USA... Finally, I really went there


ห่างหายไม่ได้อัพบล็อคมานานเป็นเดือน หลีกลี้หนีหายไปงานรับปริญญาน้องชายมาค่ะ ^ ^

พ่อกับแม่จขบ.วางแผนล่วงหน้า 1 ปีเลยทีเดียวว่าจะบินไปงานรับปริญญาน้องชายที่อเมริกา แต่ก็ไม่กล้าเดินทางกันเองเพราะจะพาเจ้าหลานชายตัวเล็กไปด้วย แกเลยอยากมีทั้งเพื่อนร่วมเดินทาง และคนคอยช่วยแกดูแลหลาน ภาระหน้าที่นั้นเลยตกมาเป็นคนว่างงานอย่างจขบ.นี่แหล่ะค่ะ ตกลงกันว่าแกจะบินมาหาที่ญี่ปุ่นนี่ แล้วให้เราบินไปอเมริกาพร้อมกับแกด้วย อืม...บอกล่วงหน้าเป็นปี ตอนนี้ก็รับปากได้ แต่ถ้าเกิดดันมีน้องน้อยขึ้นมาระหว่างนั้น ก็ตัวใครตัวมันแล้วกันนะคะ

คุณแม่จขบ.เลยบอกว่า

“ยังไม่มีตอนนี้หรอก”

...อ้าว

จัดแจงขอวีซ่า หาตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมอะไรกันเสร็จสิ้นเรียบร้อย พร้อมเดินทาง ...ก่อนหน้าที่จะเดินทางได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ โทรไปคุยกับแม่แจกแจงรายละเอียดต่างๆ ก่อนวางหูแกยังบอกส่งท้ายกลับมาอีกว่า

“ทีนี้ท้องได้แล้วนะ”

...ปล่อยมาปีเต็มๆยังไม่ท้อง จะมาท้องอะไรเอาตอนนี้

ก่อนบินไม่ถึงสัปดาห์... อยู่ๆจขบ.ก็รู้สึกพะอืดพะอม ไม่อยากอาหาร เหมือนอาหารไม่ย่อย หรืออะไรซักอย่าง เอ๊ะ..หรือว่าปากแม่จะศักดิ์สิทธิ์ ก็เลยไปซื้อที่ตรวจสอบการตั้งครรภ์มาค่ะ ผลปรากฏว่า “Negative” ไม่ได้มีการตั้งครรภ์แต่อย่างใด

เลยตัดสินใจไปหาหมอลำไส้แทน พอเล่าอาการเท่านั้นแหล่ะ

“ท้องรึเปล่าครับ”

“ไม่นะคะ ลองตรวจเองดูแล้วผลออกมาว่าไม่ใช่น่ะค่ะ”

พอหมอจับตรวจเท่านั้นแหล่ะ

“นี่ไงครับมันมีติ่งๆอยู่ในมดลูก แถมผนังมดลูกก็หนากว่าปกติ ผมว่าคุณไปให้สูตินารีแพทย์ตรวจอย่างละเอียดอีกทีดีกว่า แต่ยังไงก็ยินดีด้วยนะครับ ^ ^”

...เอ่อ หมอยินดี แต่ดิชั้นกำลังจะไปต่างประเทศ ไงล่ะทีนี้

ก่อนบินได้ 2 วัน

“ยินดีด้วยนะคะ 6 สัปดาห์แล้วค่ะ”

หา............ โกหกกันใช่มั๊ย 6 สัปดาห์ แล้วต้องไปต่างประเทศเืกือบ 20 วันเนี่ยนะ สามีก็ไม่ได้ไปด้วย พระเจ้า..... > < เค้าจะรอดกลับมามั๊ย

ทริปนี้เลยนอกจากจะมีคนแก่อายุ 70 สองคน เด็ก 7 ขวบ 1 คน ยังพ่วงด้วยคนท้องอ่อนๆ 6 สัปดาห์อีก 1 คน ...จะเป็นยังไงล่ะคะเนี่ย

แต่ The show must go on ไม่ใช่อะไร ก็เสียตังค์ไปหมดแล้ว จะมายกเลิกง่ายๆได้ไงล่ะ

จากบ้านไปสนามบินนาริตะ สามีต้องทำงานเลยขับรถมาส่งแค่ที่สถานีรถไฟ จากนั้นก็ลุยเดี่ยวเลยค่ะ ต่อรถไฟ 3 ทอดพร้อมสัมภาระอีก 2 ใบ

ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้มาถึงอเมริกา ด้วยความที่ต้องใช้เวลาบินนาน ไปทีก็อยากดูอยากเห็นได้ทั่วๆเหมือนเวลาไปเที่ยวประเทศอื่นๆ แต่ใครจะสามารถไปเห็นอเมริกาได้ทั่วภายในแค่ทริป 2 ทริป ถึงจะมีเวลาเป็นเดือนๆก็เถอะ

แถมถ้าไปกับสามีเค้าก็ลางานได้มากสุดแค่ 1 สัปดาห์ ระยะเวลาแค่ 1 สัปดาห์กับการไปอเมริกานี่ช่างไม่คุ้มเอาซะเลย ประเทศนี้ก็เลยไม่เคยเป็นหนึ่งในจุดหมายการเดินทางของจขบ.ค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากไป แต่คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีวันได้ไปต่างหาก

...แต่ในที่สุดคณะเราก็มาถึงอเมริกาโดยสวัสดิภาพ (จนได้) ค่ะ ^ ^


เกือบ 13 ช.ม.จากนาริตะมายังสนามบิน JFK ในนิวยอร์ค …แล้วเรื่องตื่นเต้นก็ตามมา

ณ จุดตรวจคนเข้าเมือง เราพาหลานเข้าไปก่อน ปล่อยพ่อกับแม่ให้ยืนต่อคิวไป (จริงๆถ้ามาเป็นคณะนี่เข้าไปพร้อมกันเลยก็ได้ แต่ไม่รู้ไงคะ - -")

เจ้าหน้าที่ถามว่าเรา “ลูกชายเหรอครับ”

... “เปล่าคะ หลานน่ะค่ะ”

“แล้วคุณมีจดหมายจากพ่อแม่เด็กมาด้วยรึเปล่า”

“ไม่มีค่ะ ต้องใช้ด้วยเหรอ”

จากเจ้าหน้าที่หน้าตายิ้มๆเมื่อกี้ก็เริ่มดุขึ้นเรื่อยๆ

“กรณีที่คุณพาเด็กเล็กที่ไม่ใช่ลูกของคุณออกนอกประเทศ แล้วไม่มีจดหมายจากผู้ปกครองเด็กมาด้วย เราจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ถูกลักพาตัวมา”

...พระเจ้า คนแก่อายุ 70 กับคนท้องอีก 1 คน ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการลักพาตัวเด็กไปซะแล้ว

“แต่หลานคนนี้นี่อาศัยอยู่กับตากับยาย ช่วงนี้เด็กปิดเทอม แต่พ่อแม่เด็กลางานมาด้วยไม่ได้ ปล่อยให้อยู่บ้านก็ไม่มีคนเลี้ยง เลยต้องพามาด้วยกันนี่แหล่ะค่ะ บลาๆๆๆๆๆ”

ทั้งๆที่รู้ว่าพูดไปยังไงก็เท่านั้น ...แล้วก็โดนเรียกเข้าห้องในที่สุด

ถูกสอบสวนเก็บประวัติกันอยู่นาน สอบเลยไปถึงประวัติน้องชายจขบ.ที่มาเรียนที่นี่อีก แต่ก็เข้าใจอ่ะนะคะว่าคดีอย่างที่เค้าตั้งข้อสงสัยมันก็เป็นไปได้ ก็เลยได้แต่ทำใจให้ข้อมูลเค้าไปเพื่อแสดงความสุจริตใจก็เท่านั้น

พอถูกปล่อยตัวออกมาจากห้องสอบสวน บนรางกระเป๋าก็ไม่มีกระเป๋าของใครอีกเลยนอกจากของคณะเราเท่านั้น > <


เราทั้ง 5 คนเข้าพักในบ้านพักในเขต Brooklyn ค่ะ จะให้พักโรงแรมนี่ไม่ไหวจริงๆจะล้มละลายเอาได้ง่ายๆ เลยเลือกบ้านที่เจ้าของบ้านเค้าปล่อยให้เช่าดีกว่า

อยากได้บ้านพักหรูหราหรือที่ราคาถูกประหยัดงบลงมาหน่อย ก็เข้าไปเลือกได้เลยที่ Find a Place to Stay ค่ะ แล้วเราก็จะได้เข้าครอบครองบ้านหลังนั้นไปเลย ใช้ครัว ทีวี อินเตอร์เน็ต อะไรได้หมด (ตามแต่ข้อตกลง) เพียงแต่อย่าไปทำข้าวของเค้าเสียหายก็เท่านั้น


ความอ่อนเพลียจากการนั่งเครื่องมานานๆแถมยังต้องมาปรับตัวให้เข้ากับเวลาที่อเมริกานี่อีก วันนั้นถึงเราจะบินไปถึงกันตั้งแต่ยังไม่เที่ยงวัน แต่ร่างกายดันพร้อมที่จะเอนตัวลงนอนซะมากกว่า ระหว่างรอห้องพักพวกเราเลยตัดสินใจไปเดินเล่นกันอยู่ในบริเวณละแวกที่พักนั่นแหล่ะค่ะ

บ่าย 3 โมงครึ่ง ที่พักก็พร้อมให้คณะของเราได้เข้าไปพักผ่อน หลับเป็นตายตั้งแต่หัวยังไม่ถึงหมอนกันเลยด้วยซ้ำ

ตื่นกันมาอีกทีก็ 3 ทุ่ม ...ล่อกันไปคนละกี่ช.ม.ล่ะนั่น เลยหาเรื่องเข้าไปหาอะไรกินกันในแมนฮัตตันค่ะ


นั่งรถไฟไปโผล่กันที่ Times Square พลุกพล่านดูมีชีวิตชีวาสมกับที่ตั้งอยู่ใจกลางของเกาะแมนฮัตตันจริงๆ


คัตเอาท์สวยๆ ได้บรรยากาศโลกแห่งแสงสีในยามราตรีมากๆเลยค่ะ ^ ^


แล้ววันแรกในอเมริกาของเราก็จบลงกันที่นี่ ไว้ค่อยเต็มที่กันวันพรุ่งนี้นะคะ




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2553    
Last Update : 17 มิถุนายน 2553 14:26:01 น.
Counter : 792 Pageviews.  

