Lovely Venice (1)


จากฟิเรนเซ่ เราใช้เวลากันเกือบ 3 ชั่วโมงบนรถไฟมุ่งหน้าไปยังเวนิส หรือ เวเนเซีย เมืองร้อยเกาะแห่งทะเลอะเดรียติค

..... เมืองที่ทำรูปเราหายไปเกือบร้อยรูป.... > < ใช่ค่ะ... ไฟล์รูปที่ถ่ายที่นี่เสียไปเกือบร้อยรูป ช็อค ! มากมาย มากเกินจะบรรยาย

เฮ้อ... บ่นไปก็เท่านั้น เข้าเรื่องเที่ยวของเราดีกว่าค่ะ


บรรยากาศภายในรถไฟค่ะ มีโบกี้ที่ขายอาหารโดยเฉพาะด้วย

รถไฟรอบนี้ลุ้นกว่าตอนขามาจากกรุงโรมอีกค่ะ เพราะว่าอีกแค่ไม่ถึง 10 นาทีรถก็จะออกอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีชานชลาโชว์เลยว่าต้องไปขึ้นที่ไหน ดีนะที่มีคนร่วมชะตากรรมอยู่มาก แต่ละคนก็จ้องบอร์ดด้วยอาการกระวนกระวายไม่แพ้กัน เจ้าหน้าที่สถานีก็พยายามประสานงามเต็มที่ ส่วนเราขอยืนลุ้นอยู่รอบนอก เป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ ^ ^

กว่าจะได้รู้กันว่าต้องไปขึ้นที่ไหนก็เหลือเวลาอีกไม่ถึง 5 นาที มองนาฬิกาแล้วก็ทำำใจได้เลยว่าดีเลย์แน่ 1000 เปอร์เซ็นต์ และแน่นอน มีพลาดซะที่ไหน แต่จริงๆก็ดีเลย์ไปไม่ถึง 2 นาทีหรอกค่ะ แถมวิ่งถึงจุดหมายปลายทางตามกำหนดการเดิมซะด้วย นับถือๆ

เขาว่ากันว่าเวนิสกำลังจะจม....

ที่เวนิสทรุดตัวลงเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากการฝังบ่อน้ำมากมายไว้รอบทะเลสาบเพื่อดึงน้ำมาใช้ในการอุตสาหกรรม รัฐจึงได้ยกเลิกการฝังบ่อน้ำทั้งหมดในช่วงปี 1960

แต่เมื่อทรุดไปแล้วมันก็คือทรุด เมื่อมีฝนตกหนักพร้อมกับระดับน้ำในทะเลสูงขึ้นน้ำก็เข้าท่วมเวนิสได้โดยง่ายโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และต้นฤดูใบไม้ผลิ

ตอนนี้เลยมีการสร้างประตูกั้นน้ำขึ้นมาทดลองใช้ คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในปี 2011 ต้องมาดูกันค่ะว่าจะได้ผลหรือไม่

ในที่สุดรถไฟก็พาเรามายังสถานี Santa Lucia ในเวนิส จากจุดนี้ไปจะไปไหนก็ต้องพึ่ง 2 เท้า หรือไม่ก็เรือเท่านั้น

เรือโดยสารที่นี่มีให้บริการหลายรูปแบบ เริ่มจากที่สะดวกที่สุดก็น่าจะเป็น...

Vaporetto ทำหน้าที่เหมือนรถเมล์ทั่วไป มีหลายสาย จอดรับผู้โดยสารตามป้าย ราคาค่าโดยสารก็มีหลายประเภท เช่น
ตั๋วเที่ยวเดียว (ใช้ได้ 60 นาที) ราคา 6.5 ยูโร
ตั๋ว 12 ช.ม. ราคา 16 ยูโร
ตั๋ว 24 ช.ม. ราคา 18 ยูโร
ส่วนจขบ.ใช้ตั๋ว 36 ช.ม. ราคา 23 ยูโร
หาดูรายละเอียดค่าโดยสารได้ที่ Water Bus Travel Cards

ตั๋วนี่เราสามารถหาซื้อได้ทั้งที่หน้าท่าเรือ ร้านประเภท kiosk และ tourist information ถ้าซื้อที่หน้าท่าเรือก็จะมีประทับวันเวลาที่ซื้อเลย แต่ถ้าซื้อที่ tourist information ก็ต้องเอาไปผ่านเครื่องสแกนหน้าท่าเรือค่ะ


