Group Blog All Blog
|
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสหก
*.:。✿*゚¨゚✎ *✿* ติสหก D *.:。✿*゚¨゚✎ เก็จพรหมนิ่งงันมองสีหน้าอึดอัดของพู่กัน สายตาเข้มไต่ตามใบหน้ารูปไข่ที่ไร้การตกแต่ง ผิวเนียนเรียบน่าสัมผัส คิ้วเรียวเป็นระเบียบ ดวงตากลมโตประดับด้วยแพขนตาหนาเหมือนปีกผีเสื้อขยับยามกระพริบตาขึ้นลง จมูกขึ้นสันพองามรับกับริมฝีปากอิ่มสีชมพูเรื่อ ผมตรงยาวผูกขึ้นเป็นหางม้าอวดท้ายทอยได้รูป หน้าตาหญิงสาวไม่มีเค้าตรงไหนที่บ่งบอกมีลักษณะเป็นสาวหล่อให้ผู้หญิงด้วยกันหลงไหล หากจะมีก็คงจะเป็นบุคลิกที่แก่นแก้วในบางครั้ง ไม่ก็เป็นเพราะการแต่งตัวสบายๆสไตล์ติสสาวๆมักเห็นว่าเท่ห์ หรือคำพูดที่มั่นใจแต่ไม่ถึงกับโผงผาง... นึกอยากรู้ว่าตรงไหนนะที่แก้มใสเกิดปิ้งพู่กันเข้า “หาเจอหรือยังคะ” “ฮะ?” เก็จพรหมเลิกคิ้วงงกับคำถามของพู่กัน “แล้วคุณมองหาอะไรบนหน้าฉันล่ะคะ” ตากลมโตจ้องมาฉายแววเอาเรื่อง “มองหาเสน่ห์ของสาวหล่อ” เก็จพรหมปั้นยิ้มพูดเสียงขลุกขลักในคอ พู่กันกลอกตา ทำสีหน้าปั้นยาก “ถือเสียว่าฉันไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน” พู่กันส่งตาคมวาววับก่อนเมินหน้าหนีรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม “ผมขอโทษ ผมพูดเล่นแค่อยากให้คุณหายเครียด ก็เท่านั้นเอง” เสียงทุ้มอ่อนลงเมื่อเห็นพู่กันทำหน้าเคือง “เครียดกว่าเดิมสิไม่ว่า” พู่กันควักตาคว่ำใส่เสียงรอดไรฟันพึมพัม “ชิลชิลน่าพู่กัน อย่าซีเรียสสิฮะมันไม่ได้เลวร้ายอะไร ผมคิดว่าแก้มใสเค้าแค่ปลื้มคุณเท่านั้นเอง” “ปลื้มฉันเนี่ยนะ” พู่กันยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง “ใช่เธอคงเห็นคุณเป็นไอดอลของเค้า” “ฉันไม่คิดแบบนั้นนะสิ ฉันรู้สึกเค้าคุกคามเวลาส่วนตัวมันกระเจิงไปหมดแล้ว” “ยังไง” “เค้าโทรหาฉันแทบทุกชั่วโมง ฉันทำงานไม่ได้” “อ๋อ..คุณต้องรับทุกครั้ง” เก็จพรหมเลียบเคียงถามโดยไม่ให้หญิงสาวรู้ตัว “เปล่าใครจะรับได้ทุกครั้งไป น่าจะรู้ว่างานของฉันมันใช้อะไรเป็นสำคัญ” พู่กันมองอาหารบนโต๊ะเป่าปากถอนหายใจระอากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง “ผมออกความคิดเห็นได้ใช่ไหม พู่กัน” เก็จพรหมถามไม่อ้อมค้อม เผลอมองตามแพขนตาที่กระพริบขึ้นลงอย่างชื่นชม “ได้สิคะ ฉันก็อยากจะรู้ว่าต้องทำยังไง” “คุณต้องเชื่อผมด้วย” คำร้องขอด้วยเสียงทุ้มแต่หนักแน่น สายตาเข้มจับดูกิริยาของคนที่ไม่รู้จะจัดการปัญหาอย่างไรดี “ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย” พู่กันเหลือบดูหน้าคมสัน ย่นจมูกรักษาฟอร์มเผลอตั้งคำถามแบบเด็กโง่ออกมา “เพราะผมเป็นผู้ใหญ่กว่า อายุมากกว่า และมีประสบการณ์เยอะกว่าคุณนะสิ” เพราะรู้ว่าต้องเจอคำถามที่ยียวน นายหัวหนุ่มเปิดยิ้มกว้างเพิ่มความเก๋เท่ห์บนใบหน้ามากขึ้น อธิบายว่าด้วยเหตุและผลดูน่าเชื่อถือให้คนตรงข้ามคล้อยตาม แววตาขันเปิดเผยทอดมองทำเอาใจของพู่กันแกว่งไกว สมองไม่ค่อยแล่นอีกแล้ว หัวคิ้วย่นเข้าหากันอย่างขัดใจ “อืมม มันก็ถูกของคุณ แต่” “ไม่มีแต่ได้ไหม คิดว่าผมเป็นเพื่อนเป็นพี่เหมือนที่คุณรู้สึกกับพี่หนูนา” มิรอช้าที่จะเสนอความสัมพันธ์แบบบริสุทธิ์ใจ สายตาเข้มขรึมไร้แววกรุ่มกริ่มแต่ดูอ่อนโยนแทนที่ พู่กันแปลกใจกับท่าทีแสนใจดี สุภาพ และเหตุผลที่ฟังดูอบอุ่น หญิงสาวรีบแก้ไขคำพูดตัวเองเพื่อรักษาน้ำใจชายหนุ่ม เริ่มรู้ตัวว่าทำตัวเหมือนเด็กจนต้องให้คนตรงหน้าเตือนว่าสูงทั้งวัยและวุฒิภาวะกว่าเธอ “ฉันหมายถึง..ฉันกำลังรู้สึกเกรงใจคุณ ทำไมคุณต้องมาเสียเวลาเรื่องงี่เง่าของฉันด้วย” ตาดำขลับตกลงบนขอบโต๊ะโต้ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แน่หล่ะโอกาสมาแล้วมีหรือเก็จพรหมจะไม่รีบกระชับความสัมพันธ์แอบแฝงในความเป็นเพื่อน เสียงทุ้มชักชวนให้สาวใสหัวใจติสเห็นภาพตาม “ก็เพราะว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับพวกคุณทุกๆคนนะสิ ไม่งั้นผมจะสมัครเข้าชมรมอาสาเพื่อเพื่อนเหรอ ผมชื่นชอบและศรัทธาในอุดมการณ์ของชมรม พวกคุณเสียสละเวลาและมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าโดยไม่หวังผลตอบแทน ผมสัมผัสได้ถึงจิตใจบริสุทธิ์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่สำคัญผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ...พู่กัน” “พูดซะยาวเลย..... เอาเป็นอันว่าคุณจะแนะนำอะไรฉัน” ตาโตวาววับสบตาเข้ม มุมปากยิ้มน้อยๆ เธอรับไมตรีที่เพื่อนตัวโข่งหยิบยื่นให้ไม่เกี่ยงงอน เก็จพรหมมองหน้าพู่กันนิ่งค่อยๆแนะนำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “รับโทรศัพท์ทุกครั้งที่แก้มใสโทรมา” “อ๊ายยยย ไม่ต้องทำงานกันพอดีนะสิ” พู่กันค้านความคิดชายหนุ่มเสียงหลง สีหน้าเริ่มลังเลว่าควรเชื่อชายหนุ่มได้จริงหรือ “เชื่อผมสิ ถ้าคุณรับสายเค้าจะโทรหาคุณน้อยลง” ชายหนุ่มเฉลยและยืนยันคำแนะนำเดิม “เพราะอะไรอะ” “เพราะคนที่รู้สึกดีกับเราจะเป็นห่วงเสมอถ้าติดต่อเราไม่ได้นะสิ” “แต่ถ้าเรารับสายเค้าก็จะโทรน้อยลง อย่างนั้นหรือคะ” หญิงสาวลังเลและนึกคล้อยตามเหตุผลที่ฟังแล้วหวานเลี่ยนพิกล “ถูกต้องฮะ มันเป็นตรรกะ” เก็จพรหมพยักหน้า พูดเชิงวิทยาศาตร์เป็นเหตุเป็นผลให้หญิงสาวทราบ พู่กันพยักหน้ารับปากทำตามคำแนะนำ “งั้นพู่จะเชื่อคุณพรหมคะ” ภาพสองหนุ่มสาวนั่งคุยกันอย่างออกรสชาดนั้นอยู่ในสายตาของผู้จัดการจำเป็นทั้งคู่ตลอดเวลา ตอนที่ณารินกระซิบบอกความผิดปกติของน้องชาย แรกนั้นเก็จแก้วไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะเพิ่งคุยเรื่องอดีตคนรักของชายหนุ่มมาไม่นาน แต่มานึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยตอนที่พ่อน้องชายตัวดีอาสามาส่งแถมยังเซ้าซี้ให้เธอชวนพี่หนูนามาทำธุระด้วยทั้งๆที่ไม่จำเป็น “พรหมพอลงจากเครื่องแล้วไปทำธุระให้คุณแม่เลยนะ จะได้รีบกลับภูเก็ตเที่ยวบินสุดท้ายก็ยังทัน” “อ้าวมากรุงเทพฯทั้งทีนึกว่าจะถือโอกาสชอปปิ้งหรือไปหาพี่หนูนาเพื่อนพี่แก้วซะอีก” “พี่มาทำธุระให้คุณแม่ไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยว” “เอาน่าเวลาเหลือเฟือกลับพรุ่งนี้ก็ยังไม่เป็นไรหรอกฮะ แม่ไม่ว่าหรอก” “พี่ไม่ได้กลัวแม่ว่าแต่งานพี่ยังมีให้ทำอีกเยอะ” “งั้นเอางี้สิฮะ เพื่อประหยัดเวลาได้ทั้งงานและเจอเพื่อนด้วย พอเครื่องลงเสร็จเราก็ไปหาพี่หนูนาชวนไปทำธุระด้วยกัน แค่นี้พี่ก็เม้าท์กันเพลินระหว่างที่อยู่บนรถไงฮะ” “อืมเป็นความคิดที่ดี ไม่รู้พี่หนูนาจะว่างหรือเปล่านี่นะสิ เรามาแบบไม่ได้นัดกันไว้ก่อน” “พอลงจากเครื่องพี่แก้วก็โทรไปหาพี่หนูนาเลยสิฮะ” “ก็ดีเหมือนกัน มาหนนี้ได้ทั้งงานและทั้งเจอเพื่อน” “เห็นไหมล่ะมีผมมาเป็นเพื่อนไม่เสียหลายใช่ไหมครับ” “นั่นสิอย่างน้อยพี่ก็ไม่นั่งหง่าวอยู่คนเดียวบนเครื่อง ดูสิมีแต่หัวเหลืองหัวแดงเต็มลำเลย” *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * พู่กันเดินหอบกระดาษร้อยปอนด์ 2-3 ม้วนมืออีกข้างถือกล่องเอนกประสงค์บรรจุสีน้ำจานสีและพู่กันเข้าบ้านด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ในใจคิดว่าคืนนี้ต้องทำงานที่ค้างให้เสร็จ เฉพาะวันนี้เธอจับงานได้ไม่มาก งานที่ตั้งใจว่าจะทำก็เหลวเป๋ว ไม่อยากทำแบบขอไปที เพราะมันหมายถึงคุณภาพของงาน จึงตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จชิ้นงานนี้ภายในค่ำคืนนี้ให้จงได้ จึงเงยขึ้นไปดูนาฬิกาที่แขวนบนผนัง คิดต่อว่าขอนอนงีบก่อนซักสองชั่วโมงแล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำงาน คืนนี้ไม่ต้องหลับต้องนอนกันล่ะ มัวแต่คิดจึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครอยู่ตรงนั้นเธอคงเดินผ่านเลยถ้าไม่มีเสียงทักทาย “พู่กลับมาก็ดีแล้วไปล้างมือแล้วมาทานข้าวด้วยกัน” “พู่ไม่ทานได้ไหมคะ คือพู่ง่วงอยากนอน” “นอนหัวค่ำเลยหรือยายหนู ทานอะไรอุ่นๆรองท้องก่อนดีไหมจะได้หลับสบาย” “ไม่ดีกว่าคะ พู่จะรีบนอนถ้าหิวพู่จัดการเองคะแม่” “คืนนี้จะทำงานเหรอลูก” “งานส่งลูกค้าไม่เดินเลยคะแม่ พู่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” “กับข้าวนี่แม่เก็บไว้ให้นะ ถ้าหิวก็เปิดตู้เย็นแล้วกัน” “คะแม่” ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าเมื่อเห็นท่าทางกระปลกกระเปลี้ยของบุตรสาว นางชินเสียแล้วกับการตื่นขึ้นมากลางคืนทำงานจนถึงเช้าของพู่กัน เคยถามและได้คำตอบแสนจะธรรมดาแต่ฟังแล้วไม่เข้าใจ “ทำไมต้องตื่นขึ้นมาทำงานตอนกลางคืน กว่าจะได้นอนอีกทีก็เช้าแล้ว” “ไฟพู่มันติดตอนที่คนอื่นนอนฝันหวานคะแม่” เพราะเป็นคนนอนง่ายพอหัวถึงหมอนระบบในร่างกายปิดสวิทตัวเองแทบจะทันที