พาลูก 3 เดือนบินกลับญี่ปุ่น ...แน่ใจเหรอ


กริ๊งงงงงง ...ตกลงแกจะกลับญี่ปุ่นเมื่อไหร่วะ แล้วกลับได้เหรอแก
กริ๊งงงงงง ...บ้านแกปลอดภัยดีใช่มั๊ย โดนผลกระทบอะไรบ้างป่าว
กริ๊งงงงงง ...คนทางโน้นเป็นยังไงบ้าง แล้วเราเลื่อนตั๋วกลับไปก่อนไม่ได้เหรอ
กริ๊งงงงงง ...ได้ข่าวว่าเกิดแผ่นดินไหว แล้วมันใกล้กับเมืองที่เราอยู่รึป่าว
กริ๊งงงงงง ............

11 มี.ค. 2554
นอนกล่อมยูไปเช็คเมลล์ไป (สามารถมาก เหอๆ) อยู่ๆก็มีเมลล์จากพ่อสามีว่า “เคนให้เมลล์มาบอกว่าที่ญี่ปุ่นมีแผ่นดินไหว แต่ที่นี่ไม่มีใครเป็นอะไร ปลอดภัยดีกันทุกคน ไม่ต้องเป็นห่วง”
...ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวบ่อยจนเป็นเรื่องปกติมากมาย แต่ครั้งนี้ต้องไม่ปกติแน่ๆไม่งั้นคงไม่ให้พ่อเมลล์มาบอกเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้
เปิดทีวีเช็คข่าว ก็ยังไม่มีข่าวช่องไหนออกเลย ...คงไม่หนักหนามากล่ะมั้ง
พอเดินกลับเข้่าห้องไปดูลูกได้ซักพัก แม่ก็หน้าตาตื่นเดินมาบอกว่า ข่าวออกว่าที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวน่ะ ตั้ง 9 ริกเตอร์ มีสึนามิด้วยนะ ใกล้เมืองที่เราอยู่รึป่าว ทางโน้นเค้าเป็นไงกันมั่ง

“รู้แล้ว เค้าไม่เป็นไรกัน ปลอดภัยดีกันทุกคน แล้วก็ไม่ได้เกิดใกล้เมืองที่ก้ออยู่ด้วย”

ตอบแบบทำหน้าตาว่ามันไม่มีอะไรหนักหนาสุดฤทธิ์ ก็ไม่อยากจะให้ตื่นตระหนกก็แค่นั้น

... แต่ในใจน่ะเหรอ "เฮ้ย ตั้ง 9 ริกเตอร์ มีสึนามิด้วย !!!!"

หลังจากนั้นก็มีคนเป็นห่วงเป็นใยส่งเสียงมาถามข่าวคราวมากมาย แต่เมืองที่เราอยู่ไกลจากเมืองมิยางิที่เกิดเหตุมากอยู่ เลยมั่นใจว่าไม่มีอะไรกระทบรุนแรงแน่นอน

...แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวว่า โรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมาได้รับผลกระทบทำให้มีกัมมันตภาพรังสีรั่วออกมาจากโรงงาน ...ไอ้อันนี้ซิน่ากลัว หรือเราจะกลับญี่ปุ่นไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ

...ได้ข่าวเรื่องโรงงานในฟุกุชิมา เป็นยังไงกันบ้าง ที่เมืองไทยนี่ออกข่าวใหญ่โต จริงๆมันเป็นยังไงเหรอ

เงียบ

...ได้ข่าวว่าที่โตเกียวมีปริมาณกัมมันตภาพรังสีสูงอยู่เหมือนกัน ขากลับต้องบินไปลงโตเกียว ยูยังเล็กอยู่ จะปลอดภัยเหรอ

เงียบ

ถามอะไรไปก็ “เงียบ” ไม่มีเสียงตอบจากเมลล์ที่ส่งไปเลยซักครั้ง เฮ้อ...

