่ยวสวดมนต์นี่ มาสวดเฉพาะแม่ชีหรือเปล่า เทวดาบอกทั่วไป บ้านไหนสวดมนต์ไหว้พระนะ เอาใจใส่สวดมนต์ดีทั้งครอบครัว บ้านนั้นจะมีเทวดาเข้าไปสวดมนต์ สวดอะไร "มหาเมตตาใหญ่" บทใหญ่เลย อาตมาได้แต่บทสั้น ไม่ใช่บทยาว เทวดามาชวนสวด ๑ ปี แม่ชีก้อนทองนี้อ่านหนังสือไม่ออก สวดได้หมดเลย เทวดาก็มาบอกแม่ชี บอกกราบเรียนหลวงพ่อวัดนี้ด้วย บอกเทวดาอยู่ต้นพิกุล นี่ผิดประเวณีนางฟ้านะ เอ..เรานึกว่าเทวดาจะไม่โดนทำโทษ โดนนะ

เทวดามี ๒ อย่างคือ เทวดาพาล กับเทวดาตรง เทวดาพาลเป็นพวกชอบกินของสังเวย เวลาโจรจะปล้น จะต้องมีบวงสรวงมีหัวหมูไป เทวดาพวกนี้ชอบเข้าข้างพวกโจร เลยอาตมาถามว่าพวกโจรจะปล้นจะทำไง ต้องบวงสรวงนะ มีหัวหมู บายศรี เทวดาก็ส่งทิพยเนตร ไอ้พวกเทวดาพาลก็ว่าพวกเราไปซะหน่อย ไปกินเครื่องสังเวยอย่างนี้ก็มี เทวดายังมีแบบนี้แล้วโลกมนุษย์ทำไมจะไม่มีแบบนี้ มันต้องมี เทวดาตรงไม่กินของใคร เทวดาบอกกับแม่ชีก้อนทองอย่างนี้

ใกล้จะตี ๑๒ อาตมาก็ย่องไปที่ใต้ถุนศาลา ส้วมบนนั้นไม่มี มีแต่อยู่ห่างไกล กลัวแกจะปัสสาวะรดเราจะตาย เราก็ย่องไป พอตี ๑๒.๐๑ น. แกจุดไม้ขีดแล้วจุดธูปเทียน สวดมนต์เมตตาจริงเทวดาสวด ฟังอยู่เป็นชั่วโมง เทวดาสวดมหาเมตตาใหญ่ จำไว้สวดให้เมตตาประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าเทวดาพาลไม่สวดบทนี้ เลยให้ถามเทวดาว่าจะกลับจากต้นพิกุลเมื่อไร เทวดาก็บอกว่าพอครบ ๑๐๐ ปี ก็จะกลับ อาตมาจดไว้หมด ดูซิว่า ต้นพิกุลจะเกิดอะไรขึ้นมา เทวดาบอกว่า ถ้าบ้านใครนะ มีเครื่องบูชาพระพุทธรูป สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำเทวดาจะไปสิงสถิต

อาตมามีตัวอย่างจะเล่าให้ฟัง มีคุณยายคนหนึ่ง ชื่อ แม่นาค อายุ ๘๐ กว่า ตายไปนานแล้ว สมัยเรายังเป็นเด็ก แกเป็นคนจีน อาตมาชอบไปกินขนมเข่งที่เขาไหว้เจ้ากันที่บ้านนั้น

ยายนาคคนนั้นก็บอกว่า "ไอ้หนูเอ๋ย พระอั๊วพูดได้ว่ะ.."

หลวงพ่อ "อาม้า พระองค์ไหนพูดได้ให้พูดซิ"

ยายนาค "มันไม่พูดเดี๋ยวนี้ว่ะ

หลวงพ่อ "มันพูดตอนไหน"

ยายนาค "มันพูดกลางคืนว่ะ"

แล้วบ้านนี้ไม่มีรั้วเลยนะ มีเรือหม้ออยู่ ๒ ลำ เรือใส่ฟืนสำหรับโยงเรือให้เรือข้าม บ้านนี้มี ๓ ลำ แล้วมีพระสมเด็จวัดระฆัง บ้านนี้จอดเรือโยงหน้าวัดระฆัง ได้พระสมเด็จโตมาเยอะเชียว พอบ่าย ๓ โมง ก็จุดธูปแล้ว คนไทยขี้เกียจบูชาไม่ค่อยรวย เจ็กรวย พอบ่าย ๓ โมงสวดเลย

เราเลยบอกว่าอาม้า "พระอาม้าพูดได้ตอนไหน"

ยายนาค "มันพูดกลางคืนไม่พูดกลางวัน"

หลวงพ่อ "ทำไมพูดกลางคืนล่ะ"

ยายนาค "เวลาขโมยเข้ามามันพูดว่ะ มันสวดมนต์อั๊วตื่นหมดขโมยเอาอะไรไปไม่ได้ มันเป็นเทวดา ก็ได้ความอย่างนี้

ในเวลากาลต่อมา แม่ชีก้อนทองสวดมนต์ อาตมาก็ถามสวดยังไง สวดอย่างนี้ อาตมาไม่แน่ใจ ก็ไปซื้อตำรา ถามที่เสาชิงช้าว่า มหาเมตตาใหญ่มีไหม บอกว่าไม่มี อาตมาเลยเข้าไปที่วัดสุทัศน์ฯ ไปหาพระครูปลัด เดี๋ยวนี้เป็นเจ้าคุณไปแล้ว เจ้าคุณอะไรจำไม่ได้เสียแล้ว เป็นพระครูปลัดของ สมเด็จพุฒาจารย์ องค์เก่า (พุฒาจารย์โสม) บอกขอยืมหนังสือพุทธาภิเษก ฉบับ สมเด็จพระสังฆราชแพ จะเอาไปสอบขอยืมวันเดียวครับ เดี๋ยวเสร็จผมจะมาส่ง เลยให้แม่ชีก้อนทองว่าให้ฟัง ๓ ช.ม. จบ ๓ ช.ม. ต่อท้ายมหาพุทธาภิเษกตัวเดียวไม่ผิดเลย อันนี้เชื่อได้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว

เมื่อก่อนนี้แกอ่านหนังสือไม่ออก แล้วจะไปท่องได้อย่างไร อาตมายังไม่ได้บทนี้นะ เทวดาสวดบทมหาเมตตาใหญ่ แผ่เมตตา อาตมาจำได้แม่นยำ แล้วรู้ด้วยว่าเทวดาสิงไม่สิง มีเคล็ดลับ

