Group Blog
 
All blogs
 
เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจแบบใหม่ของรัฐบาล (โดยไม่ตั้งใจ)

ตอนนี้ในตลาดเงินกำลังมีปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นครับ เพราะราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น แต่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับสหรัฐกลับแข็งตัวขึ้น

ถ้าใครได้อ่านบทความเรื่องเศรษฐศาสตร์ชาวบ้านฉบับแท็กซี่ จะเห็นว่ามีข้อคิดเห็นในทำนองว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอยลง ซึ่งจะเห็นได้จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงตามราคาน้ำมัน

แต่ถ้าเรามาดูการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน และค่าเงินบาทในปัจจุบัน กลับจะเห็นว่ามันมีการเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามในทิศทางที่บทความที่แล้วได้วิเคราะห์และคาดการณ์เอาไว้


ราคาน้ำมันดิบปรับตัวกลับขึ้นมาที่ $66.83 ,19.01.2006


ในขณะที่ค่าเงินบาทกลับปรับตัวแข็งขึ้นมาที่ราว 39.50 บาทต่อหนึ่งเหรียญดอลลาร์สหรัฐ

ผมเห็นการเคลื่อนไหวแปลกๆของค่าเงินบาท แรกๆก็คิดว่าการวิเคราะห์ในบทความที่แล้วมีข้อผิดพลาดบ้างหรือเปล่า เป็นไปได้ไหมว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะมีผลกระทบในทางลบกับเศรษฐกิจ เพราะครั้งที่แล้วราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น --> เศรษฐกิจตก --> ค่าเงินบาทอ่อนลง แต่มาคราวนี้ ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น --> เศรษฐกิจควรจะตก? ---> แต่ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้น?

อันที่จริงผมไม่ค่อยห่วงเรื่องระดับราคาน้ำมันเท่าไหร่นัก เพราะขณะนี้รัฐบาลได้ลอยตัวระดับราคาน้ำมันไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นราคาน้ำมันจะสะท้อนความเป็นจริงในตลาด เศรษฐกิจจะปรับตัวเองโดยอัตโนมัติ พูดได้อีกอย่างว่าถ้าระดับราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไประดับหนึ่ง (ไม่มากจนเกินไป ซึ่งถ้าดูข้อมูลรอบๆด้าน โอกาสแบบนั้นก็จะเกิดค่อนข้างน้อยครับ) ก็จะไม่มีผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจมากนัก

แต่การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมากภายในเวลาอันสั้น (จาก 41 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาเป็น 39.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ) แล้วจะบอกว่าเศรษฐกิจของประเทศแข็งแรงขึ้นแล้วนั้น ไม่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้อง

ผมมีคำอธิบายแบบสำเร็จรูปให้ตัวเองคือ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแสดงให้เห็นว่า เงินบาทในตลาดแลกเปลี่ยนหาได้ยากขึ้น แสดงว่ามีใครบางคนกำลังหาแลกเงินบาทกับเงินเหรียญสหรัฐ เพื่อนำมาเข้าทำอะไรบางอย่างในประเทศ ซึ่งการที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นโดยสามารถยืนอยู่เหนือ 700 จุดได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี และมีข่าวว่ากองทุนต่างชาติแห่นำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ น่าจะสามารถตอบคำถามนี้ได้(บ้าง)

จวบจนกระทั่ง...

เริ่มมีข่าวออกตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เตรียมขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับเทมาเส็คแห่งสิงคโปร์ [เทมาเส็ค (temasek) เป็นบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจ โดยทำหน้าที่ลงทุนและถือหุ้น (investment arm) ของสิงคโปร์]

ซึ่งในความเป็นจริงที่ว่า พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มชิน ได้พิจารณาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียแล้ว จึงตัดสินใจขายหุ้นดังกล่าว แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ยอมรับ - หรือปฏิเสธ ซึ่งก็ยิ่งทำให้ข่าวดังกล่าวมีความชัดเจนยิ่งขึ้นอีก

ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการตัดสินใจ ก็ไม่มีอะไรมากครับ เมื่อพิจารณาข้อดีที่ว่าราคาหุ้นของตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาสูงในระดับที่สามารถขายทำกำไรได้ และที่สำคัญคือการหาตัวผู้มาซื้อ ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำกันได้ง่ายๆ ประกอบกับก่อนหน้านี้ ดีลการขายหุ้นยูคอมของกลุ่มเบญจรงคกุล ให้กับเทเลนอร์ ก็เท่ากับสร้าง benchmark ในการเจรจาขายหุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมไว้ล่วงหน้าแล้ว

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ย่อมทำให้ดีลมูลค่าเจ็ดหมื่นล้านครั้งนี้ตกลงกันได้ง่ายขึ้น