Philippines… Bye bye Mactan


2 วันที่เหลือที่ Mactan นี่ หมดไปอย่างว่างเปล่ามากมาย

จขบ.เป็นคนที่ชอบทะเลมากกกกค่ะ แค่นั่งมองทะเล ฟังเสียงคลื่น อาบแดด เล่นทราย ไม่จำเป็นต้องคิดหากิจกรรมอะไรทำมากมาย แค่นี้ทะเลก็คือสวรรค์เล็กๆที่เราพอเอื้อมถึงแล้ว

....วันนี้ตื่นเช้ามาเลยมุ่งหน้าลงหาดกันเลย ชายหาดยาว 500 เมตรที่ไกด์บุ๊คบอกเราไว้จะสวยงาม ขาวสะอาดตามากแค่ไหน

....

....

อึ้งไป 30 วิ...


ชายหาดที่อยู่ตรงหน้าเรา ดูยังไงก็ไม่เกิน 100 เมตรไปได้ นี่มันอะไรกัน !!

แถมทรายใต้ผืนน้ำที่เราลองเดินลงไป ก็เหมือนเป็นทรายกับดินผสมกันซะมากกว่า ไม่ใช่ทรายร่วนๆ แต่มันหนืดๆเท้ายังไงไม่รู้ แถมยังมีบรรดาพ่อค้าคอยเรียกลูกค้าอยู่ตลอด (หนีไม่พ้นจริงๆ - -") ไปดำน้ำมั๊ย... ข้ามไปเที่ยวเกาะอื่นมั๊ย... มันไม่ใช่หาดที่เหมาะจะลงเล่นน้ำ หรือนอนอาบแดดชิลล์ๆเลยซักนิด

แต่ก็ไม่มีอะไรทำ... เลยตัดสินใจนั่งรถเข้าไปในตัวเมืองค่ะ ไหนๆก็ว่างแล้ว เข้าไปหาซื้อของฝากจากฟิลิปปินส์กันหน่อยดีกว่า

ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะ Mactan คือห้าง Gaisano Mactan ค่ะ สินค้าที่นี่ราคาถูก (ขนมที่ซื้อกลับมาก็ถูกกว่าที่ขายที่สนามบินเกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว) และมีป้ายราคาติดแน่นอนตายตัว ไม่ต้องคอยเป็นกังวลว่าถ้าเราไปซื้อตามตลาด พวกพ่อค้าแม่ค้าจะบวกเพิ่มไปอีกเท่าไหร่

ช้อปปิ้งกันไปซะครึ่งวัน กลับมาที่โรงแรมเลยลงไปแช่ในสระจนตัวเปื่อย (...ก็มันไม่รู้จะทำอะไร) รู้แต่ว่าตกเย็นนี้เรามีร้านที่หมายตาไว้แล้วค่ะ ^ ^


ไม่ใช่ดินเนอร์สุดหรู แต่เป็นร้านขายไก่ย่างกลิ่นหอม ควันขโมงที่เรา 2 คนหมายตากันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

อยากกินอะไรก็ชี้ๆๆๆเอาหน้าร้าน พอไปนั่งที่โต๊ะ ก็โดนไล่ให้ไปล้างมือก่อนเลย... ทำไมน่ะเหรอค่ะ ก็เค้าไม่มีช้อนส้อมให้ แต่ใช้สองมือของเรานี่แหล่ะค่ะ ส่วนใครที่ไม่อยากใช้มือเปล่า เค้าก็มีถุงพลาสติคใช้สวมแทนถุงมือ

หน้าตาไม่น่ากินเท่าไหร่ แต่อร่อยใช้ได้เลยค่ะ ที่ใช้ไม่ได้ก็เห็นจะเป็นข้าวที่ห่อด้วยใบไผ่นี่แหล่ะ มันไม่ร้อนเลยซักนิด ข้าวที่ฟิลิปปินส์นี่ปกติก็ไม่อร่อยอยู่แล้ว แถมมาแบบไม่ร้อนอีกก็ไม่ต้องหวังอะไรกันเลย

หนึ่งวันหมดไปอย่างงงๆ ยังเหลืออีก 1 วันที่นี่ ...แล้วเราจะทำอะไรกันดี ตัวจขบ.อยากออกไปดำ Snorkeling ค่ะ แต่คนข้างๆที่ไปด้วยนี่...ร่างกายไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ แถมเป็นคนที่เมาเรือง่าย เค้าเลยกลัวว่าจะแย่ไปกว่าเดิม

คิดกันไปคิดกันมา ลังเลแล้วลังเลอีก ทุกอย่างปล่อยให้สามีเป็นคนตัดสินใจ ...แล้วก็มาตัดสินใจได้เอาตอนห้าทุ่มไปแล้ว

...ตกลงเราจะไป Snorkeling กัน

พนักงานที่โรงแรมอธิบายให้เราฟังว่าจะพาไปเกาะ 2 เกาะ ทานข้าวกลางวัน แล้วก็กลับโรงแรม ใช้เวลาทั้งหมด 4 ช.ม.


ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป เรือก็พาเรามาแวะที่จุดดำ Snorkeling ที่แรก เสียดายที่เราไม่มีอุปกรณ์ให้ถ่ายภาพใต้น้ำกลับมาได้ ...โลกใต้น้ำที่นี่สวยทีเดียวค่ะ ปลาเยอะมากกกกก แถมมีหลากหลายชนิดอีกต่างหาก

ด้วยความที่เค้าบอกว่าจะพาไป 2 เกาะ ที่นี่เราเลยออมแรงไว้หน่อย เพราะอย่างที่บอกค่ะร่างกายสามีก็ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่

เลยขึ้นเรือกันก่อน เพื่อไปแวะกินกลางวันกัน


ระหว่างทางค่ะ เรือที่ฟิลิปปินส์นี่จะลำเล็กลำใหญ่ ก็ต้องมีปีกเหมือนกันหมด


เราแวะทานกลางวันกันที่เกาะนี้ ที่เห็นตะปุ่มตำป่ำนั่นไม่ใช่ปะการังนะคะ แต่เป็นหินภูเขาไฟ

อิ่มกลางวันกันแล้ว ก็นั่งพัก เดินเล่นริมหาดกันซักพัก พนักงานโรงแรมก็เรียกเราขึ้นเรือ เมื่ออยู่บนผืนทะเลก็หลงทิศกันเลย ไม่รู้เลยค่ะว่าตอนนี้เราอยู่ ณ จุดไหน แล้วเรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน รู้แต่ว่า... 20 นาทีผ่านไป ชายฝั่งคุ้นตาก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า

... นี่มันโรงแรมเรานี่ เราไม่ไปแห่งที่ 2 ต่อเหรอ

พนักงานโรงแรมบอกเราว่า ..ก็แวะ 2 เกาะ ดำน้ำที่นึง กินข้างที่นึงไง

หา.... นี่ชั้นเข้าใจผิดเหรอเนี่ย ก็ซื้อทริปดำ Snorkeling ที่เมืองไทยก็ไม่มีที่ไหนที่พาเราไปแค่เกาะเดียวเลย นี่ประเทศเกาะอย่างฟิลิปปินส์มันก็ต้องมีอะไรให้ดูมากกว่านี้ซิ !

