ในที่สุด... ก็ถึงบ้านอย่างปลอดภัย


กว่า 20 วัน กับ 5 รัฐในอเมริกา ถ้าไม่มีอาการแพ้ท้องคงลืมไปแล้วว่า “นี่ชั้นกำลังท้องอยู่นะ” อาการแพ้ท้องค่อยๆเกิดช้าขึ้นเรื่อยๆ แรกๆนี่พอตกบ่ายก็เอาละ แต่ตอนไปเที่ยวนี่จะเป็นตอนมื้อเย็นซะมากกว่า ...ตอนแพ้ท้องนี่ก็สงสัยอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ... การแพ้ท้องของคนเรานี่น่าจะเกิดขึ้นตามเวลาของร่างกาย มากกว่าเวลาจริงๆบนโลกใบนี้รึเปล่า เพราะไม่งั้นถ้าอยู่ญี่ปุ่นแพ้ท้องช่วงบ่ายๆ มาอเมริกาก็ต้องแพ้ช่วงเช้าตรู่ซิถึงจะถูก อีกเรื่องก็คือ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Morning sickness” ...นั่นก็หมายความว่า อาการแพ้ท้องน่าจะเกิดในตอนเช้า (รึเปล่า) แต่ของเรากลับไม่ใช่

ขาไป... ก็ไปสนามบินมันคนเดียว ขากลับ... ก็ยังต้องกลับจากสนามบินเองอีก กับสัมภาระ 2 ใบ ที่หนักมากกว่าขาไปมากๆ ของฝากจากอเมริกาน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ของฝากที่แม่หิ้วไปให้จากเมืองไทยนี่ดิ หนักมากกกกกก

จนแล้วจนรอด ก็กลับมาถึงบ้่านโดยสวัสดิภาพ ...ทั้งแม่และลูก เย้ๆๆๆๆๆ

นอกจากอาการแพ้ืท้อง ซึ่งก็แค่กินอะไรไม่ได้ ไม่อยากอาหาร... แค่นั้น ไม่มีโอ้กอ้ากเหมือนคนอื่นเค้า แถมร่างกายก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ พอกลับมาแทนทีจะรีบไปหาหมอก็เลยเอ้อระเหยกันซะงั้น ...ก็มันไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังท้องอยู่นี่นา

ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเกือบ 2 สัปดาห์ ...ต้องถีบตัวเองให้ไปหาหมอซักที

12 มิ.ย. 2553 เป็นการไปหาหมอครั้งที่สอง ห่างจากครั้งแรก 1 เดือนเต็มพอดี

ที่ญี่ปุ่นนี่นอกจากจะไปฝากครรภ์กันที่โรงพยาบาลแล้ว ส่วนมากสถานที่รับฝากครรภ์จะเป็นคลินิคเฉพาะทาง ทั้งตรวจครรภ์และทำคลอดที่คลินิคได้เลย

การไปตรวจครรภ์ครั้งที่สองนี่เป็นคนละที่กับที่แรกที่ไปตรวจ ไปถึงหมอก็จับตรวจมะเร็งปากมดลูกเลย ...ก็ต้องขึ้นขาหยั่งกันอีก (สงสารหมอจริงๆ เหอๆ) หมอก็ขูดเอาเนื้อบริเวณปากมดลูกออกไปเล็กน้อย หลังจากนั้นเลยมีเลือดซึมๆออกมานิดหน่อย แล้วก็คำนวณกำหนดคลอดให้อีกที แต่กำหนดคลอดที่หมอที่นี่คำนวณให้มันไม่ตรงกับกำหนดเดิม เป็นวันสิ้นปี 31 ธ.ค.พอดี แต่หมอก็บอกเอาไว้เหมือนกันว่า การคำนวณกำหนดคลอดจะแม่นยำก็ต่อเมื่อคำนวณตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ แต่เรานี่ปาเข้าไปตั้งจะ 3 เดือนแล้ว ...พอหมอบอกมาอย่างงี้ก็เลยคิดว่างั้นกำหนดคลอดอันแรกก็น่าจะใกล้เคียงมากกว่า แต่พอใครถามก็ตอบเค้าว่าเป็นวันที่ 31 ธ.ค. ตลอด ก็มันฟังดูดีอ่ะนะ 555