ก่อนนอนหญิงสาวตั้งระบบสั่นบนบีบีเพื่อไม่ให้กวนตัวเองขณะหลับ และค่อยโทรกลับไปตามสายมิสคอล เป็นอันรู้กันสำหรับบรรดาเพื่อนๆ แม้กระทั่งพี่หนูนาก็ชินกับพฤติกรรมติสจ๋าของหญิงสาว........... เสียงนาฬิกาปลุกเวลาสามทุ่มเปะร่างบางลุกจากเตียงเดินเบลอๆเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่สดชื่นและลายพร้อยไปด้วยแป้งที่ปะเต็มหน้า พู่กันเดินไปหยิบเฟรมงานที่ทำค้าง ขึ้นขาตั้งไม้กับพื้น นำกระดาษร้อยปอนด์มากางทับภาพที่ทำค้างเดิม หญิงสาวจัดกระดาษเข้าที่เรียบร้อย หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนโตมาคลี่สะบัดก่อนจะผูกบนหัวได้รูปท่าทางขะมักเขม้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา นิ้วเรียวหยิบดินสอขึ้นมาแล้วหลับตาพริ้มพยายามบิ้วอารมณ์ตัวเองเหมือนที่เคยทำ หน้าสวยเชิดสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จรดปลายดินสอลงบนกระดาษแต่แล้วก็ต้องวางมือลงเพราะเสียงแปลกปลอมแทรกเข้ามา “ครืด ครืด อืด ครูด” ปากอิ่มทำเสียงจุ๊กจิ๊ก พยายามเงี่ยหูฟังที่มาของเสียงว่าอยู่ตรงไหน หญิงสาวก้มๆเงยหันข้างไปมาหาเสียงที่ยังดังอยู่ “เสียงอะไรวะ ดังครืด ๆ” พู่กันเสียบดินสอทัดไว้ที่หู แปะกันข้างขอบเตียงนั่งนิ่งๆตะแคงหูฟังหาต้นตอของเสียงดังมาเป็นระยะ ตาคมวาววับส่องประกายความสงสัยแล้วหลับตานึกเทียบเสียงว่าควรเป็นอะไร ทันใดนั้นดวงตาเบิกโพลงผงะไปทั้งตัว ทำหน้าเลิกลั่กกระโดดขึ้นเตียงถดตัวไปชิดหัวเตียงสีหน้าไม่สู้ดี “แง....อย่าบอกนะ สะเสียงที่ดังครืดนั่น..คะ..คือ ป๊อก ๆ ครืด...ไม่เอาน๊า..ไอ้พู่” สาวติสจ๋าโกยผ้าห่มมาคลุมหัวโผล่หน้าออกมาเพียงเล็กน้อย ปากบางอิ่มแผดเสียงดังลั่นซึ่งความจริงแล้วมันเพียงแค่เล็ดลอดออกมาเบา ๆ เหงื่อซึมตรงขมับทั้งตกใจทั้งหวาดระแวง จนเสียงประหลาดเงียบไปพู่กันยังอยู่ในผ้าห่มต่ออีกหลายนาทีจนแน่ใจว่าไม่มีเสียงนั้น หญิงสาวค่อยแง้มผ้าห่มโผล่หน้าออกมา สอดส่ายตากลมโตบัดนี้วาววับไม่หลงเหลือความมั่นใจกลัวว่ายังจะมีหลอนอีกสักหน พู่กันค่อยๆคลานออกจากผ้าห่มตั้งใจเก็บงานไว้ก่อน ไม่ทงไม่ทำมันแล้วประสาทหลอนซะติสแตกกระจายวิ่งแนบคืนอาจารย์แบบนี้ใครจะมีกระจิตกระใจทำไหว หญิงสาวคิดขณะที่ก้าวลงจากเตียงด้านที่ติดกับโต๊ะสำหรับวางโป๊ะไฟมีเสียงครืด ๆ ดังขึ้น คราวนี้ดังชัดเจนจนขาที่หย่อนลงรีบหดขึ้นแทบไม่ทัน หญิงสาวหันไปตามเสียงโดยอัตโตมัติ แน่ล่ะคราวนี้เธอเห็นต้นตอของเสียงแปลกนั้นชัดเจนมันคือเจ้าบีบีตัวโปรดของเธอกำลังสั่นขยับตัวไปมาอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ร่างบางนิ่งงันมองมือถือเจ้ากรรมตัวต้นเหตุเกิดเสียงสยองตอนสามทุ่ม แล้วปล่อยเสียงหัวเราะขำตัวเองออกมาดังๆ “โธ่ไอ้พู่ เสียงเจ้าบีบีนี่เอง” นอกจากจะโล่งใจแล้วยังเกิดอาการโมโหคนโทรมาสุดๆ เพราะทำให้เธอหลุดแบบฉุดไม่อยู่ เรื่องกลัวผีไม่มีใครเกินพู่กันเพื่อนๆรู้กิติศัพท์นี้เป็นอย่างดี.... “ไอ้เจ้าเพื่อนคนไหนมันโทรมาแกล้งตรูฟระ”.... มือไวกว่าความคิดคว้าโทรศัพท์แล้วกดรับสาย หญิงสาวแผดเสียงใส่เจ้าบีบีทันที “อะไรวะโทรมาอยู่ได้ มีธุระอะไรทำไมไม่รอตอนเช้านี่มันดึกแล้วนะหัดเกรงใจคนอื่นมั่งสิโว้ย” ปลายสายเงียบงัน.......อึ้งกับเสียงแว๊ด ๆพ่นเข้ามาในหู ก่อนจะค่อยๆกรอกเสียงเบา ๆ “ขะขอโทษพู่กัน ผมปลุกคุณตื่นหรือฮะ” “ใคร? อย่ามาเก๊กเสียงหล่อเดี๋ยวแม่ด่าไม่ซ้ำเลย” เสียงไม่คุ้นหูแต่ไม่ได้ช่วยให้พู่กันลดดีกรีความร้อนของอารมณ์เครียดลง “ผมไง คุณจำไม่ได้เหรอ” “เอ๊ะไอ้นี่ โรคจิตหรือไงฟระ ถามชื่อไม่บอก ผมน่ะใครแล้วโทรมาทำไมมีเรื่องด่วนหรือไงห๋า” เมื่อไม่รู้จักบวกนิสัยไม่ชอบสุงสิงกับใครเป็นทุนเดิมก็ไม่คิดจะถนอมน้ำใจคนปลายสายพู่กันยังคงหลับตาด่าแหลกตามอารมณ์ศิลปิน “ผมเก็จพรหมไง” คราวนี้คนที่เงียบคือพู่กัน หญิงสาวรีบเอามือปิดปากตาพองโตเท่าไข่ดึงมือถือออกห่างดูเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นตามาก่อน แว่วเสียงของคนในสายพูดอะไรไม่รู้แต่เธอได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอแว่วมา รีบแนบโทรศัพท์กับหูอีกครั้ง “คุณพรหม?” เสียงสูงไม่เชื่อหูขานตามมา “ผมขอโทษที่รบกวน คือผมไม่คิดว่า...” เสียงทุ้มขอลุแก่โทษ “ฉันจะนอนเร็วว่างั้นเหอะ” แม่ติสจ๋ารู้ตัวว่าทำเสียมารยาทแว๊ดใส่ทำให้เสียงอ่อนลง แต่ยังไม่วายหงุดหงิดติดปลายนวม “มันเพิ่งสามทุ่ม ผมคิดว่าคุณยังไม่หลับ” “ฉันหลับและเพิ่งตื่น นี่ก็กำลังจะทำงานคุณโทรเข้ามาตอนที่ฉันกำลังประสาท เอ้ยไม่ใช่ฉันกำลังบิ้วอารมณ์อยู่นะสิ” พู่กันยั้งปากไว้ทันไม่งั้นคงขายหน้ากว่านี้อีกอย่างแน่นอน ปากบางกัดชั่งใจว่าจะพูดอะไรต่อดี “แล้วคุณรู้เบอร์ฉันได้ไงคุณพรหม” แม้ว่าน้ำเสียงจะดีขึ้นแต่ไม่วายสงสัย ...