Happy Society สุดท้ายทุกข์สุขมันเรื่องเดียวกัน งั้นมีความสุขแบบง่ายๆดีกว่า ทุกข์ก็จะง่ายๆไม่ใหญ่เช่นเดียวกัน

สถิติต้องบันทึกของดาวซัลโวฟุตบอลโลก 2014

ฟุตบอลโลก 2014 เป็นฟุตบอลโลกครั้งที่ 20 แล้ว ซึ่งครั้งนี้ถือว่าน่าจะเป็นฟุตบอลโลกที่มีแมทช์พลิกล็อคมากที่สุดก็ว่าได้และขณะเดียวกันก็น่าจะเป็นปีที่มีการถล่มประตูกันมากมายจนแทบจะคาดเดาดาวซัลโวกันได้ยากโดยเฉพาะรอบแรกก็มีดาวบอลโลกซัลโวสูงสุด 4 ลูกแล้วในขณะที่ยังเหลือการแข่งขันอีก 4 นัดสำหรับทีมชนะเลิศ

ใน 19 ครั้งที่ผ่านมามีสถิติตัวเลขน่าสนใจเกี่ยวกับดาวซัลโว ในฟุตบอลโลก ดังนี้

ดาวซัลโวที่สูงที่สุดคือ

13 ลูกในปี 1958 ที่สวีเดน โดยนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส จุสต์ ฟองแตง

11 ลูกในปี 1954 ที่สวิสเซอร์แลนด์ โดยนักฟุตบอลชาวฮังการี ซานโดร์ ค็อกซิส

10ลูกในปี 1970 ที่เม็กซิโกโดยนักฟุตบอลชาวเยอรมันนีเกิร์ด มุลเลอร์

แม้บอลโลกจะจัดมา 19ครั้งแล้ว แต่มีดาวซัลโวทั้งหมด 27 คนเพราะบางปีมีดาวซัลโวสูงสุดร่วมกัน ดังนี้

6 คนในปี 1962 ที่ชิลีได้แก่ ฟลอเรียน อัลเบิร์ต (ฮังการี) วาเลนติน อิวานอฟ(สหภาพโซเวียต) ดราเซน เจอร์โควิค (ยูโกสลาเวีย) ลีโอเนลซานเชซ (ชิลี) วาว่า และการ์รินช่า (บราซิล) ที่4 ประตูเท่ากัน

3 คนในปี 1934 ที่อิตาลี ได้แก่ โอลดริช เนเจดลี (เชคโกสโลวาเกีย) เอ็ดมุนด์ โคเนน(เยอรมนี) และแองเจโล สเชียวิโอ (อิตาลี) ยิงไป 4 ประตูเท่ากัน

2 คนในปี 1994 ที่อเมริกา ได้แก่ ฮริสโตสตอยช์คอฟ (บัลกาเรีย) กับโอเล็ก ซาเลนโก้ (รัสเซีย) ที่ 6 ประตูเท่ากัน

ส่วนประเทศที่มีดาวซัลโวสูงสุดได้แก่

บราซิล 5 คนได้แก่ ปี ลีโอนิดาส (1938) 8 ประตู, อะดีเมียร์ (1950) 9 ประตู, วาว่าและการ์รินช่า (1962) 4 ประตู และ โรนัลโด (2002) 8 ประตู

เยอรมัน 4 คนได้แก่ปี เอ็ดมุนด์ โคเนน (1934) 4 ประตู,เกิร์ด มุลเลอร์ (1970) 10 ประตู, มิโลสลาฟโคลเซ่ (2006) 5 ประตู และ โธมัสมุลเลอร์ (2010) 5 ประตู

อิตาลี 3 คนได้แก่แองเจโล สเชียวิโอ (1934) 4 ประตู,เปาโล รอสซี่ (1982) 6 ประตู และ ซัลวตอเร่สคิลลาชี่ (1990) 6 ประตู

จำนวนประตูสูงสุดที่ส่วนใหญ่ดาวซัลโวทำกันได้คือ 4 ประตูมีถึง 9 คน และ 6 ประตูที่ 7 คน

ถ้านับตามปีที่จัดแล้ว (ปี 1962 มีดาวซัลโวถึง 6 คนที่4 ประตู) จำนวนประตูสูงสุดที่ส่วนใหญ่ทำได้ก็จะเป็น6 ประตู ที่เกิดขึ้นใน 6 ครั้ง คือตั้งแต่ปี 1978 1982 1986 1990 1994 1998 แถมเป็น 6 ครั้งติดต่อกันที่ดาวซัลโวสูงสุดอยู่ที่ 6 ประตูหลังจากนั้นปี2002 ดาวซัลโวมาอยู่ที่ 8 ประตู โดย โรนัลโด้ของบราซิลส่วนรองลงมาก็คือ 8 ประตูที่เกิดขึ้นใน 3 ครั้งคือในปี 1930 1950 และ 2002 ส่วนดาวซัลโว 4 ประตูที่มีถึง 9 คนกลับเกิดขึ้นในบอลโลกเพียง 2 ครั้ง คือในปี 1934 (3 คน) และปี 1962 (6คน)

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสถิติเล็กๆน้อยๆพอเรียกน้ำย่อยให้สะกิดใจคนดูบอลโลกครั้งนี้ว่า ควรจับตาคนที่จะเป็นดาวซัลโวสูงสุดในปี2014 นี้ยังไงบ้าง

ส่วนจะเป็นใครบ้างนั้นที่น่าจะเป็นตัวเต็งดาวซัลโวฟุตบอลโลก 2014 ในครั้งนี้ 

สามารถติดตามประวัติเพิ่มเติมที่น่าสนใจได้ที่ //bit.ly/sanvo-worldcup-2014




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2557   
Last Update : 27 มิถุนายน 2557 21:10:12 น.   
Counter : 1229 Pageviews.  