...ที่ที่แวะให้ เราก็ลงไปดำกันแค่แป๊บเดียว อะไรกันเนี่ย > <

เศร้าค่ะ...เศร้า ไม่รู้จะโมโหใคร แต่ไม่อยากโมโหตัวเอง - -"

ตกเย็นเราสองคนเลยพากันออกไปนั่งรถเล่น อยากรู้นักว่าที่นี่จะมีชายหาดกว้างๆให้เราได้ลงไปเดินเล่นชิลล์ๆได้บ้างหรือเปล่า


ระหว่างทางที่ Mactan นี่เราไม่เจอหมาเลยซักตัว มีแต่แพะเนี่ยแหล่ะค่ะ เพียบ ! ทั้งแพะจรจัด คุ้ยหาเศษอาหาร แพะเลี้ยงที่ดูสะอาดสะอ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเลี้ยงไว้ทำอะไร ทำไมถึงมีมากมายขนาดนี้

เรานั่งรถเล่นกันไปเรื่อยๆตามถนนสายหลักของ Mactan พยายามสอดส่ายสายตาว่าจะมีตรอกซอกซอยเล็กๆให้เดินทะลุออกไปยังชายหาดได้บ้างหรือเปล่า ...แต่ก็ต้องผิดหวัง

พื้นที่ริมหาดที่นี่กลายเป็นหาดส่วนตัวของแต่ละโรงแรมหมด แถมไม่ใช่หาดยาวที่เดินทะลุเลียบหาดกันไปได้เรื่อยๆ แต่ว่าแต่ละโรงแรมจะทำกำแพงกั้นลงไปในทะเลกันเลย เขตใครเขตมัน เสียบรรยากาศจริงๆ


พระอาทิตย์ตกดินบริเวณสถานที่ก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ...หรือจะเป็นโรงแรม... ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ รู้แต่ฝั่งตรงข้ามตึกสวยๆนี่เป็นบ้านเพิงไม้ เด็กไม่มีรองเท้าใส่ วิ่งเล่นอยู่เต็มไปหมด

สามวันใน Mactan สิ่งที่เราประทับใจคือผู้คน ทั้งพนักงานโรงแรมที่นี่ (น่ารักกันมากเลยค่ะ) ชาวบ้าน คุณลุงคุณป้าที่ให้ความช่วยเหลือชาวต่างชาติอย่างเราสองคนเป็นอย่างมาก

แต่สิ่งที่เราสองคนผิดหวังมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นชายหาดที่นี่ ทะเลสวย น้ำทะเลใส แต่หาดทรายมันไม่ใช่...

...ที่นี่คงเหมาะแค่สำหรับการดำน้ำลึกจริงๆ

ดูบรรยากาศสวยๆทิ้งท้ายกันดีกว่าค่ะ ^ ^


บรรยากาศยามเช้าที่ชายหาด Alona Beach บนเกาะ Panglao


ส่วนรูปนี้เป็นบรรยากาศยามเช้า จากชายหาดหน้าโรงแรมของเราที่เกาะ Mactan ตอนเวลาประมาณตีห้าครึ่งได้ค่ะ

ที่ตื่นเช้าขนาดนี้ เพราะเราต้องบินกลับไฟล์ทเช้านั่นเอง


บ๊าย...บาย ฟิลิปปินส์ ประเทศพันเกาะ ..จะมีซักเกาะนึงมั๊ยที่ถูกจริตการเที่ยวทะเลของเราสองคน




 

Create Date : 06 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 6 พฤษภาคม 2553 9:55:45 น.
Counter : 1136 Pageviews.  

Philippines… 1st day in Mactan


ขากลับไปเซบุเราใช้บริการเรือของอีกบริษัทค่ะ เป็นเรือของ Oceanjet ค่าเรือนี่ก็เท่ากับเรือของ Super Cat ค่ะ อยู่ที่ 500 เปโซ แต่ว่าบริษัทนี้นี่ถ้ามีกระเป๋าใบใหญ่คิดเพิ่มใบละ 70 เปโซ เราโดนกันไป 2 ใบค่ะ > < นอกนั้นก็มีเสียค่าใช้บริการท่าเรืออีก 11.25 เปโซ


เรือของ Oceanjet นี่ลำใหญ่กว่าของ Super Cat แต่นอกนั้นทั้งบริการและเวลาเดินทางก็เหมือนกันหมด

เรือพาเรามาส่งที่ท่าเรือที่ 1 ค่ะ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเกาะ Mactan เราตั้งใจว่าจะแวะเข้าไปชม Fort San Pedro ป้อมปราการที่เก่าที่สุดของฟิลิปปินส์กันซักหน่อย แต่กว่าจะออกมาจากท่าเรือได้ ก็ต้องผจญกับบรรดาแท็กซี่เรียกลูกค้ากันอีกยก...

ดูๆไปก็น่าสงสารนะคะเราว่า คนที่นี่ยังจนกันมากกกกก งานที่มีทำก็ไม่หลากหลายเลยต้องมาแย่งกันเอง อย่างชาวบ้านที่นี่เวลาจะไปไหนทีก็นั่งจิปนี่ หรือไม่ก็รถที่เหมือนรถกะป๊อบ้านเรา ...ก็มันถูก ส่วนแท็กซี่ สามล้อนี่วิ่งรถว่างๆกันเกลื่อนเมือง ถ้าไม่มาเรียกลูกค้าชาวต่างชาติ เค้าก็คงไม่มีอะไรเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหมือนกัน

หรืออย่างร้านขายอาหารแผงลอยข้างทางนี่ 20 ร้านเมนูเดียว ขายของเหมือนกันหมด แล้วจะไปขายใครได้

หรืออย่างนายหน้าทั้งหลายที่หาด Alona Beach ที่เราเพิ่งไปกันมา ทุกคนบนหาด มีกี่คนไม่รู้ล่ะ 20 – 30 คนหรือมากกว่า ...แต่ขายของ (ทัวร์พาเที่ยว หรือไม่ก็โรงแรม) เหมือนกันหมด ไม่ใช่เหมือนแค่พาไปที่เดียวกัน แต่เหมือนแม้กระทั่งราคา ทุกอย่างเลยขึ้นอยู่กับความเร็ว วาทศิลป์ และที่สำคัญก็คือดวงว่าใครจะได้ลูกค้าไป

...แต่จากท่าเรือไปป้อมปราการนี่เราไม่ต้องใช้บริการรถแท็กซี่ค่ะ เพราะเดินไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง


ป้อมปราการ Fort San Pedro สร้างขึ้นในปี 1738 โดยรัฐบาลสเปนที่เข้ามาปกครองเซบุ เพื่อใช้รับมือกับการรุกรานของชาวมุสลิม พอถึงยุคเปลี่ยนมือมาขึ้นกับอเมริกา ที่นี่ก็ถูกนำมาใช้เป็นค่ายทหารของทหารอเมริกัน จากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นสถานที่กักกันนักโทษของทหารญี่ปุ่นแทน

ค่าผ่านประตู 21 เปโซค่ะ

ได้เวลาโยกย้ายไปเข้าที่พักกันแล้ว เราเรียกแท็กซี่จากบริเวณหน้าป้อมปราการนั่นแหล่ะค่ะ มีขับผ่านมา 1 คัน ไม่มีใครมาแย่งลูกค้าเลย 555 ต่อรองได้มาที่ราคา 300 เปโซ ...ไม่ยอมใช้มิเตอร์กันจริงๆ

เราไม่รู้กันหรอกค่ะว่าจากป้อมปราการไปถึงโรงแรมของเราที่เกาะ Mactan เนี่ยมันใกล้ไกลมากแค่ไหน พี่แท็กซี่เองที่ยอมให้ที่ 300 เปโซนั่นก็อาจจะเพราะว่ายังไม่ได้ลูกค้าเลยซักคนก็เป็นได้ เพราะพอขับมาถึงโรงแรมเท่านั้นแหล่ะค่ะ ถึงกับร้องโอย.. บ่นว่าไกลจัง แถมขอเพิ่มอีกซัก 50 เปโซ ไอ้เราก็ใจแข็ง ...คำไหนคำนั้นซิคะพี่ แต่พอลงรถกันมาได้ก็มานึกสงสาร (อีกแล้วค่ะ เหอๆ) เพราะมันไกลเกินกว่าระยะ 300 เปโซจริงๆน่ะค่ะ

...จริงๆถ้าพี่แท็กซี่แกใช้มิเตอร์ตั้งแต่แรก แกก็อาจจะได้ค่ารถมากกว่านี้ก็ได้นะเนี่ย

เราเข้าพักกันที่โรงแรม Cebu White Sands ค่ะ เป็นโรงแรมเดียวที่จองมาตั้งแต่ที่ญี่ปุ่น นอกนั้นมาหาเอาดาบหน้าหมด โรงแรมนี้สวยดีทีเดียวค่ะ ^ ^


บรรยากาศภายในบริเวณโรงแรม


ห้องพักของเราที่นี่ค่ะ

เราเข้าพักที่นี่ทั้งหมด 3 คืน ห้องพักตกแต่งสวยมาก ประทับใจ ^ ^ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ หลังจากที่พักโรงแรมมาหลายระดับราคาจนมาถึงที่นี่ “ผ้าห่ม” ก็เหมือนกันหมดทุกที่ คือบางมากกกกกกกราวกับเป็นผ้าปูเตียง ไม่สามารถช่วยให้้ร่างกายอบอุ่นได้เลยแม้แต่น้อย ก็เข้าใจอ่ะนะคะว่าเป็นเมืองร้อน แต่ผ้าห่มมันก็ไม่ควรบางขนาดนี้ ไม่รู้พวกโรงแรมอินเตอร์ทั้งหลายจะเป็นแบบเดียวกันรึเปล่า

Check in เก็บข้าวเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็ไม่รอช้าเลยค่ะ ออกไปหาอะไรกินกันทันที อาหารโรงแรมก็มีแต่ไม่กิน 55 ก็มันไม่ได้บรรยากาศ (ฟิลิปปินส์) นี่นา....