เพราะกลุ่มผู้ซื้อเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าปล่อยให้ราคาหุ้นไทยสูงขึ้นไปมากกว่านี้ (ซึ่งก็มีแนวโน้มจะเป็นไปได้) ก็อาจจะต้องเสียมากกว่าที่ควรเสีย ในขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเก่า (ตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์) ก็มองตรงกันกับกลุ่มเบญจรงคกุลว่า สมรภูมิรบในอนาคตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ต้องไปสู้รบกันด้วย 3G แล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงเงินลงทุนปริมาณมหาศาล

การขายหุ้นกลุ่มชินในครั้งนี้ของคุณทักษิณ ยังได้ผลดีอีกด้านหนึ่งด้วยคือ จะลดภาพผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างธุรกิจและการเมืองได้มากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะหลุดข้อกล่าวหาไปได้ง่ายๆนะครับ เพราะกลุ่มคุณสนธิ ก็ยังกล่าวหาว่า แค่ขายหุ้นไม่ใช่ถือว่าจบเรื่อง แต่ต้องเอาเงินและผลประโยชน์ที่ได้เพิ่มขึ้นในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลมาคืนแผ่นดินด้วย!

หนังสือพิมพ์หลายฉบับเริ่มสรุปตรงกันแล้วว่าดีลนี้น่าจะเกิดขึ้นจริงและคงตกลงกันได้เร็วๆนี้


หม่อมอุ๋ยก็ออกมาให้ความเห็นว่า ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็เป็นผลมาจากการเทขายดอลลาร์เพื่อซื้อบาท เพื่อใช้ในดีลดังกล่าว แต่คุณทนง ก็ค้านว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องดังกล่าว ชาวบ้านอย่างเราฟังแล้วก็ลองคิดดูครับว่าจะเชื่อใครดี

แต่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ภัทร (ที่มี ดร ศุภวุฒิ สายเชื้อ เป็นหัวหน้าทีมวิเคราะห์เศรษฐกิจอยู่) ชี้ให้เห็นว่าการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นนั้นมีผลดีที่จะลดอัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากภาวะราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น นี่จึงเป็นสิ่งที่ผมเรียกว่าเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ได้ตั้งใจของรัฐบาลนั่นเองครับ

อัตราเงินเฟ้อค่อยๆปรับตัวลดลงมา หลังจากที่ขึ้นไปสูงสุดถึง 6% ในช่วงตุลาคม 2548

โดยสรุปแล้วคือค่าเงินบาทแข็งขึ้นน่ะ เป็นเพราะต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนเพื่อซื้อหุ้นน่ะใช่แน่ แต่จะเป็นหุ้นชินหรือเปล่า...คงต้องดูกันต่อไป

แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมมีข้อสังเกตน่าสนใจหลายข้อเลยทีเดียว


  1. เงิน 7 หมื่นล้านบาท หรือราว 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็สามารถทำให้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงได้ประมาณ 3% (จาก 41 -> 39.5 บาทต่อ $US)
  2. คุณทักษิณไปพักผ่อนที่สิงคโปร์หรือไปเจรจาต่อรองการซื้อขายกับเทมาเส็ค
  3. คุณทักษิณบอกว่าไม่รู้เรื่องการซื้อขายหุ้น แปลเป็นไทยได้ว่า การเจรจาตกลงเรียบร้อยแล้ว
  4. ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น แม้ว่าจะไม่ค่อยดีกับการส่งออก แต่ก็มีข้อดีที่สามารถยันกันกับราคาน้ำมันที่กำลังสูงขึ้นได้
  5. นักเศรษฐศาสตร์ไทยกำลังมีการบ้านใหม่ทำครับ : หลังจากที่ท่านต้องมึนกับนวัตกรรมในการใช้กองทุนน้ำมันยืดระยะเวลาผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจ, เพราะต่อไปนี้ท่านจะต้องวิเคราะห์ว่า นวัตกรรมที่ใหม่ยิ่งกว่าอย่าง การใช้การลงทุนจากต่างประเทศกับตลาดหุ้นไทย (พูดง่ายๆคือขายสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นในบ้านเรา ...ครับผมหมายถึงหุ้นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่กำลังทะยอย ipo นั่นแหละครับ) มันจะมีผลกระทบอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจบ้านเราบ้าง เพราะเงินแค่ 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็มีผลทำให้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงได้ 3% เงินที่ไหลเข้ามาเพื่อลงทุนในกิจการพลังงานและโทรคมนาคม โดยรัฐวิสาหกิจของรัฐจะยิ่งมีมูลค่ามากกว่านี้อีกไม่รู้กี่เท่า ....และที่สำคัญยิ่งค่าเงินบาทแข็งขึ้น ก็จะยิ่งดึงดูดให้นักลงทุนเทเงินเข้ามาเก็งกำไรในประเทศไทยมากขึ้น ความเสี่ยงในระบบการเงินจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
  6. ดร ศุภวุฒิ เคยวิเคราะห์เอาไว้เมื่อตอนต้นปีว่า การก่อกำเนิดขึ้นของขบวนการสนธิ จะทำให้การเมืองในปีใหม่นี้เข้าไปสู่ระบบ balance and check มากขึ้น และยังชี้ประเด็นต่อด้วยว่า หากมีการขายหุ้นชินเกิดขึ้นจริง นี่จะเป็นการแยกกันระหว่างธุรกิจและการเมืองอย่างชัดเจน และจะมีผลอย่างไรต่อไปกับการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต






Create Date : 20 มกราคม 2549
Last Update : 20 มกราคม 2549 15:39:00 น. 3 comments
Counter : 531 Pageviews.

