|
นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ และการปฏิรูปการเมืองในฐานสังคมแบบสองนคราประชาธิปไตย (1)
บทความต่อไปนี้เป็นบทความเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล พตท.ทักษิณ ชินวัตร และการปฏิรูปการเมือง โดยจะเขียนเป็นตอนๆ มีทั้งหมดสี่ตอนด้วยกัน แต่ละตอนจะเป็นการอธิบายและชี้แจงข้อมูลในแต่ละประเด็น ตามลำดับดังต่อไปนี้ คำถาม
- นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นการแก้ไขปัญหาคนจน หรือเป็นเพียงการซื้อเสียงคนจน
- นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลพัฒนาประเทศทั้งระบบหรือไม่ และเกี่ยวข้องกับการแก้จนอย่างไร
- นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลส่งผลต่อสองนคราประชาธิปไตย และการปฏิรูปทางการเมืองอย่างไร
- จุดยืนที่ควรจะเป็นต่อวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน
=== ( 1 ) คำถามที่ 1. นโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นการแก้ไขปัญหาคนจน หรือเป็นเพียงการซื้อเสียงคนจน?
นิยามของความยากจน
ก่อนจะตอบคำถามนี้ จำเป็นจะต้องกำหนดนิยามของความยากจนให้ชัดเจนเสียก่อน เพราะนิยามที่แตกต่างกันนั้นจะส่งผลถึงเป้าหมาย และแนวทางการแก้ไขปัญหาของความยากจนที่แตกต่างกันออกไป
นิยามของความยากจน และการจัดแบ่งความยากจนมีได้หลายแนวทางดังต่อไปนี้[1]
- ความยากจนตามนิยามของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) แบ่งความยากจนออกเป็นสองกรณีคือ
- ความยากจนเชิงรายได้ (Income Poverty) ซึ่งเป็นความยากจนที่เกี่ยวข้องกับรายได้ที่ไม่เพียงพอ ความยากจนในลักษณะนี้ยังแบ่งย่อยลงไปได้อีกสองกรณีคือ
- ความยากจนข้นแค้น (Extreme Poverty) หมายถึงการขาดแคลนรายได้ที่เพียงพอสำหรับบริโภคอาหารเพื่อยังชีพ การวัดความยากจนแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะใช้การวัดแบบสัมบูรณ์ เช่น เส้นความยากจน (poverty line) หากใครมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนนี้ก็จะถือว่าเป็นคนยากจนตามความหมายนี้
- ความยากจนโดยรวม (Overall Poverty) เป็นการขาดแคลนรายได้ที่เพียงพอต่อความจำเป็นในการดำรงชีพที่มิใช่อาหาร การวัดความยากจนแบบนี้จะใช้วิธีการวัดในเชิงสัมพัทธ์ คือเปรียบเทียบกับกลุ่มรายได้ในกลุ่มต่างๆ (แบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆตามระดับรายได้ เช่น 20% ที่จนที่สุด, 20% ที่มีรายได้มากถัดขึ้นไป จนกระทั่งถึงกลุ่มประชากรที่มีรายได้รวยที่สุด 20%)
- ความยากไร้ของคน (Human Poverty) เป็นความยากจนที่เกี่ยวข้องกับการคลาดแคลนโอกาส เช่นขาดแคลนขีดความสามารถในการเรียนรู้ ทุพโภชนาการ บิดามารดาป่วย อายุสั้น ป่วยเป็นโรคที่ป้องกันได้ ซึ่งความยากจนในลักษณะนี้ อาจวัดด้วยการเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐาน (เป็นการวัดโดยอ้อม)
- อมาตยา เซน นิยามความยากจนว่าเป็นการจำกัดสิทธิ์ ลิดรอนสิทธิ์ ก็ถือว่ายากจน (เช่นนักโทษถูกจำคุก)
- ในขณะที่ วิทยากร เชียงกูล เห็นว่าความยากจนมาจาก การด้อยโอกาสทางสังคมและวัฒนธรรม
- อภิชัย พันธเสน เห็นว่าควรมองความยากจนเป็นมิติต่างๆ ได้ 7 มิติ เช่น ความยั่งยืน การมีชีวิตอยู่ได้, การได้รับความปลอดภัยในความคุ้มครอง, การได้รับความรักความอบอุ่น, ฯลฯ เป็นต้น
- นักวิชาการอีกหลายคนได้แสดงความเห็นว่าความยากจนมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคมและการเมือง
นิยามที่แตกต่างกัน จะทำให้ผลที่ได้รับจากวิธีการวัดความยากจนมีความแตกต่างกัน คนจนที่ได้จากการวัดตามความหมายในนิยามหนึ่ง อาจจะไม่ใช่คนจนที่ได้จากการวัดในนิยามอื่นก็ได้
นอกจากนี้นิยามที่แตกต่างกันก็จะทำให้ได้แนวทางและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาที่แตกต่างกันตามไปด้วย สำหรับแนวทางที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ (อันเป็นแนวทางที่ประเทศส่วนใหญ่ใช้) จะนิยามความยากจนว่าเป็นการด้อยโอกาสทางสังคม แนวทางการแก้ไขปัญหาก็จะเน้นไปที่การเสริมสร้างศักยภาพคนจน และผู้ด้อยโอกาสให้มีการไต่เต้าทางสังคม ซึ่งใช้วิธีการต่างๆเช่น การขยายโอกาสในการเข้าถึงบริการสังคมพื้นฐานด้านการศึกษาและการสาธารณสุข และการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยในการผลิต เช่นที่ดิน, สินเชื่อ หรือตลาด เป็นต้น
อนึ่งนิยามความยากจนและกลยุทธ์แนวทางการแก้ไขปัญหาในลักษณะนี้จะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ[2]
