บทThe Legend-แทวังซาชินกิ-ตอนจบที่ไม่มีให้เห็นในละคร
นี่เป็นร่างแรกของบทที่เขียนโดยคุณซงจีนาก่อนที่จะต้องเปลี่ยนไปเพราะป๋าบาดเจ็บค่ะ ขอบคุณคุณซงจีนาที่ลงไว่ที่บล็อก ขอบคุณคุณGaulsan ที่แปลจากภาษาเกาหลีเป็อังกฤฤษให้อ่านที่soompi และอันนี้ข้าพเจ้าก็แปลจากภาษาอังกฤษเอง เคยแปลลงที่popcornไว้แต่คราวนนั้นแปลแบบลวกๆมากๆมาคราวนร้เลยขอแก้ไขดัดแปลงใหม่ให้อ่านรู้เรื่องขึ้นอีกนิด ขอแก้ตัวค่ะ --------------------------------------------------------------------------------------------------- ร่างของคีฮาลอยขึ้นไปบนอากาศและกำลังจะกลายร่างเป็นหงส์ไฟดำ ความมืดมิดปกคลุมไปทั่ว ด้านชอโรและจูมูจียังคงต่อสู้กับศัตรู ส่วนทางแท่นบูชาซูจีนีก็เข้ามาอุ้มอาจิ๊กหนีไปจากที่นั่น แต่ขณะนั้น เลือดหยดน้อยของเด็กก็หยดลงบนแท่นบูชา แทบจะทันใดหลังจากนนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโชนโชติช่วงออกจากร่างของคีฮาเปลวไฟเผาผลาญไปรอบบริเวณ ด้านทัมด็อกเข้าก็รีบมาโอบร่างซูจีนีและอาจิ๊กเพื่อเอาร่างกายของตนปกป้องทั้งสองไว้ ขณะเดียวกันเขาก็หันไปมองที่คีฮาซึ่งตอนนี้ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าทั้งสองปลอดภัยดีแล้วทัมด็อกก็หันมาพุ่งดาบเข้าแทงแดจังโร อีกฝ่ายใช้ฝ่ามือเปล่ารับดาบไว้ได้ ทั้งคู่ต้องยื้อกันอยู่นานจนกระทั่งดาบได้หักสะบั้น ส่วนหนึ่งกระเด็นมาถูกที่อกของทัมด็อก ขณะนั้นเลือดของอาจิกไหลไปถึงสัญลักษณ์เสือขาวและทำให้สัญลักษณ์เปล่งแสงขึ้น จูมูจีได้นิ่งไปในชั่วขณะนั้นจนศัตรูถือโอกาสพุ่งเข้าแทงแต่ดาบกลับหักไป เมื่อจูมูจีกลับมาได้สติก็หันกลับไปซัดอีกฝ่ายกระเด็นไป แล้วเลือดของอาจิ๊กก็ไหลไปต้องสัญลักษณ์มังกรฟ้าจนสัญลักษณ์ได้เปล่งแสงสว่าง ขณะที่ชอโรได้กวัดแกว่งทวนต่อสู้กับศัตรู ทำให้พวกศัตรูถูกพลังโจมตีจนสิ้นชีพราวกลับใบไม้ต้องลมพายุร่วง เมื่อเลือดไปถึงสัญลักษณ์ฮยอนมูสัญลักษณ์นั้นก็เปล่งแสงเช่นเดียวกัน และในที่สุดเลือดก็ต้องยังสัญลักษณ์หัวใจหงส์ไฟ แต่ปรากฏว่าหัวใจหงส์ไฟกลับมิได้เปล่งแสงขึ้น หากแต่ด้านคันธนูศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่กับทัมด็อกนั้นเปล่งแสงจ้าออกมา ทัมด็อกรู้ว่าปรากฏอาวุธที่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้แล้ว แดจังโรเองก้รู้ดีว่าวาระสุดท้ายของตนได้ไกล้มาถึง กระนั้นก็พยายามจะหันหลังถอยหนี ทว่ามิอาจจะหลีกเลี่ยงความตายได้อีกแล้วเมื่อทัมด้อกง้างธนูขึ้นและแผลงศรเล็งไปยังหัวใจของแดจังโร