เทคนิควิธีหุงข้าวหอมมะลิให้หอมอร่อย ขึ้นหม้อ และไม่แฉะ

จากคราวที่แล้วที่ผมเกริ่นว่า หม้อหุงข้าวยี่ห้อไหนดีผมมีคำตอบ นั้น เหมือนหลอกให้หลายๆคนอ่านแล้วก็มาจบลงที่การให้ความสำคัญของข้าวมากกว่าอุปกรณ์เครื่องใช้นะครับมาอันนี้ก็เช่นเดียวกัน ถือว่าพบกันครึ่งทางระหว่างตัวข้าวกับหม้อไฟฟ้า แต่มันคือ“วิธีหุงข้าวสวย” นั่นเอง

น่าแปลกไหมครับที่เราไปใส่ใจหม้อหุงข้าวไฟฟ้าสารพัดรูปแบบและเทคโนโลยีแต่สุดท้ายก็มาจบลงเหมือนที่โน้ส อุดมเล่าไว้ในเดี่ยว10 ว่า “หุงข้าว จำไว้ข้อเดียว” คือให้น้ำสูงท่วมข้าวขึ้นมาข้อนิ้วมือเดียว สรุปว่าไม่มีแฉะไม่มีแข็งอร่อยกินได้หมด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก แปลกมากๆครับ ทั้งๆ ที่ข้าวสารมีหลายชนิดแต่มาจบลงที่ข้อเดียวอย่างที่โน้ส อุดมว่าและทุกคนก็เห็นด้วย

ทำไมข้าวสารหลายๆ ยี่ห้อเขาถึงไม่ลงวิธีการหุงไว้ล่ะครับ แต่บรรดาหม้อหุงข้าวไฟฟ้าทั้งหลายดันมีวิธีการหุงข้าวถึงขนาดทำเป็นคู่มือก็มีพอใช้จริงก็ไปจบลงที่ข้อเดียวเช่นกัน หรือว่า น้ำข้อเดียว เป็นเหมือนยาผีบอกที่รักษาโรคประหลาดได้อย่างชะงักงันที่ตัวผมเองยังเชื่อสนิทใจ


ดังนั้น เทคนิควิธีหุงข้าวหอมมะลิให้หอมอร่อยขึ้นหม้อ และไม่แฉะนั้น พอมีวิธีครับ แต่ไม่มีสูตรตายตัว คุณๆ ทั้งหลายต้องใช้การสังเกตและปรับเทคนิควิธีหุงข้าวสวยในแต่ละครั้งกันเองเริ่มจากดูข้าวสารหรือหอมมะลิที่คุณจะหุงก่อนนะครับว่า เป็นข้าวเมล็ดแบบไหน แข็งหรือแห้งหรือไม่ได้ถูกขัดสีเยอะ มีวิธีดูแค่นั้นจริงๆ ครับ ข้าวที่สีขาวจัดเพราะโดนขัดจนเจอเนื้อข้าวเมล็ดข้าวจะเปราะบางก็ให้ซาวน้ำเบามือ อันนี้ทดลองดูได้ ข้าวขาวเหมือนกันลงน้ำข้อเดียวเหมือนกัน อันนึงซาวน้ำ 2-3 ครั้ง อีกอันนึงไม่ได้ซาวน้ำคือเติมน้ำลงไปแล้วหยิบเศษผงที่ลอยขึ้นมาผลการหุงจะได้ข้าวที่ต่างกันเลย ข้าวที่ซาวน้ำมากจะแฉะกว่าครับ ไม่น่าอร่อยขณะที่ข้าวซาวน้ำน้อยก็จะฟูขึ้นหม้อดูน่ากินกว่า

ยกเว้นข้าวที่ขัดสีน้อย เช่นข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือนั้น เนื่องจากเม็ดข้าวยังมีอะไรเคลือบอยู่ การดูดน้ำอมน้ำก็จะยากขึ้นข้าวชนิดนี้จะซาวครั้งเดียว หรือมากครั้งก็ไม่ต่างกัน แต่จะซาวน้ำกี่ครั้ง ผมก็จะแอบเก็บน้ำซาวข้าวไว้ใช้ประโยชน์อื่นอีก เพราะเสียดายคุณค่าที่มีในน้ำซาวข้าว

สำหรับผมแล้ว ก็นิยมซาวน้ำน้อยหรือแทบไม่ถ่ายน้ำทิ้งครับ เพราะมีสมมติฐานว่า ข้าวสารบรรจุถุงเดี๋ยวนี้มีกระบวนการผลิตที่สะอาดแล้วเลยไม่อยากซาวน้ำให้วิตามินที่มีน้อยนิดละลายหายไปกับน้ำที่เททิ้ง ดังนั้นการหุงข้าวหอมมะลิชนิดข้าวกล้องอาจแช่น้ำทิ้งไว้ซัก 5-10 นาทีก่อนหุง จะได้มีเวลามากกว่าข้าวใส่น้ำแล้วหุงทันทีไปดูดน้ำเพื่อสร้างความฟูให้เม็ดข้าวนิ่มเอา

จากนั้นก็ดูว่า ข้าวหอมมะลิที่เราซาวน้ำน้อยหรือข้าวกล้องที่เราแช่น้ำไว้นานหน่อยมันออกมาแข็งไปอีกหรือเปล่า ถ้ามี ก็เติมน้ำให้ข้าวหอมมะลิหนานิดนึงในครั้งหน้า ส่วนข้าวกล้องก็แช่น้ำให้นานกว่าเดิมเท่านั้นเอง

และไฮไลท์ของการหุงข้าวหอมมะลิที่หม้อหุงข้าวไฟฟ้าช่วยไม่ได้คือ เรื่องความหอม อันนี้ยอมรับเสียเถอะครับว่า ความหอมมันอยู่ที่ข้าวไม่ได้อยู่ที่วิธีการหุงหรือหม้อแต่อย่างไรอาจมีบ้างเพราะความร้อนในการหุงพึ่งเสร็จใหม่ๆที่มันจะไปรีดกลิ่นที่เกิดจากความร้อนนั่นเป็นเรื่องธรรมดาแต่ถ้าทิ้งไปสักระยะไม่ต้องถึงกับเย็น แค่อุ่นๆ ข้าวก็ไม่มีกลิ่นแล้วเว้นเสียแต่ข้าวนั้นเป็นข้าวพันธ์หอมมะลิจริงๆ ก็ว่ากันอีกทีครับ วิธีการหุงมันก็มีแค่นี้แหละ

กลับมาเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ว่า ทำไมถึงไม่มีเคล็ดลับวิธีการหุงข้าวให้อร่อยกำกับไว้ที่ถุงบรรจุแล้วทำไมเราต้องฝากความหวังวิธีการหุงข้าวให้อร่อยไว้กับหม้อหุงข้าว เพราะหม้อไม่รู้หรอกว่าเราเอาข้าวสารยี่ห้ออะไรมาหุงงงเหมือนผมไหมครับ ทำให้ผมคิดต่อว่า จริงๆ แล้ว ข้าวสารที่ขายกันอาจมีคุณสมบัติที่ไม่แน่นอนจนระบุวิธีการหุงได้แสดงว่าเรากำลังเจอข้าวสารที่มีคุณสมบัติไม่คงที่อยู่รึเปล่า แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเราจะหาข้าวสารดีๆ มาหุงข้าวสวยอร่อยๆ กินได้อย่างไร… และแปลกกว่านั้นอีกตรงที่เคยเห็นข้าวสารบรรจุถุงยี่ห้อไหนบอกวิธีหุงอย่างละเอียดไหมครับข้าวกี่ส่วนน้ำกี่ส่วน หายากนะครับ แทบจะไม่มี แต่ผมก็เริ่มเห็นบ้างในบางยี่ห้ออย่างข้าวหอมมะลิพันดีที่ผมลองซื้อมาหุงข้าวสวยในวันนี้


คลิก(เวบ)อ่าน พลิก(หนังสือ)อ่าน ก็ได้ความว่า ข้าวหอมมะลิที่ผมควรหาซื้อมาหุงกิน ควรมีความปลอดภัยและมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยโดยข้อแรกที่ต้องคำนึงและถือเป็นกฏเหล็กเลย คือ ข้าวต้องไม่ตัดต่อพันธุกรรม เพราะข้าวที่ตัดต่อสายพันธ์เพื่อการตลาดมากกว่าคุณภาพทางสารอาหารอาจมีผลร้ายต่อสุขภาพของเราด้วย ยกตัวอย่างอะไรดีล่ะ เช่นมะเขือเทศที่ตัดต่อยีนส์ให้มีเปลือกหนา ไม่ช้ำ เพื่อง่ายต่อการขนส่งแต่ด้อยคุณค่าและรสชาติทางอาหารอย่างยิ่ง หรือถ้าหนักกว่านั้น พืชที่ผ่านการตกแต่งพันธุกรรมหลายตัวมีผลต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกายของเราแน่นอนข้าวหลายยี่ห้อที่ไม่ได้บอกบนถุงว่าเป็นข้าวจากการตัดแต่งพันธุกรรมโปรดเชื่อเถอะว่า มีโอกาสที่คุณจะได้ข้าวตกแต่งพันธุกรรม 90% เลยครับ มาถึงตรงนี้คงช่วยตัดยี่ห้อไปได้มากเลยนะครับ

อันถัดมาก็แน่นอนครับดูที่พันธ์เป็นข้าวพันธ์ดีไหม ปลูกในที่ที่ดีไหมข้าวสายพันธ์เดียวกันปลูกในดินต่างถิ่นกันก็ให้รสชาติและความอร่อยที่แตกต่างกันว่ากันว่าผลไม้หลายชนิด ดินเป็นผู้กำหนดรสชาติและความอร่อย เหมือนไร่องุ่นกับไวน์นั่นแหละ

ดังนั้นองค์ประกอบของแหล่งที่มาจึงเป็นเรื่องสำคัญและหากมีการปลูกซ้ำไปเรื่อยๆ หมายถึงการเอาข้าวที่ได้มาเพาะเมล็ดเพื่อปลูกใหม่ ก็ทำให้ข้าวนั้นแข็งแรงและต้านทานโรคได้ดีรวมถึงส่งต่อให้คนกินด้วย ข้อนี้ก็จะสอดคล้องกับข้อแรกก็คือไม่ใช่ข้าวที่มาจากการตัดแต่งพันธุกรรมแน่นอนเพราะข้าวเหล่านี้จะเพาะเมล็ดมาปลูกใหม่ไม่ได้ ทำให้ผมเพิ่มเรื่องความสำคัญของแหล่งปลูกที่ดีด้วย

อย่างวันนี้ก็ลองหุงข้าวที่มีคุณสมบัติครบ2 อย่างที่ว่าดูแล้วยังหุงตามสัดส่วนที่แนะนำด้านหลังถุงด้วย (มีแอบลุ้นเล็กน้อย) เพราะน้ำสูงขึ้นมาไม่ถึงข้อนิ้วเดียวตามความเคยชินแต่พอหุงแล้วก็ได้กลิ่นข้าวหอมอ่อนๆ ชวนน่าหิวจริงๆ พอเปิดฝาหม้อก็เห็นข้าวเม็ดสวยหุงขึ้นหม้อเรียงอยู่ข้างในทำให้แปลกใจว่าข้าวหอมมะลิที่ได้ไม่แข็งเกินไปอย่างที่กังวล พอตักกินแล้วก็โอเคกับเม็ดข้าวที่นิ่มอร่อยไม่แฉะและหอมติดจมูกดีครับ


สุดท้ายเหมือนเรื่องที่เราได้ยินผลไม้ที่อร่อย ข้าวที่อร่อย มักเป็นของที่ถูกคัดส่งออกไปขายในระดับโลกอันนี้ลองดูนะครับ ต่างชาติเขาเข้มงวดและให้ความสำคัญต่อคุณภาพขนาดไหนหากเรามีโอกาสได้ซื้อข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพส่งออก อันนี้ก็จะเป็นการการันตีข้าวสวยหอมมะลิที่เราควรจะกินไหนๆ เราต้องกินมันเกือบทุกวันหรือดีไม่ดีอาจเกือบทุกมื้อด้วยซ้ำ

