Group Blog
วันวานของหนู
เที่ยวไปตามใจฝัน
ฮานิส กับวันสบายๆ
หน้านี้ขอแม่นะ โชว์ผลงานภาพประทับใจ
ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับเจ้า เท่า \"การศึกษา\"
Waldorf Education
ครึ่งหนึ่งของชีวิต
All Blogs
เรื่องของเด็ก ป.1
ดิน...น้ำ...ลม...ไฟ....อะไรที่เจ้าเป็น_Choleric
ดิน...น้ำ...ลม...ไฟ....อะไรที่เจ้าเป็น_Sanguine
ดิน...น้ำ...ลม...ไฟ....อะไรที่เจ้าเป็น_Phlegmetic
"การให้" พลังที่ไม่เคยหมด
ดิน...น้ำ...ลม...ไฟ....อะไรที่เจ้าเป็น_Melancholic
เรื่องนี้ "สวนกระแส"
เรา....หรือใคร.....
แล้วบางสิ่งก็เปลี่ยนไป
ความกลัว.....กับดักของพ่อแม่
จังหวะที่เสียศูนย์ กับบางสิ่งที่สูญเสีย
ห้องสอบ NT ของนักเรียนวอลดอร์ฟ
เรื่องของ "พี่นนท์"
ปลายทางของการศึกษา
งานสีน้ำของหนู
นิทาน : ภาพลักษณ์กับความหมายที่แฝงเร้น
จังหวะนั้น สำคัญฉะนี้
งานหัตถกรรม
ของเล่นของหนู
การศึกษาอันใกล้ของหนู
ไม่ดูทีวี
สำหรับหนู งาน = เล่น และ เล่น = งาน
อารมณ์ของผู้ใหญ่
เลี้ยงลูกอย่าง "วอลดอร์ฟ"
การศึกษาที่แม่คิดว่า..."ผิดทาง"...
ความกลัว.....กับดักของพ่อแม่
ที่บ้านพักตากอากาศ เขื่อนศรีนครินทร์ บทสนทนาระหว่างพ่อและลูกชายวัยมัธยม 2
บอย : พ่อ เราไปพายเรือคายัคกัน
พ่อ : เอาซิลูก
(พ่อคิดว่าลูกชวนไปพายเรือบริเวณริมเขื่อน)
บอย : พายไปกลางเขื่อนเลยนะพ่อ
พ่อ : !!!!!
......นาทีนั้นเป็นนาทีที่ผมต้องตัดสินใจ การพายเรือไปกลางเขื่อนที่มีแต่ตัวเรากับเรือเป็นเรื่องที่ท้าทาย หากผมปฏิเสธเค้าในวันนั้น ผมคงเป็นคนที่หยุดหรือทำลายสิ่งที่ผมพยายามสร้างให้เกิดในตัวลูกผมมาตั้งแต่เค้ายังเล็ก.....
.................................................................................................
ในบ้าน พ่อกำลังเล่นกีตาร์ ลูกชายกำลังนั่งทำงานของตัวเองอยู่อีกมุมของห้อง ในขณะที่พ่อเล่นกีตาร์และน้องบอยกำลังนั่งหันหลังให้
บอย : พ่อ นิ้วกลางพ่ออ่ะ อย่ากดให้โดนสาย... อีกสายนึง เสียงมันจะเพี้ยน
พ่อ : !!!!!
......ผมงงมาก เค้ามีสัมผัสรับรู้ที่ดีมาก สำหรับเค้ามันไม่ใช่แค่เสียงที่เค้าฟัง แต่เค้า ได้ยิน มันลึกซึ้งกว่าแค่ฟัง.....
......วันหนึ่ง ตอน ป.5 ลูกขอผมเรียนเปียโน ผมก็อนุญาต ตอนนี้ผ่านมา 3 ปีแล้ว เค้ากำลังจะสอบระดับ 4 เค้าเล่นได้ดี และพัฒนาการเล่นได้เร็วมาก ตอนนี้เค้าสนใจดนตรีแจ๊ส แล้วทำท่าว่าจะเรียนแจ๊สอีก....