การแก้ไขปัญหาความยากจนที่ผ่านมาของภาครัฐ จะใช้นิยามที่เป็นมาตรฐานตามแนวทางของสหประชาชาติทั้งนี้เพื่อให้มีมาตรฐานที่เป็นสากลและสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้ที่เชื่อมโยงกันได้ แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาจึงมุ่งลดจำนวนคนยากจน โดยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเหนือเส้นความยากจน และกำหนดให้การกระจายรายได้โดยเปรียบเทียบของกลุ่มประชากรที่มีรายได้ในระดับต่างๆให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น
ยุทธศาสตร์การแก้ไขความยากจนของรัฐบาล พรรคไทยรักไทยได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั้งสองครั้ง โดยแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้นได้พิเคราะห์จากพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจไทยซึ่งส่วนใหญ่ จะหาเลี้ยงชีพด้วยการเกษตร ดังนั้นจึงมีการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นโครงการตามแนวทาง "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส"
สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นระบบ "ระบบเศรษฐกิจของไทยกว่าสามในสี่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการดำเนินงานของเศรษฐกิจฐานรากในขณะที่การกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกว่าเก้าในสิบตกอยู่กับกลุ่มชนชั้นกลางและชั้นสูง การดำเนินการของรัฐบาลในระยะห้าปีที่ผ่านให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นระบบของครบวงจร ภายใต้หลักการ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส เช่น การพักชำระหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้านและชุมชนฯ โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ธนาคารประชาชน และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม เป็นต้น"[3]
|
แนวทางข้างต้นนี้จึงเป็นแนวคิดที่ดูสอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาตามนิยามหลักที่ใช้ข้างต้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้มีการกำหนดรายละเอียดในเชิงยุทธศาสตร์ และการกระจายงบประมาณลงไปเพื่อแก้ไขปัญหาตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้[4]
ประเมินผลประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาความยากจน เมื่อดูประสิทธิภาพโดยรวมจะพบว่า จำนวนและสัดส่วนคนจนเมื่อวัดจากเส้นความยากจน จะมีปริมาณลดลงเรื่อยๆ[5] ตัวเลขความยากจนล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านคน[6] แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นผลจากระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ ซึ่งยากจะแยกแยะได้ว่า ประสิทธิภาพของนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งพรรคไทยรักไทยได้หยิบยกขึ้นมาหาเสียงในช่วงรณรงค์การเลือกตั้งนั้น จำเป็นจะต้องพิจารณาแยกโดยต่างหาก
ซึ่งเมื่อพิจารณา 5 โครงการหลักของรัฐ และพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนแต่ละคนในแง่ของ รายได้, เงินออม และรายจ่าย ว่ามีการเพิ่มขึ้นลดลงหรือไม่อย่างไร ดังต่อไปนี้[7]
| รายได้ | เงินออม | รายจ่าย |
กองทุนหมู่บ้าน | +7.2% | +6.1% | +7.6% |
OTOP | +14.5% | +5.8% | +16.9% |
30 บาท | - | +1.4% | -0.5% |
ธนาคารประชาชน | +0.6% | -5.6% | +1.7% |
พักชำระหนี้ | +21.9% | -50.3% | +30.2% |
ประมวลผลจาก รายงานสรุปผลการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า คิดรวมทั้งประเทศ
หากดูในภาพรวมจะเห็นว่าโครงการส่วนใหญ่จะทำให้รายได้, เงินออม และรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ยกเว้นโครงการที่ก่อให้เกิดหนี้เช่นโครงการธนาคารประชาชนและโครงการพักชำระหนี้ซึ่งสองโครงการนี้จะทำให้เงินออมลดลงซึ่งอาจสะท้อนถึงความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนในระยะยาวหากผู้กู้มิได้กู้สินเชื่อเพื่อไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการประกอบอาชีพ
แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าโครงการต่างๆของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาความยากจน จะถูกประเมินผล และสรุปหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับแต่ละโครงการอย่างชัดเจน[8] ประเด็นนี้น่าจะพอสรุปได้ว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาของความยากจน แต่การจะพิจารณาว่าเป็นความจริงใจในการช่วยเหลือคนยากจนหรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากรัฐมีหน้าที่ผลิตนโยบายเพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชน และประชาชนก็จะพิจารณาเปรียบเทียบแนวนโยบายของพรรคต่างๆในช่วงเวลาเลือกตั้ง ประกอบกับบุคคลและผลงานที่ผ่านมา ซึ่งประชาชนย่อมจะเลือกพรรคการเมืองที่ดูแล้วมีแนวโน้มที่จะสร้างประโยชน์ให้กับตนเองมากที่สุดเข้าไปทำหน้าที่บริหารงานรัฐบาล ในขณะที่พรรคการเมืองแต่ละพรรค ก็จำต้องแข่งขันกันนำเสนอนโยบายเพื่อดึงดูดใจให้ประชาชนมาลงคะแนนเสียงให้ตนเอง การแข่งขันของพรรคการเมืองดังกล่าวนั้นเองจะเป็นตัวบังคับให้พรรคการเมืองต้องตั้งใจนำเสนอนโยบายที่มีประโยชน์ให้กับประชาชน
ในอีกทางหนึ่งการบริหารงานของรัฐบาลที่ไม่สมดุล คือสร้างรายจ่ายมากเกินไปก็จะเป็นการก่อให้เกิดปัญหากับเสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ดังนั้นนอกจากรัฐบาลจะดำเนินนโยบายเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่ได้หาเสียงไว้ ในอีกทางหนึ่งก็จำเป็นจะต้องบริหารประเทศเพื่อให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและสามารถมีรายได้จากภาษีเพียงพอที่จะ บำรุงหล่อเลี้ยงโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเหล่านั้นได้
มีข้อควรสังเกตเพิ่มเติมคือทุกโครงการยกเว้นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มีส่วนทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น ซึ่งนี่จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจตามทฤษฎี consumtion-led growth หรือไม่ จะได้วิเคราะห์ในตอนถัดไป [ยังมีต่อ]
[1] นิยามของความยากจนในความหมายต่างๆดูได้จาก เอกสารยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจน - กรอบแนวคิดเกี่ยวกับความยากจน : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ [2]TDRI ใช้นิยามในแนวทางเดียวกันนี้ แต่มีข้อสังเกตว่าไม่ควรใช้รายได้ในการคำนวณหาเส้นความยากจน เนื่องจากไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่ควรจะใช้รายจ่ายในการคำนวณแทน แต่ก็ยอมรับว่าข้อมูลด้านรายได้หาได้ง่ายกว่า ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย [3]ดูข้อมูลเพิ่มเติมจาก จุดเด่น 10 ประการของการบริหารจัดการประเทศโดยพรรคไทยรักไทย [4]ดูข้อมูลเพิ่มเติมจาก เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ แนวทางการดำเนินงานตาม ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจน : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ [5]ดูข้อมูลเพิ่มเติมจาก เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ พ.ศ. 2548, ตารางที่ 33 เส้นความยากจน สัดส่วน จำนวนคนจน ช่องว่างความยากจน และความรุนแรงของปัญหา ความยากจน พ.ศ. 2535 - 2547 : สำนักงานสถิติแห่งชาติ [6]สภาพัฒน์ฯ และ TDRI ปรับเส้นความยากจนเพิ่มขึ้นจาก เส้นความยากจนจากรายได้เดือนละ 922 บาท เพิ่มเป็นเดือนละ 1,666 บาท ผลการปรับเส้นความยากจนนี้จะทำให้ปริมาณคนจนเพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านคนเป็น 9-10 ล้านคน [7]ดูข้อมูลได้จาก ผลการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ [8]ดูสรุปการวิเคราะห์ และข้อเสนอแนะได้จาก [7] [9]ยุทธศาสตร์หลักการแก้ไขความยากจนของภาครัฐดูได้จาก ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาของความยากจน : สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
Create Date : 24 มีนาคม 2549 | | |
Last Update : 24 มีนาคม 2549 18:18:29 น. |
Counter : 1735 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Loophole
กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาจนได้ สำหรับดีลการขายกิจการขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ หลังจากที่ผมได้โพสต์การคาดการณ์ดังกล่าว โดยสังเกตจากการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ไว้ในวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา
ธุรกรรมการขายกิจการชินคอร์ปของตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ให้กับกลุ่มเทมาเส็คจากสิงคโปร์ ได้ผลักดันให้มูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์โดยรวมถูกผลักขึ้นไปอยู่ที่ 9.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการซื้อขายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่การก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมา
ยอดการทำธุรกรรมขนาดยักษ์นี้กระทำผ่านกระดานนักลงทุนรายใหญ่ โดยผ่านทางบริษัทหลักทรัพย์หกราย คือ UBS, PHATRA, KEST, NSF, SCBS และ TNITY โดยมียอดการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 1,487 ล้านหุ้น (49.6% ของหุ้นทั้งหมด) ในราคาหุ้นละ 49.25 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินมูลค่ากว่า 73,680 ล้านบาท
เนื่องจากระเบียบข้อบังคับของพระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) ได้มีการกำหนดข้อบังคับให้เพดานของนักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 49% ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้มีการแก้ไขและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 หรือ 3 วันก่อนมีการซื้อขายกิจการครั้งนี้ ส่งผลให้เทมาเส็คต้องมีการจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่ซับซ้อน เพื่อรับมือกับเงื่อนไขนี้
กล่าวคือเทมาเส็ค ได้มีการจัดตั้งบริษัทลงทุนสองบริษัทคือ ซีดาร์ และ แอสเพน เพื่อเข้าเป็นผู้ถือหุ้นของชินคอร์ปในสัดส่วน 38.6% และ 11% ตามลำดับ แต่ด้วยเหตุที่ซีดาร์มีสัดส่วนการถือหุ้นที่มากกว่า 25% ทำให้ซีดาร์ต้องทำคำเสนอซื้อ (Tendor offer) หุ้นชินคอร์ปทั้งหมด ซึ่งซีดาร์ก็ได้เตรียมทำคำเสนอซื้อหุ้นชินคอร์ปในราคา 49.25 บาทต่อหุ้น (เท่ากับราคาที่รับซื้อจากตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์) หากคำเสนอซื้อที่เหลือประสบผลสำเร็จ (ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูง) ซีดาร์จะต้องใช้เงินอีกราว 1.9 พันล้านเหรียญ (หรืออีกราว 76,000 ล้านบาท) ในกรณีนี้จะมีโอกาสที่ซีดาร์อาจจะนำบริษัทชินคอร์ปออกจากตลาดหลักทรัพย์
แต่สำหรับบริษัทลูกอื่น ๆ ของชินคอร์ป ซีดาร์แสดงทีท่าที่จะไม่เข้าไปครอบครองหุ้นเพิ่มเติมของกิจการอีก เช่น AIS แม้ว่าจะถูกข้อกำหนดให้ต้องทำ tendor offer แต่ซีดาร์ก็ทำคำเสนอซื้อเพียง 72.35 บาทต่อหุ้น (ต่ำกว่าราคาตลาดเกือบ 30%) และได้รับการพิจารณายกเว้นไม่ต้องทำ tendor offer กับ ITV และ Shin Sattelite (รวมไปถึง CS Loxinfo ด้วย)
แม้ว่าจะสามารถอธิบายถึงเหตุผลในการซื้อขายกิจการนี้ไว้อย่างเรียบง่าย (และเชื่อว่าคงจะเป็นเหตุผลหลักในการเดินหน้าทำดีลครั้งนี้) ว่าผู้ถือหุ้นเก่าอย่างตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ไม่ต้องการที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มเพื่อไปต่อสู้ต่อในสมรภูมิ 3G (ตามข่าว จะต้องใช้เงินอีกไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด) อีกทั้งยังเผชิญกับการแข่งขันที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น เมื่อมีการเปิดเสรีอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในอนาคต และที่สำคัญคือผู้นำที่เป็นหัวใจสำคัญหลักคือ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ต้องการมุ่งเน้นไปทำงานด้านการเมือง ให้มากขึ้น ผนวกกับราคาหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่ได้ราคา ประกอบกับการมีผู้ซื้อที่เหมาะสมและพูดคุยและเจรจาตกลงกันได้ อีกทั้งดีลใหญ่ ๆ ก่อนหน้านี้ของไทคูนธุรกิจหลายรายได้เปิดทางนำร่องให้เป็นตัวอย่างมาเป็นระยะ และที่สำคัญนี่จะเป็นการสบโอกาสครั้งสำคัญในการล้างภาพผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างธุรกิจและการเมือง เนื่องจากเป็นการขายกิจการที่ไม่มีเงื่อนไขการซื้อกลับ หรือเป็นการล้างมือจากวงการโทรคมนาคมอย่างสมบูรณ์
แต่กรรมวิธีในการสร้างให้ดีลนี้เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเหมือนความต้องการของเจ้าของธุรกิจ เพราะยังต้องตอบคำถามอีกหลายข้อต่อไปนี้
- ธุรกรรมครั้งนี้จะต้องไม่มีการเสียภาษี
- ธุรกรรมครั้งนี้จะต้องเป็นการ ขายทิ้งหุ้นทั้งหมด (รวมถึงหุ้นที่มีการเก็บไว้ในบริษัทลงทุนนอกประเทศด้วย)
- ที่สำคัญ ธุรกรรมครั้งนี้จะต้องตอบโจทย์เรื่องข้อจำกัดผู้ถือหุ้นต่างชาติของผู้ซื้อ ในขณะที่ยังรักษาผลประโยชน์ของผู้ซื้อเต็มร้อย
นี่จึงเป็นปฏิมากรรมทางการเงินที่ซับซ้อนและอลังการ ภายใต้การกำกับของนักกฎหมายภาษีชื่อดังอย่าง ดร สุวรรณ วลัยเสถียร!