25 มี.ค. 2554
ยูได้เจอหน้าปู่ย่า และพ่อเค้าเป็นครั้งแรก ...ที่เมืองไทย ปู่ย่าเจอหน้าหลานก็ดีอกดีใจ แต่ยังไม่มีใครกล้าอุ้ม ส่วนพ่อยูน่ะเหรอ เหมือนจะทำตัวไม่ถูก ไม่เข้ามาดูลูก ทักลูก คงยังแปลกๆเขินๆ ไม่รู้ว่าจะเอายังไงดีล่ะมั้ง

มาคราวนี้นอกจากจะมารับเราแม่ลูกกลับญี่ปุ่นแล้ว ก็ต้องมาจัดการเรื่องพาสปอร์ตไทยของยูให้เรียบร้อย พาสปอร์ตญี่ปุ่นนี่ไม่มีปัญหา เพราะเค้าให้พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งไปยื่นแทนก็ได้ แต่พาสปอร์ตไทยนี่ซิ พ่อกับแม่ต้องไปเซ็นลายเซ็นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ เลยต้องให้พ่อเค้าบินมาทำเรื่องให้เรียบร้อย พอพาสปอร์ตไทยเรียบร้อย เราก็ยื่นเรื่องขอเพิ่มชื่อกลางในพาสปอร์ตญี่ปุ่นให้น้องยูทันที ...ทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหา

ระหว่างที่อยู่ที่เมืองไทยนี่ เราไม่มีการพูดถึงกันเลยซักครั้งว่าจะกลับญี่ปุ่นได้หรือเปล่า มันเหมือนเป็นสิ่งที่รู้ได้โดยอัตโนมัติว่า “ก็เค้ายังบินมาได้ ทำไมเราจะบินกลับไปไม่ได้”

29 มี.ค. 2554
“อายุยังไม่ถึงขวบมีพาสปอร์ตแล้ว แถมได้นั่งเครื่องบินอีก ตอนตาเด็กๆยังปั้นดินเล่นน้ำคลองอยู่เลย เมืองนอกเมืองนาไม่เคยรู้จัก” ...ตาแซวหลานที่กำลังจะบินจากเมืองไทยในวันนี้

วันนี้เป็นวันที่น้องยูจะได้ขึ้นเครื่องบินเป็นวันแรก และแน่นอนว่าลูกคงจำเหตุการณ์วันนี้ไม่ได้ การพาน้องยูขึ้นเครื่องครั้งนี้ ก็ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม แจ้งกัีบทางสายการบินล่วงหน้าว่าเราจะำพาเด็กเล็กบินด้วย ...จริงๆก็รู้ได้ตั้งแต่ตอนจองตั๋วแล้ว เพียงแต่เด็กเล็กของเรานี่ไม่มีที่นั่ง แต่เราต้องขอที่นอนให้เค้าด้วย

เด็กเล็กวัยก่อนสองขวบนี่โดยทั่วไปจะคิดราคาที่ 10% ของราคาผู้ใหญ่ ...กรณีที่เด็กนั่งกับผู้ใหญ่นะคะ แล้วสัมภาระของเด็กก็ได้ที่ 10 กิโล โดยทั่วไปสายการบินจะให้เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 7 วันขึ้นไปบินได้แล้วค่ะ

ครั้งนี้เราบินกับ ANA พอทางสายการบินทราบว่าเราพาเด็กเล็กบินด้วย เค้าก็กันที่นั่งด้านหน้าติดผนังไว้ให้เลย เพื่อใช้ติดตั้งที่นอนของเด็ก หรือที่เค้าเรียกว่า “bassinet” ก่อนบินเราก็เช็คอินล่วงหน้าทางอินเตอร์เนต ...ผ่านไปได้ด้วยดี ...ยกเว้นเรา !