......เค้าได้คัดเลือกเป็นตัวแทนระดับประเทศ ในกีฬาเล่นเรือใบ(ทีม) ซึ่งเป็นกีฬาที่เค้าเริ่มเล่นเมื่อตอนป.5 จากการเข้าค่ายเรือใบของโรงเรียน ซึ่งเป็นหลักสูตรของรร.วอลดอร์ฟ ปัจจุบันเค้าเล่นจนได้รับคัดเลือก แต่ตัวเค้าเองเป็นคนปฏิเสธที่จะเล่นเป็นตัวแทนดังกล่าว ด้วยเหตุผลที่ผมต้องยอมจำนน หลังจากที่ผมเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ด้วยความรู้สึกเกรงใจผู้ใหญ่และคณะกรรมการที่อุตส่าห์คัดเลือกเด็กที่อายุน้อยที่สุดในทีมอย่างลูกผมเข้าไป
หลังจากความพยายามอยู่นานในการเกลี้ยกล่อมให้ลูกยอมเป็นตัวแทนและเล่นร่วมกับทีมที่ได้คัดเลือก
พ่อ : ทำไมล่ะลูก ทำไมถึงไม่ยอมเล่น
บอย : พ่อครับ ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วง คนอื่นเค้าเล่นเค้าพยายามกันมาตั้งกี่ปี กว่าจะมาถึงวันนี้ ถ้าเค้าต้องมารอผมคนเดียว บ้านเราอยู่กรุงเทพ ทุกครั้งที่ซ้อมต้องไปซ้อมถึงชลบุรี เราจะไปมาได้ทุกครั้งหรือเปล่า แล้วยังพ่ออีกที่ต้องวิ่งคอยรับส่งผมเวลาไปซ้อม ผมว่าผมถอนตัวดีกว่าครับ
ครั้งนั้น ผมเองต้องยอมจำนนต่อความคิดและวิธีคิดของเค้า เค้ามีเหตุมีผลของตัวเอง เค้าตัดสินใจด้วยเหตุผลอันเหมาะอันควร เราคงไม่ต้องห่วงเค้ามากมายแล้ว....
.....ในเวลานี้ ตั้งแต่เค้าเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ผมสังเกตเห็นว่า เค้าจะมีความอยากที่จะรู้ อยากที่จะทำ ทุกเรื่องที่เค้าสนใจ แล้วเมื่อเค้าลงมือทำเค้าก็ทำมันได้ดีเสียด้วย ตอนนี้ผมกลับต้องคอยยั้งๆเค้าและให้เค้าได้ทำเท่าที่เหมาะควรแก่เวลา แล้วอย่างนี้แล้ว ผมยังต้องกังวลอีกหรือว่าเค้าจะเรียนต่ออะไร เค้าจะเอ็นทรานซ์ได้ไม๊ ในเมื่อโลกนี้เป็นของเค้า เค้าพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกอย่างที่เค้าต้องการ.....
.................................................................................................
ในวงสนทนาของครอบครัวหนึ่ง มีคุณตา คุณแม่ และลูกชาย ป.1
คุณตา : เรียน ป.1 แล้วอ่านหนังสือได้หรือยังลูก
หลาน : ยังอ่านไม่ได้ครับ
คุณตามีความกังวลว่าหลานจะอ่านหนังสือได้หรือไม่ ช้าเกินไปหรือเปล่า แต่ก็เฝ้าดูและติดตาม
เวลาผ่านไปอีก 1 ปี ที่ห้องเดิม
คุณตา : เอ้า.... ป.2 แล้วเริ่มอ่านหนังสือหรือยังลูก
หลาน : ยังไม่อ่านครับ
คุณตา : ป. 2 แล้ว ยังไม่อ่าน แล้วจะอ่านได้เมื่อไรล่ะ
หลาน : เดี๋ยว ป. 3 เทอมสองจะอ่านครับตา
คุณตา : อืม...เอากะเค้า
คุณตาเฝ้ารอเวลา.........
เวลาผ่านไป อีก 1 ปีกว่า
คุณตา : เอ้า.....ป.3 แล้ว อ่านหนังสือได้หรือยัง มาอ่านให้ตาฟังหน่อย
หลาน : เดินไปหยิบหนังสือมาอ่านให้คุณตาฟัง
และหลังจากนั้น หลานก็อ่านหนังสือได้ และมากขึ้นเรื่อยๆ
คำบอกเล่าจากคุณแม่
.....พอเค้าอ่านหนังสือได้ เค้าก็อ่านอย่างมาก โดยแม่จะคอยดูหนังสือที่เค้าอ่าน ว่าเหมาะสมกับวัย ทุกครั้งที่มีงานหนังสือที่ไหน เราจะไปด้วยกัน แล้วพอเค้าสนใจหนังสือเล่มไหน แม่จะคอยดูว่าเหมาะสมหรือไม่ ตอนนี้น้องอยู่ ม.2 แล้ว ครั้งสุดท้าย เค้าขอว่า ขอเป็นคนเดินเลือกซื้อหนังสือเองคนเดียว แม่ก็เห็นว่าเค้าโตพอแล้ว ก็เลยให้เงินจำนวนหนึ่งไป แล้วก็ปล่อยให้เค้าได้เลือกหนังสือของเค้าเอง........พอเค้ากลับมา แม่ก็ต้องแปลกใจ หนังสือที่เค้าเลือกซื้อมาอ่าน เป็นหนังสือที่แม้แต่แม่เองที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่คิดจะอ่าน......