Loophole #2
ความซับซ้อนอันดับแรกของดีลนี้ อยู่ที่ว่านอกเหนือจากหุ้นที่อยู่ในความครอบครองของคนตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์แล้ว ยังมีหุ้นที่เป็นสมบัติของตระกูล ถูกเก็บเอาไว้ในบริษัทที่เป็น investment arm ที่ชื่อ Ample Rich Investment Ltd ซึ่ง ได้จดทะเบียนเอาไว้ที่หมู่เกาะ บริติช เวอร์จิน ซึ่งเป็นแหล่งที่ทราบกันดีว่าเป็น ประเทศสำหรับจดทะเบียนบริษัทที่มีความต้องการหลบเลี่ยงภาษี (tax haven)
สำหรับขั้นตอนในการถ่ายเทหุ้น เป็นไปตามลำดับดังต่อไปนี้
- หุ้นจำนวน 329,200,000 หุ้น ถูกแบ่งขายให้กับ คุณพานทองแท้ และคุณพิณทองทา จำนวน 164,600,000 หุ้น จำนวนเท่า ๆ กัน ในราคาหุ้นละ 1 บาท ธุรกรรมนี้เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2549 นี่เป็นขั้นตอน [ A ]
- คนในตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ทั้งหมดที่ถือหุ้นชินคอร์ป อันประกอบไปด้วย คุณพิณทองทา, คุณพานทองแท้, คุณบรรณพจน์, คุณยิ่งลักษณ์ และคุณบุษบา ได้เทขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 1,487,740,120 หุ้น ให้กับกลุ่มเทมาเส็ค โดยมีบริษัท ซีดาร์ และแอสเพ็นรับซื้อในสัดส่วน 38.6% และ 11.1% ตามลำดับ ซึ่งทั้งสองบริษัทนี้เป็นบริษัทที่จัดตั้งในประเทศไทยและเป็นตัวแทนของเทมาเส็ค ธุรกรรมนี้เกิดขึ้นในวันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2549 นี่เป็นขั้นตอน [ B ]
เป็นที่น่าสังเกตว่าทางฝั่งของเทมาเส็คก็ได้มีการจัดเตรียม เพื่อรับมือกับกฎหมายเรื่องเพดานนักลงทุนต่างชาติ (ไม่เกิน 49%) โดยได้มีการจัดตั้งบริษัทโนมินีเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการรับซื้อหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ดังต่อไปนี้
- จัดตั้งบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด ในวันที่ 7 มิถุนายน 2548
- จัดตั้ง บริษัท ไซเพรส โฮลดิ้งส์ จำกัด เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548
- ให้ไซเพรส เข้าถือหุ้นใน กุหลาบแก้ว ด้วยสัดส่วน 49% ในขณะที่ดังนักลงทุนไทย คือคุณพงส์ สารสิน และคุณศุภเดช พูนพิพัฒน์ เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 30.96% และ 20% ตามลำดับ ด้วยโครงสร้างการถือหุ้นแบบนี้จะทำให้กุหลาบแก้วกลายเป็นบริษัทสัญชาติไทย ในขั้นตอนนี้มีการ secure อำนาจของเทมาเส็ค ด้วยการกำหนดให้ผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย มีลักษณะเป็นหุ้นบุริมสิทธ์ และมีสิทธิ์ออกเสียงได้เพียง 1 ใน 10 ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย แต่อำนาจหลักของกุหลาบแก้วจะเป็นของฝ่ายสิงคโปร์
- จัดตั้ง บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด โดยให้ไซเพรส เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 48.99% กุหลาบแก้ว 41.1% และธนาคารไทยพาณิชย์ อีก 9.9% ซึ่งนอกเหนือจากเงินสดจากเทมาเส็คแล้ว ยังมีการทำธุรกรรมกู้เงินสดจำนวน 30,000 ล้านบาท จากธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อเข้าลงทุนอีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมธนาคารไทยพาณิชย์ เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งใน ซีดาร์ ด้วย
เนื่องจากผู้ถือหุ้นหลัก (กุหลาบแก้ว 41.1% และธนาคารไทยพาณิชย์ 9.9% รวมสัดส่วนการถือหุ้นทั้งหมดเป็น 51%) เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย จึงทำให้ซีดาร์เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยไปด้วย (แต่จะเห็นว่าโครงสร้างนี้อยู่ภายใต้อำนาจสิงคโปร์ จากทั้งกุหลาบแก้วและไซเพรส) นี่เป็นขั้นตอน [ C ]
- จัดตั้งบริษัท แอสเพน โฮลดิงส์ จำกัด โดยวางตำแหน่งบริษัทนี้เป็นนิติบุคคลต่างด้าว ถือหุ้นโดยบริษัท แอนเดอร์ตัน อินเวสเม้นต์ พีทีเอ ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของเทมาเส็คในสัดส่วน 99.94%
- เป็นที่น่าสังเกตว่าเทมาเส็คจัดโครงสร้างการถือหุ้นให้ตนเองเป็นผู้ถือหุ้นหลักทั้งในซีดาร์ และแอสเพ็น ดังนั้นจึงสามารถแต่งตั้งคนของตนเองเข้าไปเป็นกรรมการบริษัทได้ ซึ่งตัวแทนหลัก จะประกอบไปด้วยนาย เอส ไอวาราน และนางสาว ทาน ไอ ชิง เมื่อการจัดตั้งบริษัททั้งหมดเสร็จสิ้นก็ให้ แอสเพน และซีดาร์ รับซื้อหุ้นจาก กลุ่มชินวัตร-ดามาพงศ์ ในวันที่ 23 มกราคม 2548 นี่เป็นขั้นตอน [ D ]