มันยังพยามป้องกันตัวแต่ก็ไม่เป็นผล ทันทีที่ลูกธนูพุ่งเข้าปักกลางหน้าอกควันสีดำก็พุ่งขึ้นมาและพริบตาที่ทัมด็อกยิงลูกธนูไปอีกครั้งเดียวร่างของปีศาจร้ายก็สลายไปในอากาศเหลือทิ้งไว้เพียงชุดที่สวมใส่เท่านั้น เมื่อภารกิจเสร็จไปอย่างหนึ่งแล้วทัมด็อกก็หันมาจัดการปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่านั้นต่อไป เขาพยามพูดกับคีฮาซึ่งยังคงหลับตานิ่งอย่างไร้อย่างไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ คีฮา...ได้โปรด..หยุดได้ไหม..หยุดเสียก่อน.... คีฮามิได้ตอบ ขณะเดียวกันศรศักดิ์สิทธ์ก็ปรากฏพร้อมลูกศรเหมือนบังคับให้ทัมด็อกตัดสินใช้ใช้มันยุติปัญหา เขาเองต้องยกศรขึ้นง้าง แต่ในที่สุดก็มิอาจทำใจยิงศรออกไปได้ ซูจีนีมองภาพนั้นอย่างผิดหวังเธอไม่อาจปล่อยให้เหตุการณ์ณ์เลวร้ายไปกว่านี้ ได้โปรด..ฝ่าบาทต้องหยุดนางเสีย มิฉะนั้นมันจะสายเกินแก้ เธอตะโกน ทัมด็อกได้ยินแล้วก็หันมามองนางก่อนเอ่ยวาจา ไม่เพียงแต่เพื่อจะบอกกับทุกคน ณ ที่นั้น แต่ที่สำคัญคือ กับสวรรค์เบื้องบน นี่หรือคือหน้าที่ของข้าที่ต้องรับมาจากสองพันปีก่อน..ตามหาสิ่งวิเศษสัญลักษณ์แห่งเทพทั้งสี่เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองคือราชาแห่งจูชินโดยที่ผู้คนมากมายต้องสละชีวิต..รวมทั้งแม่ของลูกข้าด้วยใช้ไหม โลกนี้กำลังจะมอดไหม้สูญสิ้นไปเพราะนาง ทำไมไม่หยุดนางเสียก่อนที่นางจะทำเรื่องเลวร้ายนั้น ซูจีนีขัดจังหวะ ทัมด็อกได้แต่หันมายิ้มให้นางแล้วก็ก้าวเข้าไปหาคีฮา ความผิดนี้ข้าขอเป็นคนรับเอง..คีฮา..ข้าก็ผิดที่ไม่เชื่อเจ้า สวรรค์โปรดจงรับรู้ ธรรมชาติมนุษย์นั้นมีความสำนึกรู้ผิดชอบและเรียนรู้ในสิ่งต่างๆได้เอง ขณะนี้ข้าเองก็รู้แล้วว่าข้าควรต้องทำอะไร ว่าแล้วทัมด็อกก็ใช้สองมือหักศรทิ้งเสีย คีฮา..เจ้ารับรู้หรือไม่ ตอนนี้เบื้องกำลังถามเราว่า มนุษย์เราจะเป็นฝ่ายเลือกทางเดินเองหรือต้องการให้สวรค์มากำหนดให้ ตอนนั้นเองศรศักดิ์สิทธิ์ก็สลายไปและคีฮาก็ได้ลืมตาขึ้นมามองทัมด็อก มนุษย์เท่านั้นที่มีสิทธิเลือกชีวิตของตนเองไม่ใช่สวรรค์ คำตอบนี้แหละคือภารกิจที่แท้ของราชา ทัมด็อกสรุปอย่างมาดมั่นแม้ว่ากำลังเริ่มเจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมา แล้วสัญลักษณ์แห่งสี่เทพก็ได้สลายไปทีละอย่าง เริ่มจากสัญลักษณ์เสือขาวส่งผลให้จูมูจีซึ่งเป็นผู้พิทักษ์กระอักเลือดล้มลงไปต่อหน้าต่อตาชอโร กระนั้นจูมูจีก็พยามประคองกายลุกขึ้น