เราจะไปตลาดปลา Mactan Shurine Fish Market กัน

...ออกมานอกประตูโรงแรมปุ๊บก็เจอสามล้อเรียกเลยค่ะ ถามไถ่ราคาแล้วก็อยู่ที่ 50 เปโซ แต่เราไม่รู้ราคาปกติเลยเดินไปเรื่อยๆ เรียกรถกะป๊อ..แต่พี่ท่านก็บอกว่าไม่ผ่าน เลยแอบถามคุณลุงที่นั่งบนรถว่า ถ้านั่งสามล้อไปอยู่ที่เท่าไหร่ แกก็บอกว่า 30 เปโซ แต่ถ้ารถกะป๊อนี่อยู่ที่ 7 เปโซเท่านั้นนะ

...คนฟิลิปปินส์ใจดีแบบนี้มีอยู่มากค่ะ มากจริงๆ ถ้าเค้าไม่ได้เกี่ยวกับการหาเงินเข้ากระเป๋าแล้วล่ะก็... ยังไม่เจอใครที่ไม่น่ารักเลยค่ะ

จากที่หน้าโรมแรมเราไม่มีรถคันไหนเลี้ยวไป Fish Market (...ไม่อยากจะแปลว่าตลาดปลา เพราะมันไม่ใช่น่ะค่ะ) ก็เลยต้องนั่งรถกะป๊อไปลงกลางทาง แล้วเดินเอาอีกนิดหน่อย

ก่อนจะทานมื้อเย็น เราสองคนแวะเข้าไปทักทายสองคนสำคัญของเซบุกันก่อน


อนุสรณ์สถานแมกเจลแลน (Magellan’s Marker)

เฟอร์ดินานท์ แมกเจลแลน ต้องมาจบชีวิตลงที่ฟิลิปปินส์ในปี 1521 ปีที่เขาเดินทางมาถึงฟิลิปปินส์นั่นเอง กษัตริย์ฟิลิปปินส์ Rajah Humabon ได้ให้การต้อนรับแมกเจลแลนเป็นอย่างดี ถึงขั้นเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เลยทีเดียว แต่ก็มีชนพื้นเมืองบนเกาะ Mactan ที่ต่อต้านการเข้ามาของต่างชาติ ซึ่งนำโดย Lapu-Lapu ส่งผลให้กษัตริย์ Rajah Humabon เอ่ยปากขอให้แมกเจลแลนไปช่วยปราบปรามการแข็งข้อครั้งนี้ แต่แล้วการต่อสู้ครั้งนั้นก็กลับทำให้แมกเจลแลนต้องมาเสียชีวิตลงในระหว่างการต่อสู้นั่นเอง


อนุสาวรีย์ Lapu-Lapu ภายในบริเวณใกล้เคียงกับอนุสรณ์สถานแมกเจลแลน

การต่อต้านและสังหารแมกเจลแลนในครั้งนั้น ทำให้เขาได้รับเกียรติให้เป็นวีรบุรุษในฐานะผู้ที่ปกป้องประเทศชาติจากการรุกรานของต่างชาติ

...ถึงเวลาอาหารแล้วค่ะ ^ ^ เราเดินย้อนกลับมาที่ Fish Market กันอีกที ร้านอาหารที่นี่มีให้เลือกอยู่ประมาณ 5 – 6 ร้านได้ เดินไปเดินมาวนอยู่ 38 ตลบก็ตัดสินใจกันไม่ถูก เลยเดินเข้าร้านตรงกลางมันซะเลย 55


หน้าตาก็เหมือนพวกร้านซีฟู้ดบ้านเรานี่แหล่ะ แต่หากินไม่ได้ในญี่ปุ่น แค่เดินผ่านก็น้ำลายสอ... ^ - ^

ดนตรีตามโต๊ะที่นี่นอกจากจะเป็นพวกกีตาร์แล้ว ที่แปลกตาก็คือ เจ้าฮาร์พนี่แหล่ะค่ะ แบกฮาร์พมาหากินกันเลย นับถือจริงๆ แต่เล่นเพราะนะ ใช้ได้เลย


วิวถ่ายจากร้าน เป็นป่าชายเลนค่ะ เสียดาย... แถมแนวต้นไม้นั่นก็บังมุมพระอาทิตย์ตกดินพอดี

ที่นี่อาหารก็อร่อย ราคาก็ไม่ถูกไม่แพง ใช้เป็นที่ฝากท้องได้เลยค่ะ แต่ก็มีข้อเสียอยู่ 2 อย่าง

อย่างแรก ร้านใกล้ๆกันเป็นโต๊ะสนุกเกอร์พ่วงคาราโอเกะ วันนั้นที่เราไปนี่ตั้งแต่เข้าไปนั่งในร้านยันกินเสร็จ ก็มีเสียงเพลงขับกล่อม ดังมากกว่า 180 เดซิเบล (เพราะรบกวนโสตประสาทมากๆ) จากนักร้องคนเดียว ที่เพี้ยนมันทุก....เพลง

อย่างที่สอง “Hey, give me money!” เป็นเสียงเด็กคนหนึ่งที่เดินเข้ามาจากดินเลนแถวนั้น ตะโกนเข้ามายังที่นั่งของเราสองคน ...เป็นการขอเงินที่ชัดเจน และหยาบคายมาก แถมน่ารำคาญสุดๆ ไม่ให้เด็กนั่นก็ไม่ไป พูดอยู่ประโยคนี้ประโยคเดียว จนเด็กในร้านต้องออกมาไล่ ซักพักพอมืดลงหน่อยก็เข้ามาอีกด้วยประโยคเดิม ตรูล่ะเซ็ง !

อีกอย่างที่ไม่เชิงเป็นข้อเสีย แต่เป็นความไม่รู้ของเราเองมากกว่า คือราคาอาหารใดๆที่เราชี้ๆให้เค้าชั่งน้ำหนักให้เพื่อดูว่าราคามัันเท่าไหร่ๆนั่นน่ะ ราคาที่บอกเป็นเพียงราคาของเจ้ากุ้ง หอย ปู ปลาตัวนั้นๆเท่า่นั้นค่ะ พอเช็คบิลมางงเลย ทำไมมันแพงกว่าที่คำนวณไว้ล่ะ... ที่แท้ก็...เค้ายังไม่ได้บวกค่าปรุงอาหารเข้าไปนั่นเอง > <

มาดูไฟโรงแรมสวยๆหลังจากมือเย็นของเรากันดีกว่าค่ะ ^ ^


ยังมีเวลาอยู่ที่นี่อีก 2 วัน แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรกันดี > <




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 1 พฤษภาคม 2553 19:26:00 น.
Counter : 1392 Pageviews.  

Philippines… Sleep all day long at Alona Beach


Alona Beach ชายหาดยาวประมาณ 4 ก.ม.แห่งนี้เป็นหาดที่เป็นที่นิยมมากที่สุดบนเกาะ Panglao ค่ะ

ลงจาก 3 ล้อ ยังไม่ทันได้เดินเข้าหาดดี ก็มีบรรดานายหน้ากรูกันเข้ามามากมาย

“Hotel?”

(จริงๆประโยคแรกที่โดนทักนี่เป็นภาษาฟิลิปปินส์อ่ะค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าพูดตากาล็อก หรือ Cebuano แต่จะเป็นอะไรก็ฟังไม่ออกทั้งนั้น แรกๆยังปฏิเสธดี หลังๆเริ่มยืนนิ่ง สามีต้องมาคอยปฏิเสธให้ ...ว่าชั้นฟังไม่ออกนะ เข้าใจมั๊ย !!....)

พอหลุดกลุ่มนายหน้าทั้งหลายออกมาได้ ก็เดินหาโรงแรมกันเลย ตอนแรกดูจากแผนที่ก็คิดว่าถนนเลียบหาดหน้าโรงแรมจะเป็นถนนราดยาง ที่ไหนได้...เป็นพื้นทรายนี่แหล่ะค่ะ เดินลากกระเป๋ากันได้ทุลักทุเลมาก

ไอ้โรงแรมที่ดูท่าทางน่าจะดีนี่ที่พักหน้าหาดก็ดันเต็ม เหลือแต่บนตัวตึก เดินไปเดินมายังหาที่พักกันไม่ได้... ก็มาเจอกับกลุ่มนายหน้ากันอีกรอบ แต่คราวนี้เป็นเด็กค่ะ เดินเข้ามาคนเดียวเลย คนอื่นๆเห็นเราปฏิเสธในทีแรกก็คงจะคิดว่าขายให้เราคงไม่ได้ผลซะล่ะ แต่ที่ไหนได้... อิชั้นขี้เกียจเดินหาแล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นเลยโชคดีได้ลูกค้าไป

เราตัดสินใจพักที่นี่กัน 2 คืน ไม่รู้หรอกค่ะว่าทีนี่มีอะไรให้ทำบ้าง รู้แต่ว่ามาถึงทะเลแล้วแค่นั่งๆนอนๆสูดกลิ่นอายทะเล... แค่นั้นก็คุ้มแล้ว

....แต่ก็ต้องมาพบกับคำตอบที่ว่า "เราคิดผิด !"