ซ้ายบนมีเครื่องสแกนตั๋วตั้งอยู่ด้านหน้าของท่าเรือ เราก็แค่เอาตั๋วที่ซื้อมาไปแนบบนแป้นกลมๆบนตัวเครื่องเท่านั้น ง่ายมาก แต่ในไกด์บุ๊คของจขบ.ไม่ได้บอกไว้ เราก็เลยทั้งงงทั้งโง่กันอยู่นาน... ดีที่ได้นักท่องเที่ยวข้างๆช่วยเอาไว้ ^ ^ นอกนั้นก็จะมีป้ายบอกว่ามีเรือสายไหนผ่านบ้าง แล้วกำลังมุ่งหน้าไปไหน ขึ้นได้ง่ายกว่ารถเมล์ในกรุงโรมเยอะ

เรือโดยสารประเภทต่อไป.. เรือโดยสารประเภทนี้ว่ากันว่าถ้าใครมาเวนิสแล้วไม่นั่งถือว่ามา่ไม่ถึง (แต่จขบ.ไม่นั่งค่ะ ถ่ายรูปมาขนาดนี้จะว่ามาไม่ถึงก็ให้มันรู้ไป) นั่นคือเรือกอนโดลา นั่นเอง

เรือกอนโดลานี่เขาก็มีกำหนดราคาที่แน่นอนตายตัวไว้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทำตามกันซักเท่าไหร่ ราคาที่ต้องจ่ายส่วนใหญ่ก็ขึ้นกับการต่อรอง ใครไปเป็นกลุ่มก็ได้เปรียบหน่อย เพราะเขาคิดราคาต่อลำไม่ใช่ต่อคน

เรือกอนโดลานั่งได้มากสุด 6 คนต่อลำค่ะ ราคาก็ประมาณ 80 ยูโร ต่อ 40 – 60 นาที (แล้วแต่ต่อรอง แล้วแต่ฤดูกาล และก็แล้วแต่ว่าเรือลำนั้นตกแต่งสวยมากน้อยแค่ไหนด้วย)

แต่ถ้าใครอยากดื่มด่ำบรรยากาศเวนิสยามค่ำคื่น พร้อมเคล้าเสียงเพลงไปกับเรือกอนโดลา ก็มีทัวร์ไว้ให้บริการ เรียกว่า Gondola Serenade ราคาก็อยู่ที่ประมาณ 38 ยูโร แต่คิดต่อคนนะคะ

ลำดับถัดมา เหมาะสำหรับใครที่อยากนั่งเรือกอนโดลาหรืออยากมีรูปสวยๆคู่กับเรือกอนโดลาแต่จำเป็นต้องประหยัดงบ ก็สามารถเลือกใช้บริการเรือ Traghetto ได้ เรือนี่หน้าตาก็เหมือนเรือกอนโดลานั่นแหล่ะค่ะ แต่ไม่ได้มีไว้พายพาเที่ยว ไม่ได้ตกแต่งหรูหรา เพราะเขามีไว้พาข้ามฟากเท่านั้น ราคาประมาณ 0.5 ยูโร ไม่มีตั๋ว จ่ายเงินให้กับคนพายเรือโดยตรง แต่ไม่มีบริการตอนกลางคืนนะคะ

หาขึ้นได้หลายจุด เช่น แถวๆหน้าพิพิธภัณฑ์ Peggy Guggenheim Collection แต่เขาก็ไม่ได้มีที่นั่งให้นะคะ ก็แค่ข้ามฟากแป๊บเดียวนี่เนอะ แถมถ้าคนไม่เต็มเรือก็อาจจะไม่ออกด้วย

เรืออีกประเภทที่พบเห็นได้ที่นี่ แต่คิดว่าคงไม่มีใครใช้บริการซักเท่าไหร่ นั่นก็คือ เรือแท๊กซี่ หรือที่นี่เขาเรียกกันว่า Motoscafi คิดค่าโดยสารตามมิเตอร์ค่ะ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 8.7 ยูโร

ที่เวนิสนี่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง ของกินก็แพง ของฝากก็แพง แต่ก็ยังอยากมา ^ ^

เรานั่งเรือสาย 42 จากท่าเรือ Ferrovia หน้าสถานีรถไฟ มายังท่า Fond. Nuove เพื่อเข้ายังที่พัก


ที่พักของเราค่ะ ตกแต่งน่ารักเชียว ห้องอาบน้ำที่นี่แยกออกไปต่างหาก แต่เราก็ไม่กังวลว่าต้องไปแย่งใครกันเท่าไหร่ เพราะยังตื่นตีห้า หกโมงเช้ากันอยู่เลย ผิดที่ผิดทางผิดเวลากันจริงๆ

