Philippines… 1st day in Mactan


ขากลับไปเซบุเราใช้บริการเรือของอีกบริษัทค่ะ เป็นเรือของ Oceanjet ค่าเรือนี่ก็เท่ากับเรือของ Super Cat ค่ะ อยู่ที่ 500 เปโซ แต่ว่าบริษัทนี้นี่ถ้ามีกระเป๋าใบใหญ่คิดเพิ่มใบละ 70 เปโซ เราโดนกันไป 2 ใบค่ะ > < นอกนั้นก็มีเสียค่าใช้บริการท่าเรืออีก 11.25 เปโซ


เรือของ Oceanjet นี่ลำใหญ่กว่าของ Super Cat แต่นอกนั้นทั้งบริการและเวลาเดินทางก็เหมือนกันหมด

เรือพาเรามาส่งที่ท่าเรือที่ 1 ค่ะ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเกาะ Mactan เราตั้งใจว่าจะแวะเข้าไปชม Fort San Pedro ป้อมปราการที่เก่าที่สุดของฟิลิปปินส์กันซักหน่อย แต่กว่าจะออกมาจากท่าเรือได้ ก็ต้องผจญกับบรรดาแท็กซี่เรียกลูกค้ากันอีกยก...

ดูๆไปก็น่าสงสารนะคะเราว่า คนที่นี่ยังจนกันมากกกกก งานที่มีทำก็ไม่หลากหลายเลยต้องมาแย่งกันเอง อย่างชาวบ้านที่นี่เวลาจะไปไหนทีก็นั่งจิปนี่ หรือไม่ก็รถที่เหมือนรถกะป๊อบ้านเรา ...ก็มันถูก ส่วนแท็กซี่ สามล้อนี่วิ่งรถว่างๆกันเกลื่อนเมือง ถ้าไม่มาเรียกลูกค้าชาวต่างชาติ เค้าก็คงไม่มีอะไรเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเหมือนกัน

หรืออย่างร้านขายอาหารแผงลอยข้างทางนี่ 20 ร้านเมนูเดียว ขายของเหมือนกันหมด แล้วจะไปขายใครได้

หรืออย่างนายหน้าทั้งหลายที่หาด Alona Beach ที่เราเพิ่งไปกันมา ทุกคนบนหาด มีกี่คนไม่รู้ล่ะ 20 – 30 คนหรือมากกว่า ...แต่ขายของ (ทัวร์พาเที่ยว หรือไม่ก็โรงแรม) เหมือนกันหมด ไม่ใช่เหมือนแค่พาไปที่เดียวกัน แต่เหมือนแม้กระทั่งราคา ทุกอย่างเลยขึ้นอยู่กับความเร็ว วาทศิลป์ และที่สำคัญก็คือดวงว่าใครจะได้ลูกค้าไป

...แต่จากท่าเรือไปป้อมปราการนี่เราไม่ต้องใช้บริการรถแท็กซี่ค่ะ เพราะเดินไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง


ป้อมปราการ Fort San Pedro สร้างขึ้นในปี 1738 โดยรัฐบาลสเปนที่เข้ามาปกครองเซบุ เพื่อใช้รับมือกับการรุกรานของชาวมุสลิม พอถึงยุคเปลี่ยนมือมาขึ้นกับอเมริกา ที่นี่ก็ถูกนำมาใช้เป็นค่ายทหารของทหารอเมริกัน จากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นสถานที่กักกันนักโทษของทหารญี่ปุ่นแทน

ค่าผ่านประตู 21 เปโซค่ะ

ได้เวลาโยกย้ายไปเข้าที่พักกันแล้ว เราเรียกแท็กซี่จากบริเวณหน้าป้อมปราการนั่นแหล่ะค่ะ มีขับผ่านมา 1 คัน ไม่มีใครมาแย่งลูกค้าเลย 555 ต่อรองได้มาที่ราคา 300 เปโซ ...ไม่ยอมใช้มิเตอร์กันจริงๆ

เราไม่รู้กันหรอกค่ะว่าจากป้อมปราการไปถึงโรงแรมของเราที่เกาะ Mactan เนี่ยมันใกล้ไกลมากแค่ไหน พี่แท็กซี่เองที่ยอมให้ที่ 300 เปโซนั่นก็อาจจะเพราะว่ายังไม่ได้ลูกค้าเลยซักคนก็เป็นได้ เพราะพอขับมาถึงโรงแรมเท่านั้นแหล่ะค่ะ ถึงกับร้องโอย.. บ่นว่าไกลจัง แถมขอเพิ่มอีกซัก 50 เปโซ ไอ้เราก็ใจแข็ง ...คำไหนคำนั้นซิคะพี่ แต่พอลงรถกันมาได้ก็มานึกสงสาร (อีกแล้วค่ะ เหอๆ) เพราะมันไกลเกินกว่าระยะ 300 เปโซจริงๆน่ะค่ะ