เทวดายังบอกอีก บอกคนเรามีเทวดาประจำวันเกิดทุกคน เทวดาวันเกิดออกไปเมื่อไรนะ เทวดาใหม่ยังไม่มา มักจะตาย เห็นหนอมันบอก อาตมาจับได้หลายคนแล้ว บางคนเงาหัวไม่มี ตายแน่ ตายทุกราย เพราะว่าเทวดาเราย้ายไป หากเทวดาองค์ใหม่ยังไม่มาประจำให้ระวังนะ ช่วงจังหวะนั้นระวังนะ มีพระ ๑๐๐ องค์คล้องคอก็ต้องตาย มีเคล็ดลับอันนี้แนะแนวไว้ก่อน มันมีวิธีพิสูจน์ว่า คนนี่มีเทวดารักษาไหม บางท่านไม่ได้คล้องพระเลยปืนยิงไม่ออกนะ ถ้าหากมีคล้องพระไว้โป้งเดียวตายก็มีนะ เทวดาไม่ได้รักษา เทวดาวันเกิดนี่มีทุกคนนะ เห็นหนอบอกได้แต่ยังไม่บอกต้องแนะแนว อันนี้เรื่องจริง

แล้วเวลากาลต่อมา แม่ชีก้อนทองยังมีเกร็ดพิเศษอีกหลายอย่าง เทวดาบอกไว้ว่าอยากคุยกับเทวดาให้สวดบทเมตตาใหญ่นี้ แล้ววันหนึ่งใกล้วันที่ สมเด็จพระสังฆราช จะเสด็จ ประชุมพระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร วัดพัฒนาตัวอย่างก็เหลืออีก ๑๐ กว่าวันเท่านั้น ก็จะเสด็จแล้ว ๙.๔๕ น. ตอนเช้า อาตมายังอยู่ที่กุฏิ คนเคยมาช่วยทำงานที่นี่อยู่ใต้ต้นพิกุลทั้งนั้น กำลังจะมาปลูกปะรำ เอาผ้าใบขึง ต้นพิกุลเทพสถิตต้นนั้นโค่นสนั่นหวั่นไหว ไม่มีลมเลย ตอนเช้า ๙.๔๕ น.

อาตมาก็เปิดสมุดบันทึกครบ ๑๐๐ ปีพอดี ต้นพิกุลสูงมาก ล้มลงไปที่โบสถ์ คิดว่าโบสถ์ต้องพังแน่ แต่ไปถึงใกล้หลังคาโบสถ์เกิดล้มไปทางอื่น เทวดาช่วยผลักไปทางอื่น ไม่งั้นต้องช่วยเราสร้างอีก เทวดาต้องเสียเงินให้เรา เทวดากลัวเสียเงินเลยช่วยผลักไปทางอื่น ให้รั้วกำแพงแก้วพังไปแค่นั้น ไม่งั้นอาตมาจะไปฟ้องพระอินทร์ให้เทวดามาช่วยสร้างโบสถ์อยากมาทำทำไม เทวดากลัวเหมือนกันนะ
เราก็เลยอ่อนใจ ตายจริงขวางทางรถพระประเทียบต้องเข้าทางนี้ พระเณรช่วยกันเลื่อยก็ไม่ค่อยเข้า ไม้พิกุล เลื่อยยากเลื่อยเป็นท่อน ๆ เดี๋ยวนี้หายกันหมดแล้ว มันเกิดศักดิ์สิทธิ์เขาว่าโคนยังอยู่ เอาไปทำยาได้ ใครมาก็ลักเอาไป ๆ เลยเอาไปเรียงไว้ข้างศาลา

เทวดายังบอกอีกว่าที่นี่จะเกิดอะไรขึ้นมา ก็จริงตามที่เทวดาบอก ๑. อะไร ๒. อะไร เกิดหมดแล้ว ในวัดจะต้องเป็นอย่างนี้ ๑-๒-๓-๔ แล้วตรงนี้จะเกิดหอประชุมขึ้นมาจริง จด มันเรื่องจริงทั้งนั้น


ต่อมาแม่ชีก้อนทองก็มีสำนักขึ้น ก็ให้แกลงจากศาลา สร้างสำนักให้อยู่ อีกวันหนึ่งอาตมาจะต้องไปเชียงราย ออกตี ๑ ไม่ได้บอกแกหรอก แกแก่แล้ว อาตมาก็ไปตี ๑ กะไปฉันเพลที่เชียงราย พอตี ๑ ก็ออกจากที่วัด ถึงเชียงรายประมาณ ๙ โมงเช้า พอตอนเช้ามีชีเด็ก ๆ ก็บอกจะมาลาอาตมา แม่ชีก้อนทองบอกไม่ต้องไปลา หลวงพ่อไปตั้งแต่เมื่อคืนตี ๑ แล้ว ยายรู้ได้ไง เทวดาบอกข้า มีประโยชน์เห็นไหม แล้วทีนี้อาตมาไปจะไปค้างเชียงรายสัก ๓ คืน พอไปค้างได้คืนเดียวนึกถึงงานวัดได้ต้องกลับก่อน พอกลับมาถึงนี่ก็ดึกแล้ว พอตอนเช้าแม่ชีก้อนทองบอกกับแม่ชีอีกว่า หลวงพ่อมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จะไปลาก็ซะ ยายรู้ได้ไง เทวดาบอก คุยกับเทวดาได้ก็ดีเหมือนกัน อย่าไปพูดคนเดียวนะ คนอื่นเขาจะว่าเอา ก็ลำบากเหมือนกัน อันนี้หมายถึงเทวดา

อาตมาได้ความรู้ก็สรุปได้ว่า พุทธกิจ ๕ ประการ* เป็นความจริงยังใช้ได้ เทวดาก็จะไปสวดมนต์ตามบ้านเวลาตี ๑๒ แน่นอน เทวดายังบอกต่อไปว่า บ้านไหนเครื่องบูชาพระไม่สะอาด แล้วหน้าโต๊ะหมู่พระ คนนอนเกะกะอยู่ เทวดาจะไม่เข้าไปในนั้นแน่นอน บ้านไหนหมั่นสวดมนต์ เทวดาจะสวดมนต์ให้พรทุกคืน




พุทธกิจ ๕ ประการ (งานของพระพุทธเจ้าประจำวัน)

๑. เช้าโปรดสัตว์ บิณฑบาต
๒. เย็นทรงแสดงธรรมโปรดมหาชน
๓. ค่ำโอวาทสั่งสอนพระภิกษุสงฆ์
๔. เที่ยงคืน แก้ปัญหาเทวดา
๕. ใกล้รุ่ง ตรวจดูอุปนิสัยเวไนยสัตว์ที่จะเสด็จไปโปรดในวันใหม่

อรน่ะจำไม่ได้แล้วว่าเริ่มสวดมนต์ บทเมตตาใหญ่ ตอนไหน ก็คงประมาณ ๖ ปีที่แล้วได้ ตอนแรกสวดบทเมตตาใหญ่ทุกวัน แล้วมาลั่นสัจจะขอเฉพาะสวดวันธรรมสวนะถวายเทวดาท่าน ท่องได้คล่องในระดับหนึ่ง