และเนื่องจากซีดาร์ซึ่งมีสัดส่วนถือหุ้นใหญ่จำนวน 38.6% เป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย จึงทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเป็นไปตามเพดานการถือหุ้นตามที่กฎหมายกำหนด
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มติชน
ใครอยู่เบื้องหลังกุหลาบแก้ว บริษัทกุหลาบแก้ว จำกัด จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2548 ผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2549 :
- นายพงส์ สารสิน 3,096 หุ้น
- นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ 2,000 หุ้น
- บริษัท ไซเพรส โฮลดิงส์ 4,900 หุ้น
ใครอยู่เบื้องหลังไซเพรส บริษัท ไซเพรส โฮลดิ้ง จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 ผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2549 นาย วีรพจน์ วิเศษศิลปานนท์ 9,994 หุ้น (แต่จากข้อมูล คาดว่าเทมาเส็คจะเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ทำให้บริษัทนี้เป็นนิติบุคคลต่างด้าว)
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มติชน
|
เมื่อขั้นตอนดำเนินมาจนเสร็จสิ้น ก็เท่ากับว่าบรรลุเป้าหมายตามโจทย์แล้ว ตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ไม่เสียภาษีในการขายครั้งนี้ สำหรับการขายหุ้นล็อตใหญ่จำนวน 73,680 ล้านบาท เนื่องจากอาศัยการขายหุ้นในฐานะบุคคลธรรมดา ผ่านช่องทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และในขณะเดียวกันกลุ่มเทมาเส็คก็สามารถเข้าถือครองชินคอร์ปได้โดยมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แม้จะดูเหมือนเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ในขณะที่ยังสามารถฝ่าด่านข้อจำกัดเรื่องเพดานผู้ถือหุ้นต่างชาติอีกด้วย
แต่ในขณะเดียวกันเสียงเรียกร้องถึงความชอบธรรมของคุณทักษิณ ในข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ก็ดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งแรกด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการเสียภาษีสำหรับการขายหุ้นล็อตนี้ และต่อมาในฐานะความคลุมเครือของธุรกรรมผ่านแอมเพิลริช และสุดท้ายผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทั้งเรื่องคลื่นความถี่โทรคมนาคม และวงโคจรของดาวเทียม ที่ตกไปอยู่ในมือต่างชาติไปแล้ว
[ ยังมีต่อ ] ข้อกล่าวหาของสื่อ และฝ่ายตรงข้าม
เศรษฐกิจการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป
คะแนนนิยม ผลโหวต เอแบค
Create Date : 30 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 31 มกราคม 2549 22:59:57 น. |
Counter : 570 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจแบบใหม่ของรัฐบาล (โดยไม่ตั้งใจ)
ตอนนี้ในตลาดเงินกำลังมีปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นครับ เพราะราคาน้ำมันโลกปรับตัวสูงขึ้น แต่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับสหรัฐกลับแข็งตัวขึ้น
ถ้าใครได้อ่านบทความเรื่องเศรษฐศาสตร์ชาวบ้านฉบับแท็กซี่ จะเห็นว่ามีข้อคิดเห็นในทำนองว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอยลง ซึ่งจะเห็นได้จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงตามราคาน้ำมัน
แต่ถ้าเรามาดูการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน และค่าเงินบาทในปัจจุบัน กลับจะเห็นว่ามันมีการเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามในทิศทางที่บทความที่แล้วได้วิเคราะห์และคาดการณ์เอาไว้
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวกลับขึ้นมาที่ $66.83 ,19.01.2006
ในขณะที่ค่าเงินบาทกลับปรับตัวแข็งขึ้นมาที่ราว 39.50 บาทต่อหนึ่งเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
ผมเห็นการเคลื่อนไหวแปลกๆของค่าเงินบาท แรกๆก็คิดว่าการวิเคราะห์ในบทความที่แล้วมีข้อผิดพลาดบ้างหรือเปล่า เป็นไปได้ไหมว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะมีผลกระทบในทางลบกับเศรษฐกิจ เพราะครั้งที่แล้วราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น --> เศรษฐกิจตก --> ค่าเงินบาทอ่อนลง แต่มาคราวนี้ ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น --> เศรษฐกิจควรจะตก? ---> แต่ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้น?
