กินวันละ3มื้อ เช้ากินอย่างราชา กลางวันกินอย่างคนธรรมดา เย็นอย่างยาจก แต่.....
แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ...
ข้อเขียนตอนนี้ว่าด้วยสุขกาย ทำกายให้เป็นสุข อย่าหาเรื่องทุกข์ให้ร่างกายโดยเปล่าประโยชน์ครับ
หลายๆคนคงเจอข้อแนะนำการกินแบบข้างต้นมาแล้ว ที่เขาว่า
เช้ากินอย่างราชา กลางวันกินอย่างธรรมดา เย็นอย่างยาจก
นั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ชื่อตอนดันมีคำว่าแต่ แถมออกตัวว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ
คือว่า
ผมเห็นด้วยว่า เราควรกินกันวันละ3มื้อก็พอเพียงแล้ว และก็กินตามอย่างว่าแหละ เช้ากินเยอะหน่อย กลางวันเอาพออิ่ม เย็นก็กินเป็นพิธีน้อยๆหน่อย ให้ท้องมันได้ทำงานกะเย็นบ้่าง หรือที่บางคนรวมทั้งผมเสริมหน่อยก็เข้าท่า คือ ยาจก แบบไม่เนื้อสัตว์ ไม่แป้งบ้าง หรือไม่ทั้งสองหรือไม่อย่่างใดอย่างหนึ่งครับ
ไม่แป้งก็คือ ไม่กินข้าวกินแต่กับ ไม่สัตว์ก็คือ ไม่เนื้อสัตว์ อาจจะสลัด หรือมังสวิรัติเล็กๆ หรือทั้งสองอย่างก็คือ มังสวิรัติที่ไม่แป้ง
แต่เอาละอันนั้นก็ส่วนเสริมที่นึกขึ้นได้ครับ แต่ส่วนที่จะอยากแสดงความเห็นคือ
โลกมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ก็คือ เรื่องของเวลาในการกิน
หลายคนใช่หรือเปล่าที่ กินเช้า 9 โมงหรือก่อนหน้านั้นนิดหน่อยอาจจะซัก 8โมงครึ่ง แบบว่าก่อนเข้างานเล็กน้อย อารมณ์ประมาณว่าตื่นสายรีบมาทำงาน ขอให้มาทันไว้ก่อน มาถึงที่ทำงานแล้วค่อยหาอะไรแถวที่ทำงานกิน ดังนั้นคุณก็จะกินข้าวกัน ก่อนเวลางานนิดนึง
กินกลางวัน ก็ตามออฟฟิสอาวร์ (office hour) ราวๆเที่ยงถึงบ่ายบวกลบนิดหน่อย
กินเย็นก็หลังเลิกงานแบบว่า ระฆังออฟฟิศตีเป๊งๆ เลิกกี่โมง คุณๆก็ออกจากสำนักงานไปหาอะไรกินก่อนเดินทางกลับบ้าน หรือกลับถึงบ้านก่อนค่อยกิน
มื้อเย็นนี่มี 2 นัยยะ นะครับ คือ เลิกงานปุ๊บ หิวกินมื้อเย็นก่อนกลับบ้าน ถึงบ้านราวสามทุ่ม ทำนู่นนี่ มีมื้อย่อยอีกนิดหรือขนมขบเคี้ยวก่อนนอนติดปลายนวมนิดหน่อย กับ ถึงบ้านแล้วค่อยกิน อันนี้ก็จะหิวโซหน่อย กว่าจะถึงบ้านกระเพาะก็ร้องเอาร้องเอาหลายเที่ยว พวกนี้ก็ต้องมีอะไรมาบำรุงบำเรอท้องก่อนกลับบ้าน ด้วยขนมเช่นกันราวๆ บ่ายสี่ถึงบ่ายห้าโมงเย็นก่อนเลิกงาน
ใครเป็นแบบนี้บ้างสรุปสั้นๆ คือ เช้ากินก่อนเข้างาน กลางวันกินตอนเที่ยง เย็นก็ไม่กินขนมแล้วกลับไปกินที่บ้าน หรือไม่ก็กินหลังเลิกงานแล้วไปต่อขนมที่บ้านตอนนอน