ดังนั้นข้าวดี ข้าวอร่อย หุงอร่อยหุงน่ากิน ผมให้ความสำคัญที่การเลือกข้าวสารที่เอามาหุง 90% ที่เหลือเป็นเรื่องของหม้อและเทคนิควิธีหุงข้าวสวยของแต่ละคนครับ


หุงข้าวให้สวย ทำยังไง

//www.thefingerchef.com/วิธีหุงข้าว/หุงข้าวให้สวยทำยังไง

วิธีหุงข้าวไม่แฉะ

//www.thefingerchef.com/วิธีหุงข้าว/วิธีหุงข้าวไม่ให้แฉะ​ 

วิธีหุงข้าวหม้อไฟฟ้าทำยังไง

//www.thefingerchef.com/วิธีหุงข้าว/หุงข้าวหม้อไฟฟ้า

วิธีหุงข้าวไม่ให้ติดหม้อทำยั งไง

//www.thefingerchef.com/วิธีหุงข้าว/วิธีหุงข้าวไม่ให้ติดหม้อ

วิธีหุงข้าวมันไก่ทำยังไง

//www.thefingerchef.com/วิธีหุงข้าว/วิธีหุงข้าวมันไก่

วิธีหุงข้าวกล้องให้นิ่มทำยังไง

//www.thefingerchef.com/วิธีหุงข้าว/วิธีหุงข้าวกล้อง

วิธีหุงข้าวด้วยไมโครเวฟให้อร่ อย

//www.thefingerchef.com/วิธีหุงข้าว/วิธีหุงข้าวด้วยไมโครเวฟให้อร่อย




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 14 กรกฎาคม 2557 14:09:45 น.   
Counter : 42498 Pageviews.  

หม้อหุงข้าวยี่ห้อไหนดี ผมมีคำตอบ

จู่ๆ หม้อหุงข้าวที่บ้านก็เสีย มีเหตุให้ผมต้องหาข้อมูลเรื่องหม้อหุงข้าวเสียหน่อย




พอผมเดินห้างก็มีหม้อหุงข้าวหลากหลายชนิดและราคา ตั้งแต่ใบละไม่กี่ร้อยยันสามสี่พันให้เลือก

ถามคนขายต่างก็มีเหตุผลที่ดี แม้จะเถียงในใจว่าซื้อหม้อราคาถูกก็พอและเป็นการฉลาดใช้เงินด้วย แต่ฝ่ายขายก็สาธยายเหตุผลของความคุ้มค่า ความสารพัดประโยชน์ ความคงทน รวมถึงเทคโนโลยีหม้อหุงข้าวมากมายที่ตาจับต้องไม่ได้ แถมแฝงให้เราต้องใช้ของราคาสูงขึ้นด้วย เช่น  มีสารเคลือบxxxที่เป็นประโยชน์ ถ้าใช้หม้อหุงข้าวราคาถูกก็จะไม่มีการป้องกันดังว่ามา
หม้อหุงข้าวยี่ห้อไหนดี ทำให้ผมต้องตัดสินใจสอบถามข้อมูลจากอากู๋กูเกิ้ลเสียก่อน อ่านรีวิวจากเวบดังๆ กระทู้เด่นๆ ก็ได้ข้อสรุปหลักการซื้อหม้อหุงข้าวที่เป็นความจริงแค่ข้อเดียว นั่นคือ

“เลือกซื้อหม้อหุงข้าวที่มีขนาดความจุให้เหมาะสมกับจำนวนสมาชิกภายในบ้าน”

แค่นี้จริงๆ ครับที่เป็นความจริง ที่เหลือผมไม่แน่ใจว่ามันคือความจริงหรือเปล่า เช่น

ควรเลือกหม้อหุงข้าวดิจิตอลที่มีหลายๆฟังก์ชั่น หุง นึ่ง ต้ม อบ จะคุ้มค่ามาก สิ่งแย้งในใจผมที่ว่าไม่จริงก็คือ ไม่ใช่หม้อหุงข้าวอย่างเดียวมันไม่คุ้ม แต่ผมว่าคงมีหลายครอบครัวที่ต้องการใช้หม้อหุงข้าวเพื่อหุงอย่างเดียว ก็ไม่จำเป็นที่ต้องซื้อหม้อหุงข้าวดิจิตอลสารพัดฟังก์ชั่น หรือ

ใช้หม้อไฟฟ้าที่มีเนื้อเหล็กหนาทนทาน ทำให้หุงข้าวได้อร่อยน่ากิน อันนี้ใจผมแย้งทันทีเลยครับ ตอนเด็กๆก็เห็นแม่หุงข้าวด้วยหม้อเหล็กบางๆแบบเช็ดน้ำ ข้าวที่ออกมาก็หอมกินอร่อยดีไม่เห็นเกี่ยวกับความหนาของหม้อเลย หรือ

หม้อหุงข้าวที่ตั้งเวลาหุงทำให้พร้อมสุกให้คุณกินได้ทันเวลา ผมก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องจำเป็นขนาดนั้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผมก็เห็นคนหลายคนหุงข้าวไปทำกับข้าวไป บ้างก็ซื้อกับข้าวกลับมาทานหรืออุ่นกับข้าวสำเร็จรูปจากไมโครเวฟ การหุงข้าวอย่างมีตารางเวลาแบบนี้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องสุนทรีย์ในการกินมากกว่า

กระทู้เยอะแยะที่แนะนำหม้อที่ทำให้ข้าวหุงได้อร่อยน่าทาน อ่านแล้วรู้สึกว่าจะกินข้าวทั้งทีมันจะยากซับซ้อนกับการตามหาหม้อไปถึงไหน ผมรู้สึกว่ามันยากล่ะ คิดถึงสมัยเด็กๆตอนแม่หุงข้าวให้กิน สมัยนั้นบ้านไหนๆ ก็ใช้หม้อหุงข้าวเหมือนๆ กัน ดังนั้นบ้านไหนข้าวอร่อยไม่อร่อย ไม่ได้อยู่ที่หม้อหุง แต่อยู่ที่ข้าวมากกว่าไม่ใช่หรือ ว่าบ้านไหนซื้อข้าวร้านไหน ยี่ห้ออะไร