คราวนี้คนที่โทรมาเงียบไปจนคนรอคำตอบขมวดคิ้วดึงมือถือออกมาดูหน้าปัดว่าสายตัดไปแล้วหรือยัง เมื่อเห็นตัวเลขรันเวลาเดินอยู่จึงเอาไปแนบหูดังเดิม “คุณเคยโทรเข้าเครื่องผมก่อนหน้านี้....สงสัยคุณจำไม่ได้แล้วล่ะ ผมมีเบอร์คุณก็เลยโทรมาหา” “นี่คุณยังเก็บไว้อยู่เหรอ ฉันนึกว่าคุณทิ้งเบอร์ฉันไปแล้วนะเนี่ย” “ทำอย่างนั้นได้ไง” ปากชายหนุ่มตอบ แต่ความคิดเลยเถิดถึงความจริงของที่มาได้เบอร์ของหญิงสาว “กว่าผมจะได้เบอร์คุณต้องดราม่าสุดชีวิตคุณรู้ไหมพู่กัน” “คุณโทรมาหาฉันเรื่องอะไรคะ” คำถามตรง ๆ คนที่จะต้องตอบนี่สิถึงกับอึ้ง สมองซีกที่ไม่เคยขยับมาหลายปีต้องทำงานอย่างเร็วจี๋ เขาคิดถึงเหตุการณ์ช่วงเที่ยงวันที่ผ่านมา “ผมแค่อยากทราบความคืบหน้าว่ามันได้ผลไหม” “ได้ผล? เรื่องอะไรเหรอคะ” นอกจากลืมหญิงสาวยังงงกับคำพูดของเก็จพรหม “เรื่องไรฟระ” หญิงสาวคิดในใจ “ก็เรื่องของแก้มใสไงฮะ” เก็จพรหมส่ายหัวขำที่ต้องลุ้นตัวเองไม่ให้ตกขอบข่าว “ที่คุณแนะนำมา ไม่ผิดเลยจริงๆคะคุณพรหม” พู่กันตอบแบบชื่นชมชายหนุ่มด้วยใจจริง เพราะหลังจากที่รับสายของแก้มใสอีกครั้ง ดูเหมือนว่าแก้มใสจะโทรมาอีกแค่ครั้งเดียว ทำให้เธอได้งานขึ้นโครงงานไม่ต้องหงุดหงิดและพะวงกับเสียงโทรศัพท์ “ถ้าไม่ได้คุณพรหม งานนี้สงสัยประสาทพู่คงพิการเพราะเครียดจัดแน่ๆเลยคะ” “ผมดีใจที่มันได้ผล แบบนี้ก็อารมณ์สร้างสรรค์ก็ลื่นทำงานได้แล้วเนอะ” นายหัวหนุ่มเริ่มชวนคุยเพราะยังไม่อยากวางสาย “แต่มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้” พู่กันถอนหายใจรดมือถือเมื่อนึกถือคำพูดและพฤติกรรมของแก้มใสที่รับไม่ได้เอาเสียเลย ใครเลยจะคิดว่าแก้มใสจะชอบผู้หญิงด้วยกันแบบนี้ และทำไมต้องเป็นเธอที่แจ็กพ๊อตซะเอง “อย่ากังวลไปเลย มันแก้ไขได้แต่ต้องใช้เวลาสักนิด เพราะมันเกี่ยวกับความรู้สึก” “ยังไงคะ” “มันเป็นรูปแบบของความรักไงครับ เพียงแต่ว่ามันอยู่ผิดที่ผิดคนเท่านั้นเอง” “ฉันต้องต้องทำไงต่อไปดี” “คุยแบบเปิดอกสิฮะว่าเราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเธอสิฮะ” “แล้วอะไรจะตามมาล่ะ ถ้าพูดไปแล้ว” พู่กันเสียดายความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน “มันก็อาจจะกระทบบ้าง แต่ถ้าไม่ทำปล่อยให้เธอคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าถึงตอนนั้นมันอาจจะเจ็บปวดกว่านี้” “คุณพรหม พู่ลำบากใจจังถ้าพูดไปแล้วอาจจะต้องเสียเพื่อนนิสัยดีๆ ไป” เสียงถอนหายใจทำเอาคนปลายสายอมยิ้มรู้สึกดีอย่างประหลาด นี่เขากลายเป็นที่ปรึกษาของพู่กันไปโดยปริยาย ต้องขอบใจความบังเอิญที่เขาได้รับรู้เรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะมีคู่แข่งแล้วก็ตาม “อย่าคิดไปก่อนสิฮะ อาจจะเป็นผลดีก็ได้ถ้าแก้มใสรับฟังแล้วเข้าใจ คุณก็จะได้เพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นอีกคน” “แล้วถ้ามันตรงข้ามล่ะคุณพรหม” หญิงสาวคิดเผื่อเหลือเผื่อขาด “เราก็ค่อยหาวิธีอื่นต่อไปสิฮะ อย่ากังวลดีกว่าพู่กันทำใจให้สบาย ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามไม่ใช่การทำลายล้าง คนที่รู้สึกดีกับเราเป็นสิ่งที่น่ายินดีและควรจะขอบคุณเขาที่มอบความรู้สึกดีๆให้กับเรา เพียงแต่ว่ามันวางผิดคนไปหน่อยก็เท่านั้นเอง” “อืมม มันก็จริงเนอะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะคุณพรหม พอได้ยินแบบนี้พู่รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ไม่ค่อยกังวลแล้วล่ะคะ” “ดีครับ เอางี้สิถ้าไม่รังเกียจเรามาแลกพินกันดีไหม มีอะไรจะได้ส่งหากันได้” “เอ๋....มันใช้ร่วมกันไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ ” “ทำไมล่ะฮะ” “ก็พู่ใช่ บีบี คุณใช้ไอโฟน มันคนละค่ายกันมันคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่ สองค่ายนี้เค้าจับมือกันแล้วหรือคะ” “อะอ๋อ....