ผ่านไป ๓ ปี โดยประมาณ เทวดาท่านมาเตือนภัย ปลุกให้ล็อคประตูห้องนอนตอน ๔ ทุ่มตรง อรเผลอหลับไปตั้งแต่ ๒ ทุ่ม (ลืมล็อค เข้าใจว่าล็อคไปแล้ว) ก็ไม่รู้ว่าถ้าท่านไม่พยายามปลุกแล้วปลุกอีกจนเราตื่น คืนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อ ๓ เดือนก่อน ท่านก็มาเตือนอีกครั้ง ในเรื่อง " จำใจเล่า (ด้วยความเศร้า) "

เราพิสูจน์แล้วด้วยตนเอง วันนี้วันธรรมสวนะ เราก็สวด บทเมตตาใหญ่ ถวายเทวดาท่านแล้ว แต่เรื่องเวลานั้น เราจะเลือกสวดตามความสะดวก แต่จะเอ่ยเชิญเทวดาท่าน เสมอ สาธุ



ปล ใครอยากได้บทแมตตาใหญ่บอกเรานะ แล้วแต่ความศรัทธาจ้า






 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 23:52:12 น.
Counter : 8072 Pageviews.  

เวลาหนอ...........................

หลวงพ่อจรัญท่านสอนเสมอ ยิ่งปีใหม่ ท่านก็ยังย้ำเหมือนทุกปีว่า คนเราเกิดมาได้ "เวลา " เท่ากัน อยู่ที่ว่าใครจะใช้เวลานั้นให้คุ้มค่า มากกว่ากัน




อย่างอร ก็คิดนะ เวลาต้องเริ่ม ที่จะสวดมนต์ ต่อด้วยทำกรรมฐาน โหแหะ ... จะเอาเวลาที่ไหน (ใจขี้โกง ) แต่พอนึกถึง แม่สุ่ม ทองยิ่ง ท่านไม่เคยนอนเลย ทำไร่ทำนา กลับบ้านหาข้าวหาปลา แล้ว ทำกรรมฐานจนเช้า
ใจก็ฮึกเหิม เอาน่า!!! "อรแกเกิดมา ได้เวลาเท่ากับคนอื่นนะ ใช้เวลาให้มันคุ้มค่าบ้างดิ" ว่าแล้วก็เริ่มสวดมนต์ ทำกรรมฐาน แต่เดี๋ยวก็ไม่ได้ทำทุกวันแล้ว เพราะ รูมเมทที่ลาคลอด จะกลับมาทำงานแล้ว บางทีนึกอิจฉา คนที่มีห้องพักส่วนตัว ไม่ต้องมีรูมเมท มีเวลาหลังเลิกงานแบบส่วนตัว ลืมตาขึ้นมาไม่ต้องฆ่าสัตว์ เค้าคนนั้น ชั่งมีบุญกุศล ติดตัวมาเยอะเหลือเกิน




ไอ้เราเหรอ? ลืมตาขึ้นมา ฆ่า Artemia ไม่ต่ำกว่า ล้านล้านตัว ๓ เวลาเลย เพื่อเป็นอาหารลุกกุ้ง พอลูกกุ้งเข้า post larvae ก็ขายให้ลูกค้าเลี้ยงต่อ เฮ้อ อาชีพก็เป็นอสัมมาอาชีพแล้ว เลิกงาน กลับมาที่พัก ก็มีรูมเมท จะทำกรรมฐานก็คงไม่ได้ แต่ก็พอได้สวดมนต์ เรานี่ชั่งบาปหนา มาเกิดโดยแท้

อยากให้คนมาอ่าน ทั้งคนกำลังท้อแท้ คนที่คิดว่าตนเกิดมาแย่กว่าคนอื่น ลองหันกลับมาคิด คุณน่ะ
๑ ลืมตาขึ้นมาคุณฆ่าสัตว์ มากแค่ไหน ในอาชีพของคุณ
๒ เลิกงานคุณมีเวลาส่วนตัว และสถานที่ส่วนตัว เพื่อให้เป็นพื้นที่ ที่จะได้ทำกรรมฐาน หรือเปล่า (แม้ว่าคุณไม่คิดจะทำเลย)

หากคุณมีทั้ง ๒ สิ่งนี้ คุณน่ะสร้างบุญในชาติก่อนไว้มาก แค่เริ่มหันมาสร้างกุศลมากขึ้นในชาตินี้ บุญเก่า บวก บุญใหม่ มันก็จะยิ่งล้นๆ ขึ้นมา

ในชีวิตทำงานอร ๘ ปี ที่ผ่านมาอรไม่มีเลย จะสร้างกุศลก็ยากกว่าคนอื่น เหมือนคนบาป ถึงจะสวดมนต์ทุกวันได้ แต่ก็ลืมตาขึ้นมาก็ฆ่าสัตว์เล็กทุกวัน เลิกงาน (ที่จริงทำถึงเกือบเที่ยงคืน) กลับมาห้องพัก ก็มีรูมเมทอีก ทำกรรมฐานไม่ได้ เกรงใจเค้า นั่นก็ห้องพักเค้าเช่นกัน ใจเค้าใจเรา อาศัยตอนรูมเมทลางานก้อพอได้ทำกรรมฐานบ้าง

ถ้าได้ลางาน (ทำงาน ประมาณ ๓๐ วันต่อเนื่อง แล้วถึงจะได้หยุด ๕ วัน) ก็โทรไปบอกที่บ้านว่า ขอไปทำกรรมฐานที่วัด ๓ วัน ๕ วัน บ้าง ซึ่งที่บ้าน พ่อแม่ก็เข้าใจ ว่าเราอยากเอาบุญกุศลให้พ่อให้แม่ ส่วนทางพ่อแม่ก็สวดมนต์ไหว้พระ ตักบาตร สร้างกุศลให้แก่ลูกๆ เช่นกัน

บางครั้งก็คิด สร้างกุศลก็ถูกลบกุศล จากอาชีพที่ทำ เหนื่อยเหลือเกิน ....... น้ำตาไหลออกมา อรนิ่ง คิดในใจ ในช่วงเวลาที่ท้อแท้ใจ ว่า " จะไม่ ย้อท้อต่อการสร้างความดี แม้ว่าหนทางมันจะก้าวเดินไปสู่การสร้างคุณความดี ตามพระศาสดาสอน มันจะยากแค่ไหน "
อรตะหนักถึงคุณค่าของเวลามากที่สุด ในเวลาสวดมนต์ โหสวดมนต์ ๑๕ นาทีเนี้ย เฮ้อ นานจัง รีบๆสวด จะได้จบที่ ๙ นาที (จับเวลา) เพราะใจคิดอัตโนมัติว่า "เสียเวลา" นึกด่าตัวเอง "แหมแม่คุณ เวลาสวดมนต์ เธอเห็นคุณค่าของเวลาซะทุกที " แต่พอหันกลับมาคิดดีๆ เออ... ได้ข้อเตือนใจ ตนเอง ทุกวินาทีมีค่ายิ่ง

ผู้ที่บอกว่า ไม่มีเวลา ลองหันกลับมาคิดดู คุณค่าของเวลา กันค่ะ


ปล. กรรมฐาน ทำได้ในระหว่างการทำงาน โดยการกำหนดให้รู้เท่าทันปัจจุบัน ทำไรก็กำหนดไว้ ไม่ว่าจะทำอิริยาบทใดๆ ค่ะ




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 23:39:53 น.
Counter : 420 Pageviews.  