...แล้วเคยสงสัยกันมั๊ยคะว่าเค้านับการตั้งครรภ์กันยังไง
เราเริ่มนับว่าการตั้งครรภ์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย (ถึงแม้ตอนนั้นจะยังไม่มีตัวอ่อนของลูกมาอยู่ในท้องเราก็ตาม) โดยที่อสุจิของพ่อจะเข้าไปผสมกับไข่ของแม่ในช่วงสัปดาห์ที่สอง จากนั้นไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะฝังตัวลงในผนังมดลูกอย่างสมบูรณ์ในสัปดาห์ที่สาม
สรุปก็คือ ชีวิตน้อยๆได้เริ่มเติบโตขึ้นในท้องแม่ เมื่อผ่านพ้นสัปดาห์ที่สองของวันแรกในการมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายนั่นเอง

ตอนช่วงไตรมาสแรกของการท้อง หมอที่เมืองไทยเป็นไงไม่รู้ รู้แต่หมอที่ญี่ปุ่นนี่จับขึ้นขาหยั่งส่องเข้าไปดูลูกตลอดจากที่เคยอาย ก็เริ่มตายด้านขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้เห็นหัวใจเด็กเต้นชัดเจนเลย ตื่นเต้นมากกกก มีชีวิตอีกชีวิตนึงอยู่ในตัวเราจริงๆ ถึงความรู้สึกถึงความเป็นแม่คนจะยังไม่มี แต่ก็รู้สึกดียังไงไม่รู้ที่เห็นหัวใจอีกดวงเต้นอยู่ในตัวเรา

หลังจากหาหมอเสร็จ หมอก็ให้ไปรับสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กที่ศูนย์ประกันสุขภาพ ที่ญี่ปุ่นนี่จะต้องถือสมุดเล่มนี้ไปหาหมอทุกครั้ง ที่น่าแปลกใจก็คือ มีแบบที่เป็นภาษาไทยให้ด้วย เลยเลือกเล่มภาษาไทยมาเพราะจะได้เอามาให้คุณหมอที่เมืองไทยใช้เวลากลับมาคลอดที่นี่

นอกจากสมุดบันทึกสุขภาพแล้ว เค้าก็จะให้บัตรที่ใช้แทนค่าใช้จ่ายในการตรวจครรภ์แต่ละครั้ง นั่นก็หมายความว่าถ้าเป็นการตรวจครรภ์ทั่วไป (ครรภ์ไม่มีอาการผิดปกติ) ไม่ว่าจะขึ้นขาหยั่ง ตรวจอัลตราซาวน์ ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ก็ใช้บัตรนี้จ่ายได้เลย เราไม่ต้องเสียเงินซักเยนเดียว ...ดีจัง

ส่วนที่แตกต่างจากเมืองไทยอีกอย่าง คือ หมอที่นี่จะไม่จ่ายยาบำรุง หรืออาหารเสริมให้เลย เค้าเน้นให้เรารับสารอาหารต่างๆจากการทานอาหารโดยตรงมากกว่า แต่ไอ้ความที่เราอยู่ต่างบ้านต่างเมืองไม่ได้มีแม่มาคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ก็ไม่มั่นใจว่าไอ้ที่กินๆอยู่นี่มันพอรึเปล่า ก็เลยต้องยอมเสียตังค์ซื้อพวกแคลเซียม ธาตุเหล็ก แล้วก็กรดโฟลิคมากินเสริมเอาเอง

หมอนัดให้ไปฟังผลการตรวจมะเร็งอีก 1 สัปดาห์
อายุครรภ์ 11 สัปดาห์ วันนี้วัดความยาวของเด็กได้ 39.3 ม.ม.