 
ไปเจรจาขายชาติกับสิงคโปร์แน่ ฟันธง


โดย: peeko วันที่: 20 มกราคม 2549 เวลา:13:44:09 น.  

 
โลกนี้ มันเข้าใจยากขึ้นไปทุกวันแล้ว
เพราะคำว่า "กบในกะลา" ไม่อาจอธิบายได้ในความหมายของ "กะลา และ กบ" แบบเดิม ๆ แล้ว

ในประเด็นที่กล่าวถึง เศรษฐกิจ อยู่นี้
อ่านไป ผมก็มีความคิดไปว่า
1. เป็นที่น่าสังเกตุว่า ทุนจากสิงค์ (ทั้งรัฐและเอกชน) เข้ามาถือหุ้น สื่อมวลชน และ กิจการให้บริการการสื่อสาร (สมัยใหม่) ในบ้านเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ (บทบาทของสิงค์)มันจะมีความหมายอย่างไรต่อคน/สังคมประเทศเราเอง และคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้
2. แล้วทุนไทย(ที่ได้เงินจากเขามาแล้ว)จะปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองภายในประเทศอย่างไร และจะมีการรุกเข้าไปในเขตรัฐชาติอื่นอย่างไร

ถ้า "ฮันโซ" พอมีเวลา ก็ช่วยเปิดกะลาให้กบอย่างผมด้วยครับ โลกมหภาคของผมจะได้กว้างออกไปกับเขาบ้าง

ขอบคุณหลาย ๆ เด้อ


โดย: a_somjai วันที่: 22 มกราคม 2549 เวลา:3:20:09 น.  

 
คุณ peeko: เอ่อ...ขายชินครับ ไม่ได้ขายชาติ

คุณ a_somjai: ขอบคุณสำหรับข้อสังเกต และคำถามทั้งสองข้อครับ คำถามทั้งสองข้อเป็นเรื่องที่คนไทยคงอยากรู้มากที่สุดในหลายเรื่องสำหรับเวลานี้

"ผม" คงตอบข้อสงสัยให้ ตามคำถามทั้งสองข้อนั้นได้บ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง กาลเวลาจะคลี่คลายอนาคตและให้คำตอบที่ชัดเจนที่สุดครับ

อย่าพูดว่าเปิดกะลาให้กบเลยครับ เอาเป็นว่าไปผจญภัยในโลกความรู้ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้กันและกันดีกว่า

โลกสมัยปัจจุบันไม่มีใครเก่งกว่าใครครับ

ชีวิตคนแต่ละคนก็เหมือนหนังสือเล่มใหญ่ๆหลายเล่ม ศึกษาความคิดคนชั่วชีวิตก็เรียนรู้ไม่หมด มีแต่ต้องแลกเปลี่ยน และช่วยเหลือซึ่งกันและกันครับ

ก็เหมือนกับที่ผมตั้งชื่อเว็ปนี้ว่า "สหายสิกขา" -- เพื่อน ที่เรียนรู้ร่วมกัน ไงครับ

ปล. คำตอบของคำถามทั้งสองข้อ จะนำมาลงเป็นบทความในเร็ววัน ขอโปรดติดตามครับ


โดย: ฮันโซ วันที่: 27 มกราคม 2549 เวลา:21:54:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฮันโซ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สหายสิกขา Lite version

สหายสิกขาตั้งคำถามกับการเป็นอยู่ของสรรพสิ่งตรงหน้า พร้อมกันนั้นก็เปิดรับแนวคิดของคำตอบในมุมมองที่แตกต่างอย่างเท่าเทียมกัน

สหายสิกขาจะมีความยินดียิ่ง หากคุณได้นำความรู้ที่ได้จุดประกายนี้ไปตีความต่อให้ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น เพราะยิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งถกเถียงยิ่งสนทนาก็สามารถแตกประเด็นไปอีกได้มาก

สหายสิกขาต้องการกระตุ้นให้คนอ่านได้คิด และสัมผัสถึงขอบเขตที่ไม่สิ้นสุดแห่งจินตนาการ

พร้อมกันนั้นสหายสิกขา ก็พร้อมอยู่เป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนสนทนา เพื่อจับมือกันเรียนรู้ไปในโลกกว้าง ...ด้วยกัน

CC Developing Nations
Friends' blogs
[Add ฮันโซ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.