การสวดมนต์ ตามหลักพระสังฆราชสอน



เราได้ยินเพื่อนเราหลายคน ถามเราว่า "แล้วสวดมนต์ต้องสวดยังไง" ถ้าตอนนั้นมีหนังสือสวดมนต์ติดมือไปก็จะให้เพื่อนไปเลย เราเลยขอโพสไว้นะตรงนี้ การสวดมนต์ตามลำดับนี้สามารถแผ่บุญให้เจ้ากรรมนายเวรได้ เพราะถูกต้องตามหลัก ตอนแรกหลวงพ่อจรัญสอนเราให้สวดแบบนี้ แต่วันนึง เราฟังธรรมะ วันอาทิตย์ในทีวี หลวงพ่อองค์หนึ่งท่านเทศน์เรื่อง การสวดมนต์ ตามหลักที่พระสังฆราชท่านสอนไว้ซึ่งตรงกับที่เราสวดทุกวัน จึงรู้ว่า เราสวดมนต์ถูกต้องตามหลัก มาถูกทางแล้ว อิอิ



เดี๋ยวสิ้นเดือนเราจะทำหนังสือสวดมนต์แจกเป็นธรรมะทาน เพื่อนบางคน ที่ฟาร์มเค้าอยากทำร่วมด้วย เราบอกเค้าว่า กี่บาทก็ได้ ตามศรัทธา เล่มนึง อยู่ที่ ประมาณ ๑๓-๑๕ บาท ใครสนใจอยากทำบุญ ด้วยการทำหนังสือสวดมนต์ เราจะบอกวิธีติดต่อสำนักพิมพ์ให้นะค่ะ ส่งถึงบ้านคุณเลย

เอาล่ะเริ่มกันเลย ขอให้สวดมนต์ทุกวัน เหมือนกะเราทานข้าวทุกวันนะค่ะ





- คำบูชาพระรัตนตรัย
อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อภิปูชะยามิ
อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อภิปูชะยามิ

อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อภิปูชะยามิ





- บทกราบพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา


พุทธัง ภะวะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม

ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

สังฆัง นะมามิ (กราบ)

- บทนมัสการพระรัตนตรัย


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

บทขอขมาพระพรัตนตรัย
วันทามิ พุทธัง, สัพพัง เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต
วันทามิ ธัมมัง, สัพพัง เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต
วันทามิ สังฆัง, สัพพัง เม โทสัง, ขะมะถะ เม ภันเต

-ไตรสรณคมน์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

-บทถวายพรพระ

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ ( พุทธคุณ)

สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ (ธรรมคุณ)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (สังฆคุณ)


-พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)

๑. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๒. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๕. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๖. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๘. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

-ชัยปริตร (มหากา ฯ)

มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ
จารีสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต*

กราบ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วสวดเฉพาะพุทธคุณ ดังต่อไปนี้

อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชา จาระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสะทัม มะสาระถิ สัตถาเทวะ มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

ให้สวดพุทธคุณเกินอายุ ๑ จบ เช่น อายุ ๒๘ ปี ให้สวด ๒๙ จบ (ปีพ.ศ. ที่เกิด ลบ ปัจจุบัน)
เมื่อสวดพุทธคุณครบตามจำนวนจบที่ต้องการแล้ว จึงตั้งจิตแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลดังนี้


แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด


บทแผ่ส่วนกุศล
อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แด่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลาย ทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี
- ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพสัตตา

ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
-
-บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร
ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ไม่ว่าท่านจะอยู่ภพหรือ ภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรมและอนุโมทนาบุญ แก่ข้าพเจ้า ด้วยอำนาจแห่งบุญนี้ด้วยเทอญ

<<จบบทสวด>>


ปล อย่างตรงที่ * เต คือ การแผ่ให้ผู้อื่น แต่ต้องการสวดให้ตัวเอง ใช้ " เม " แทน " เต" อรแนะนำว่า เราไม่ต้องแผ่เมตตาให้ตัวเองนะค่ะ เราทำเราได้ ไม่ต้องห่วง แผ่ให้คนอื่น ตามคำที่หลวงพ่อสอนว่า "ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด" ที่พูดแบบนี้เพราะเคยสวดแผ่ให้ตัวเอง แต่วันนึงความคิดเราเปลี่ยนเอง อยากแผ่ให้คนอื่น อยากให้ อยากช่วยเหลือผู้อื่น อยากเห็นคนอื่นมีความสุข เรากำหนดอารมณ์ คิดหนอ คิดหนอ คิดหนอ ไปเรื่อยๆ แล้วได้คำนี้ออกมา นั่นคือ "ความสงบสุข"



ผู้ที่ทำกรรมฐานที่บ้านจะสวดมนต์บทนี้จบก่อนเพื่อดึงจิตให้ดิ่งได้ง่าย ก่อนเริ่มเดินจงกรม และลงนั่งสมาธิ






 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 21 มีนาคม 2554 13:03:10 น.
Counter : 767 Pageviews.  