ยกรูปมาจากบล็อคที่แล้ว... น้ำทะเลก็ดูสวยใสน่าลงเล่นดีนี่นา...

น้ำทะเลที่นี่ไม่ลึกค่ะ ถ้าเป็นหาดทรายยาวออกไปก็สวรรค์เลยล่ะ แต่ก็ต้องมาผิดหวังเพราะเจ้าหญ้าทะเลที่เราเห็นเป็นสีน้ำเงินเข้มไกลสุดลูกหูลูกตานั่นแหล่ะค่ะ มองไกลๆก็นึกว่าเป็นสีน้ำทะเล...หลอกกันได้ - -"

แถมบนหญ้าทะเลนี่ไม่ได้มีแค่ปลาดาวอย่างในรูปนะคะ ที่มีมากมายกระจัดกระจายไม่แพ้กันก็คือ “หอยเม่น” ...แล้วใครจะกล้าลงไปเล่นล่ะนั่น


ปลาดาวที่นี่ตัวใหญ่กว่าฝ่ามือ ...นอนอาบแดดกันเต็มไปหมด ส่วนใครที่อยากลงทะเล ก็ทำได้แค่ลงไป “นั่งเล่น” ในน้ำทะเลเท่านั้นแหล่ะค่ะ > <

ลงไปแช่ในทะเลได้ไม่ถึง 5 นาที เราสองคนก็โดนคุณตำรวจชายหาดราว 5 – 6 นายเรียกให้ขึ้นจากทะเลซะอย่างนั้น....

คนนึงพูดภาษาอังกฤษกับแฟนเรา ส่วนอีกคนดันพ่นภาษาฟิลิปปินส์ใส่เราไม่ยั้ง เอ่อ.... เขียนแปะหน้าผากไว้เลยดีมั๊ยเนี่ยว่าไม่ใช่ฟิลิปปินส์ !!

ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ เราสองคนวางสัมภาระทิ้งไว้บนฝั่ง คุณตำรวจก็เกรงว่าของอาจจะโดนขโมยได้ เค้าเลยเรียกขึ้นไปเตือนก็เท่านั้น ...ที่ฟิลิปปินส์นี่คงต้องระวังกันทุกฝีก้าวจริงๆมั้งคะเนี่ย


สำหรับเราไม่มีพระอาทิตย์ตกดินที่ไหนที่สวยที่สุด เพราะไม่ว่าที่ไหนต่างก็มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป ...ที่นี่ก็เช่นกัน

เช้าวันรุ่งขึ้น... ฝนตกทั้งวัน ทะเลก็ไม่ได้ลง กิจกรรมริมทะเลอย่างอื่นก็ไม่มี คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่เค้าก็จะออกไปดำน้ำลึกกัน ...แต่เราดำน้ำไม่เป็นก็เลยต้องแกร่วอยู่แถวๆโรงแรมตลอดทั้งวัน

ตื่นเช้ามา อ้าว...ฝนตกนี่นา กินข้าวเช้าแล้วก็กลับเข้าห้องพัก รอซักพักฝนคงซา แต่ก็ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ตื่นมาอีกที เที่ยง... ฝนยังไม่ยอมซาเลยซักนิด เดินไปไหนพื้นทรายก็เฉอะแฉะ ฝรั่งแถวนั้นก็นั่งเล่นไพ่กันสนุกสนาน (...เพิ่งเห็นฝรั่งเล่นไพ่ก็ที่นี่แหล่ะค่ะ เพราะหน้าหาดแคบ ไม่เหมาะจะเป็นที่นอนอาบแดดซะเลย) ส่วนเราสองคน กินข้าวเที่ยงเสร็จ ก็นั่งมองทะเลอย่างเซ็งๆ แล้วก็กลับเข้าห้องกันไปอีกรอบ หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนค่ะ ถึงจะเพิ่งตื่นมาก็เถอะ หลับทั้งวันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษใดๆเลย 55

ที่เอะอะก็กลับเข้าที่พักนี่ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ แค่เดินหลุดออกมาจากส่วนโรงแรมก็จะเจอนายหน้ากลุ่มเดิมๆ ถึงตอนนี้เราทั้งสองคนจะได้ที่พักแล้ว แต่เค้าเหล่านั้นก็ยังมีอย่างอื่นมา้เสนอค่ะ

“Whale watching?”

...เอิ่มๆๆๆๆ พี่คะ ฝนตกขนาดนี้ พี่ยังคิดว่าจะมีคนออกไปดูปลาวาฬกับพี่มั๊ย

“Chocolate Hills?”

...ขอโทษค่ะ เราเพิ่งจาก Chocolate Hills กันมา

“Big snake? Small monkey?”

...พอเถอะค่ะพี่ ฝนตกอย่างนี้ ดิชั้นไม่ออกไปไหนทั้งนั้นล่ะ

ประโยคคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่เราเดินเล่นตากฝนอยู่ริมหาดกัน ไม่เฉียดเข้าไปใกล้ ก็ยังตะโกนมาถาม เอากับเค้าซิ เลยตัดความรำคาญค่ะ เข้าห้องไปนอนดูทีวีสงบๆดีกว่า

พูดถึงเรื่องดูทีวี เท่าที่ดูทีวีที่นี่นี่จากที่เคยสงสัยว่าทำไมคนฟิลิปปินส์ถึงพูดภาษาอังกฤษกันได้คล่องนัก ถึงจะเคยตกเป็นเมืองขึ้นของอเมริกาก็เถอะ ...ก็กระจ่างเลยล่ะค่ะ ช่องทีวีธรรมดาทั่วไป นอกจากภาษาฟิลิปปินส์แล้ว ก็จะมีภาษาอังกฤษสอดแทรกอยู่ตลอด

อย่างมีรายการนึงเป็นรายการหาดาวดวงใหม่ของฟิลิปปินส์ แต่ไม่ได้เป็นเหมือนบ้านเราที่เอะอะก็นักร้องๆนะคะ เค้าไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องเป็นแนวไหน ก็แค่ใครถนัดอะไรก็เอาสิ่งที่ตัวเองถนัดมาโชว์ แล้วก็จะมีกรรมการ... เป็น commentator ซะมากกว่า อยู่ 3 ท่าน เหมือนพี่ม้า พี่เพชร พี่โจ้ ของ The Star บ้านเราเลย

พี่ท่านทั้งสามเดี๋ยวๆก็ตากาล็อก เดี๋ยวๆก็อังกฤษ อันไหนซะใจมากกกก็เป็นภาษาอังกฤษล้วน สมองไม่งงบ้างหรือไงไม่เข้าใจจริงๆ

...และเป็นแบบนี้ทุกรายการค่ะ

ส่วนหนังฮอลลีวูดที่นี่ก็ไม่มีขึ้น subtitle ให้นะคะ (และแน่นอนว่า บ้านเค้ายังไม่ได้ถึงขั้นบ้านไหนบ้านนั้นก็ต้องมีทีวีสองภาษากันหมด) ...ประหนึ่งว่าคุณก็ต้องฟังรู้เรื่องอยู่แล้ว


ฟ้าหลังฝนเมื่อตอน 5 โมงเย็น ฝนเล่นตกทั้งวันจริงๆ

พอตกเย็น นายหน้าทั้งหลายก็เลิกงาน เป็นช่วงที่สบายหู สามารถเดินเล่นสำรวจหาดได้อย่างสบายใจเป็นที่สุด

...แล้วเราก็ไปเจอกับร้านคูหาเล็กๆขายทัวร์ไปดูปลาวาฬเข้าค่ะ

ที่นี่ไม่มีการเรียกลูกค้า เจ้าของนั่งอยู่หน้าคอมไม่สนใจเราสองคนที่เดินเข้าไปดูป้ายทัวร์หน้าร้านเลยซักนิด ก็เลยคิดเหมาเอาเองว่า บรรดานายหน้าทั้งหลายที่พยายามเรียกลูกค้านักหนาเนี่ย เค้าเรียกให้กับที่นี่รึเปล่า

ที่นี่นี่ไม่ได้สักแต่จะขายของ ในทางกลับกันเค้าให้ข้อมูลเราดีมากเลยค่ะ

เจ้าของทัวร์บอกว่า... ช่วงนี้ยังไม่มีปลาวาฬให้ดู ออกไปก็ไม่เจอ ฤดูของเค้าที่จะขึ้นมาให้เห็นก็ต้องช่วงปลายมี.ค. – สิ้นพ.ค. (แต่เราดันไปกันตอนต้นเดือนมี.ค. น่าเสียดายมากๆ) แต่ว่าช่วงนี้เราสามารถเห็นปลาโลมาได้แน่นอน และเราก็คิดถูกแล้วที่ไม่ซื้อทัวร์วันฝนตกอย่างวันนี้ เพราะถ้าฝนตกก็จะไม่มีโลมาขึ้นมาให้เราเห็นด้วยเช่นกัน

ไม่มีการหว่านล้อมให้ซื้อ ถามอะไรก็ตอบเท่าที่ถาม ร้านอย่างนี้แหล่ะค่ะ ที่จะได้เราเป็นลูกค้า ^ ^