ไตรมาสนี้จะมีการสร้างเล็บ เปลือกตา ริมฝีปาก จมูก คาง ไตและท่อปัสสาวะเชื่อมต่อกันให้สามารถขับถ่ายของเสียได้แล้ว

...ในสัปดาห์ที่ 11 นี้ อวัยวะเพศเริ่มพัฒนาและสามารถแบ่งแยกได้แล้วว่าเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย แต่ยังคงยากที่จะรู้ได้จากการทำอัลตราซาวน์ ...ซึ่งหมอที่ญี่ปุ่นนี่ส่วนใหญ่จะยังไม่ยอมดูเพศให้ จนกว่าจะถึงสัปดาห์ที่ 20 กว่าๆนั่นแหล่ะ

ส่วนสภาพร่างกายของแม่ ข้อมูลจากหนังสือบอกว่า... แม่อาจจะรู้สึกหงุดหงิดหรือซึมเศร้าได้ง่าย อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มดลูกจะมีขนาดประมาณกำปั้น (11 – 12 ซ.ม.) รกเริ่มพัฒนาอย่างต่อเนื่องและจะไปสร้างเสร็จในช่วงสัปดาห์ที่ 14 – 15
คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องค่อนข้างหนักอาจจะส่งผลให้น้ำหนักลดลงได้ (...ช่วงไตรมาสนี้ของเราเองก็ลดไป 2 กิโลเลย) ซึ่งส่วนมากจะมีการแพ้ท้องหนักที่สุดประมาณสัปดาห์ที่ 10 – 11 และจะค่อยๆทุเลลงประมาณสัปดาห์ที่ 12 – 13 ซึ่งถึงแม้จะทานอะไรไม่ได้เนื่องจากอาการแพ้ท้อง แต่ช่วงนี้เด็กในครรภ์ยังมีขนาดเล็กอยู่มาก เพราะฉนั้นแค่สารอาหารที่สะสมอยู่ในร่างกายของแม่ก็เพียงพอแล้วต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์
ช่วงที่มีอาการแพ้ท้องก็ให้ทานเฉพาะอาหารที่ทานได้ในเวลาที่สามารถจะทานได้เท่านั้นก็พอ เพียงแค่ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอเท่านั้นเอง
และเนื่องจากฮอร์โมนที่ผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็อาจจะทำให้มีตกขาวเพิ่มมากขึ้น คุณแม่บางคนก็อาจจะมีสภาพจิตใจที่เปราะบางมากขึ้น หงุดหงิดง่าย หรืออาจเกิดอาการซึมเศร้าได้
เนื่องจากสภาพร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงมากเช่นนี้ จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆจนกว่าจะถึงประมาณสัปดาห์ที่ 15 ...เค้าว่าไว้อย่างนั้น



Create Date : 09 ธันวาคม 2553
Last Update : 9 ธันวาคม 2553 23:00:57 น. 0 comments
Counter : 1134 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

HappyToBeMe*
Location :
Shizuoka Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




เรียนเอกญี่ปุ่น ทำงานบริษัทญี่ปุ่น แต่งงานกับคนญี่ปุ่น มาใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น บางช่วงก็เกลียดญี่ปุ่นเข้าไส้ บางช่วงก็รักใจจะขาด ไม่นึกว่าญี่ปุ่นจะมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตมากมายขนาดนี้เลยนะเนี่ย

เพื่อการอ่านหน้าบล็อคให้ได้ตามความตั้งใจของจขบ. ลองดาว์นโหลดฟอนต์ดู ที่นี่ เลยค่ะ
ขอขอบคุณคุณ iannnnn มากๆที่สร้างสรรค์ฟอนต์สวยๆให้ได้ใช้กันนะคะ

**สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพ และ ข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุดนะคะ**

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add HappyToBeMe*'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.