ทำไมต้องสวดมนต์ทุกวัน

หลวงพ่อจรัญ ท่านสอนอยู่เสมอว่า สวดมนต์* ต้องสวดทุกวัน ! ถ้าฟังท่านเทศน์ ท่านจะย้ำเรื่องนี้เสมอ





ต้องขอยกตัวอย่าง ลูกศิษย์ หลวงพ่อจรัญ อีกคน ที่เค้าได้ลงเรื่องในหนังสือ กฏแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ ของวัดอัมพวัน ซึ่งหนังสือจะแจกฟรี รับกับมือหลวงพ่อเองเลย เฉพาะวันเกิดหลวงพ่อ (๑๕ สิงหาคม) หลังจากนี้ คุณๆ หาซื้อได้ที่วัดจ้า

เรื่องของคุณเสรี คนนี้ เค้าเล่าไว้ว่า

หลวงพ่อจะสอนแปลกกว่าพระอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าได้พบมา

หลวงพ่อสอนให้คิดเป็น สอนให้รู้จักเหตุผล ท่านจะไม่สอนให้ทำบุญด้วยเงิน ท่านจะสอนให้ทำบุญด้วยความดี ด้วยการสวดมนต์ ด้วยการเจริญกรรมฐาน ท่านว่าได้บุญมาก

ในเวลานั้นข้าพเจ้าชอบมาก เพราะไม่ต้องเสียเงินแถมมีข้าวให้กินฟรีๆอีกด้วย มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร มาหาหลวงพ่อท่านรู้หมดโดยยังไม่ทันพูดอะไรเลย ชักเริ่มแปลกใจ สงสัยว่าท่านรู้ได้ยังไง

ต่อมาปี ๒๕๓๐ -๒๕๓๑ ช้าพเจ้าไปดูหมอทักมาไม่ดี ก็ไปหาหลวงพ่อ ไปถึงยังไม่ทันพูดอะไร

ท่านก็บอกว่า " เสรีมีธรรมะติดตัวมาตั้งแต่อดีตชาติ ๘๐ เปอร์เซ็น ถ้าชาตินี้สวดมนต์ไหว้พระจะรวย" ในใจข้าพเจ้าอยากเป็นเจ้าของโรงพิมพ์เหมือนกัน

หลวงพ่อพูดออกมาเลยว่า" เสรีเป็นเถ้าแก่ไม่ได้ เป็นเจ้าของกิจการไม่ได้ เพราะบารมีไม่ถึง อดีตชาติทำแต่บุญ ไม่ได้สร้างบารมีไว้ ทำกิจการของตัวเองก็เจ้งหมด พวกที่ทำการค้าแล้วขาดทุนเจ้งกันไปเพราะพวกเขาไม่มีบารมี ตอนเป็นลูกจ้างเขาทำให้เถ้าแก่รวยได้ พอมาทำเองเจ๊งหมดเลย พวกข้าราชการก็เหมือนกันบารมีไม่ถึง ได้ตำแหน่งใหญ่โตก็อยู่ได้ไม่นานมีอันเป็นไป"

วันนั้นก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการก็ไม่เป็นไร ขอให้รวยก็แล้วกัน
ด้วยความอยากรวย กลับมาบ้านสวดมนต์เป็นการใหญ่ สวดหลายบทเลย แต่จะสวดในวันอาทิตย์วันเดียวเท่านั้น ใครว่าบทไหนดีสวดหมด สวดทีหนึ่ง ๓-๔ ชั่วโมง วันอื่นๆไม่ค่อยมีเวลาก็เลยไม่ได้สวด

คราวหลังไปหาหลวงพ่อท่านบอกว่า" เสรี สวดมนต์อะไรกันมากมายนัก สวดพุทธคุณ
ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา แล้วมาสวดพุทธคุณห้องเดียวเท่าอายุบวก ๑ ก็พอแล้ว แต่ต้องสวดทุกวันนะ สวดวันอาทิตย์วันเดียวไม่ได้"

ข้าพเจ้าก็ถามว่า "ทำไม"

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า " ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็กินข้าววันอาทิตย์วันเดียวสิ กินให้มากๆเลย วันอื่นไม่ต้องกิน เพราะไม่มีเวลา"

ข้าพเจ้าก็บอกว่า "ไม่ได้ ข้าวต้องกินทุกวันไม่อย่างนั้นหิวตายแน่"

หลวงพ่อก็บอกว่า "ถ้าอยากรวยก็ต้องสวดมนต์ทุกวันเหมือนกัน บทอื่นก็ดีไม่ใช่ไม่ดี แต่ที่ให้สวด เฉพาะ พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา จะได้สวดทุกวันได้ไม่เปลืองเวลา"

ความที่ข้าพเจ้าอยากรวย ก็ต้องสวดทุกวัน พอสวดทุกวันเข้าก็เลยเลิกเหล้า ตอนหลัง
ข้าพเจ้าทำอะไร เหมือนมีลางสังหรณ์มาบอก ข้าพเจ้าจะรู้อะไรมาก่อน เป็นบางครั้ง ข้าพเจ้าก็ถามหลวงพ่อ

หลวงพ่อตอบว่า "นั่นแหละ สวดมนต์มากๆเข้า จะมีสติ ** สติก็ออกมาบอก "

ข้าพเจ้าเคยถามหลวงพ่อว่า "ทำไมต้องสวดเท่าอายุ บวก ๑ "

ท่านตอบว่า "เป็นการฝึกให้เรามีสติ แล้วสวดเท่าอายุบวก ๑ นั้นจะทำให้อายุยืน เป็นการต่ออายุจะไม่เสียชีวิต ถ้ายังไม่ถึงคราวสิ้นอายุขัย จะไม่ตายด้วยอุบัติเหตุ"

นับแต่นั้นมาข้าพเจ้าสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง มหากา และพุธคุณเท่าอายุบวก ๑ มิได้ขาด



ในเมื่อเราต้องกินข้าวทุกวันไม่ขาด สวดมนต์ก็ต้องสวดทุกวัน

ส่วนอรเอง สวดมนต์ทุกวันแบบนี้มา ไม่ต่ำกว่า ๘ ปีแล้ว บางครั้งวิ่งตอนเช้า ก็สวดไปด้วย ขับรถก็สวดไปด้วย คุณเองก็ลองสร้างความดีเข้าตัวเองดูนะค่ะ



remark

* สวดมนต์ = บทสวดมนต์ นี้ คุณค้นดูได้ที่ หัวข้อ "บทสวดมนต์ ตามหลักพระสังฆราชสอน" ที่อรเขียนไว้ก่อนหน้านี้ได้เจ้าค่ะ

** สติ = อยากรู้ว่า เจ้าตัว สติ ที่เป็นอัจฉริยะ จะออกมาช่วยเตือนเรายังไง ลองอ่านดูจากประสบการณ์จากการทำกรรมฐานของอรได้ เจ้าค่ะ สติเหมือนเรา อีกภาคหนึ่ง ที่ฉลาดกว่าเรา แล้วแต่ว่าใครจะดึง ตัวสตินี้ออกมาได้มากกว่ากัน




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 21:34:15 น.
Counter : 869 Pageviews.  

นี่ฤาความลับ

นี่ฤาความลับ อรใช้เวลา "แต่งขึ้นมา" ในตอนเที่ยงคืน จน ตีสาม ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด

จุดประสงค์ในการแต่ง คืออะไร ก็อยากจะให้ผู้อ่านลอง คิดดูนะค่ะ ^_^





Chapter I

Tear กำลังนอนหลับในค่ำคืน ที่อากาศเริ่มเย็น ในฤดูหนาวที่มาแสนล่าช้า ตามกระบวนการแปรเปลี่ยนของสภาวะโลกร้อน

มีเสียงหนึ่งปลุกเธอในความมืด " Tear ตื่นซิ ฉันมาเยี่ยม"

Tear งัวเงียตื่น พยายามเปิดตาหนักอึ้ง เธอนึกในใจ เสียงใครหนอ...