เออ..คือตอนนี้ผมใช้บีบีแทนเครื่องเก่าน่ะครับ” “นี่ฉันทำไอโฟนคุณเสียจริงๆ หรือคะคุณพรหม” น้ำเสียงรู้สึกผิดมากมายเข้ามาตามสาย จนนายหัวหนุ่มรีบตอบกลับไป “ไม่เสียเพียงแต่ก่อนหน้านี้มันรวนนิดหน่อย” “เครื่องออกจะแพงรุ่นใหม่ถอดด้ามไม่ถึงสองเดือนไม่ใช่เหรอ คุณอย่าปิดฉันนะ” “จริงๆ ครับคือผมตั้งใจจะเปลี่ยนพอดี ไอ้เจ้าเครื่องที่ผมใช้มันแฮงค์ๆ มีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว ความจริงยี่ห้อมันก็ดีแต่มันอาจจะเป็นหนึ่งในล้านเครื่องที่ผมโชคร้ายหยิบเจ้านี่พอดี ตอนนี้ผมส่งไปให้ศูนย์ซ่อมอยู่ ผมก็ต้องหาเครื่องมาใช้แทนชั่วคราว” “แล้วไป..คุณอย่าพูดเพื่อให้ฉันไม่รู้สึกผิดนะคะคุณพรหม” “ผมจะทำอย่างนั้นทำไมฮะพู่กัน ส่วนแลกพินนี่มันเป็นอีกทางหนึ่งที่เราสามารถติดต่อกันได้ เผื่อคุณหรือผมไม่สะดวกรับโทรศัพท์ระหว่างนั้นก็ยังพอปรึกษาเรื่องแก้มใสได้” เก็จพรหมพลาดถนัดกับเหตุผลที่ให้ไป เพราะทำให้คิ้วเรียวขมวดรู้สึกไม่ชอบใจที่ได้ยินเหมือนเธอกำลังทำความลำบากให้ชายหนุ่ม “นี่ก็ดึกแล้ว งานพู่ยังไม่ได้เริ่มเลย ขึ้นโครงไว้ตั้งแต่เที่ยงยังไปไม่ถึงไหนเลย แค่นี้ก่อนนะคะ สวัสดีคะคุณพรหม” “พู่กัน เดี๋ยวก่อน...” พู่กันตัดสายทิ้งแล้วนั่งมองมือถือด้วยความรู้สึกแปลกๆ ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร ตากลมโตเลื่อนมาจับจ้องรูปที่ใช้เป็นข้ออ้าง มันก็จริงนั่นแหละเธอไม่ได้ปดซักหน่อย มันรอเธอไปเติมเต็มให้เสร็จเมื่อคิดได้ดังนั้นพู่กันพยักหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ จับดินสอขึ้นมาจดๆจ้องๆที่จะลงเส้นต่อแต่ขุนอารมณ์ไม่ขึ้นในที่สุดจำต้องวางดินสอลงข้างมือถือ เสียงครืดๆ ดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้เธอรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่มองไม่เห็นแต่มีคนโทรเข้ามา สีหน้าบ่งบอกลำบากใจเพราะเบอร์ที่ปรากฏเธอเพิ่งตัดสายไปไม่กี่นาทีมานี้เอง “จะโทรมาทำไมอีกนะ” พู่กันมองโทรศัพท์ยังสั่นไม่หยุดอยู่บนโต๊ะ ใจหนึ่งไม่อยากรับแต่อีกใจหนึ่งก็ยังคิดว่ามันน่าเกลียดเพราะเก็จพรหมเป็นผู้ใหญ่กว่าซ้ำยังเป็นคนที่ช่วยเหลือทำให้เธอหมดกังวลเรื่องของแก้มใส ถ้าไม่รับคงจะไม่เหมาะเพราะเป็นเด็กให้ผู้ใหญ่รอ พู่กันให้เหตุผลตัวเองก่อนจะเอื้อมมือไปกดรับสายของชายหนุ่ม “คุณโกรธผมหรือพู่กัน” น้ำเสียงกังวลผ่านเข้ามาจนนึกอยากเห็นหน้าคนพูดว่ามันเป็นแบบไหน แต่หาเหตุผลตอบชายหนุ่มไม่ได้ต้องทวนเสียงสูงกลับไปด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “คะ?” “ก็คุณตัดสายทั้งๆที่เรายังคุยกันไม่จบ” “เปล่านะคะ พู่บอกคุณพรหมก่อนที่จะตัดสายว่าพู่มีงานค้างต้องทำต่อ คุณพรหมอาจจะไม่ได้ยิน” พู่กันแย้งกลับโดยเร็ว หากแต่ใจกลับถามตัวเองว่า “แล้วจะแคร์อะไรวะไอ้พู่ถ้าเค้าอยากจะคิดแบบนั้น” “ได้ยินแต่นึกว่าคุณคงโกรธที่ผมขอแลกพิน แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่โกรธก็โอเค เอาไว้แค่นี้ก่อนผมไม่กวนคุณแล้ว พู่จะได้ทำงาน ยังไงก็อย่านอนดึกนะครับ สุขภาพจะแย่เอา กู๊ดไนท์ครับ” เสียงทุ้มนุ่มพูดเหมือนแคร์และเป็นห่วงทำให้พู่กันนึกด่าตัวเองที่คิดมากไป จึงตัดสินใจบอกหมายเลขพินให้กับชายหนุ่มด้วยความเต็มใจ “เออ..คุณพรหมพินของพู่นะคะ.........” *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสซ่าส์(ห้า)
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿*゚¨゚✎ *✿*ติสซ่าส์ (ห้า)D *.:。✿*゚¨゚✎ * พี่พู่....พี่พู่คร๊าบบบ หมูกรอบมาแล้วฮะ เข้ามาหลังร้านเลยอั๋น เสียงขานรับออกมาจากข้างใน จัดเป็นมุมส่วนตัวโดยเอาภาพวาดชิ้นใหญ่นำมาเป็นฉากกั้นด้านหลังเป็นชั้นวางอุปกรณ์วาดภาพ กระดาษร้อยปอนด์ม้วนกลม เฟรมผืนผ้า ขวดสีหลากสีทุกประเภท จานสี และพู่กันแต่ละขนาดบรรจุลงกล่อง ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ มีขาตั้งไม้พิงไว้ข้างผนังที่เต็มไปด้วยการเพ้นท์และพ่นเป็นภาพกราฟฟิตี้ด้วยสีสันสดใส หญิงสาวเรียกมันว่ามุมฟักอารมณ์หรือให้หรูว่าติสรูม อั๋นเดินถือจานหมูกรอบกับข้าวเปล่าเดินเข้ามา เห็นพี่พู่กันที่กำลังนั่งยองตอกตะปูลงด้านหลังแผ่นเฟรม หญิงสาวเงยหน้ายิงเขี้ยวที่มุมปากให้เด็กชายแล้วก้มหน้าตอกตะปูต่อ แม่ให้เอาหมูกรอบมาให้ฮะ วางไว้บนโต๊ะได้เลยจ๊ะ ขอบใจนะอั๋น ไม่ไปโรงเรียนหรือเราวันนี้ วันนี้วันเสาร์ฮะ โรงเรียนหยุด เออจริงด้วย ทำงานจนลืมวันเลยพี่ อั๋นรอพี่แป๊บนะจะไปหยิบตังค์ให้ ขอตอกเจ้านี่ให้เสร็จก่อน พู่กันเงยหน้าจากพื้นบอกให้เด็กชายรอ แววตาเก้อเมื่อรู้ว่าหลงลืมวันแม้กระทั่งวันหยุด อั๋นนั่งยองๆข้างพี่คนสวยปากถามชวนคุยมากกว่าอยากรู้เพราะขนมกองบนโต๊ะอาหารยั่วน้ำลายไม่น้อย พี่พู่ตอกทำไมฮะ พี่ติดตะขอ คนที่ซื้อรูปไปเค้าจะได้แขวนบนผนังไงล่ะจ๊ะ เหมือนรูปในร้านนี้ใช่ไหมครับ ใช่แล้วจ๊ะ อะเสร็จแล้วขอล้างมือก่อนนะจ๊ะ อั๋นกินหนมไหมจ๊ะกองเต็มโต๊ะเลย ทานสิ กินได้หรือฮะ ได้ซี้ ของฟรีจ๊ะไม่คิดตังค์ รอยยิ้มของพี่พู่ทำให้อั๋นกล้าพอที่จะเอื้อมมือไปหยิบขนมเข้าปาก เด็กชายไม่ค่อยกล้าเข้ามาข้องแวะพี่สาวคนสวยเพราะมารดาห้ามไว้ว่าอย่าไปสร้างความรำคาญกับเพื่อนบ้าน เดี๋ยวร้านแม่จะเสียลูกค้า พู่กันยื่นแบงก์ร้อยให้อั๋นเด็กน้อยยัดมือล้วงกระเป๋าควานหาเงินทอน ไม่ต้องจ๊ะ ที่เหลือทิปจ๊ะ ขอบคุณครับพี่พู่ ขนมอร่อยจังฮะ พี่ซื้อที่ไหนเหรอขนมแบบนี้ มือสองข้างยกมือไหว้ในปากคาบขนมไว้อย่างเสียดาย จิตรกรสาวกลั้นขำอาการติดขนมเหมือนตัวเองไม่มีผิดเวลาที่ของโปรดออกจากเตาร้อน ๆ อร่อยก็กินให้หมดนะจ๊ะ ขนมที่บ้านพี่เอง บ้านพี่พู่ทำขนมขายหรือฮะ จ๊ะ อร่อยก็กินเยอะ ๆ อั๋นเอาติดมือกลับไปได้ไหมครับพี่พู่ ต้องกลับไปเสริฟอาหารช่วยแม่ฮะ ได้เลยจ๊ะ เดี๋ยวพี่หยิบใส่ถุงให้นะ วันไหนว่างก็มาทานได้เลยจ๊ะ คงไม่ได้ฮะ อั๋นปฏิเสธเสียงค่อยก้มหน้าดูขนมอย่างอาวรณ์ อ้าวทำไมล่ะ แม่ห้ามไม่ให้ยุ่ง เดี๋ยวพี่พู่รำคาญ รำคาญ? รำคาญยังไงอะ แม่บอกว่าถ้าทำให้พี่พู่รำคาญ ต่อไปก็จะไม่ไปทานข้าวที่ร้านแม่ฮะ โธ่เอ้ยอั๋น ต่อไปถ้าอยากมาหาพี่ก็เข้ามาได้ตลอดนะ ลืมบอกไปพี่นิสัยนางงาม พู่กันวางมือบนบ่าบาง กลั้นหัวเราะพูดติดตลกเมื่อเห็นเด็กชายทำหน้าเหรอหราไม่เข้าใจความหมาย แล้วนางงามนิสัยยังไงหรือฮะพี่พู่ ก้อ..รักเด็ก..แบบนี้ไง ดิฉันรักเด็กทุกๆ คนคะ อั๋นหัวเราะจนตาหยีทั้งๆที่ขนมยังเต็มปาก กับท่าเชิดหน้าผายมือไปมาของพี่พู่ รู้สึกดีเมื่อมือนุ่มเอื้อมมาจับแก้มตุ่ยของตนเบา ๆ ทำให้กล้าที่จะพูดกับพี่สาวคนสวยมากขึ้น ขอบคุณครับ พี่พู่นอกจากสวยแล้วใจดีด้วย จริงเหรอจ๊ะ แบบนี้ต้องมาบ่อย ๆนะ ปากหวานจริง ๆ นะเรา พู่กันส่ายหน้าเอ็นดูกับความช่างพูดของเด็กชายที่หิ้วถุงขนมออกจากร้านไปอย่างรีบเร่ง เด็กวัยนี้ควรจะได้ทำอะไรตามประสาแต่อั๋นทิ้งช่วงเวลานั้นมาเสริฟอาหารช่วยมารดาแทน หลายครั้งที่เห็นเด็กชายแอบมองดูเธอเหมือนอยากเข้ามาทักทายแต่ไม่กล้า อาจเป็นเพราะเป็นคำสั่งของมารดาที่ไม่ต้องการให้เข้ามายุ่มย่ามเพราะเกรงว่าเธอจะรำคาญและต่อไปอาจจะไม่แวะเวียนไปอุดหนุนอาหารที่ร้านตามที่บอกเล่าซื่อๆของอั๋นนั่นเอง *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * ที่ห้องประชุม... สรุปแล้วโรงแรมของเราทั้งสามแห่งจะไปออกงานโร้ดโชว์ที่เมืองฟอร์เลนซ์นะครับ อันที่จริงหน้า High Season โซนยุโรปเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่เข้าพักอยู่แล้ว แต่ถ้ากระตุ้นให้มาได้ตลอดปีถ้าสำเร็จจะเป็นผลดีกับโรงแรมเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องจะไปยังไงใครจะไปอะไรต่างๆ ประสานมากับพี่เก็จแก้วได้เลย ผมฝากเรื่องการนำเสนอขอให้ประชาสัมพันธ์เต็มที่นะครับ พิมพรรณคุณช่วยส่งสรุปผลการประชุมให้ผมและทุกคนด้วยภายในวันนี้ คะนาย ร่างสูงเตรียมลุกขึ้นหากแต่เก็จแก้วแตะแขนน้องชายไว้ให้นั่งคุยก่อน หลังจากทุกคนออกจากห้องไปแล้ว จึงเอ่ยถามเรื่องของรางวัลที่ต้องเตรียมให้สำหรับผู้ชนะเลิศในโครงการนี้ พรหมคิดไว้หรือยังว่าจะให้อะไรเป็นของรางวัลผู้ชนะเลิศประกวดวาดภาพ ให้พักห้องที่ดีที่สุดไปเลยสิฮะ เราอาจจะต้องใช้เค้าในอนาคต บอกมาแล้วกันว่าจะใช้ห้องไหน แล้วนี่พรหมจะไปทริปเดียวกับพี่ใช่ไหม เก็จแก้วเหลือบดูน้องชายก่อนถาม คงตามไปทีหลังฮะ อ้าวนึกว่าจะไปด้วยกัน ทำไมล่ะ เก็จแก้วมองหน้าน้องชาย หรี่ตาอย่างสงสัย ก็อยากไปพร้อมเหมือนกัน ถ้าไม่เผอิญนัดกับเพื่อนที่มาจากสวิสไว้ก่อนแล้ว เค้าจะมา Inspection โรงแรมของเราพอดี เก็จพรหมตอบตามจริง เพราะมาร์กเลื่อนเดินทางสองหนนับจากครั้งที่ไปช่วยภัยน้ำท่วมที่สุราษฏร์ธานี แล้วไป