มาถึงตรงนี้แล้ว ผมคิดว่าเรากำลังหลงทางอยู่หรือเปล่าครับ หม้อหุงข้าวมันเป็นอุปกรณ์แต่ข้าวอร่อยไม่อร่อยมันอยู่ที่ตัวข้าวนี่ครับ

เอาล่ะพล่ามมาเยอะ ผมรู้ล่ะว่าผมควรจะซื้อหม้อหุงข้าวยี่ห้อไหนดี และผมควรเอาเวลาที่จะไปตามหาหม้อมาเฟ้นหาพันธ์ข้าวคุณภาพที่อร่อย จากการผลิตที่มีคุณภาพและอุดมสมบูรณ์ด้วยสารอาหารต่างๆ ปลอดสารเคมี รวมถึงการหาข้าวพันธ์ท้องถิ่นของไทยที่มีภูมิต้านทานโรคต่างๆที่สอดคล้องกับสุขภาพคนไทย อย่างนั้นน่าจะดีกว่า

และอากู๋กูเกิ้ลก็ถูกผมเรียกใช้อีกครั้ง จากค้นหาวิธีเลือกซื้อหม้อหุงข้าวยี่ห้อไหนดี มาเป็นค้นหาวิธีซื้อข้าวสารที่หุงอร่อยแทนซะเลย

ขอบคุณภาพ

หุงข้าวให้สวย ทำยังไง //www.thefingerchef.com/
วิธีหุงข้าวไม่แฉะ //www.thefingerchef.com/
วิธีหุงข้าวหม้อไฟฟ้าทำยังไง //www.thefingerchef.com/
วิธีหุงข้าวไม่ให้ติดหม้อทำยังไง //www.thefingerchef.com/
วิธีหุงข้าวมันไก่ทำยังไง //www.thefingerchef.com/
วิธีหุงข้าวกล้องให้นิ่มทำยังไง //www.thefingerchef.com/
วิธีหุงข้าวด้วยไมโครเวฟให้อร่อย //www.thefingerchef.com/




 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 7 กรกฎาคม 2557 19:26:13 น.   
Counter : 13497 Pageviews.  

ตามหาก๊อตซิลล่าที่กาลาปากอส



15
พฤษภาคมนี้ Godzilla 2014 ก็จะออกอาละวาดบนจอเงินอีกครั้งหลังจากที่ฝรั่งตาน้ำข้าวเคยทำมาก่อนในปี 1998 ซึ่งหลายคนที่ดูเวอร์ชั่นฝั่งอเมริกามาต่างส่ายหัวถึงความไม่สนุกความอ่อนของบท และที่สำคัญความน่ากลัวของก๊อตซิลล่าที่ต่างลงความเห็นว่าเหมือนอีกัวน่าสัตว์หายากในตำนาน มากกว่าเป็นสัตว์ประหลาดกิ้งก่ายักษ์อันแสนน่าสะพรึงกลัวส่วนทางญี่ปุ่นเองก็มีผลิตฉายออกโรงเหมือนกันในปี 2004 เป็นฉบับสุดท้ายด้วยเหตุผลที่ว่าคนรุ่นใหม่ไม่นิยมหนังสัตว์ประหลาดแบบนี้เสียแล้ว

ในความดั้งเดิมนั้นทางญี่ปุ่นถือว่าก๊อตซิลล่าเป็นสัตว์ประหลาดที่หลับลึกอยู่ในใต้ดินครั้นมีเหตุการณ์บางอย่างมากระตุ้นมันจึงตื่นขึ้นมาจากพื้นดินสักทีหนึ่ง ซึ่งพอฝรั่งเอามาทำใหม่ในปี1998 กลับกลายเป็นว่ามันคือกิ้งก่าหรืออีกัวน่าที่ได้รับผลกระทบจากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์บนเกาะเฟรนช์โปลินีเซีย ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ทำให้สัตว์หายากต้องกลายพันธุ์

พอนึกถึงต้นกำเนิดในเวอร์ชั่นอเมริกาแล้วกลับทำให้ไปนึกถึงต้นตอจุดกำเนิดของก๊อตซิลล่าที่เนื้อเรื่องวางไว้ว่ามันคืออีกัวน่ากลายพันธ์จากเกาะเฟรนช์โปลินีเซีย ในมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วทำให้อดคิดถึงอีกัวน่าบนเกาะๆหนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกเหมือนกันนั่นก็คือ อีกัวน่าแห่งหมู่เกาะกาลาปากอสนั่นเองครับ

ผมรู้มาว่าหมู่เกาะกาลาปากอสนั่นเกิดจากภูเขาไฟที่หยุดปะทุแล้วเสียส่วนใหญ่(มีบ้างที่ยังครุกรุ่นอยู่) ที่หมู่เกาะแห่งนี้เป็นที่ทราบดีถึงความหลากหลายทางชีวภาพหรือแม้แต่วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต กล่าวคือที่นี่มีสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่มีสายพันธ์ที่หลากหลายตามพื้นที่ที่แตกต่างของแต่ละเกาะแต่ล้วนมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน เช่นเดียวกับ อีกัวน่า หรือต้นกำเนิดเจ้ามังกรกาลาปากอส ก๊อตซิลล่าในมุมมองของฝรั่งอเมริกานั้น ในเบื้องต้นก็มีถึง 3 สายพันธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น อีกัวน่าทะเลซึ่งอาศัยอยู่ตามชายหาดและสามารถว่ายน้ำดำน้ำหาสาหร่ายใต้ท้องทะเลกินเป็นอาหารในขณะที่อีกัวน่าเหลืองก็เป็นเหมือนอีกัวน่าทั่วไปๆที่อาศัยอยู่ตามพื้นดินและอีกัวน่าสีชมพูที่อาศัยอยู่ในที่สูงบริเวณปากปล่องภูเขาไฟที่สงบแล้วอีกัวน่าชนิดนี้มีผิวออกสีชมพูจริงๆแต่ไม่ใช่เพราะผิวหนังมันมีเม็ดสีชมพูแต่อย่างใด แต่ตัวมันเองต่างหากที่ผิวหนังไม่มีเม็ดสีใดๆเลยแต่ที่เห็นเป็นสีชมพูเพราะเป็นสีของเลือดที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังนั่นเองซึ่งน่าแปลกใจว่า สัตว์หายากอย่างอีกัวน่าทั้ง3 พันธ์นี้ต่างมีDNA ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทว่ามีบรรพบุรุษเดียวกัน


จากที่มาของก๊อตซิลล่าเวอร์ชั่นฝรั่งอเมริกานี้ที่มีต้นตอมาจากอีกัวน่าและที่กำเนิดมาจากมหาสมุทรแปซิฟิกทำให้ผมคิดต่อไปถึงอีกัวน่าแห่งหมู่เกาะกาลาปากอสแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีความหลากหลายกลายพันธ์จนทำให้ผมคิดต่อไปว่า ถ้ากาลเวลาที่ยาวนานต่อๆไป อีกัวน่าเหล่านี้อาจกลายพันธ์เป็นก๊อตซิลล่าในอนาคตก็เป็นไปได้เอ....หรือว่าผมควรจะไปเฝ้าดูวิวัฒนาการของอีกัวน่าที่เกาะกาลาปากอสดี

ว่าแล้วคนขี้เบื่ออย่างผมก็ไปค้นๆคลิกๆ ในเนทหาข้อมูลเพิ่มเติมของเกาะกาลาปากอสแล้วทำให้ผมอึ้งไปเยอะเหมือนกันเพราะเกาะแห่งนี้เป็นที่รวมของสัตว์หายาก สัตว์ประหลาดแปลกๆ ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นเต่าบกยักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะกาลาปากอส จนเรียกกันว่าเต่ากาลาปากอส นกกาน้ำที่ปีกเล็กจนบินไม่ได้ หรือแม้แต่เพนกวินบนเส้นศูนย์สูตรเนื่องจากหมู่เกาะแห่งนี้อยู่ในระดับเส้นศูนย์สูตรแต่กลับมีนกเพนกวินอาศัยอยู่รวมถึงไม้พันธ์ต่างๆที่เกิดจากภูมิประเทศที่หลากหลายทั้งกระบองเพชรที่ขึ้นบนที่แห้งแล้งในบางเกาะยิ่งคลิกยิ่งดูก็ยิ่งตื่นตาตื่นใจน่าไปเยือนดูสักครั้งในชีวิต

เอาอีกแล้วล่ะครับคิดเรื่องหนึ่งก็ไปคิดต่ออีกเรื่องหนึ่งผมว่าครั้งหนึ่งคนไทยเราก็จะแห่โหยหาที่จะไปเกาะมัลดีฟส์ ด้วยที่เป็นทะเลชายหาดและที่พักสุดโรแมนติกบางวูบเราก็ตื่นตาตื่นใจที่จะไปดูภูเขาแม่น้ำลำธารที่เก่าแก่อย่างลี่เจียงของจีนดูบรรยากาศที่นึกถึงหนังจีนกำลังภายในแฟนหนังลอร์ดออฟเดอะริงก็อยากไปสวมวิญญาณฮอบบิทวิ่งเล่นที่นิวซีแลนด์ และวันดีคืนดีเราก็แห่กันไปดูสังเวชนียสถานที่เนปาลและอินเดียกันหรือในบางช่วงที่สาวๆ วัยรุ่นทั้งแรกแย้มและคุณแม่บ้านก็แห่ไปเกาหลีเพื่อเดินทางตามรอยฉากหนังซีรีย์สุดซึ้งที่ยังตรึงใจกันผมคิดว่าในอนาคตเร็วๆ นี้ หลังจากที่หนังก๊อตซิลล่าเข้าฉายคงมีกระแสเก็บภาพทางธรรมชาติสวยๆดิบๆ ของเกาะกาลาปากอส ทั้งป่าเขา ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ ที่ครบครันและหลากหลายรวมกับเสียงเรียกร้องจากเด็กๆ ที่ชอบผจญภัยอยากตะลุยบ้านสัตว์ประหลาด จนต้องมีกระแสจัดทริปเกาะกาลาปากอสบ้างเป็นแน่แท้เลยครับ

ไหงมัวแต่คิดไกลไปถึงเกาะกาลาปากอสขนาดนั้นเอาว่า 15 พฤษภาคมนี้ไปดูก๊อตซิลล่าที่โรงกันก่อนเถอะ^ ^

หมายเหตุ ตอนนี้เขามีโครงการเดินทางไปกับสิงห์สู่ "กาลาปากอส" พอดิบพอดีครับ ถ้าใครสนใจไปก็ร่วมสนุกกันได้ที่ //www.singhadiscovers.com/ เผื่อจะได้เจอบรรพบุรุษของก๊อตซิลล่ากันครับ

 


ขอบคุณที่มาภาพ
//godzilla.wikia.com/wiki/File:Spanish_Godzilla_2014_Poster.jpg
www.life-sea.blogspot.com

www.latestfunnypics.blogspot.com




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2557   
Last Update : 19 มิถุนายน 2557 14:52:39 น.   
Counter : 1883 Pageviews.  

กินวันละ3มื้อ เช้ากินอย่างราชา กลางวันกินอย่างคนธรรมดา เย็นอย่างยาจก แต่.....

แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ...