เสียงนั่นดังขึ้นอีก เหมือนได้ยินเธอคิดในใจ " ฉันเอง "

Tear มองผ่านความมืด แต่ภาพของผู้ที่อยู่ต่อหน้า ชัดเจนเหลือเกิน มีแสงสีทอง รอบๆตัวเขาคนนั้น จนสว่างไปหมด

Tear " ท่านมาหาฉันหรือค่ะ?" ถึง Tear ไม่เคยเจอแต่ก็รู้ทันทีว่า คนที่มายืนต่อหน้าเตียงนอนเธอ คือ ท่านยมทูต นั่นเอง

ยมทูต " ฉันมีความลับมาบอก แต่เธอจะเล่าความลับ หรือไม่ก็ได้ ไม่มีสิ่งใดผิดหรือถูก เธอมีเวลาตัดสินใจ สองเพลา ก่อนแสงตะวันจะถูกกลืนกินนะ"

Tear ตั้งใจฟังท่านยมทูตเล่าอย่างตั้งใจ เธอไม่เอ่ยถามอะไร นอกจาก พยักหน้ารับฟังแสดงว่าเธอเข้าใจ ที่ท่านยมทูตเล่า

ยมทูต " ฉันไปล่ะ ขอบคุณที่ตั้งใจสวดมนต์ทุกวัน อย่างไม่ย้อท้อนะ"

Tear ยกมือขึ้นไหว้ท่าน เธอล้มตัวลงนอน และคิดถึงความลับที่ท่านยมทูตบอกไว้





Chapter II

เธอตื่นขึ้นมา ด้วยเสียงนาฬิกาปลุก 7 โมงเช้า ตามปกติ

Tear คิดถึงความลับทันที เธอรีบคว้าโทรศัพท์ ด้วยใจคิดไว้แล้วว่าจะบอกความลับนี้กับใคร

แต่ เธอก็วางโทรศัพท์ลง ในใจคิดว่า "นี่เช้าอยู่เลย เขาจะตื่นหรือยังนะ รอก่อนดีกว่า "

พรางก็นึกถึงความผิดพลาดของเธอ ที่โทรศัพท์ไปหาเขา ในตอนเย็นวันก่อน

Tear "หวัดดีจ้า "

เขา "อืม..... มี...อะไร..หรือเปล่า.." เสียงเขาบ่งบอกว่า กำลังนอนหลับอยู่

Tear "อุ้ย ขอโทษนะค่ะ งั้นแค่นี่ก่อนนะค่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน"

ไม่นานเขาโทรกลับมาหาเธอ บอกเธอ ว่า " มีอะไร บอกแล้วใช่ไหมว่า ถ้านอนอยู่ แล้วมีใครโทรเข้ามาจะนอนหลับต่อไม่ได้น่ะ"

Tear "ขอโทษจริงๆค่ะ ไม่ทราบจริงๆว่านอนอยู่น่ะค่ะ "

Tear ได้แต่เพียงนึกในใจ ถ้าเรารู้ว่าวันนี้เขาจะนอนพักตอนเย็น เราจะไม่ปลุกเขาขึ้นมาคุยเลย เธอโมโหตัวเอง ที่ไม่รอเขาโทรมาหาเอง

เมื่อ Tear คิดย้อนถึงวันนั้น เธอก็ประมวลผลว่า รอเขาโทรมาหาดีกว่า ค่อยบอกความลับ

บ่ายแล้วไม่มีวี่แวว เขาจะโทรหาเธอเลย เธอยังนั่งคิดเรื่องความลับ ความลับที่เธอเลือกจะบอกเขาคนนี้

เย็นแล้ว เขาก็ยังไม่โทรมาหาเธอเลย เธอรอเวลา สี่ทุ่มตรงที่เขาจะโทรมา

Tear คิดในใจ " เอ..... สี่ทุ่มแล้ว เขาทำอะไรอยู่หนอ ทานข้าวอยู่ไหมหนอ เราจะโทรไปกวนเขาตอนทานข้าวไหมหนอ Tear คิดถึงวันวาน อีกแล้ว Tear และเขา นัดเจอกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ที่เขาจะแวะมาทำธุระ และเธอบังเอิญจะไปทำธุระแถวนั้นเช่นกัน เขาสาย ไป สอง ชั่วโมงแล้ว เธอดึงเวลาคนขับรถที่ต้องนั่งรอกับเธอ ด้วยการพาคนขับรถไปนั่งทานข้าวกลางวัน รอเขา แต่ทานข้าวอย่างเชื่องช้าแค่ไหน เขาก็ยังไม่มา เธอโทรหาเขาเมื่อทานข้าวเสร็จ เพราะคิดว่า จะขับรถไปเจอที่เขาสะดวกกว่าที่นั่น

Tear " ทานข้าวเสร็จแล้วค่ะ คุณอยู่ไหนค่ะ เดี๋ยว....."

เขา "หิวข้าวจะเป็นลมอยู่แล้ว แม่ง สัตว์เอ้ย กรูยังไม่ได้แดกห่าไรเลย" เขาสบถ แล้วก็วางสายทันที

Tear เงียบ และหันไปพูดกับคนขับรถ ด้วยน้ำเสียงปกติเท่าที่จะแสร้งทำได้

Tear " เดี๋ยวขับรถออกนอกเมือง จะได้เจอกันเร็วกว่าเดิมนะ"

Tear นึกถึงเหตุการณ์วันนั้น เธอก็ ตัดสินใจวางโทรศัพท์ลง นั่งคิดคนเดียว ว่าหากเขากำลังทานข้าวอยู่ อาจจะทำให้เขา รำคาญใจขึ้นมาได้ รอเขาโทรมาดีกว่า

สี่ทุ่มครึ่งแล้ว ยังไม่มีวี่แววที่เขาจะโทรมาเลย เธอมีอาการร้อนรน นิดๆ แต่ในที่สุดเธอก็หยิบโทรศัพท์กดไปเบอร์ของเขา เขารับสาย

Tear "หวัดดีค่ะ ทำไรอยู่ค่ะ ยุ่งอยู่หรือเปล่า"

เขา " อ๋อ เปล่าหรอก กำลังคุย msn กะลูกค้าที่สนใจสินค้าอยู่ มีไรรึเปล่า"

Tear "เปล่าค่ะ แค่โทรมาหา ตามปกติน่ะค่ะ งั้นไม่กวนนะค่ะ "

เขา " ไม่เป็นไร คุยไปด้วยได้"