ไม่ใช่เป็นเพราะว่าแม่จุมพิตามาภูเก็ตหรอกนะ เก็จแก้วพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา มองหน้าน้องชายตัวดีเขม็ง แต่ไม่เห็นสีหน้าที่ผิดปกติแต่อย่างใด พี่แก้วทราบ? พี่แก้วเจอจูนที่ไหนเหรอฮะ เจอบังเอิญที่ร้านอาหาร แต่เค้าไม่เห็นพี่หรอก ถามแบบนี้แปลว่าเจอกันแล้ว น้ำเสียงฟังดูราบเรียบ แต่แววตาจับผิดเต็มที่ ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับตามจริง จูนแวะมาหาผมที่นี่เมื่อวันก่อนฮะ นั่นนะสิ ฉันสังหรณ์ใจอะไรไม่ค่อยผิด ยังนึกอยู่ว่าถ้าพรหมจะไม่ไปฟอร์เลนซ์ก็คงเพราะแม่นี่ โธ่พี่แก้ว ผมแยกแยะออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่ไม่ไปพร้อมพี่เพราะมาร์กอุตส่าห์บินมาจากสวิสจริงๆ เลื่อนนัดกันหลายหนแล้วผมไม่อยากเลื่อนเกรงใจเพื่อนคนในธุรกิจเดียวกันยังไงงานมาก่อนอยู่แล้วฮะ งั้นพี่ทำเรื่องขอวีซ่าพร้อมๆ กันเลยนะ เก็จแก้วมัดมือชกน้องชาย เธอไม่อยากให้เขาไปข้องแวะกับอดีตคนเคยรักเพราะหญิงสาวมีครอบครัวไปแล้ว ครับ แต่งงานแต่งการไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมาหาอีกทำไม แล้วนี่คนที่บ้านไม่รู้หรือไงปล่อยออกมาหาแฟนเก่าอยู่ได้ น้ำเสียงไม่วายตำหนิความประพฤติของอีกฝ่ายและตอกย้ำให้ทราบถึงสถานภาพของหญิงสาว จูนก็แค่แวะมาเยี่ยมเท่านั้นเองไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆฮะ เก็จพรหมแก้ตัวแทนหญิงสาว ขอให้เป็นแบบนั้นจริงๆเหอะ พี่ไม่ได้จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวพรหมหรอกนะแต่ก็ไม่นึกชอบใจถ้าคนในครอบครัวพี่ไปผิดศีลข้อที่สามเข้า ไปกันใหญ่แล้วพี่แก้ว ผมกับจูนเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นจริงๆ พี่กลัวถ่านไฟเก่ามันไม่ราเชื้อนะสิ ดูท่าพี่สาวยังฝังใจไม่เลิกกับอดีตของเขา เก็จพรหมตัดบทเสียงขรึมด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีแววขี้เล่นหลงเหลือ เอาเป็นอันว่าผมไม่ทำให้พี่แก้วผิดหวังในตัวน้องชายคนนี้แน่นอน ถ้าแม่นั่นไม่หยุดล่ะ พรหมจะจัดการยังไง ทำตัวพิลึกเหลือเกินเฮ้อ เก็จแก้วอดแดกดันไปถึงเพื่อนสาวของน้องชายไม่ได้ สายตาจับจ้องใบหน้าที่หล่อเข้มอย่างห่วงใย เพราะไม่เห็นน้องชายปลูกต้นรักกับใครอีกเลย ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มยังไม่ลืมรักครั้งเก่า แล้วจะไม่ให้คิดมากได้อย่างไร ยิ่งเคยรักกันแค่ไหนทั้งสองเกือบจะได้แต่งงานกันอยู่รอมมะร่อ ยังจำได้ตอนที่น้องชายอกหักยับเยินที่บ้านไม่เคยเห็นชายหนุ่มโวยวายทำร้ายตัวเอง เขาเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวทำแต่งานอยู่คนเดียวเงียบ ๆมันช่างน่ากลัวและเป็นห่วงจนอยากให้ระบายออกมา เธอไม่เคยเห็นสายตาไหวระริกนับแต่นั้นเลย ขอแค่เชื่อมั่นในตัวผมก็พอ แน่นอนจ๊ะน้องรัก ... เกือบลืมไปเลย พรุ่งนี้พี่จะขึ้นกรุงเทพไปทำธุระให้คุณแม่ วันก่อนพรหมไปมาแล้ว เลยอยากจะถามว่าร้านมันอยู่ตรงไหนของสาทร เรื่องที่เก็จแก้วถามทำให้เก็จพรหมเงยหน้าขึ้นทันที สายตาที่เก็จแก้วคิดว่ามันตายไปแล้วแวบเข้ามาในดวงตาคมกล้า ก่อนที่เจ้าตัวซุกซ่อนมันลงบนมือถือเครื่องใหม่ *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。 *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ เสียงมือถือดังติดๆ กันหลายครั้งแต่ดูเหมือนเจ้าของไม่มีกะจิตกะใจจะรับเอาแต่นั่งมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เสียงถอนหายใจติดๆกันหลายครั้ง เรียกคนที่บรรจงวาดรูปเงียบๆ เงยหน้าขึ้นมองดูหน้ามู่ทู่ของพู่กัน เป็นอะไรวะพู่ ทำไมแกไม่รับสายปล่อยให้ดังอยู่ได้ ก็ฉันไม่อยากรับนี่ พู่กันมองภาพวาดที่ขึ้นโครงไม่เสร็จแล้ว ถอนหายใจตวัดเสียงตอบ ไม่อยากรับก็กดสายทิ้งสิแก ปล่อยให้ร้องโหยหวนอยู่ได้ น่ารำคาญวะ สายตาก้องภพกลับไปที่งานปากยังคงพูดเรื่อยๆ อยากจะทำเหมือนกันแต่..