ต่อจากนั้นสัญลักษณ์มังกรฟ้าก็สูญสลายตามไปชอโรมิอาจเคลื่อนไหวได้จนถูกพวกพรรคอัคคีทำร้ายเขาที่แขนจนทวนคู่กายหลุดมือ เมื่อสัญลักษณ์ฮยอนมูแหลกสลายฮยอนโกก็สิ้นสติเช่นเดียวกัน ด้านทัมด็อกนั้นเริ่มกระอักเลือดและก็มีเลือดไหลจากส่วนอื่นๆด้วย ซูจีนีรู้ว่าการที่สัญลักษณ์ถูกทำลายจะทำให้เขาต้องสิ้นชีวิตไปด้วย เธอไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเศร้าเช่นนี้จึงรีบร้องบอกคีฮาซึ่งคิดว่าเป็นความหวังเดียว ท่านพี่ เรายอมให้สัญลักษณ์ถูกทำลายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทต้องสิ้นพระชนม์ โปรดหยุดเขา หยุดทำแบบนี้ ด้านทัมด็อกก็เอ่ยขึ้น ข้าตอบกับสววรค์ไปแล้ว ข้าคืนพลังแห่งสวรรค์ไปและจะขอคืนพลังแห่งหงส์ไฟไปด้วย แล้วพวกเจ้าจะต้องปลอดภัย ว่าจบเขาก็ทรุดลงไป คีฮามองซูจีนีอย่างเสียใจและส่งกระแสเสียงที่มีเพียงสองพี่น้องที่สื่อสารกันได้ น้องพี่ ช่วยพี่ดับไฟที่เถิด พี่อยากให้ไฟดับลงเสียที จากนั้นสัญลักษณืหัวใจหัวใจหงส์ไฟก็ได้เปล่งแสงขึ้นแล้วลอยเข้าสู่ฝ่ามือซูจินี สายลมพัดรอบสัญลักษณ์นั้น ซูจินีรับหัวใจหงส์ไฟไว้แล้วกุมมันไว้ที่หน้าอกด้วยพลันระลึกได้ถึงวิธีการควบคุมหัวใจหงส์ไฟที่เทพฮวานุงได้ถ่ายทอดให้เมื่อชาติที่แล้ว ร่างกายของซูจินีเปล่งแสง เพลิงกำลังจะดับลง และเกิดลำแสงแผ่คลุมร่างทัมต๊อกช่วยฟื้นร่างกายจากอาการบาดเจ็บ ฝ่ายคีฮานั้นได้หันมายิ้มให้กับลูกชายที่นอนหลับอยู่ที่ตักของซูจีนีและประสานสายตากับทัมต็อกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเพลิงจะลุกโชติช่วงขึ้นเผาผลาญร่างของเธอจนสลายไป ทัมด็อกได้แต่ยืนมองความว่างเปล่า ซูจีนีและอาจิ๊กที่เพิ่งฟื้นเนื่องจากแสงที่ส่องจ้าต่างหันมองทัมด็อก สัญลักษณ์หัวใจหงส์ไฟที่อยู่ในมือของซูจีนียังคงสภาพเดิม ที่อีกด้านหน้าของอาบูลานซา ชอโร ฮยอนโก และจูมูจีที่กลับคืนสติดีแล้วรวมทั้งคนอื่นๆต่างก็หยุดต่อสู้และหันมามองยังแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าแจ่มใสไร้ซึ่งเมฆหมอกอันมืดมนอีกแล้ว ------------------------------------------------------ ณ เมืองกุกแน ที่ตลาดบรรดาพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านต่างเดินขวักไขว่ขายของจับจ่ายกันอย่างคึกคัก ตามประสาประชาชนที่มีความสุขเพราะบ้านเมืองสงบร่มเย็น