อันที่จริงผมไม่ค่อยห่วงเรื่องระดับราคาน้ำมันเท่าไหร่นัก เพราะขณะนี้รัฐบาลได้ลอยตัวระดับราคาน้ำมันไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นราคาน้ำมันจะสะท้อนความเป็นจริงในตลาด เศรษฐกิจจะปรับตัวเองโดยอัตโนมัติ พูดได้อีกอย่างว่าถ้าระดับราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไประดับหนึ่ง (ไม่มากจนเกินไป ซึ่งถ้าดูข้อมูลรอบๆด้าน โอกาสแบบนั้นก็จะเกิดค่อนข้างน้อยครับ) ก็จะไม่มีผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจมากนัก
แต่การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมากภายในเวลาอันสั้น (จาก 41 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาเป็น 39.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ) แล้วจะบอกว่าเศรษฐกิจของประเทศแข็งแรงขึ้นแล้วนั้น ไม่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ถูกต้อง
ผมมีคำอธิบายแบบสำเร็จรูปให้ตัวเองคือ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแสดงให้เห็นว่า เงินบาทในตลาดแลกเปลี่ยนหาได้ยากขึ้น แสดงว่ามีใครบางคนกำลังหาแลกเงินบาทกับเงินเหรียญสหรัฐ เพื่อนำมาเข้าทำอะไรบางอย่างในประเทศ ซึ่งการที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นโดยสามารถยืนอยู่เหนือ 700 จุดได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี และมีข่าวว่ากองทุนต่างชาติแห่นำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศ น่าจะสามารถตอบคำถามนี้ได้(บ้าง)
จวบจนกระทั่ง...
เริ่มมีข่าวออกตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เตรียมขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับเทมาเส็คแห่งสิงคโปร์ [เทมาเส็ค (temasek) เป็นบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจ โดยทำหน้าที่ลงทุนและถือหุ้น (investment arm) ของสิงคโปร์]
ซึ่งในความเป็นจริงที่ว่า พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มชิน ได้พิจารณาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียแล้ว จึงตัดสินใจขายหุ้นดังกล่าว แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ยอมรับ - หรือปฏิเสธ ซึ่งก็ยิ่งทำให้ข่าวดังกล่าวมีความชัดเจนยิ่งขึ้นอีก
ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการตัดสินใจ ก็ไม่มีอะไรมากครับ เมื่อพิจารณาข้อดีที่ว่าราคาหุ้นของตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาสูงในระดับที่สามารถขายทำกำไรได้ และที่สำคัญคือการหาตัวผู้มาซื้อ ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำกันได้ง่ายๆ ประกอบกับก่อนหน้านี้ ดีลการขายหุ้นยูคอมของกลุ่มเบญจรงคกุล ให้กับเทเลนอร์ ก็เท่ากับสร้าง benchmark ในการเจรจาขายหุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมไว้ล่วงหน้าแล้ว
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ย่อมทำให้ดีลมูลค่าเจ็ดหมื่นล้านครั้งนี้ตกลงกันได้ง่ายขึ้น
เพราะกลุ่มผู้ซื้อเองก็ไม่แน่ใจว่าถ้าปล่อยให้ราคาหุ้นไทยสูงขึ้นไปมากกว่านี้ (ซึ่งก็มีแนวโน้มจะเป็นไปได้) ก็อาจจะต้องเสียมากกว่าที่ควรเสีย ในขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเก่า (ตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์) ก็มองตรงกันกับกลุ่มเบญจรงคกุลว่า สมรภูมิรบในอนาคตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ต้องไปสู้รบกันด้วย 3G แล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงเงินลงทุนปริมาณมหาศาล
การขายหุ้นกลุ่มชินในครั้งนี้ของคุณทักษิณ ยังได้ผลดีอีกด้านหนึ่งด้วยคือ จะลดภาพผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างธุรกิจและการเมืองได้มากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะหลุดข้อกล่าวหาไปได้ง่ายๆนะครับ เพราะกลุ่มคุณสนธิ ก็ยังกล่าวหาว่า แค่ขายหุ้นไม่ใช่ถือว่าจบเรื่อง แต่ต้องเอาเงินและผลประโยชน์ที่ได้เพิ่มขึ้นในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลมาคืนแผ่นดินด้วย!