“ANA เหรอคะ คือจะบินคืนนี้อ่ะค่ะ แต่เช็คอินออนไลน์ไม่ได้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรคะ”

“คุณมีผู้ติดตามด้วย (ก็คือน้องยูนั่นเอง) คนอื่นถือตั๋วเดี่ยว เลยเช็คอินได้ แต่ตั๋วคุณถือร่วมกับลูก ต้องมาเช็คอินหน้าเคาน์เตอร์ค่ะ” ...เป็นงั้นไป

สัมภาระทั้งสิ้น 120 กว่ากิโล ของผู้ใหญ่ 4 คน และทารกอีกหนึ่ง แต่เกินครึ่งเป็นของยูทั้งนั้น พร้อมบินกลับญี่ปุ่นแล้วคืนนี้

พาเด็กอายุยังไม่เต็ม 3 เดือนดีขึ้นเครื่องบินนี่ เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกกกกก ทีแรกว่าจะจองไฟล์ทกลางวัน ถ้าร้องจะได้ไม่เป็นการรบกวนผู้โดยสารคนอื่นมากเกินไป แต่ไฟล์ทดันเต็มหมด ช่วยไม่ได้ ต้องจองไฟล์ทกลางคืนแทน

“เวลาเครื่องขึ้นลง อย่าลืมให้ลูกดูดนมนะคะ เค้าจะได้ไม่เจ็บหู”

คุณหมอเด็กที่หาอยู่ให้คำแนะนำก่อนบิน

เราไม่ต้องเตรียมอะไรมากมาย ยูเป็นเด็กนมแม่ 100% เต็ม เลยไม่ต้องเตรียมน้ำ ไม่ต้องเตรียมนมผง แค่เตรียม (นม)แม่มันให้พร้อม ...เท่านั้นพอ

...ตามธรรมเนียม ผู้โดยสารที่มีเด็กเล็กจะได้ขึ้นเครื่องก่อนใคร

ขึ้นไปได้ไม่เท่าไหร่ ยูก็ร้องหิวนม ...จะกินตอนนี้เลยเหรอลูก เดี๋ยวหนูอิ่มก่อนเครื่องขึ้น หนูเลิกดูดนมหนูจะเจ็บหูเอานา... ทนอีกนิดละกัน

...แต่ยูไม่ยอม

..กินก็กินวะ

พอเครื่องเริ่มออกวิ่ง แม่มันก็ลุ้นให้ลูกดูดนมไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งมาอิ่มเอาตอนนี้นะ แม่ยังไม่อยากโดนพิฆาตทางสายตาจากคนแถวนี้ ...ในที่สุด พอเครื่อง take off ปุ๊บ ยูหยุดดูดนมปั๊บ แล้วก็หลับไปเลย พาลูกบินไฟล์ทดึกนี่มันดีอย่างงี้นี่เอง


หน้าตาเจ้า bassinet ค่ะ รับน้ำหนักได้ถึง 10 กิโล แต่นี่ยูแค่ 5 โล เราก็ว่าแน่น bassinet แล้วนะ ช่วงที่เค้ายังไม่ปิดไฟ เราก็เอาผ้ามาคลุมแสงสว่างจะได้ไม่แยงตาลูก

ไฟล์ทนั้นทั้งไฟล์ทยูก็ร้องแอ๊ะๆตื่นขึ้นมากินนมสามรอบ ไม่มีร้องไห้โวยวายอย่างที่แม่มันกังวล อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนตื่นง่ายด้วย แค่ยูร้องแอ๊ะเดียวเราก็ตื่นแล้ว พ่อมันยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ 555

ภายในเครื่องจะวุ่นวายขนาดไหน แอร์สาวสวยเดินไปมา เสิร์ฟอาหาร เสิร์ฟเครื่องดื่ม ประกาศต่างๆในเครื่อง ยูไม่สนใจทั้งนั้น มาตื่นตาสว่างอีกทีก็ตอนที่ล้อกระแทกพื้น

ไม่น่าเชื่อว่าบินกับเด็กเล็กมันจะง่ายถึงเพียงนี้ ของเล่นไม่ต้อง ไม่มีข้อต่อรอง ง่วงเป็นนอน ก็แค่นั้น


น้องยูตอนเกือบครบสามเดือน ยิ้มเก่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

น้ำหนักเดือนนี้ก็อยู่ที่ 4.9 กิโล ความยาว 59 ซ.ม. น้ำหนักเริ่มตกเกณฑ์ ไหงงั้นล่ะลูก