พอถามราคา ก็ตกอยู่ที่คนละ 1500 เปโซ หรือประมาณ 1,000 บาทค่ะ ...ซึ่งเราก็ว่าแพงนะ แต่ก็ยังถูกกว่าราคาที่บรรดานายหน้าริมหาดเสนอ ก็เลยตัดสินใจซื้อจากที่นี่ค่ะ


6 โมงเช้า... วันนี้เราจะออกไปดูปลาโลมากันค่ะ ต้องขอบคุณเจ้าโลมานะเนี่ย เพราะไม่อย่างนั้นเราสองคนก็ไม่มีวันได้ตื่นมาดื่มด่ำกับบรรยากาศสดชื่นยามเช้าแบบนี้แน่ๆ

Bangka เรือมีปีกของฟิลิปปินส์พาเรามุ่งหน้าออกจากเกาะ Panglao ไปยังเกาะ Pamilacan ค่ะ คนที่เกาะ Pamilacan นี่แต่ก่อนเคยมีอาชีพล่าโลมา, วาฬ, ฉลามวาฬ แล้วก็ปลากระเบนค่ะ

ทะเลระหว่างเกาะทั้งสองสมบูรณ์มาก มีสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยอยู่ราว 13 ชนิด ...แต่ฤดูนี้ยังไม่มีวาฬให้เราได้เห็น

เรือที่มุ่งหน้าออกจากเกาะพร้อมๆกับเรามีประมาณ 10 กว่าลำ แต่ว่าแต่ละลำนี่เล่นแล่นกระจายไปคนละทิศละทาง ไอ้เราด้วยความที่ไม่รู้เรื่องก็งงๆว่า...แล้วเรือนี่จะพาเราไปไหน แล่นกันสะเปะสะปะขนาดนี้นี่จะมีโลมาให้เห็นจริงๆเหรอ

อยู่ๆเรือของเราที่แล่นห่างฝั่งออกไปไกลมากกก ก็วกกลับหันหน้าเข้าหาฝั่งที่เราเพิ่งแล่นกันออกมาซะอย่างนั้น ถามคนขับเรือว่าเราจะไปไหน จะกลับแล้วเหรอ ตกลงไม่มีโลมาเหรอ

พี่แกก็ตอบได้แค่ “เปล่าๆ” เท่าันั้น ....ดันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ซะอีก เฮ้อ... (สงสัยวันๆพี่คงขับแต่เรือไม่ได้ดูทีวีกับใครเค้า)

เราขับวกไปวนมา เหนือ ใต้ ออก ตก มุ่งหน้าไปครบทุกทิศ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้ยลโฉมโลมาเลยซักนิด อย่างว่า...โลมาเองก็คงไม่ได้อยู่นิ่งๆให้เราเจอตัวได้ง่ายๆเช่นกัน มองทะเลจนเบื่อไปได้ซัก 2 ช.ม. อยู่ๆพี่คนขับเรือก็เร่งสปีดเต็มที่ มุ่งหน้าเข้าหาพระอาทิตย์

“เจอโลมาแล้วเหรอคะ”

“โน่นไง”

....โน่นไหน สองคนสี่ตาช่วยกันจ้องไปทั่วท้องทะเลก็ยังไม่เห็นวี่แววซักนิด

“ไหนค่ะ”

“ทางด้านนั้นไง”

....ไหนวะ !!

เรือยังคงเดินหน้าเต็มกำลังต่อไปอีกประมาณ 5 นาทีกว่าๆ เหมือนกลัวเป้าหมายจะหนีหาย แต่เราสองคนนั่งลงอย่างเซ็งๆ ...มีจริงเหรอว้า...

“ก้อ... นั่นไง”

“ไหนๆ”

“นั่นไงฝูงโตเลย”

“จริงด้วยยยยย ว้าวๆๆๆๆๆๆ”


เห็นโลมากันบ้างมั๊ยคะ ^ ^

รูปบนนั่นถ่ายหลังจากที่พี่คนขับเรือบอกว่าเห็นโลมาแ้ล้วได้ซักพัก เพราะมันไม่มีโลมาให้เราเห็น เลยถ่ายรูปพระอาทิตย์เล่นแก้เซ็ง เหอๆ

ฝูงโลมาพากันขึ้นมาเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน แต่พอขับเรือเข้าไปใกล้ๆ เหล่าโลมาขี้อายก็มุดหายลงไปใต้ทะเลอีกครั้ง เลยได้มาแต่รูประยะไกลมากกกกก - -" มีหลายฝูงเลยล่ะค่ะ

เพิ่งรู้ว่าไอ้ม้วนหน้า ตีลังกากลับหลังหัน ควงสว่านสองรอบอะไรนั่น มันไม่ได้มาจากการฝึก แต่โลมาเค้าเป็นเองตามธรรมชาติ

3 ช.ม.ครึ่งกับการได้เห็นโลมา 30 นาทีได้ ...ถึงจะเห็นระยะไกลแต่ก็ดีใจสุดๆเลยค่ะ ^ ^

ช่วงบ่ายเราจะกลับไปที่เซบุกันค่ะ




 

Create Date : 20 เมษายน 2553    
Last Update : 20 เมษายน 2553 8:38:10 น.
Counter : 1063 Pageviews.  

Philippines… Chocolate Hills in Bohol Island


ตกบ่ายเรา 2 คนกลับมา Check out กันให้เรียบร้อย จากนั้นก็เรียกแท็กซี่ไปท่าเรือกันเลย แท็กซี่ที่นี่ไม่ค่อยยอมกดมิเตอร์กันเท่าไหร่เลยค่ะ ก่อนขึ้นบอกเลยว่า “กดมิเตอร์ด้วยนะ” แต่ส่วนใหญ่จะไม่ยอม จะให้เราจ่ายตามราคาที่เค้าบอกท่าเดียว

เรียกแท็กซี่จากหน้าโรงแรม พี่ท่านบอกราคามา 300 เปโซ ....โอ้วไม่...... ไกด์บุ๊คดิชั้นบอกไว้ว่า 50 เปโซเท่านั้นไม่เกินนี้ พี่กะขับรถเที่ยวเดียวแล้วเลิกทำมาหากินไปทั้งวันเลยใช่มั๊ยเนี่ย...

...นี่ขนาดหน้าเป็นสาวฟิลิปปินส์ขนาดนี้ (ไปไหนโดนพ่นตากาล็อกใส่ตลอด ต้องปฏิเสธว่าดิชั้นพูดตากาล็อกไม่ได้... บางคนยังมีหน้ามาถามอีกว่า อ้าว..แล้วยูพูดอะไร พูด Cebuano ได้มั๊ย หรือว่าพูด Ilokano .... คือจะบอกว่า "ดิชั้นไม่ใช่ฟิลิปปินส์!!!!") ...นั่นแหล่ะ ก็ยังโดนโก่งราคา

ยื้อไปยื้อมาในที่สุดก็ยอมกดมิเตอร์ให้ แล้วรู้มั๊ยคะว่าราคามันเท่าไหร่ เรามาถึงที่หมายได้ด้วยราคาแค่ 40 เปโซนิดๆเท่านั้นค่ะ ราคาที่นี่พูดไม่ได้ว่า ”บวก” ไปเท่าไหร่ แต่ต้องบอกว่า “คูณ” เพิ่มไปเท่าไหร่ซะมากกว่า

พูดถึงเรื่องเงินแล้วก็มีอีกอย่าง คนที่นี่ตั้งแต่แท็กซี่ สามล้อ ยันร้านอาหาร ไม่รู้เป็นอะไรชอบบอกว่าไม่มีตังค์ทอนกันทั้งนั้น หลายครั้งที่พยายามควานหาเศษมาจ่ายให้พอดีให้ได้ แต่ถ้าไม่มีจริงๆก็.....ซวยไป เหอๆ

พี่แท็กซี่ขับมาส่งเราที่ท่าเรือ แต่ก่อนจะเข้าไปยังท่าเรือต้องเสียค่าผ่านด่านซะก่อน 20 เปโซค่ะ อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่า เพราะเอารถเข้าไปเลยต้องจ่ายหรือว่ายังไง

จากตัวเมืองเซบุเราสามารถเดินทางไปเกาะ Bohol ได้หลายทางค่ะ แต่ที่นิยมกันก็คือนั่งเรือไปลงที่เมือง Tagbilaran

แต่จะใช้บริการบริษัทไหนก็ต้องเช็คให้ดีว่าเรือออกจากท่าเรือไหนด้วยนะคะ

หลักๆที่เค้าใช้กันก็จะเป็นเรือของบริษัท Super Cat ออกจากท่าเรือที่ 4 กับเรือของบริษัท Ocean Jet ออกจากท่าเรือที่ 1 ใช้เวลาพอๆกันคือประมาณ 1 ช.ม.ครึ่ง

ขาไปเราใช้ Super Cat กันค่ะ ราคา 500 เปโซ กับ Terminal fee อีก 25 เปโซ (รวมๆแล้วก็ประมาณ 370 บาท)