หนังสือพิมพ์หลายฉบับเริ่มสรุปตรงกันแล้วว่าดีลนี้น่าจะเกิดขึ้นจริงและคงตกลงกันได้เร็วๆนี้
หม่อมอุ๋ยก็ออกมาให้ความเห็นว่า ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็เป็นผลมาจากการเทขายดอลลาร์เพื่อซื้อบาท เพื่อใช้ในดีลดังกล่าว แต่คุณทนง ก็ค้านว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องดังกล่าว ชาวบ้านอย่างเราฟังแล้วก็ลองคิดดูครับว่าจะเชื่อใครดี
แต่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ภัทร (ที่มี ดร ศุภวุฒิ สายเชื้อ เป็นหัวหน้าทีมวิเคราะห์เศรษฐกิจอยู่) ชี้ให้เห็นว่าการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นนั้นมีผลดีที่จะลดอัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากภาวะราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น นี่จึงเป็นสิ่งที่ผมเรียกว่าเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ได้ตั้งใจของรัฐบาลนั่นเองครับ
อัตราเงินเฟ้อค่อยๆปรับตัวลดลงมา หลังจากที่ขึ้นไปสูงสุดถึง 6% ในช่วงตุลาคม 2548
โดยสรุปแล้วคือค่าเงินบาทแข็งขึ้นน่ะ เป็นเพราะต่างชาตินำเงินเข้ามาลงทุนเพื่อซื้อหุ้นน่ะใช่แน่ แต่จะเป็นหุ้นชินหรือเปล่า...คงต้องดูกันต่อไป
แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมมีข้อสังเกตน่าสนใจหลายข้อเลยทีเดียว
- เงิน 7 หมื่นล้านบาท หรือราว 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็สามารถทำให้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงได้ประมาณ 3% (จาก 41 -> 39.5 บาทต่อ $US)
- คุณทักษิณไปพักผ่อนที่สิงคโปร์หรือไปเจรจาต่อรองการซื้อขายกับเทมาเส็ค
- คุณทักษิณบอกว่าไม่รู้เรื่องการซื้อขายหุ้น แปลเป็นไทยได้ว่า การเจรจาตกลงเรียบร้อยแล้ว
- ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น แม้ว่าจะไม่ค่อยดีกับการส่งออก แต่ก็มีข้อดีที่สามารถยันกันกับราคาน้ำมันที่กำลังสูงขึ้นได้
- นักเศรษฐศาสตร์ไทยกำลังมีการบ้านใหม่ทำครับ : หลังจากที่ท่านต้องมึนกับนวัตกรรมในการใช้กองทุนน้ำมันยืดระยะเวลาผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจ, เพราะต่อไปนี้ท่านจะต้องวิเคราะห์ว่า นวัตกรรมที่ใหม่ยิ่งกว่าอย่าง การใช้การลงทุนจากต่างประเทศกับตลาดหุ้นไทย (พูดง่ายๆคือขายสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นในบ้านเรา ...ครับผมหมายถึงหุ้นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่กำลังทะยอย ipo นั่นแหละครับ) มันจะมีผลกระทบอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจบ้านเราบ้าง เพราะเงินแค่ 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็มีผลทำให้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงได้ 3% เงินที่ไหลเข้ามาเพื่อลงทุนในกิจการพลังงานและโทรคมนาคม โดยรัฐวิสาหกิจของรัฐจะยิ่งมีมูลค่ามากกว่านี้อีกไม่รู้กี่เท่า ....และที่สำคัญยิ่งค่าเงินบาทแข็งขึ้น ก็จะยิ่งดึงดูดให้นักลงทุนเทเงินเข้ามาเก็งกำไรในประเทศไทยมากขึ้น ความเสี่ยงในระบบการเงินจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
- ดร ศุภวุฒิ เคยวิเคราะห์เอาไว้เมื่อตอนต้นปีว่า การก่อกำเนิดขึ้นของขบวนการสนธิ จะทำให้การเมืองในปีใหม่นี้เข้าไปสู่ระบบ balance and check มากขึ้น และยังชี้ประเด็นต่อด้วยว่า หากมีการขายหุ้นชินเกิดขึ้นจริง นี่จะเป็นการแยกกันระหว่างธุรกิจและการเมืองอย่างชัดเจน และจะมีผลอย่างไรต่อไปกับการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
Create Date : 20 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 20 มกราคม 2549 15:39:00 น. |
Counter : 532 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
สหายสิกขา Lite version
สหายสิกขาตั้งคำถามกับการเป็นอยู่ของสรรพสิ่งตรงหน้า พร้อมกันนั้นก็เปิดรับแนวคิดของคำตอบในมุมมองที่แตกต่างอย่างเท่าเทียมกัน
สหายสิกขาจะมีความยินดียิ่ง หากคุณได้นำความรู้ที่ได้จุดประกายนี้ไปตีความต่อให้ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น เพราะยิ่งแลกเปลี่ยนยิ่งถกเถียงยิ่งสนทนาก็สามารถแตกประเด็นไปอีกได้มาก
สหายสิกขาต้องการกระตุ้นให้คนอ่านได้คิด และสัมผัสถึงขอบเขตที่ไม่สิ้นสุดแห่งจินตนาการ
พร้อมกันนั้นสหายสิกขา ก็พร้อมอยู่เป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนสนทนา เพื่อจับมือกันเรียนรู้ไปในโลกกว้าง ...ด้วยกัน
|
|
|
|
|
|
|