เช็คอิน จัดแจงข้าวของกันเรียบร้อยก็ออกลุยกันเลย

และที่แรกที่เราไป แน่นอนค่ะ.. ใจกลางเมือง Piazza San Macro เวลาเดินก็มองป้ายตามตัวตึกไปเรื่อย มันจะมีเขียนบอกทางไว้ (แต่ไม่ตลอด มีหายเป็นบางช่วง > <)
อย่างเช่น ป้าย Per S.Marco ก็หมายถึง ไป Piazza San Macro, ป้าย Per Rialto ก็หมายถึง ไปสะพาน Rialto
แต่ถ้าใครขี้เกียจเดิน หรือขี้เกียจจะหลง ก็นั่งเรือมาลงที่ท่า San Zaccaria ก็ได้


Basilica di San Marco หรือมหาวิหารเซนต์มาร์ค หนึ่งในตัวอย่างสถาปัตกรรมยุคไบแซนไทน์ที่เป็นที่รู้จักกันดี สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 เพื่ออุทิศให้กับนักบุญเซนต์มาร์ค ผู้ปกปักษ์รักษาเมืองนี้ ซุ้มประตูทั้ง 5 เป็นภาพโมเสกสีทองเล่าเรื่องราวการนำร่างเซนต์มาร์คกลับมาไว้ที่นี่ค่ะ

ที่นี่เปิดตั้งแต่ 9 โมง 45 ถึงห้าโมงเย็น (ถึง 4 โมง 45 ในเดือนต.ค.ถึงมี.ค.)
และต้องแต่งตัวสุภาพนะคะ ห้ามแขนกุด ขาสั้น รองเท้าแตะ


หอนาฬิกาเซนต์มาร์ค หรือ Torre dell’ Orologio มีสิงโตมีปีกสัญลักษณ์ของเซนต์มาร์คประดับอยู่ด้วย


หอระฆังที่นี่สร้างจากอิฐแดง สูง 96.8 เมตร และที่โชคดีก็คือ ที่นี่มีลิฟท์ให้ขึ้นไปชมทัศนียภาพด้านบนได้ในราคา 6 ยูโรค่ะ

ขวาล่างคือ Palazzo Ducale หรือ Doge's Palace พระราชวังสไตล์โกธิค ที่เคยเป็นทั้งที่พำนักของผู้ว่าการรัฐ, รัฐสภา, ศาล รวมไปถึงคุก

เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 1 ทุ่ม (ถึง 5 โมงเย็นในเดือนพ.ย. – มี.ค.)

สถานที่ท่องเที่ยวที่เวนิสนี่มีทั้งแบบที่ซื้อตั๋วแยกเที่ยวแต่ละที่ได้ และแบบที่ขายเป็นตั๋วรวมเท่านั้น

อย่างเช่น ตั๋ว Museum Card (Biglietto per I Musei di Piazza San Macro) ราคา 12 ยูโร ใช้เข้าได้ทั้ง Palazzo Ducale, Museo Civico Correr, Museo Archeologico Nazionale และห้องสมุด Monumental Rooms of Biblioteca Nazionale Marciana ซึ่งสถานที่ 4 แห่งนี้ไม่มีขายตั๋วแยก

ลองเข้าไปดูรายละเอียดอื่นๆได้ที่ Venezia Museum ค่ะ


สะพาน Ponte dei Sospiri หรือ Bridge of Sighs สะพานสู่ความตาย

สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นภายหลังในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 เชื่อมต่อระหว่าง Palazzo Ducale กับคุกใหม่ นักโืทษที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด จะถูกนำตัวมาที่คุกใต้ดินผ่านสะพานแห่งนี้ ว่ากันว่าเมื่อข้ามพ้นสะพานนี้ไปแล้วก็จะไม่มีวันได้กลับมาอีก แต่ก็ยังมีคนสามารถแหกคุกออกมาได้นะคะ


โบสถ์ San Giorgio Maggiore บนเกาะชื่อเดียวกัน สามารถนั่งเรือสาย 82 ไปเที่ยวชมกันได้


บรรยากาศ Santa Maria della Salute จากบริเวณลานหน้า Palazzo Ducale

เห็นภาพบรรยากาศยามเย็นของโบสถ์แห่งนี้จากมุมไกลแล้ว ยิ่งดึงดูดให้เราอยากลองเข้าไปสัมผัสใกล้ๆกันดูบ้าง
เราสองคนเลยนั่งเรือสาย 1 จาก San Zaccaria ไปยังท่า Salute กันค่ะ