ขึ้นเรือที่นี่เหมือนนั่งเครื่องบินเลยค่ะ มีเลขที่นั่งตายตัว ผ่านด่าน Security หลายด่านมาก มีน้องหมามาดมจับพิรุธกันอีก แถมบนเรือยังมีสาธิตการใช้ชูชีพเหมือนบนเครื่องไม่มีผิด มีหนังฉายให้ดู เสียอยู่หน่อยก็ตรงที่ไม่มีอาหารเสิร์ฟกับเบาะปรับเอนไม่ได้ (จ่าย 300 แต่จะเอาบริการพันนึง 55)


ถึงแล้วค่ะเมือง Tagbilaran ก่อนจะไปยังจุดหมายของเราในวันนี้ เราให้พี่สามล้อพาเราไปยัง Tourist Information Center ในตัวเมืองกันก่อน

สามล้อที่นี่เป็นมอร์เตอร์ไซค์ทำหลังคาครอบแล้วเพิ่มล้อเข้าไปอีกล้อเท่านั้นค่ะ เพราะฉนั้นถ้ามอร์เตอร์ไซค์คันไหนเครื่องไม่แรงพอ แต่ต้องมารับมือกับผู้โดยสาร 2 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางหนักอึ้งอีก 2 ใบ ...ถึงขึ้นขี่ไม่ไปกันเลย ยิ่งช่วงขึ้นเนินนี่ยิ่งสงสารมอร์เตอร์ไซค์มากมาย

พี่สามล้อที่ท่าเรือนี่เรียกเราตั้ง 60 เปโซ แถมจะเปลี่ยนใจไปเรียกคันอื่นก็ไม่ได้ ที่นี่ทำงานกันเป็นทีมค่ะ คันไหนๆที่จอดอยู่ตรงนั้นก็เรียกราคาเดียวกันหมด > <

แถมขับไประหว่างทางยังมีหน้ามาบอกว่า วันนี้ Tourist Information เค้าไม่ทำการนะ มันวันหยุด ยูต้องการจะไปไหนล่ะ เดี๋ยวขับไปส่งให้

เฮ้ย!! ทำไมพี่ไม่บอกซะตั้งแต่ตอนก่อนจะขึ้นรถมาล่ะวะคะ (เริ่มหยาบคาย 55)

...พอเราถามว่าถ้าไป Chocolate Hills คิดเท่าไหร่

....รู้มั๊ยคะว่าเค้าเรียกเท่าไหร่ 3,000 เปโซค่ะ 3,000!!!!! แถมยังมีหน้ามาบอกอีกว่า 3,000 นี่ราคา 2 คนนะ ไม่ใช่ราคาต่อคน ...แล้วมันมีสามล้อแท็กซี่ประเทศไหนเหรอที่คิดราคาต่อหัวน่ะ ไม่ใช่รถเมล์นะพี่ - -"

เราสองคนเลยตัดสินใจว่าถึง Tourist Information จะปิด ก็ขอลงในตัวเมืองเนี่ยแหล่ะ (ปิดจริงรึเปล่าก็ไม่รู้) เพราะดูท่าพี่ท่านช่างขูดเลือดขูดเนื้อเหลือเกิน

"เดี๋ยวไอพายูไปเอง"

"ไม่ เราจะลงที่นี่ !"

"หรือยูอยากได้ที่พักล่ะ นี่ก็เย็นแล้ว แล้วค่อยไป Chocolate Hills วันพรุ่งนี้"

"ไม่ เราจะลงที่นี่ ! เดี๋ยวนี้ ! Stop stop stop STOP!!"

...เฮ้อ..จะรอดมั๊ยเนี่ย

เหมือนหนีเสือปะจระเข้ ลงจากสามล้อ ก็เจอสามล้อเรียกอีก > < แล้วไม่ได้เรียกแค่คันเดียว ทีนี้มากันเป็นสิบ

"ไปไหน... Chocolate Hills ?"

"ไม่ !"

"ไปไหน... Hotel ?"

"ไม่ !"

นั่นคือคำตอบในใจนะคะ... แต่คำพูดที่ออกไปนี่ "No, thank you" พร้อมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ...กลัวโดนรุมไม่ใช่อะไร 55 แถมถ้าเราไม่ทำท่าเป็นศัตรู เรายังจะได้ข้อมูลอะไรดีๆจากคนเหล่านี้อีกด้วย

...เราลองถามคนแถวนั้นดูทั้งแม่ค้า แท็กซี่ สามล้อ ยาม... ไม่มีใครรู้เลยว่าไอ้เจ้า Tourist Information เนี่ยมันอยู่ส่วนไหนของเกาะ นี่ไม่ได้เดินถามนะคะ ถามแค่พี่สามล้อคนเดียวเนี่ยแหล่ะ แต่พี่ท่านตะโกนถามคนทั้งถนนให้ ว่ามีใครรู้จักบ้างมั๊ย 555 แต่คำตอบก็คือ “ไม่”

เราเลยลองดูตามแผนที่กันเอง ก็ไปเจอกับตึกที่ดูเหมือนจะปิดร้าง ไม่ใช่แค่ปิดทำการ เลยต้องถอดใจ มุ่งหน้าต่อไปยัง Chocolate Hills เลยแล้วกัน

เราเรียกสามล้อจากในตัวเมืองไปยังสถานีรถบัส Dao Bus Terminal ค่ะ ....รู้มั๊ยคะว่าเค้าเรียกเราเท่าไหร่ ....40 เปโซเท่านั้นค่ะ 40 เปโซกับระยะทางที่ไกลมากกกกกก ไกลกว่ามาจากท่าเรือหลายกิโลเลย ตอนลงยังอยากจะเพิ่มตังค์ให้ด้วยซ้ำ

จาก Dao Bus Terminal เราเรียกรถบัสเพื่อนั่งต่อไปยังจุดหมายปลายทางของเรา

ยังไม่ได้จ่ายเงินพี่สามล้อเลย พี่รถบัสก็มายกกระเป๋าเราสองคนขึ้นรถไปแล้วเรียบร้อย

“ขึ้นเลยๆ”

“รอแป๊บ ยังไม่ได้จ่ายตังค์เลย”

“ขึ้นเลยๆ”

...เออ !! รู้แล้ว ...และแน่นอนว่า นั่นคือคำพูดที่คิดอยู่ในใจ แต่ที่หลุดออกไปคือ “Just a moment” พร้อมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจเช่นเคย ^ ^

ทีแรกก็นึกว่าเร่งให้เราขึ้นเพราะนานๆจะมีคนต่างชาติหลงมาเข้าปากซักทีรึเปล่า (ส่วนใหญ่คนอื่นเค้าเหมารถตู้ เหมาทัวร์กันไป มีเราสองคนเนี่ยแหล่ะค่ะ ชอบเที่ยวแบบชาวบ้าน ...ประเด็นคือ ไม่มีตังค์ 55)

แต่ดูท่าแล้วไม่ใช่เลยค่ะ พี่คนขับรถแกซิ่งมากกกกก คนยังไม่ลงจากรถดีพี่แกก็ออกตัวซะแล้ว คนขึ้นรถมา...เด็กรถคว้ากระเป๋าหรือไม่ก็สัมภาระของคนนั้นก่อนเลย เจ้าตัวจะได้ใช้ 2 มือจับราวได้ เพราะแค่เหยียบบันไดเท่านั้น รถก็พุ่งพรวด

นึกถึงรถเมล์เล็กบ้านเราไว้ค่ะ อย่างนั้นเลย ระหว่างทางผู้โดยสารเจ้าถิ่นยังมีกรี๊ดบ้างเป็นระยะๆ อย่างกับนั่งเครื่องเล่นในสวนสนุก ...แต่ดิชั้นไม่สนุก นั่งขาจิกมือจับราวขนาดนี้... เครียดนะเนี่ย

แต่ที่แน่ๆเด็กรถดูมีน้ำใจดีค่ะ หาที่นั่งให้ผู้โดยสารตลอด ไม่มีใครต้องยืน แต่พี่คนขับนี่น่าจะเอาดีด้าน Racer ไกด์บุ๊คบอกว่าเราต้องใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม.ถึงจะถึง Chocolate Hills ...แต่ด้วยฝีมือของพี่คนขับคนนี้ เราถึงได้ด้วยเวลาเพียง 1 ช.ม.นิดๆเท่านั้น พระเจ้า !!!