Tear เกรงใจที่เขากำลังคุยกับลูกค้าอยู่ กลัวว่า เขาจะเสียลูกค้า

Tear "ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวค่อยคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ" เธอวางสายไปแล้ว

แต่ความลับยังอยู่ เธอยังไม่ได้บอกเขา

เธอ เข้านอนและคิดที่จะบอกเขาในวันพรุ่งนี้ เพลาสุดท้าย ก่อนแสงตะวันจะกลืนกิน








Chapter III

ทุกอย่างเหมือนเมื่อวาน เธอยังคงกลัวโน้นนี่ กลัวเขาจะกำลังยุ่งงาน กำลังทานข้าว กำลังขับรถ อะไรๆ เธอก็กลัวจะเป็นการโทรไปรบกวนเขาซะหมด แต่เมื่อ dead line จะมาถึงอยู่แล้ว เธอตัดสินใจ ขับรถไปหาเขาเพื่อจะได้เห็นว่าเขายุ่งไหม เวลาไหนเขาว่างพอจะคุยกับเธอได้บ้าง เธอจะได้ฉวยโอกาสนั่นคุยกับเขา และได้เห็นหน้าเขา

แต่เขาและเธอ กลับทะเลาะกัน ที่เธอมาหาเขาโดยไม่บอกให้เขารู้ก่อน เธอเงียบ เขาหงุดหงิดกับอาการเงียบของเธอ

เขา "เอะอะก็ร้องไห้ จะมาให้ห่วงทำไม ยิ่งแพ้ฝุ่น แพ้โน้นนี่ หัดเข้าใจอะไรซะบ้างนะ อย่ามาทำตัวเป็นเด็ก หัดปรับปรุงตัวซะบ้าง แบบนี้จะไปกันรอดไหม บอกอะไรไม่เคยฟัง เถียงตลอด เก่งนัก ดื้อนัก กรูเก่ง กรูแน่ "

Tear " ค่ะ ขอโทษนะค่ะ ต่อไปจะพยายามปรับปรุงค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะค่ะ "

เขา "แล้วมานี่ มีอะไร"

Tear "อยากชวนไปทานข้าวด้วยกันนะค่ะ "

เขา "แค่นี่อะนะ ลงทุนมาตั้งไกล อย่าไร้สาระหน่อยเลย Tear"

Tear "ค่ะ Tear ขอโทษนะค่ะ แต่มาแล้ว เราไปทานข้าวกันได้ไหมค่ะ"

เขา "อืม รอเสร็จงานก่อนนะ" เขาเองก็ไม่อยากทะเลาะกับความไร้สาระของเธอ

สองคนนั่งทานข้าวด้วยกันอย่างเงียบๆ Tear ก้มหน้าทานข้าว แต่เขาสังเกตเห็น ว่าเธอมีน้ำตาคลอ ออกมา

เขา " อย่ามาร้องไห้ที่นี่นะ คราวหน้าจะไม่พามาอีกเลย รู้ไหมมาผมอายเขา" เขาดูอึดอัดมาก กลัวจะเจอคนรู้จัก

Tear "ขอโทษค่ะ"

กลับมาบ้าน ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว Tear มองดูตะวัน นึกถึงคำของยมทูต เธอจะเล่าความลับเวลาสุดท้ายนี่ล่ะ

เขา "ถ้าไม่ปรับปรุงตัว เห็นจะอยู่กันยากนะ นี่แค่เริ่มต้น ยังไม่แต่งงานยังขนาดนี้"

Tear "ค่ะ ขอโทษนะค่ะ ต่อไปจะพยายามปรับปรุงค่ะ คุณค่ะ Tear มีเรื่องจะเล่าให้ฟังนะค่ะ" เธอยิ้ม

เขา " เอาแต่เนื้อๆ นะ "

Tear นิ่ง สมองเธอกำลังพยายามประมวลผลให้เป็นเนื้อๆ ไม่มีน้ำ "ท่านยมทูต ท่านบอกว่า คุณกำลังจะตายค่ะ" เธอไม่สบตาเขา

เขา " ดีนะ วันวัน เอาแต่เรื่องไร้สาระมาทำให้ลำบากใจ รู้ไหมคู่อื่นเขาเป็นยังไง เขาไม่เอาเรื่องที่ทำให้อีกคนไม่สบายใจมาพูดหรอก นี่เราอะไรกัน จะทำตัวเหมือนคนอื่นเขาบ้างได้ไหม หมดแล้วใช่ไหมเรื่องที่จะพูดน่ะ กลับไปได้แล้ว ขับรถดีๆล่ะ แล้วอย่าลืมที่บอกนะ ถ้าไม่ปรับปรุงตัว เราคงอยู่ด้วยกันยาก"

Tear " ขอโทษนะค่ะ" เธอยังก้มหน้าอยู่ เธอไม่อยากให้เขาเห็น น้ำตาที่เธอกั้นไว้ไม่ได้"

เขาก็เห็นว่าเธอร้องไห้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอขับรถออกไป

เสียง ริงโทนที่คุ้นเคยของโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาดูเบอร์ ว่าเป็น Tear โทรเข้ามา

ในใจเขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา เพิ่งเจอกันไปหยกๆ จะโทรมาทำไมอีก จะไม่ให้ทำงานเลยหรือไง

เขากดรับสายแบบเสียไม่ได้

เขา "มีอะไรอีก"

ปลายสาย "ขอโทษครับ คุณรู้จักเจ้าของมือถือใช่ไหมครับ เธอประสบอุบัติเหตุรถบรรทุกพุ่งข้ามเกาะกลางถนนมาชนรถเธอครับ เบอร์ล่าสุดเป็นเบอร์นี้ที่เธอโทรออกครับ " ปลายสายบอกสถานที่เกิดเหตุ และสถานที่ไปรับศพ

เขา "คะ คะ ครับ" น้ำตาเขาไหลออกมา

เขาคิดในใจ

ทำไมนะ เมื่อกี้ไม่พูดดีๆ กับเธอ

ทำไมไม่ขอบใจที่เธออุตส่าห์ขับรถมาไกล

ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องคุยกัน เรื่องหนังสือที่เธอรัก เรื่องของสะสมที่เขาชอบ

ตอนนี้ ผู้หญิงที่ รับปากเขาว่าจะปรับปรุงตัวใหม่ ไม่มีลมหายใจอีกต่อไปแล้ว

เขาร้องไห้ และพูดออกมาในท่ามกลางความเงียบว่า "ขอเถิด พระพุทธองค์ขอเพียงได้เห็นเธอกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ให้ได้เห็นเธอยิ้ม ผมขอแลกด้วยชีวิตผม"

มีเพียงเสียงสะอื้นของเขา ที่สะท้อนคำตอบที่เขาขอ .....





