Group Blog
 
All Blogs
 
Ready to Learn - Part I



Ready to Learn เป็นหนังสือเกี่ยวกับวิถีทางที่เด็กเล็กๆ เรียนรู้ พวกเขาสามารถพัฒนาและค้นพบศักยภาพได้ดีที่สุดขนาดไหน แต่ไม่ใช่วิธีการเร่งเรียน เพื่อค้นหาคำตอบว่าเมื่อใดเด็กๆจึงจะพร้อมกับการศึกษาในรูปแบบ (Formal Schooling)

เด็กๆ ในยุคปัจจุบันแสดงอาการผิดปกติเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ความขี้กังวล ความเครียด Hyperactivity ความผิดปกติในเรื่องการทานอาหารและการนอน กลุ่มอาการออทิสติค รวมถึงความบกพร่องในเรื่องการอ่าน (Dyslexia)

สำหรับเด็กปกติทั่วๆไป เราจะสังเกตเห็นการสูญเสียธรรมชาติของเด็กๆได้ตั้งแต่เริ่มไปโรงเรียนได้ไม่กี่วัน ในระยะยาวขึ้นเด็กๆแสดงถึงอาการอ่อนล้าหรือแม้กระทั่งการ "ปิดสวิตซ์" จากการเรียนหนังสือ วิถีชีวิตของคนในปัจจุบันก็มิได้เอื้ออำนวยกับเด็กเท่าไหร่

วัยเด็กควรจะเป็นวัยที่พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์และสติปัญญาเป็นไปอย่างสอดคล้องกลมกลืน การมองข้ามความซับซ้อนและลึกซึ้งของมนุษย์ ก็ยังอาจทำให้เราได้ความคิดที่ดูดี แต่ไม่แน่ใจว่าเราจะได้วิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพจากมัน

ลักษณะที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของกลุ่มโรงเรียนวอลดอร์ฟ (รูดอร์ฟ สไตเนอร์ เป็นผู้บุกเบิกแนวการศึกษานี้) คือ การนำเอาพัฒนาการของเด็กมาเป็นแกนกลางในการสร้างหลักสูตและวิธีทางการศึกษา เด็กๆ ได้รับการสนับสนุน ไม่ใช่การกดดันให้เรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ก็เป็นบูรณาการอย่างแท้จริง

Early Learning Options

หลายประเทศได้ค่อยๆพัฒนาระบบการศึกษา ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตน รวมถึงเกณฑ์อายุด้วย ที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดจะเป็นในช่วงการศึกษาปฐมวัย หลายๆประเทศ เช่นกลุ่มสแกนดิเนเวีย จะใช้ระบบที่บุกเบิกโดย ฮังการีและสวิตเซอร์แลนด์ คือ ระบบอนุบาล ซึ่งมีการศึกษาแบบไม่เป็นวิชาการและเรียนรู้ผ่านการเล่น กลุ่มนี้จะให้เด็กเข้าสู่การเรียนในระบบ เมื่ออายุประมาณ 6-7 ขวบ

มีบางประเทศเริ่มเร็วกว่า 6 ขวบ โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรให้เริ่มเรียนในระบบได้ตั้งแต่ 4 ขวบ

แรงผลักดันที่ให้เด็กเริ่มเรียนเร็วก็มาจากทัศนคติที่ว่า เด็กๆ จะได้ประโยชน์ทั้งในด้านการศึกษาและอาชีพในตอนโต "เริ่มก่อนได้ก่อน" ซึ่งเป็นลักษณะของสังคมการแข่งขัน ซึ่งแนวคิดนี้ก็ดูเหมือนจะน่าเชื่อ เมื่อมีหลักฐานว่าเด็กสามารถเรียนได้ตั้งแต่อายุน้อยๆมาสนับสนุน แต่วิธีการแบบนี้ก็ใช้กันมานานพอที่จะเห็นผลเสียระยะยาว แถมยังมีการค้นพบกระบวนการเรียนรู้ของเด็กในช่วงปฐมวัย ซึ่งมาย้ำถึงอันตรายในเรื่องนี้อีกด้วย

มีสารคดีของ BBC เรื่อง "Two Much Too Soon" เมื่อ ค.ศ.1998 ได้นำเสนองานศึกษา 2 เรื่อง เรื่องแรกทำในฮังการี ทศวรรษที่ 1970 กับเด็ก 10,000 คน ศึกษาความแตกต่างที่ปรากฏกับเด็กที่เรียนเขียนหนังสือก่อนและหลังอายุ 6 ขวบ เรื่องที่สองเป็นโครงการ High/Scope ของสหรัฐอเมริกา เริ่มศึกษาเด็กอายุ 3-4 ปี กลุ่มหนึ่งที่มาจากครอบครัวยากจนเหมือนกันให้การศึกษาด้วยรูปแบบต่างกัน 3 แบบ เป็นเวลามากกว่า 30 ปี สรุปผลที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ได้ว่า ในระยะกลางถึงระยะยาว เด็กๆกลุ่มเร่งเรียนไม่เพียงสูญเสียความได้เปรียบในการเรียน เมื่อโตขึ้นยังไม่ค่อยพอใจกับตัวเอง (ไม่ค่อยมีความสุข) และมีปัญหามากกว่าในการอยู่ร่วมสังคม

มีสารคดีอีกเรื่องของ BCC ชื่อ "Failing at four" ซึ่งติดตามชีวิตของ ด.ช.Max Harris อายุประมาณ 4 ขวบ ตั้งแต่อีกสองสัปดาห์กำลังจะเข้าโรงเรียนประถม พื้นฐานครอบครัวของเขาดี โรงเรียนก็ค่อนข้างมีชื่อเสียง ก็เห็นได้ว่า ภายในหนึ่งปีจากเด็กปกติ มีความสุข แข็งแรง คนหนึ่ง ได้กลายเป็นเด็กที่กลับมาดูดนิ้วและแสดงออกถึงความขี้หงุดหงิด ดื้อรั้น ขี้โมโห และโรงเรียนก็ได้กลายเป็นที่ที่ไม่น่าอภิรมณ์ สำหรับเขาไป

ใน ค.ศ.1997 ประเทศนอร์เวย์ ได้ลดเกณฑ์อายุดเด็กที่จะเข้า ป.1 จาก 7 ขวบมาเป็น 6 ขวบ ปรากฏว่าในปีนั้น เกิด Home School เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นถึงเสียงเงียบที่ไม่ไว้วางใจถึงนโยบายการเร่งเรียน

........................................................................................................
สรุปความบางตอนจากหนังสือชื่อ "Ready to Learn" โดยกลุ่ม "พ่อแม่อยากรู้" รร.แสนสนุกไตรทักษะ


Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2551 19:42:00 น. 3 comments
Counter : 297 Pageviews.

 
มาเยี่ยมจ้าาาาา


โดย: Anny (ga_tan_u ) วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:03:16 น.  

 
ดีจ้า น้องแหม่ม แวะมาทักทายค่ะ พี่ก็ไม่ค่อยว่างเหมือนกัน ไม่ได้อัพบล๊อกนานแล้ว วันเสาร์ไปสวนรถไฟแล้วจะกินมาเผื่อนะคะ


โดย: kateking(แม่คิงคอง) (kateking ) วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:43:57 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงเด็กที่ไปเนอส ฯ ตั้งแต่ขวบครึ่งเนอะ


โดย: MONROVIA วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:15:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่ของลูกสาว
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แม่ของลูกสาว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.