ใครใช้ยกมือขึ้นครับ
มันเหมือนๆจะมีสี่มื้อย่อยนะครับ คือ มื้อเย็นถูกแบ่งเป็นสองภาค คือ ภาคขนม กับภาคอาหารเย็น
ทีนี้ที่บอกว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมคิดว่า
สมัยก่อนเราไม่มีอะไรเร่งรีบ คนเรายังใช้ชีวิตแบบชิวๆ คือ น่าจะได้กินข้าวเช้าจากบ้าน จากฝีมือแม่ๆเรานั่นแหละ หรือสังคมสมัยก่อนก็คือ กินข้าวเช้าจากบ้าน แล้วข้าวเช้ามันควรจะกี่โมงล่ะ ลองตอบในใจครับ
เสร็จแล้วเราก็ไปเรียนหรือทำงานในเวลา 8 โมงบ้าง 8ครึ่งบ้าง 9 โมงบ้าง และก็กินกลางวันตอนเที่ยงตามหลักสากล ตามหลักเวลาพักพร้อมกัน เพื่อบ่ายทุกคนจะได้ทำงานพร้อมกัน หรือ ติดต่อธุรกิจในเวลาราชการหรือในเวลางานที่ตรงกันเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการทำธุรกรรมต่อกัน เสร็จแล้วทุกคนก็เลิกเรียนเลิกงาน กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านกัน แล้วข้าวเย็นน่าจะกี่โมงดีครับ หกโมงครึ่งบ้าง ทุ่มบ้าง หรือทุ่มครึ่ง คงไม่มีถึงสองทุ่มนะครับ
เพราะกลไก ของความไม่เร่งรีบ รถไม่ติด จนเราไปเสียเวลาบนท้องถนนทั้งขาไปขากลับ ทำให้เรามีโอกาสกินข้าวเช้าและข้าวเย็นที่บ้าน
คุณเริ่มสังเกตเห็นอะไรหรือยังครับ ^ ^
คิดเล่นๆ ถ้าเช้ากินกันสัก 7 โมง กลางวันกินเที่ยง เย็นกินสักทุ่ม เราจะเห็นว่าเวลาของแต่ละมื้อจะห่างกันราว 5- 7 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่ดีเชียว คือ มีเวลาให้กระเพาะได้ย่อยหมด แล้วย่อยของใหม่ในเวลาที่เหมาะสม ทั้งสามมื้อดูจะห่างกันพอสมควร นี่ยังไม่รวมถึงชีวิตสมัยก่อนที่คนเราอาจจะนอนกันสี่ห้าทุ่มกันแล้วและตื่นกันหกเจ็ดโมงเช้า ได้นอนกัน7-9ชั่วโมง ในระยะเวลาการนอนที่ยาวนานมากพอ ก็ทำให้ร่างกายปรับสมดุลและเผาผลาญอาหารต่างๆได้ดีเช่นกัน
ทีนี้คนยุคใหม่เที่ยงคืนยังไม่นอนกันเลยครับ ไปตื่นเอาตีห้าบ้าง หกโมงเช้าบ้าง ได้นอนวันละ 5-7 ชั่วโมงซึ่งการนอนน้อยมีงานวิจัยหลายที่บอกแล่วว่ามันจะทำให้อ้วน
อ้วน เพราะ 1. คุณนอนน้อย จึงมีเวลาตื่นลืมตามาก มีเวลามากก็กินมาก เหมือนๆคนทำงานหนักไม่มีเวลาใช้เงิน แต่คนไม่ค่อยทำงานจะมีเวลาใช้เงิน อันนี้ก็เหมือนๆกันครับ 2. คุณนอนน้อย ร้่างกายมีเวลาปรับสมดุล หรือเผาผลาญส่วนเกินที่ไม่จำเป็นได้น้อยเกินไป ทำให้งานขจัดต่างๆ ดินพอกหางหมูคั่งค้างทุกวันจนเป็นไขมันใต้ชั้นพุงครับ
กลับมาๆ ต่อเรื่อง เช้ากินอย่างราขา กลางวันธรรมดา เย็นยาจก แต่เป็นยาจก2มื้อสำหรับบางคน