บริเวณ Piazza San Macro จากมุมไกลกันบ้าง


ถึงแล้วค่ะ โบสถ์ Santa Maria della Salute โบสถ์หินอ่อนสไตล์บารอค ด้านในบาทหลวงกำลังทำพิธีอยู่พอดี

โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อขอบคุณพระแม่มาเรียที่หยุดยั้งการระบาดของกาฬโรคในขณะนั้น

นั่งสงบจิตสงบใจกันซักพักก็ออกเดินทางกันต่อ ทีนี้ขอนั่งเรือชม Grand Canal กันบ้าง คนข้างๆก็ถามว่าอยากนั่งกอนโดลามั๊ย ...เคยฝันว่าอยากนั่งมากกกกกกก แต่พอเอาเข้าจริงก็รู้สึกว่ามันแพงเกิน นี่จขบ.งกไปหรือเปล่าคะเนี่ย > <

การนั่งเรือชม Grand Canal ของเราเลยมาลงเอยที่ Vaporetto เจ้าเก่าเจ้าเดิม


ระหว่างทางจาก Santa Maria della Salute ไปก่อนถึงสะพาน Rialto


สะพาน Ponte di Rialto สะพานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสะพานข้าม Grand Canal ทั้ง 4 แห่ง (อีก 3 แห่ง คือ สะพาน Ponte degli Scalzi หน้าสถานีรถไฟ สะพาน Ponte dell'Accademia บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ Gallerie dell’ Accademia และสะพานล่าสุด Ponte della Costituzione เชื่อมระหว่างสถานีรถไฟกับจัตุรัส Piazzale Roma เพิ่งเปิดใช้ไปเมื่อปี 2008 นี่เอง)

บริเวณ 2 ฝากฝั่งและบนตัวสะพาน Rialto เองมีร้านขายของเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด เดินเล่นหาของฝากได้ไม่เบื่อ (แต่อาจจะเบื่อเพราะเลือกไม่ถูกแทน)


ระหว่างทางเราเจอกับโบสถ์ San Stae ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่จัดแสดงคอนเสิร์ตอยู่บ่อยครั้ง แล้วอยู่ๆก็มีเรือพยาบาลแล่นผ่าน (เรียกว่าเรือพยาบาลได้ใช่ไหมคะ ก็เขาเขียนว่า “Ambulance”) เร็วมากกกกกสมกับเป็นเรือฉุกเฉินจริงๆ


ฟ้ามืดเร็วมากเลยค่ะ ตอนขึ้นเรือยังสว่างอยู่เลย พอมาลงเรือที่ท่า Ferrovia หน้าสถานีรถไฟ ฟ้าก็มืดซะแล้ว แถมหนาว........มากอีกด้วย เราสองคนเลยเดินกลับโรงแรมไปหาอุปกรณ์เพิ่ม จะได้อุ่นๆพร้อมออกมาลุยหนาวหาอะไรทานกันอีกที ที่นี่หนาวกว่าโรม กว่าฟลอเรนซ์เยอะเลย เริ่มหนาวเร็วด้วย ฟ้ายังไม่ทันมืดตัวก็เริ่มสั่นแล้ว


อาหารมื้อเย็นของวันนี้ ง่ายๆและ....ไม่อร่อยอ่ะ > <



Create Date : 07 ธันวาคม 2552
Last Update : 8 ธันวาคม 2552 11:18:31 น. 0 comments
Counter : 892 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

HappyToBeMe*
Location :
Shizuoka Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




เรียนเอกญี่ปุ่น ทำงานบริษัทญี่ปุ่น แต่งงานกับคนญี่ปุ่น มาใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น บางช่วงก็เกลียดญี่ปุ่นเข้าไส้ บางช่วงก็รักใจจะขาด ไม่นึกว่าญี่ปุ่นจะมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตมากมายขนาดนี้เลยนะเนี่ย

เพื่อการอ่านหน้าบล็อคให้ได้ตามความตั้งใจของจขบ. ลองดาว์นโหลดฟอนต์ดู ที่นี่ เลยค่ะ
ขอขอบคุณคุณ iannnnn มากๆที่สร้างสรรค์ฟอนต์สวยๆให้ได้ใช้กันนะคะ

**สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพ และ ข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุดนะคะ**

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add HappyToBeMe*'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.