ชอโรก็จ่ายตลาดอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นโดยจูมูจีพยามตามมาท้าต่อสู้โดยพุ่งเข้ากระแทกตัวใส่อีกฝ่ายแต่ชอโรซึ่งไม่อยากสู้โยนตะกร้าที่ถือมาใส่จูมูจีแล้วถือโอกาสหลบไปขณะที่จูมูจีมัวแต่รับตะกร้า ที่ค่ายทหาร เหล่าทหารกำลังจัดการแข่งขันกันดื่มเหล้าระหว่างฝ่ายพลธนูกับทหารหน่วยอื่นๆ ทุกคนต่างส่งเสียงเชียร์ผู้เข้าแข่งขันกันอื้อึงไปทั่วบริเวณมีแต่ขวดเหล้าเปล่ากองระเกะระกะ และในที่สุดฝ่ายพลธนูก็ได้โห่ร้องดีใจเมื่อพวกตนเป็นฝ่ายตนดื่มหล้าได้หมดก่อนและหน่วยอื่นก็ต่างยอมแพ้ ตัวแทนของพวกเขาที่เข้าแข่งขันนั้นก็มิใช่ใคร หัวหน้าของพวกเขา...ซูจีนี ที่ได้ทุบอกแสดงชัยชนะเสมอ ที่ลานฝึกของวังหลวง รัชทายาทคอรยอนองค์น้อยกำลังฝึกการต่อสู้ด้วยดาบกับพระบิดาคือพระเจ้าควางเกโทนั่นเอง ที่ข้างลานฝึกก็ยังมีแม่ทัพโคอูชุงกำลังเฝ้ามองทั้งเจ้านายทั้งสองที่ตนเองได้ดูแลมาตลอด มองไปแม่ทัพชราก็เอาแต่ยิ้มย่างภาคภูมิใจ ข้อความในศิลาจารึกพระเจ้าควางเกโดนั้นบันทึกไว้ว่าพระนามของกษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งอาณาจักรโคคูรยอคือ พระเจ้าควางเกโดมหาราช ความหมายของพระนามก็คือ พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงแผ่ขยายดินแดนไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล ผู้ทรงนำมาซึ่งสันติ และทรงเป็นที่รักของปวงชนพระราชาทรงเป็นผู้ปกครองที่ดี ดียิ่งกว่าการรบ น้ำพระทัยของพระองคืเป็นที่รับรู้ถึงสวรรค์ พระราชอำนาจแผ่ไปถึงสี่สมุทร ปวงชนสามารถ สามารถทำการงาน ดำรงชีวิตตั้งถิ่นฐาได้นอย่างสงบสุข แผ่นดินมั่งคั่ง ประชาชนสุขใจ พืชผลอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่พระราชาทรงหวังคือสันติภาพที่ขอให้ยืนนานไปสักชั่วศตวรรษหนึ่ง หลังจากนั้นคงต้องให้ขึ้นอยู่กับคนยุคต่อไป ใช่ล่ะ,สันติภาพนั้นคงอยู่สืบต่อไปประมาณสองร้อยปี... ค.ศ.668 อาณาจักรโคคูรยอต้องล่มสลายจากการโจมตีของอาณาจักรชิลลาที่อาศัยกำลังจากจีนที่ปกครองโดยราชวงศ์ถัง ทหารจีนได้เผาทำลายบันทึกทั้งหมดที่พบ ดังนั้นหลักฐานต่างๆเกี่ยวกับอาณาจักรโคคูยอจึงเหลือมาถึงปัจจุบันน้อยมาก จะคงอยู่ก็เพียงแต่ศิลาจารึกพระเจ้าควางเกโทที่สร้างขึ้นประดิษฐานไว้เหนือสุสุสานของพระองค์ที่กุกแนซอง หรือ ปัจจุบันก็คือ มณฑลจี๋หลิน ประเทศจีน ที่ชาวเกาหลีต่างนิยมเดินทางไปเยี่ยมชมเพื่อระลึกถึงพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขา ณ ยุคปัจจุบันที่สนามบินนานาชาติอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ที่ผู้คนมากมายต่างมาเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆที่ต้องการ ส่วนหนึ่งนั้นก็ต้องการเดินทางไปยังประเทศจีน อย่างน้อยก็สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งที่มากันแค่สองคนเป็นอาจารย์หนุ่มใหญ่ท่าทางซุ่มซ่ามกับลูกศิษย์สาวน้อยจอมซุกซน ทั้งสองดูคล้ายกับฮยนอนโกและซูจีนีในอดีตไม่มีผิด มีศิลาจารึกแท่งเดียวที่บันทึกเรื่องนั้นจริงๆเหรออาจารย์ สาวน้อยตั้งคำถาม เมื่อตอนที่ราชวงศ์ถังรุกรานบันทึกประวัติศาสตร์โคคูรยอถูกเผา ประวัติศาสตร์นับร้อยเรื่องจึงสูญหายไป... อาจารย์เกริ่นขึ้นเพื่ออธิบายความเป็นมาแต่ฝ่ายลูกศิษย์ใจร้อนจึงวิ่งเข้าไปร่วมฟังที่มัคคุเทศน์ของกลุ่มคนที่จะไปเที่ยวยังที่เดียวกันกำลังเล่าเรื่องศิลาจารึกนั้นอยู่ เราจะเดินทางไปที่เมืองชิบัน(จี๋หลิน)ในวันที่สาม ชิบัน คือ เมืองหลวงที่สามของอาณาจักรโคคูรยอ ซึ่งเดิมชื่อเมืองกุกแน และที่นั่นมีศิลาจารึกของพระเจ้าควางเกโทประดิษฐานอยู่ เราจะไปเยี่ยมชมศิลาจารึกกัน ฟังแล้วเจ้าลูกศิษย์ก็วิ่งมาบอกกับอาจารย์ นี่ๆ ที่เขาพูดใช่อันเดียวกันกับที่อาจารย์จะให้ไปดูรึเปล่า เธอกระซิบแล้วแต่อาจารย์ก็ยังทำท่าจุ๊ปากกำชับให้เบาๆ ฝ่ายมัคคุเทศก์ที่อยู่กับกลุ่มนักท่องเที่ยวก็พูดต่อ ทุกท่านห้ามแตะต้องและกรุณาอย่าถ่ายรูปศิลาจารึกด้วย ถึงตอนนี้สาวน้อยก็แปลกใจเป็นอย่างมากแล้วก็สงสัยมากจนสงบปากสงบคำไม่ได้เลย ทำไมเล่า! เธอร้อง ไม่ให้จับ ไม่ให้ถ่ายรูปแล้วจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อไม่มีอะไรจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก ฝ่ายอาจารย์ต้องรีบไปป้องปากเธอไว้แทบไม่ทัน อีกด้านหนึ่งของสนามบินที่มีผู้คนมากมายไม่แพ้บริเวณอื่น ท่ามกลางผู้คนยังมีชายคนหนึ่งเดินสะพายกระเป๋าออกไป ใบหน้าของเขาดูราวกับชอโรเจ้าป้อมกวานมีในอดีตแต่ต่างที่ผมของเขาตัดสั้นอย่างผู้ชายสมัยใหม่ทั่วไป ด้านนอกตรงจุดจอดรถแท็กซี่หรูคันหนึ่งก็มีคนขับเป็นชายหนุ่มในชุดสูทที่มีใบหน้าละม้ายกับยอนโฮเก.... ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านมาและผ่านไป ใครจะรู้ว่าเมื่อกว่าพันปีผ่านไป เหล่าเทพทั้งสี่รวมทั้งพระราชาผู้ยิ่งใหญ่นั้นได้กลับมาแล้วและอยู่ข้างๆพวกคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว
Free TextEditor
Create Date : 22 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 11 มิถุนายน 2551 10:42:46 น. |
Counter : 1625 Pageviews. |
| |
|
|
|