ปัญหาที่มองข้าม หรือซ่อนตัวอยู่มีมากเลยครับ อันได้แก่ 1. ถ้าเช้ากินอย่างราชา แต่มากินตอน9โมงเช้า (หรือต่อให้ไม่ราชาก็เถอะ) ผ่านไป3ชั่วโมง คุณมากินเที่ยงต่ออีกล่ะ ซึ่งของเก่ายังย่อยไม่หมดเลยครับ ก็จะมีปรากฏการณ์ 2 เด้งขึ้นมาทันที 1.1 มื้อเที่ยงย่อยของเช้าไม่ทันเกิดการสะสมในร่างกาย อันนี้ญี่ปุ่นเขามีวิจัยกันนะครับ ว่าควรกินหแต่ละมื้อด้วยอาการหิว นั่นเป็นสัญญาณว่าในท้องคุณย่อยหมดแล้ว สรุปว่าการกินตอนเที่ยงทำให้เกิดการสะสมไขมันในรูปแบบของการลงพุงอย่างง่ายมากเลย 1.2 กินเช้าผ่านไป3ชัวโมงมากินอีก ร่างกายก็จะจำว่าอีก3ชั่วโมงต้องปล่อยน้ำย่อยแล้ว ดังนั้นคุณจะเจอปรากฏการณ์ว่า สักบ่ายสามหรือบ่ายสี่คุณก็จะหิวแล้ว ต้องหาอะไรจุกจิกมาประทังชีวิตในช่วงบ่ายแก่ๆ แปลว่าคุณกำลังจะหาอะไรมาเติมท้องคุณให้อ้วนอีกแล้ว
และยิ่งคุณกินอย่างราชาในมื้อเช้าด้วย พอมาเที่ยงกินต่อ ความเป็นไปได้ที่จะลงพุงมีแค่ไหนลองคิดเอานะครับ
2. รูปแบบการใช้ชีวิตสมัยก่อน กิน3มื้อห่างกันราว 5-7 ชั่วโมง และพอค่ำก็นอน ดังนั้นพอหลังมื้อเย็นผ่านไปสัก 3-4 ชั่วโมง เอาเป็นว่ากินตอนหกโมงเย็น สี่ทุ่มก็๋นอนแล้ว หรือกินตอนทุ่มต่อให้นอนห้าทุ่ม คุณก็หลับก่อนที่กระเพาะจะร้องว่าหิว และด้วยรูปแบบเช่นนี้อาจทำให้กระเพาะจำได้ว่า เขาต้องทำงานย่อยวันละ 3 เวลาเท่านั้น
3. มื้อเย็นเจ้าปัญหาที่คุณเลี่ยงไม่ได้ ที่จะสร้างแพทเทิร์นการกินเป็น 2 มื้อ เป็นมื้อย่อย กับ มื้อหลัก เพียงแต่ว่ามื้อย่อยหรือมื้อหนักจะอยู่ก่อนหรือหลังตามการใช้ชีวิตของคุณนั้นเอง ประเด็นข้อนี้ไม่ต่างจาก2 แต่จะหมายเหตุในแง่ที่ว่า คุณกำลังใส่อะไรเข้าท้องในปริมาณที่มากเกินไป ต่อให้เป็นมื้อย่อยๆสองมื้อก็เถอะ
นี่แหละครับที่ผมว่า ในความเป็นจริงคุณจะกิน 3 มื้อเป็นไปได้ยาก หรือต่อให้คุณกิน3มื้อได้ แบบเช้าราชา เย็นยาจก คุณก็จะเจอปัญหามิ้อกลางวันที่แบกภาระเร็วเกินไป หรือมื้อเย็นที่คุณจะกินแค่มื้อเดียว คุณก็จะแอบหิว แอบทรมาน หรือหิวจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน สะสมอาการเบลอๆหลังเลิกงานหรือมึนๆหัวก่อนนอนเป็นแน่แท้
ใครเป็นแบบนี้บ้าง ยกมือขึ้นครับ
ทีนี้เราจะทำอย่างไรกับชีวิตล่ะครับ ผมว่าคุณน่าจะมีคำตอบนะครับ
Create Date : 28 เมษายน 2557 |
| |
|
Last Update : 28 เมษายน 2557 19:59:13 น. |
| |
Counter : 8525 Pageviews. |
| |
|
|