...จริงๆถ้าพี่แท็กซี่แกใช้มิเตอร์ตั้งแต่แรก แกก็อาจจะได้ค่ารถมากกว่านี้ก็ได้นะเนี่ย

เราเข้าพักกันที่โรงแรม Cebu White Sands ค่ะ เป็นโรงแรมเดียวที่จองมาตั้งแต่ที่ญี่ปุ่น นอกนั้นมาหาเอาดาบหน้าหมด โรงแรมนี้สวยดีทีเดียวค่ะ ^ ^


บรรยากาศภายในบริเวณโรงแรม


ห้องพักของเราที่นี่ค่ะ

เราเข้าพักที่นี่ทั้งหมด 3 คืน ห้องพักตกแต่งสวยมาก ประทับใจ ^ ^ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ หลังจากที่พักโรงแรมมาหลายระดับราคาจนมาถึงที่นี่ “ผ้าห่ม” ก็เหมือนกันหมดทุกที่ คือบางมากกกกกกกราวกับเป็นผ้าปูเตียง ไม่สามารถช่วยให้้ร่างกายอบอุ่นได้เลยแม้แต่น้อย ก็เข้าใจอ่ะนะคะว่าเป็นเมืองร้อน แต่ผ้าห่มมันก็ไม่ควรบางขนาดนี้ ไม่รู้พวกโรงแรมอินเตอร์ทั้งหลายจะเป็นแบบเดียวกันรึเปล่า

Check in เก็บข้าวเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็ไม่รอช้าเลยค่ะ ออกไปหาอะไรกินกันทันที อาหารโรงแรมก็มีแต่ไม่กิน 55 ก็มันไม่ได้บรรยากาศ (ฟิลิปปินส์) นี่นา....

เราจะไปตลาดปลา Mactan Shurine Fish Market กัน

...ออกมานอกประตูโรงแรมปุ๊บก็เจอสามล้อเรียกเลยค่ะ ถามไถ่ราคาแล้วก็อยู่ที่ 50 เปโซ แต่เราไม่รู้ราคาปกติเลยเดินไปเรื่อยๆ เรียกรถกะป๊อ..แต่พี่ท่านก็บอกว่าไม่ผ่าน เลยแอบถามคุณลุงที่นั่งบนรถว่า ถ้านั่งสามล้อไปอยู่ที่เท่าไหร่ แกก็บอกว่า 30 เปโซ แต่ถ้ารถกะป๊อนี่อยู่ที่ 7 เปโซเท่านั้นนะ

...คนฟิลิปปินส์ใจดีแบบนี้มีอยู่มากค่ะ มากจริงๆ ถ้าเค้าไม่ได้เกี่ยวกับการหาเงินเข้ากระเป๋าแล้วล่ะก็... ยังไม่เจอใครที่ไม่น่ารักเลยค่ะ

จากที่หน้าโรมแรมเราไม่มีรถคันไหนเลี้ยวไป Fish Market (...ไม่อยากจะแปลว่าตลาดปลา เพราะมันไม่ใช่น่ะค่ะ) ก็เลยต้องนั่งรถกะป๊อไปลงกลางทาง แล้วเดินเอาอีกนิดหน่อย

ก่อนจะทานมื้อเย็น เราสองคนแวะเข้าไปทักทายสองคนสำคัญของเซบุกันก่อน


อนุสรณ์สถานแมกเจลแลน (Magellan’s Marker)

เฟอร์ดินานท์ แมกเจลแลน ต้องมาจบชีวิตลงที่ฟิลิปปินส์ในปี 1521 ปีที่เขาเดินทางมาถึงฟิลิปปินส์นั่นเอง กษัตริย์ฟิลิปปินส์ Rajah Humabon ได้ให้การต้อนรับแมกเจลแลนเป็นอย่างดี ถึงขั้นเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เลยทีเดียว แต่ก็มีชนพื้นเมืองบนเกาะ Mactan ที่ต่อต้านการเข้ามาของต่างชาติ ซึ่งนำโดย Lapu-Lapu ส่งผลให้กษัตริย์ Rajah Humabon เอ่ยปากขอให้แมกเจลแลนไปช่วยปราบปรามการแข็งข้อครั้งนี้ แต่แล้วการต่อสู้ครั้งนั้นก็กลับทำให้แมกเจลแลนต้องมาเสียชีวิตลงในระหว่างการต่อสู้นั่นเอง


อนุสาวรีย์ Lapu-Lapu ภายในบริเวณใกล้เคียงกับอนุสรณ์สถานแมกเจลแลน

การต่อต้านและสังหารแมกเจลแลนในครั้งนั้น ทำให้เขาได้รับเกียรติให้เป็นวีรบุรุษในฐานะผู้ที่ปกป้องประเทศชาติจากการรุกรานของต่างชาติ