.................................................................................................
วันนี้ขอยกเรื่องราวของครอบครัวที่ผ่านระบบการศึกษาแบบวอลดอร์ฟมาอย่างน้อย 7-8 ปี เนื่องจากมีเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนที่ยังโสด เพื่อนที่เป็นพ่อแม่มือใหม่ และเพื่อนที่เป็นพ่อแม่มาหลายปี ที่รับรู้ว่าแม่ให้ลูกของแม่เรียน รร.แนวการศึกษาวอลดอร์ฟ ทุกคนถามว่าคืออะไร พอแม่อธิบายอย่างคร่าวๆ สิ่งที่ตามมาก็คือ อืม....ก็ดีนะ เรียนแบบนี้...แต่
เรียนโรงเรียนแบบนี้ (ไม่เน้นวิชาการ) แล้วไม่กลัวว่าลูกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้หรือ ???
เรียนแบบนี้ แล้วลูกจะเป็นยังไงต่อ ลูกจะเรียนต่อที่อื่นได้หรือเปล่า???
ในตอนที่ถูกถาม แม่ยังหาคำตอบให้คนเหล่านั้นได้ไม่ชัดเจนนัก รู้แต่ว่าแม่ไม่กลัว.....
ลูกสาวแม่เป็นเด็กกลัวน้ำ จริงๆแล้วคงคล้ายๆ กับเด็กๆ อีกหลายคนที่กลัวน้ำ กลัวความกว้างขวางของสระ ไม่มั่นใจเมื่อต้องอยู่ในน้ำ ซึ่งไม่ใช่ภาวะที่คุ้นเคย แต่ลูกแม่อาจจะมากกว่าเด็กทั่วๆไปซักหน่อย ก่อนหน้านี้แม่เคยให้ครูมาสอนลูกว่ายน้ำ เรียนอยู่ 2 คอร์ส คอร์สละ 10 ชม. รวมแล้วก็ 20 ชม. เวลาผ่านไป ลูกก็ยังกลัวน้ำ แล้วก็ยังไม่สามารถว่ายน้ำได้อยู่ดี แล้วในที่สุด ก็ไม่อยากเรียนว่ายน้ำ เราก็เลยเลิก หลังจากนั้นไม่ว่าจะพาลูกไปว่ายน้ำ (เล่นน้ำ) กี่ครั้งหัวหนูก็ไม่เคยเปียกน้ำเลย อย่าว่าแต่ว่ายน้ำเลย ก้มหน้าลงไปในน้ำยังไม่สามารถ แต่ตอนนี้ ลูกเรียนว่ายน้ำที่ รร. 5 ครั้ง ลูกสนุกกับมันมาก หนูดำน้ำลงไปถึงก้นสระได้ หนูว่ายน้ำในระยะใกล้ๆได้ หนูมีท่าปลาดาว ปลาฉลาม มาอวดแม่ หนูว่ายน้ำอย่างมั่นใจ หนูขออนุญาตแม่ลงสระใหญ่ที่ความลึก 1.6 เมตร.......แม่จำใจยอมอย่างกังวลจึงให้คุณพ่อตามไปคอยระวัง แล้วหนูก็ทำให้แม่ประหลาดใจอีกครั้งด้วยการดำลงไปจนเท้าสัมผัสกับก้นสระเพื่อจะถีบตัวขึ้นมาบนผิวน้ำอีกครั้ง อย่างไม่กลัว ความรู้สึกของแม่ในนาทีนั้นคงไม่ต่าง ไปจากคุณพ่อน้องบอยในวันที่น้องบอยขอพายเรือออกไปกลางเขื่อนมากนัก แล้วนาทีนั้น แม่ก็คิดว่าแม่รู้คำตอบแล้วว่าทำไมแม่ถึงไม่กลัวว่าลูกของแม่จะไม่สามารถสอบเรียนต่อที่ไหนได้ หรือแม้แต่เรื่องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย.....