ข้อเขียนตอนนี้ว่าด้วยสุขกาย ทำกายให้เป็นสุข อย่าหาเรื่องทุกข์ให้ร่างกายโดยเปล่าประโยชน์ครับ

หลายๆคนคงเจอข้อแนะนำการกินแบบข้างต้นมาแล้ว ที่เขาว่า

เช้ากินอย่างราชา
กลางวันกินอย่างธรรมดา
เย็นอย่างยาจก

นั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ชื่อตอนดันมีคำว่าแต่ แถมออกตัวว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ

คือว่า

ผมเห็นด้วยว่า เราควรกินกันวันละ3มื้อก็พอเพียงแล้ว และก็กินตามอย่างว่าแหละ เช้ากินเยอะหน่อย กลางวันเอาพออิ่ม เย็นก็กินเป็นพิธีน้อยๆหน่อย ให้ท้องมันได้ทำงานกะเย็นบ้่าง หรือที่บางคนรวมทั้งผมเสริมหน่อยก็เข้าท่า คือ ยาจก แบบไม่เนื้อสัตว์ ไม่แป้งบ้าง หรือไม่ทั้งสองหรือไม่อย่่างใดอย่างหนึ่งครับ

ไม่แป้งก็คือ ไม่กินข้าวกินแต่กับ
ไม่สัตว์ก็คือ ไม่เนื้อสัตว์ อาจจะสลัด หรือมังสวิรัติเล็กๆ
หรือทั้งสองอย่างก็คือ มังสวิรัติที่ไม่แป้ง

แต่เอาละอันนั้นก็ส่วนเสริมที่นึกขึ้นได้ครับ แต่ส่วนที่จะอยากแสดงความเห็นคือ

โลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ก็คือ เรื่องของเวลาในการกิน

หลายคนใช่หรือเปล่าที่ 
กินเช้า 9 โมงหรือก่อนหน้านั้นนิดหน่อยอาจจะซัก 8โมงครึ่ง แบบว่าก่อนเข้างานเล็กน้อย อารมณ์ประมาณว่าตื่นสายรีบมาทำงาน ขอให้มาทันไว้ก่อน มาถึงที่ทำงานแล้วค่อยหาอะไรแถวที่ทำงานกิน ดังนั้นคุณก็จะกินข้าวกัน ก่อนเวลางานนิดนึง

กินกลางวัน ก็ตามออฟฟิสอาวร์ (office hour) ราวๆเที่ยงถึงบ่ายบวกลบนิดหน่อย

กินเย็นก็หลังเลิกงานแบบว่า ระฆังออฟฟิศตีเป๊งๆ เลิกกี่โมง คุณๆก็ออกจากสำนักงานไปหาอะไรกินก่อนเดินทางกลับบ้าน หรือกลับถึงบ้านก่อนค่อยกิน

มื้อเย็นนี่มี 2 นัยยะ นะครับ
คือ เลิกงานปุ๊บ หิวกินมื้อเย็นก่อนกลับบ้าน ถึงบ้านราวสามทุ่ม ทำนู่นนี่ มีมื้อย่อยอีกนิดหรือขนมขบเคี้ยวก่อนนอนติดปลายนวมนิดหน่อย กับ
ถึงบ้านแล้วค่อยกิน อันนี้ก็จะหิวโซหน่อย กว่าจะถึงบ้านกระเพาะก็ร้องเอาร้องเอาหลายเที่ยว พวกนี้ก็ต้องมีอะไรมาบำรุงบำเรอท้องก่อนกลับบ้าน ด้วยขนมเช่นกันราวๆ บ่ายสี่ถึงบ่ายห้าโมงเย็นก่อนเลิกงาน

ใครเป็นแบบนี้บ้างสรุปสั้นๆ คือ 
เช้ากินก่อนเข้างาน กลางวันกินตอนเที่ยง เย็นก็ไม่กินขนมแล้วกลับไปกินที่บ้าน หรือไม่ก็กินหลังเลิกงานแล้วไปต่อขนมที่บ้านตอนนอน


ใครใช้ยกมือขึ้นครับ

มันเหมือนๆจะมีสี่มื้อย่อยนะครับ คือ มื้อเย็นถูกแบ่งเป็นสองภาค คือ ภาคขนม กับภาคอาหารเย็น

ทีนี้ที่บอกว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมคิดว่า

สมัยก่อนเราไม่มีอะไรเร่งรีบ คนเรายังใช้ชีวิตแบบชิวๆ คือ น่าจะได้กินข้าวเช้าจากบ้าน จากฝีมือแม่ๆเรานั่นแหละ หรือสังคมสมัยก่อนก็คือ กินข้าวเช้าจากบ้าน แล้วข้าวเช้ามันควรจะกี่โมงล่ะ ลองตอบในใจครับ

เสร็จแล้วเราก็ไปเรียนหรือทำงานในเวลา 8 โมงบ้าง 8ครึ่งบ้าง  9 โมงบ้าง และก็กินกลางวันตอนเที่ยงตามหลักสากล ตามหลักเวลาพักพร้อมกัน เพื่อบ่ายทุกคนจะได้ทำงานพร้อมกัน หรือ ติดต่อธุรกิจในเวลาราชการหรือในเวลางานที่ตรงกันเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการทำธุรกรรมต่อกัน เสร็จแล้วทุกคนก็เลิกเรียนเลิกงาน กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านกัน แล้วข้าวเย็นน่าจะกี่โมงดีครับ 
หกโมงครึ่งบ้าง ทุ่มบ้าง หรือทุ่มครึ่ง คงไม่มีถึงสองทุ่มนะครับ

เพราะกลไก ของความไม่เร่งรีบ รถไม่ติด จนเราไปเสียเวลาบนท้องถนนทั้งขาไปขากลับ ทำให้เรามีโอกาสกินข้าวเช้าและข้าวเย็นที่บ้าน

คุณเริ่มสังเกตเห็นอะไรหรือยังครับ ^ ^

คิดเล่นๆ ถ้าเช้ากินกันสัก 7 โมง กลางวันกินเที่ยง เย็นกินสักทุ่ม เราจะเห็นว่าเวลาของแต่ละมื้อจะห่างกันราว 5- 7 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่ดีเชียว คือ มีเวลาให้กระเพาะได้ย่อยหมด แล้วย่อยของใหม่ในเวลาที่เหมาะสม ทั้งสามมื้อดูจะห่างกันพอสมควร นี่ยังไม่รวมถึงชีวิตสมัยก่อนที่คนเราอาจจะนอนกันสี่ห้าทุ่มกันแล้วและตื่นกันหกเจ็ดโมงเช้า ได้นอนกัน7-9ชั่วโมง ในระยะเวลาการนอนที่ยาวนานมากพอ ก็ทำให้ร่างกายปรับสมดุลและเผาผลาญอาหารต่างๆได้ดีเช่นกัน