Chapter IV

ย้อนกลับไปคืนนั่น Tear นั่งอยู่บนเตียง ท่านยมทูตยังคงยืนที่ปลายเตียง

ยมทูต " Tear ตื่นซิ ฉันมาเยี่ยม"

ยมทูต " ฉันเอง "

Tear " ท่านมาหาฉันหรือค่ะ?"

ยมทูต " ฉันมีความลับมาบอก แต่เธอจะเล่าความลับ หรือไม่ก็ได้ ไม่มีสิ่งใดผิดหรือถูก เธอมีเวลาตัดสินใจ สองเพลา ก่อนแสงตะวันจะถูกกลืนกินนะ"

Tear "ค่ะ ฉันรับปากท่าน"

ยมทูต " Tear แฟนเธอกำลังจะตาย อีก สองเพลาถัดมานี้ "

Tear "ลูกขอเพียงให้เขามีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ ให้ได้เห็นรอยยิ้มของเขา "

ยมทูต "แน่นอน เพราะเรารู้จักเธอเป็นอย่างดี เราถึงต้องมาหาเธอ เขาจะรอดตายได้ ถ้าเธอเอาความลับนี้ไปบอกเขา แต่เขารอดตายได้ก็ต้องมีคนที่ถูกดับหมอดลมหายใจแทนเขา เพียงเท่านี้เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม Tear"

Tear "ค่ะท่าน ลูกเต็มใจ"







Chapter V

สู่ที่ชอบที่ชอบ ทุ่งหญ้าสีเขียว มีลำธาร

วิญญานเธอ ลอยอยู่ ท่านยมทูต ลอยอยู่ข้างๆ เธอ

ยมทูต " Tear สิ่งที่เธอตัดสินใจนั่น ไม่มีคำว่า ถูกหรือ ผิด แต่เธอได้ตัดสินใจทำบางสิ่ง บางอย่าง ก่อนอะไรจะสายไป ถึงเธอจะไม่ยอมตายแทนเขา แต่เธอก็คงยอมทำทุกอย่างให้เขามีความสุขก่อน เขาจะตาย เราถือว่า เธอไม่ประมาทในเวลาที่เหลืออยู่ แต่จงจำไว้เช่นกัน ผู้ที่ประมาทในเวลาที่เหลืออยู่ มานั่งเสียใจว่า ไม่ได้ทำสิ่งโน้น นี่ นั่นเลย ขอย้อนเวลากลับไปได้ไหม ให้ได้กลับไปแก้ไขต่างๆนาๆ

แม้เราเป็นยมทูตเราก็ไม่สามารถ โกงเวลาที่มีแต่จะเดินไปข้างหน้าได้เลย "

Tear "ลูกไม่เสียใจที่ตายเลยค่ะ ความรักของลูกนั่น ขอเพียงได้เห็นเขามีความสุข ถึงเขาจะมีความสุขกับผู้หญิงคนใหม่ ลูกก็ไม่ได้เสียใจเลย "

Tear "ท่านค่ะ เสมียนบัญชี ที่รับลงทะเบียนรายชื่อวิญญาน ยังเป็นพี่ผู้หญิงคนเดิมไหมค่ะ ลูกเองก็มีเรื่องที่ขอบคุณเธอค่ะ"

ยมทูต "เดี๋ยวไปถึงก็รู้ ยังจำหน้ากันได้อยู่หรือ ตอนนั้นที่เจอกันมันนานมาแล้วนะ"

Tear "จำหน้าไม่ได้ค่ะ แต่ท้าวความกัน เธอน่าจะจำ ลูกได้ ตอนนั้นลูกร้องไห้ลั่นนรกซะขนาดนั้น ฮะๆ"



ปล. อยากทราบที่มาของการพบกันของ Tear และเสมียนบัญชีนรก อ่านได้ที่ด้านล่างจ้า ^_^


การพบกันของ Tear และเสมียนบัญชีนรก เมื่อ ๕ ปีก่อน

จริงๆแล้ว Tear เคยตายมาแล้ว ที่ทิ้งท้ายไว้
เธอไปนรกมาก่อน ยืนที่ประตูทางเข้า ซึ่งมีเสมียนบัญชีนรก รอรับลงทะเบียนวิญญานใหม่ ก่อนไปพิพากษา เธอร้องไห้โฮ อ้อนวอน ขอร้อง กับเสมียนว่า

Tear "ท่านค่ะ หนูยังไม่อยากตาย ยังมีอีกหลายอย่างที่หนูยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณ พ่อแม่ ยังไม่ได้อยู่ดูแลให้ท่านมีความสุขเลย ช่วยหนูด้วยนะ หนูยังไม่อยากตายตอนนี้ ฮือๆ ได้โปรดล่ะ ช่วยหนูด้วย"

เธอร้องไห้ลั่นอยู่ตรงนั่น อ้อนวอนไม่จบสิ้น

เสมียนบัญชีที่นรก อ่อนใจ "ก็ได้ ก็ได้ มานี่ มาหลบอยู่ด้านหลังโต๊ะนี้ เดี๋ยวจะช่วย"

เสมียนบัญชีของนรก เธอฉีดยาเข็มหนึ่ง ที่แขนของ Tear " เอ้า ! กลับไปได้แล้ว"

Tear ลืมตาขึ้นจากความฝัน เธอแยกแยะว่า นั่นคือฝัน หรืออะไรกันแน่
แต่ใจยังสั่น ความรู้สึกไม่อยากตาย ยังคุกรุ่นอยู่
Tear คิดในใจ
"ทุกวินาที มันเริ่มนับถอยหลังแล้ว นับจากนี้ไปชีวิตฉันจะอยู่เพื่อคนอื่น ๆที่ฉันรัก ก่อนที่จะถึงวันนั้นอีกครั้ง"





 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 15:54:40 น.
Counter : 419 Pageviews.  

1  2  3  

Aorn_N
Location :
เพชรบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Ciao, io sono Aorn. mi piace il molto scuba diving.

เราอร KU 57 , Fisheries 48 ค่ะ เกิด 1978 ค่ะ จะเรียก พี่ เรียก ป้า ก็ตามใจค่ะ อิอิ

ชอบและ สนใจ เป็นพิเศษ กรรมฐาน ปฏิบัติมาตั้งแต่จนปี ๒๕๔๑ ถึง ปัจจุบัน

กีฬาที่ชอบ ดำน้ำ scuba diving , ขี่ม้า

ภาพยนตร์ในใจ Spirited away ( 2001 Japanese animated film written and directed by Hayao Miyazaki)

นักเขียนที่ประทับใจ S.P. Somtow


แวะทักทายได้ที่ http://hatcheryorn.multiply.com

ตาม link ด้านล่างนะค่ะ
New Comments
Friends' blogs
[Add Aorn_N's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.