...ถึงเวลาอาหารแล้วค่ะ ^ ^ เราเดินย้อนกลับมาที่ Fish Market กันอีกที ร้านอาหารที่นี่มีให้เลือกอยู่ประมาณ 5 – 6 ร้านได้ เดินไปเดินมาวนอยู่ 38 ตลบก็ตัดสินใจกันไม่ถูก เลยเดินเข้าร้านตรงกลางมันซะเลย 55


หน้าตาก็เหมือนพวกร้านซีฟู้ดบ้านเรานี่แหล่ะ แต่หากินไม่ได้ในญี่ปุ่น แค่เดินผ่านก็น้ำลายสอ... ^ - ^

ดนตรีตามโต๊ะที่นี่นอกจากจะเป็นพวกกีตาร์แล้ว ที่แปลกตาก็คือ เจ้าฮาร์พนี่แหล่ะค่ะ แบกฮาร์พมาหากินกันเลย นับถือจริงๆ แต่เล่นเพราะนะ ใช้ได้เลย


วิวถ่ายจากร้าน เป็นป่าชายเลนค่ะ เสียดาย... แถมแนวต้นไม้นั่นก็บังมุมพระอาทิตย์ตกดินพอดี

ที่นี่อาหารก็อร่อย ราคาก็ไม่ถูกไม่แพง ใช้เป็นที่ฝากท้องได้เลยค่ะ แต่ก็มีข้อเสียอยู่ 2 อย่าง

อย่างแรก ร้านใกล้ๆกันเป็นโต๊ะสนุกเกอร์พ่วงคาราโอเกะ วันนั้นที่เราไปนี่ตั้งแต่เข้าไปนั่งในร้านยันกินเสร็จ ก็มีเสียงเพลงขับกล่อม ดังมากกว่า 180 เดซิเบล (เพราะรบกวนโสตประสาทมากๆ) จากนักร้องคนเดียว ที่เพี้ยนมันทุก....เพลง

อย่างที่สอง “Hey, give me money!” เป็นเสียงเด็กคนหนึ่งที่เดินเข้ามาจากดินเลนแถวนั้น ตะโกนเข้ามายังที่นั่งของเราสองคน ...เป็นการขอเงินที่ชัดเจน และหยาบคายมาก แถมน่ารำคาญสุดๆ ไม่ให้เด็กนั่นก็ไม่ไป พูดอยู่ประโยคนี้ประโยคเดียว จนเด็กในร้านต้องออกมาไล่ ซักพักพอมืดลงหน่อยก็เข้ามาอีกด้วยประโยคเดิม ตรูล่ะเซ็ง !

อีกอย่างที่ไม่เชิงเป็นข้อเสีย แต่เป็นความไม่รู้ของเราเองมากกว่า คือราคาอาหารใดๆที่เราชี้ๆให้เค้าชั่งน้ำหนักให้เพื่อดูว่าราคามัันเท่าไหร่ๆนั่นน่ะ ราคาที่บอกเป็นเพียงราคาของเจ้ากุ้ง หอย ปู ปลาตัวนั้นๆเท่า่นั้นค่ะ พอเช็คบิลมางงเลย ทำไมมันแพงกว่าที่คำนวณไว้ล่ะ... ที่แท้ก็...เค้ายังไม่ได้บวกค่าปรุงอาหารเข้าไปนั่นเอง > <

มาดูไฟโรงแรมสวยๆหลังจากมือเย็นของเรากันดีกว่าค่ะ ^ ^


ยังมีเวลาอยู่ที่นี่อีก 2 วัน แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรกันดี > <



Create Date : 01 พฤษภาคม 2553
Last Update : 1 พฤษภาคม 2553 19:26:00 น. 2 comments
Counter : 1392 Pageviews.

 
หวังว่าสักวันเราคงได้ไปประเทศนี้มั่ง


โดย: marzo วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:04:06 น.  

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:23:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

HappyToBeMe*
Location :
Shizuoka Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




เรียนเอกญี่ปุ่น ทำงานบริษัทญี่ปุ่น แต่งงานกับคนญี่ปุ่น มาใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น บางช่วงก็เกลียดญี่ปุ่นเข้าไส้ บางช่วงก็รักใจจะขาด ไม่นึกว่าญี่ปุ่นจะมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตมากมายขนาดนี้เลยนะเนี่ย

เพื่อการอ่านหน้าบล็อคให้ได้ตามความตั้งใจของจขบ. ลองดาว์นโหลดฟอนต์ดู ที่นี่ เลยค่ะ
ขอขอบคุณคุณ iannnnn มากๆที่สร้างสรรค์ฟอนต์สวยๆให้ได้ใช้กันนะคะ

**สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพ และ ข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุดนะคะ**

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add HappyToBeMe*'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.