ถ้าแม่รู้และเชื่อมั่นว่าการศึกษาที่แม่เลือกให้หนู สร้างให้หนูเป็นผู้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ พร้อมทั้งทักษะทางด้านร่างกาย จิตใจ รวมถึงสติปัญญา พร้อมที่จะเรียน อยากที่จะรู้ แล้วทำไมแม่จะยังต้องกังวลว่าลูกของแม่จะไม่สามารถเรียนรู้ในรูปแบบที่แสนจะธรรมดา แบบที่คนอื่นเค้าเรียนกันไม่ได้ น้องบอย(นามสมมุติ) และหลานคุณตา เป็นตัวอย่างที่ทำให้แม่เห็นว่า การให้การศึกษาและการพัฒนามนุษย์ตามจังหวะที่เหมาะควรแก่เวลา จะทำให้เกิดความพร้อมของร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ซึ่งจะทำให้บุคคลสามารถเผชิญกับปัญหาและสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างรู้คิด และสิ่งนี้มีค่ามากกว่า ปริมาณความรู้ที่ได้แบกไว้แต่ใช้ไม่เป็น และลูกทำให้แม่รู้ว่า บนความกลัวและความกังวลของผู้เป็นพ่อแม่ มันเป็นเสมือนกับดัก ที่อาจสกัดกั้นพัฒนาการที่สำคัญของลูก....
การที่พ่อแม่กลัวว่าลูกจะไม่สามารถสอบเข้ารร.ดีๆ มหาวิทยาลัยดังๆ ได้นั้น เราอาจต้องกลับมาย้อนคิดว่าเราดูถูกความสามารถที่มีอยู่ในตัวตนของลูกเรามากเกินไปหรือเปล่า เรายิ่งกลัวเรายิ่งป้องกันด้วยวิธีการที่เราคิดเอาเองว่าดีคือการเพิ่มปริมาณความรู้มากเท่าที่จะมากได้ให้กับลูกเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ และนั่นล่ะที่เป็นตัวสกัดกั้นศักยภาพที่แท้จริงที่มีอยู่ในตัวลูก ให้ค่อยๆหายไปทีละเล็กละน้อยแล้วทดแทนไว้ด้วยปริมาณข้อมูลที่มากมายเกินจำเป็น
สำหรับแม่เอง เพียงแค่หากวันที่หนูขอแม่ลงสระใหญ่ที่ลึก 1.6 เมตร แล้วแม่ไม่อนุญาต นั่นก็เท่ากับว่า แม่เองที่เป็นผู้ทำลายความมั่นใจของหนูลงเสียแล้ว..... การเรียนในระดับต่อๆไปก็เช่นกัน แม่ว่าหนูเสียอีกที่จะเป็นคนทำให้แม่ต้องวิ่งหาความรู้มาตามหนูให้ทัน อายุความเป็นแม่ของแม่ เท่ากับอายุความเป็นลูกของหนู แต่ดูเหมือนว่า แม่อาจจะเรียนตามหนูไม่ทันซะแล้ว...........
Create Date : 28 มิถุนายน 2551
Last Update : 28 มิถุนายน 2551 15:53:31 น.
4 comments
Counter : 411 Pageviews.
Share
Tweet
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่
โดย:
te@
วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:18:49:27 น.
ลูกๆ และพ่อแม่ แต่ละครอบครัว บริบทต่างกัน เรียนรู้กันได้ แต่เลียนแบบคงไม่ได้
เปนกะลังจัยให้ จ๊ะ
โดย:
บ้าได้ถ้วย
วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:19:47:15 น.
อ่านเจอในหนังสือ เรื่องการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ อยู่เหมือนกัน ดีใจค่ะ ที่เจอผู้มีประสบการณ์ตรงตรง...
เอาไว้จะแวะมาอีกนะค๊ะ...
โดย:
ปลายดินสอ
วันที่: 29 มิถุนายน 2551 เวลา:10:12:03 น.
blog นี้มีความคิดที่น่าสนใจ อยากให้คุณแม่คุณพ่อทั้งหลายได้มาอ่าน ได้เห็นอีกมุมมองหนึ่งของการเลี้ยงบุตรธิดา และการศึกษาในบ้านเรา (ที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงมาหลายปี) คุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้จำเป็นต้องปรับมุมมองใหม่ซะแล้วละครับ จะให้ลูกคุณเป็นอะไร
ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าทั้งกับคุณพ่อคุณแม่และประเทศชาติ กับ ผู้ใหญ่คุณภาพในอนาคต
โดย:
โชคดีที่เกิดมา
วันที่: 3 สิงหาคม 2551 เวลา:23:40:19 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
แม่ของลูกสาว
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
Friends' blogs
แม่ของลูกสาว
หมูเหมียว
ลานศิลป์
kanu_memphis
kateking
พจมารร้าย
wapple
MONROVIA
Orayanee
นางฟ้าตาหวาน
อยากเป็นโปร
นู๋จ๋ายเจ้าขา
แม่น้องแปงแปง
โชคดีที่เกิดมา
สายน้ำกับสายเมฆ
eyewitness
ดวงขวัญ
อนาคินสาว
ปลายดินสอ
Webmaster - BlogGang
[Add แม่ของลูกสาว's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่