Create Date : 14 พฤษภาคม 2554
Last Update : 5 มกราคม 2555 19:11:41 น. 6 comments
Counter : 1968 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับข้อมูลการเดินทางที่ มาแบ่งปันกันน่ะค่ะ เพราะถ้าคลอดเสร็จ ก็กะว่าจะพากลับ ปักกิ่ง ตอน 3 เดือนเหมือนกันค่ะ เพราะถ้าช้ากว่านั้น อากาศระหว่างเมืองไทย กับปักกิ่ง จะแตกต่างกันมาก สงสารลูก กลัวปรับตัวไม่ทัน

ลืมคิดเรื่องพาสปอร์ต สำหรับเด็กไปเลยค่ะ ตอนนี้คิดแต่เรื่องสูติบัตร ให้กับลูก...ไม่รู้ว่า น้องยู ถือ 2 สัญชาติเลยหรือเปล่าค่ะ


โดย: Li Shana วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:13:58:50 น.  

 
ยูถือสองสัญชาติค่ะ เลยต้องถือพาสสองเล่ม


โดย: HappyToBeMe* วันที่: 20 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:31:46 น.  

 
สวัสดีค่ะ บังเอิญเข้ามาเห็นโพสต์ เลยอยากรบกวนถามเรื่องทำพาสปอร์ตไทยให้ลูก ในกรณีคุณพ่อเด็กเป็นญี่ปุ่น แบบที่ขอให้น้องยูน่ะค่ะ ตอนไปยื่นขอต้องใช้เอกสารอื่นของพ่อชาวต่างชาติด้วยหรือเปล่าคะ? หรือว่าแค่ให้พ่อมาเซ็นต์ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ก็พอแล้วคะ? .... ขอบคุณมากๆค่ะ(^^)



โดย: ปอม IP: 61.27.166.169 วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:28:12 น.  

 
คุณปอม...

ของคุณพ่อต้องถือพาสปอร์ตไปแสดงด้วยค่ะ


โดย: HappyToBeMe* วันที่: 23 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:11:49 น.  

 
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ พาลูกกลับไทยคราวนี้พอดีพาสเล่มเก่าของลูกอายุเหลือไม่ถึง6เดือน เลยจำเป็นต้องออกจากไทยด้วยพาสเล่มใหม่ กลัวว่าถ้าเตรียมเอกสารไปไม่ครบเดี๋ยวทำพาสให้ลูกไม่ได้น่ะค่ะ(^^) ขอบคุณมากๆอีกครั้งสำหรับคำตอบนะคะ


โดย: ปอม IP: 61.27.166.169 วันที่: 24 พฤษภาคม 2554 เวลา:19:32:12 น.  

 
น้องยู...เป็นยังไงบ้างค่ะ ไปถึงญี่ปุ่น แล้ว ต้องปรับตัวอะไรหรือเปล่า ตอนนี้สงสัย อ้วน จ่ำม่ำขึ้นเยอะแล้วแน่ ๆ เลย


โดย: Li Shana วันที่: 31 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:47:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

HappyToBeMe*
Location :
Shizuoka Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




เรียนเอกญี่ปุ่น ทำงานบริษัทญี่ปุ่น แต่งงานกับคนญี่ปุ่น มาใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น บางช่วงก็เกลียดญี่ปุ่นเข้าไส้ บางช่วงก็รักใจจะขาด ไม่นึกว่าญี่ปุ่นจะมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตมากมายขนาดนี้เลยนะเนี่ย

เพื่อการอ่านหน้าบล็อคให้ได้ตามความตั้งใจของจขบ. ลองดาว์นโหลดฟอนต์ดู ที่นี่ เลยค่ะ
ขอขอบคุณคุณ iannnnn มากๆที่สร้างสรรค์ฟอนต์สวยๆให้ได้ใช้กันนะคะ

**สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพ และ ข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุดนะคะ**

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add HappyToBeMe*'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.