ทีนี้คนยุคใหม่เที่ยงคืนยังไม่นอนกันเลยครับ ไปตื่นเอาตีห้าบ้าง หกโมงเช้าบ้าง ได้นอนวันละ 5-7 ชั่วโมงซึ่งการนอนน้อยมีงานวิจัยหลายที่บอกแล่วว่ามันจะทำให้อ้วน

อ้วน เพราะ
1. คุณนอนน้อย จึงมีเวลาตื่นลืมตามาก มีเวลามากก็กินมาก เหมือนๆคนทำงานหนักไม่มีเวลาใช้เงิน แต่คนไม่ค่อยทำงานจะมีเวลาใช้เงิน อันนี้ก็เหมือนๆกันครับ
2. คุณนอนน้อย ร้่างกายมีเวลาปรับสมดุล หรือเผาผลาญส่วนเกินที่ไม่จำเป็นได้น้อยเกินไป ทำให้งานขจัดต่างๆ ดินพอกหางหมูคั่งค้างทุกวันจนเป็นไขมันใต้ชั้นพุงครับ

กลับมาๆ ต่อเรื่อง เช้ากินอย่างราขา กลางวันธรรมดา เย็นยาจก แต่เป็นยาจก2มื้อสำหรับบางคน

ปัญหาที่มองข้าม หรือซ่อนตัวอยู่มีมากเลยครับ อันได้แก่
1. ถ้าเช้ากินอย่างราชา แต่มากินตอน9โมงเช้า (หรือต่อให้ไม่ราชาก็เถอะ) ผ่านไป3ชั่วโมง คุณมากินเที่ยงต่ออีกล่ะ ซึ่งของเก่ายังย่อยไม่หมดเลยครับ ก็จะมีปรากฏการณ์ 2 เด้งขึ้นมาทันที
1.1 มื้อเที่ยงย่อยของเช้าไม่ทันเกิดการสะสมในร่างกาย อันนี้ญี่ปุ่นเขามีวิจัยกันนะครับ ว่าควรกินหแต่ละมื้อด้วยอาการหิว นั่นเป็นสัญญาณว่าในท้องคุณย่อยหมดแล้ว สรุปว่าการกินตอนเที่ยงทำให้เกิดการสะสมไขมันในรูปแบบของการลงพุงอย่างง่ายมากเลย
1.2 กินเช้าผ่านไป3ชัวโมงมากินอีก ร่างกายก็จะจำว่าอีก3ชั่วโมงต้องปล่อยน้ำย่อยแล้ว ดังนั้นคุณจะเจอปรากฏการณ์ว่า สักบ่ายสามหรือบ่ายสี่คุณก็จะหิวแล้ว ต้องหาอะไรจุกจิกมาประทังชีวิตในช่วงบ่ายแก่ๆ แปลว่าคุณกำลังจะหาอะไรมาเติมท้องคุณให้อ้วนอีกแล้ว

และยิ่งคุณกินอย่างราชาในมื้อเช้าด้วย พอมาเที่ยงกินต่อ ความเป็นไปได้ที่จะลงพุงมีแค่ไหนลองคิดเอานะครับ

2. รูปแบบการใช้ชีวิตสมัยก่อน กิน3มื้อห่างกันราว 5-7 ชั่วโมง และพอค่ำก็นอน ดังนั้นพอหลังมื้อเย็นผ่านไปสัก 3-4 ชั่วโมง เอาเป็นว่ากินตอนหกโมงเย็น สี่ทุ่มก็๋นอนแล้ว หรือกินตอนทุ่มต่อให้นอนห้าทุ่ม คุณก็หลับก่อนที่กระเพาะจะร้องว่าหิว และด้วยรูปแบบเช่นนี้อาจทำให้กระเพาะจำได้ว่า เขาต้องทำงานย่อยวันละ 3 เวลาเท่านั้น

3. มื้อเย็นเจ้าปัญหาที่คุณเลี่ยงไม่ได้ ที่จะสร้างแพทเทิร์นการกินเป็น 2 มื้อ เป็นมื้อย่อย กับ มื้อหลัก เพียงแต่ว่ามื้อย่อยหรือมื้อหนักจะอยู่ก่อนหรือหลังตามการใช้ชีวิตของคุณนั้นเอง ประเด็นข้อนี้ไม่ต่างจาก2 แต่จะหมายเหตุในแง่ที่ว่า คุณกำลังใส่อะไรเข้าท้องในปริมาณที่มากเกินไป ต่อให้เป็นมื้อย่อยๆสองมื้อก็เถอะ

นี่แหละครับที่ผมว่า ในความเป็นจริงคุณจะกิน 3 มื้อเป็นไปได้ยาก หรือต่อให้คุณกิน3มื้อได้ แบบเช้าราชา เย็นยาจก คุณก็จะเจอปัญหามิ้อกลางวันที่แบกภาระเร็วเกินไป หรือมื้อเย็นที่คุณจะกินแค่มื้อเดียว คุณก็จะแอบหิว แอบทรมาน หรือหิวจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน สะสมอาการเบลอๆหลังเลิกงานหรือมึนๆหัวก่อนนอนเป็นแน่แท้


ใครเป็นแบบนี้บ้าง ยกมือขึ้นครับ

ทีนี้เราจะทำอย่างไรกับชีวิตล่ะครับ ผมว่าคุณน่าจะมีคำตอบนะครับ




 

Create Date : 28 เมษายน 2557   
Last Update : 28 เมษายน 2557 19:59:13 น.   
Counter : 8525 Pageviews.  

1  2  

สื่อลูกผสม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add สื่อลูกผสม's blog to your web]