ส่วนราคาค่าโดยสารก็อยู่ที่ 55 เปโซต่อคนเท่านั้นค่ะ ...ดีนะที่ไม่หลงไปกับ 3,000 ของเจ้าสามล้อหน้าเลือดนั่น


ถึงแล้วค่ะ ทางเข้า Chocolate Hills

จากปากทางต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปด้านบนค่ะ ราคาประมาณ 20 เปโซ (จริงๆมันคงได้ถูกกว่านี้แหล่ะ แต่ไม่รู้ว่าต้องเป็นเท่าไหร่) ขับขึ้นไปประมาณ 5 นาทีก็ถึง แต่ก่อนจะถึง ต้องเสียเงินค่าเข้า Chocolate Hills ก่อน คนละ 50 เปโซ


คืนนี้เราจะพักที่นี่กันค่ะ

ในบริเวณนี้มีที่พักแห่งนี้เพียงแห่งเดียว แต่มีห้องพักให้เลือก 3 ราคา 400, 800 และ 1,200 เปโซ

ที่เห็นข้างบนนี่ราคา 1,200 เปโซ (ประมาณ 850 บาท) มีน้ำร้อน น้ำอุ่น อ่างอาบน้ำ แอร์พร้อม ...แต่ตอนแรกเราไม่ได้เข้าพักที่ห้องนี้หรอกนะคะ เราเลือกห้องราคา 800 เปโซ มีทุกอย่างเหมือนห้อง 1,200 ไม่มีก็แต่อ่างอาบน้ำเท่านั้น เป็นแค่ฝักบัวธรรมดา ฟร้อนต์โรงแรมเค้าอธิบายแค่นั้นจริงๆ

แต่พอเปิดห้องเข้าไป เจอกับสภาพที่แบบ..... แย่กว่านี้มีอีกมั๊ย !! ลืมภาพห้องข้างบนไปเลยนะคะ ห้องนี้นี่มุ้งลวดเ็ป็นรูิ แมลงทั้งหลายบินกันให้ว่อน ห้องน้ำล็อคไม่ได้ แถมจะปิดประตูให้สนิทก็ยังทำไม่ได้ ชักโครกมีแต่ตัวโถ แต่ใช้ระบบเอาน้ำราด แต่ถังรองน้ำดันแตก ต้องใช้กระบวยรองจากก๊อกโดยตรง ฝักบัวไหลเท่าฉี่มด โอ้.....พระเจ้า แน่ใจเหรอว่าราคาต่างกันแค่ 400 เปโซ ไม่อยากจะจินตนาการว่าถ้าห้อง 400 เปโซ มันจะแย่ขนาดไหน

ทำใจไม่ได้ค่ะ... เลยขอเขาดูห้อง 1,200 เปโซซะหน่อย จะได้ตัดสินใจถูกว่าจะเอายังไงกันต่อไป ...ก็ได้เจอกับห้องตามรูปด้านบน ช่างต่างกันราวสวรรค์กับนรก ...โชคดีจริงๆที่ไหวตัวทัน

ก่อนจะเย็นย่ำค่ำมืด ไปเดินชมทิวทัศน์ของ Chocolate Hills กันหน่อยดีกว่าค่ะ


ทิวทัศน์สวยงามแปลกตาของเขาทั้งสิ้นพันกว่าลูก ... Chocolate Hills

ทำไมถึงเรียกว่า Chocolate Hills... ก็เพราะพอเข้าหน้าแล้ง หญ้าบนเขาจะแห้งกลายเป็นสีน้ำตาล ทำให้มองดูเหมือนช็อกโกแลตยี่ห้อ Kisses นั่นเองค่ะ

กลุ่มเขาเหล่านี้เป็นเขาหินปูนที่มีซากฟอสซิลพวกสาหร่าย หอย ปะการังน้ำตื้นหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่รู้ที่มาอย่างแน่ชัดว่าเขาเหล่านี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร

ที่นี่มีนักท่องเที่ยวจากต่างแดนไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าบ้านชาวฟิลิปปินส์เองซะมากกว่า ร้านอาหารก็มีอยู่ร้านเดียว คือร้านของโรงแรมนั่นแหล่ะ่ค่ะ


มื้อเย็นของเราที่นี่ อาหารส่วนใหญ่หน้าตาก็คล้ายๆอาหารจีน อาหารไทยนี่แหล่ะ แต่รสชาติอาจจะไม่ใช่... ที่ติดใจมากที่สุดก็นี่เลยค่ะ “Adobo” เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ตุ๋น กินมาหลายร้านแล้ว ยังไม่มีพลาด ส่วนอย่างอื่นก็...แค่พอกินได้


บรรยากาศโรแมนติคยามค่ำคืน อากาศดีเลยทีเดียวค่ะ

รุ่งเช้า แพลนของเราวันนี้คือจะข้ามไปเกาะ Panglao เกาะเล็กๆทางใต้ของเกาะ Bohol ค่ะ แต่กว่าจะมาถึง Bohol กันได้ นั่งเรือนั่งรถมาไกลซะขนาดนี้ ก็ขอเที่ยวตัวเกาะให้คุ้มกันก่อน


โบสถ์ระหว่างทาง Bilar Church สร้างขึ้นในปี 1831 และบ้านเรือนของชาวบ้านในละแวกนั้นค่ะ


ที่นี่มีบ้านที่ทำด้วยไม้้ไผ่ให้เห็นอยู่ประปรายตลอดทาง บางบ้านสานได้สวยมากกกก ไม่รู้ต้องหลังขดหลังแข็งสานกันกี่วันถึงจะได้เข้าไปอยู่


เรานั่งรถจาก Chocolate Hills มาลงที่ Loboc เพื่อตามหาลิงตาโตที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกค่ะ

ลิงขี้อายตาโตตัวนี้ เรียกว่าลิง Tarsier ตอนแรกนึกว่าจะเห็นตัวเป็นๆได้ยาก แต่ที่ไหนได้ ลงรถมาปุ๊บ ถามคนแถวนั้นปั๊บ ก็เจอกับลิงหน้าตาท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตัวเกาะอยู่บนต้นไม้ ที่ไม่มีกรงล้อมรอบ

Tarsier เป็นลิงขี้อายสมคำร่ำลือค่ะ รูปนี่ถ้าถ่ายไกลๆจะหันหน้ามาให้ถ่ายแต่โดยดี แต่ไม่สบตานะคะ พอเอากล้องเข้าไปใกล้ๆจะค่อยๆเบือนหน้าหนี จนในที่สุดคนถ่ายก็หมดความพยายามไปเอง

หลังจากทักทายเจ้าลิงน้อยได้ซักพัก ก็นั่งมอเตอร์ไซค์เข้าไปที่ตัวเมือง Loboc ค่ะ ตอนแรกว่าจะนั่งเรือชมวิวแม่น้ำ Loboc ซักหน่อย แต่พอเอาเข้าจริงไป-กลับ 2 ชั่วโมง ...เลยตัดสินใจหาอาหารกลางวันกินกันแถวนั้น แล้วจะได้มุ่งหน้าออกจากเกาะกันเลย


แม่น้ำ Loboc สีสวยเชียวค่ะ


อาหารมื้อที่อร่อยที่สุดในฟิลิปปินส์ และแน่นอนว่าเป็นมื้อที่แพงที่สุดเช่นกัน

...จากที่นี่ เจ้าของร้านให้กระเป๋าสานมาฟรีหนึ่งใบ ...และแล้วรอยยิ้มพิมพ์ใจก็เป็นผล ^ ^


ระหว่างรอเรียกรถไปยังท่ารถ Dao Bus Terminal

ที่นี่มีโบสถ์ที่เก่าแก่เป็นลำดับที่สองของเกาะ Bohol ด้วยค่ะ ชื่อ Loboc Church ของเดิมสร้างขึ้นในปี 1602 แต่ก็พังทลายลง จึงต้องสร้างขึ้นใหม่ในปี 1638

เห็นโบสถ์แล้วชวนให้เดินเข้าไปหามากกกก แต่ว่าแดดมีอิทธิพลในการตัดสินใจมากกว่า แค่ยืนรอรถยังหงุดหงิด จะให้เดินไปดูโบสถ์เนี่ยนะ..... แล้วพอกลับมาก็มานึกเสียดาย > < (รักจะเที่ยวไม่ควรขี้เกียจจริงๆ)

หลังจากรอได้ประมาณครึ่งช.ม.รถบัสที่จะมุ่งหน้าไป Dao Bus Terminal ก็มาถึง รอบนี้ไม่เสียวเหมือนขามา ขับชิลล์ๆเรื่อยๆ สบายใจคนขับ สบายอารมณ์ผู้โดยสารดีค่ะ

พอลงรถบัส เราก็นั่งสามล้อเพื่อต่อไปยังเกาะ Panglao คิดราคาที่ 280 เปโซค่ะ ทีแรกก็คิดว่าแพง (แต่เราไม่มีแรงจะต่อราคา) แต่พอเอาเข้าจริง ไกลได้ใจมากกกกกก ตอนแรกนึกว่าจะโดนพาเอาไปขายซะแล้ว


ถึงแล้วค่ะ Alona Beach เกาะ Panglao ดูรูปทะเลแรกที่ฟิลิปปินส์เรียกน้ำย่อยกันไปก่อนนะคะ ^ ^




 

Create Date : 07 เมษายน 2553    
Last Update : 7 เมษายน 2553 11:12:47 น.
Counter : 3212 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

HappyToBeMe*
Location :
Shizuoka Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




เรียนเอกญี่ปุ่น ทำงานบริษัทญี่ปุ่น แต่งงานกับคนญี่ปุ่น มาใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น บางช่วงก็เกลียดญี่ปุ่นเข้าไส้ บางช่วงก็รักใจจะขาด ไม่นึกว่าญี่ปุ่นจะมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตมากมายขนาดนี้เลยนะเนี่ย

เพื่อการอ่านหน้าบล็อคให้ได้ตามความตั้งใจของจขบ. ลองดาว์นโหลดฟอนต์ดู ที่นี่ เลยค่ะ
ขอขอบคุณคุณ iannnnn มากๆที่สร้างสรรค์ฟอนต์สวยๆให้ได้ใช้กันนะคะ

**สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพ และ ข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุดนะคะ**

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add HappyToBeMe*'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.