มันน่าเกลียด กระชากเสียงตอบอย่างหงุดหงิด ก้องภพเงยหน้าถามเมื่อจับความรู้สึกพู่กันได้ ใครโทรมาวะไอ้พู่ แก้มใส พู่กันก้มหน้าพูดน้ำเสียงต่ำลึกอยู่ในลำคอ เอียงคอมองดูเพื่อนชายขอความเห็นว่าจะเอาไงดี แกก็รับๆ ไปสิวะ เค้าแค่โทรมา ก้องภพอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยแนะนำ แต่วันนี้มันหลายครั้งแล้วนะ ฉันยิ่งบิ้วอารมณ์ไม่ขึ้นอยู่ เสียงเบื่อหน่ายผุดออกมาไหนจะงานวาดไปไม่คืบไหนจะมัวผวากับเสียงโทรศัพท์ งั้นแกก็ปิดมือถือซะสิ เกิดลูกค้าติดต่อมาก็แย่สิ เสียลูกค้า ไม่ได้ ๆ พู่กันโบกมือปฏิเสธคำแนะนำของก้องภพกลัวเสียลูกค้าหากปิดมือถือ สองมือกุมขมับกับปัญหาแสนงี่เง่าที่ไม่ควรเกิดกับตัวเองแต่กลับสร้างความเดือดร้อนให้เสียมากมาย ร่างบางไถลเอนไปกับโต๊ะสองมือทุบเบาๆไม่รู้จะแก้ปัญหาให้ตัวเองอย่างไรดี โวยวายอะไรไอ้พู่เสียงดังไปถึงข้างนอก เพียงได้ยินทักจากด้านหลังเท่านั้นรอยยิ้มของพู่กันเปิดกว้างด้วยความดีใจพลางคิด "ใช่แล้วนางฟ้าของไอ้พู่มาแล้ว" ผู้จะที่จะช่วยชี้ทางสว่างให้กับเธอ ไชโย้ พี่หนูนามาโปรดแล้ว เสียงขานรับอย่างยินดีลุกขึ้นถลาเข้าไปกอด สายตาเลยข้ามหลังไปพบว่าณารินไม่ได้มาคนเดียว พู่กันคลายอ้อมแขนแล้วทำความเคารพผู้มาใหม่ สวัสดีคะพี่แก้ว คุณพรหม ทั้งสองรับไหว้ เก็จแก้วมองพู่กันอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นท่าทางดีใจของรุ่นน้องณารินเหมือนเด็กๆไม่มีผิด ส่วนเก็จพรหมกลั้นขำเมื่อเห็นหญิงสาวทำตาโตเมื่อเห็นเขากับพี่สาวตามหลังพี่หนูนาเข้ามาในร้าน สวัสดีจ๊ะพู่กัน จะเชิญนั่งก็ไม่ได้คะเพราะร้านพู่ไม่มีเก้าอี้รับแขก พู่กันถูมือเขินๆ มองไปรอบๆร้านมีแต่เฟรมภาพตั้งโชว์ ไม่เป็นไรคนกันเองทั้งนั้น พี่หนูนาพยักหน้าตอบรุ่นน้องอย่างเข้าใจ ทั้งสามแล้วหันไปมองรอบๆร้านที่มีผลงานอยู่เต็มผนังและที่ตั้งโชว์บนพื้น ภาพวาดที่สื่อความหมายหลากหลายอารมณ์บนเฟรมผืนผ้าใบแต่งแต้มหลากสีสัน ภาพไหนที่มีเจ้าของแล้วจะมีป้ายจองแปะติดที่กรอบรูป เป็นไงเธอ ฝีมือเจ้าพู่สวยไหม ณารินกระซิบถามเก็จแก้วที่ยืนมองผลงานใกล้ตัว ด้านเก็จพรหมยืนมองดูภาพวาดเด็กน้อยนั่งหงอยตาละห้อยมองดูเพื่อน กำลังเล่นน้ำตกอย่างสนุกสนาน หญิงสาวหันไปมองร่างสูงที่ยืนจ้องดูน้องโด่งนั่งเหงาอยู่ในรูป ค่อนขอดชายหนุ่มในใจว่า...."ที่ดูนั่นคงเข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร"... พู่กันหันมาคุยกับรุ่นพี่กับเก็จแก้วเพื่อหลบสายตาคมปลาบเบนกลับมาที่เธอ ไปไหนกับมาหรือคะถึงได้แวะมาที่ร้านพู่ได้ เผอิญพี่แก้วชวนพี่มาทำธุระแถวนี้ เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วพี่ก็เลยชวนพี่แก้วแวะมาชวนพู่ไปทานข้าวด้วยกัน ลาภปากพู่ล่ะสิคะวันนี้ พู่กันกวาดนิ้วชี้และนิ้วโป้งที่มุมปากยิ้มโชว์ลักยิ้มทำตาหยีสองข้าง ห่อไหล่น่ารักลืมความทุกข์ใจของตัวเองไปเสียสนิท เก็จพรหมมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนตะกละ ณารินลอบมองสายตาเก็จพรหมที่จ้องดูอาการติสแตกไม่รู้ตัวของพู่กันและสะกิดให้เก็จแก้วดูตาม แล้วตะกี้พี่ได้ยิน....อะไรเสียลูกค้า มีปัญหาอะไรหรือพู่ ณารินหันกลับมาถามเมื่อนึกขึ้นได้ ก็ไอ้ก้องมันแนะนำให้พู่ปิดโทรศัพท์ พู่บอกมันว่าไม่ได้เผื่อลูกค้าโทรมา แล้วติดต่อพู่ไม่ได้ก็เสียลูกค้าหมดนะสิคะ พู่กันฟ้องณาริน ก้องภพซึ่งนั่งสเกตภาพเงียบ ๆ ลุกขึ้นรีบแย้งเพื่อนสาวทันควัน ทุกคนหันไปตามเสียงโดยเฉพาะเก็จพรหมนั้นมองหนุ่มหน้าตี๋วัยเดียวกันกับพู่กันอย่างพิจารณา พี่หนูนาอย่าฟังไอ้พู่มัน ไอ้นี่นิสัยเสีย มันไม่ค่อยรับสายปล่อยให้โทรศัพท์ดังจนสายหลุด มันน่ารำคาญไหมล่ะพี่ ความจริงก้องภพมันพูดถูกนะพู่ แกไม่ค่อยรับโทรศัพท์ ณารินคล้อยตามก้องภพ ผมต้องรับให้มันบ่อยๆ ก้องภพเสียบไม้ย่างทันที ก็รับ... ถ้าว่าง พู่กันอ้อมแอ้มยอมรับตามจริง เหลือบตาเคืองไปที่ก้องภพ เอ..หรือมีใครมาขายขนมจีบแกวะไอ้พู่ ปากณารินถามแต่หางตากลับมองไปที่น้องชายของเพื่อนรัก พู่กันสะดุ้งกับคำถามแทงใจจนหน้าแดงก่ำ ส่งสายตาอาฆาตไปที่ก้องภพเตือนว่าอย่าเผลอปากมอมเป็นอันขาด สายไปเสียแล้วก้องภพไม่ละทิ้งโอกาสเผาเพื่อนรักที่โอกาสพึงจะมี แกก็บอกพี่หนูนา ว่าไม่ใช่ใครอื่นไกล คนกันเองนี่แหละ ไอ้ก้องอายุไขแกจะหมดไวถ้าขืนยังปากมอม พู่กันชี้หน้าปรามเพื่อนรัก หันไปคุยกับณาริน ไม่มีหรอกพี่ อย่างพู่ใครจะมาจีบ.... ดูสิคะพี่เก็จแก้วคงหิวแล้ว พู่ว่า เราไปหาอะไรทานกันเถอะคะ แกอยู่เฝ้าร้านเลยนะก้อง เดี๋ยวซื้อกะเตี๊ยวมาฝาก พู่กันตัดบทหันไปสั่งเพื่อนรัก.... ก็ใครจะไปพูดเรื่องหน้าอายแบบนี้ได้ยังไงเล่า... หญิงสาวคิด เก็จพรหมยืนมองดูสองหนุ่มสาวโต้ตอบกัน รู้ได้ทันทีว่าทั้งคู่สนิทสนมกันแน่นอน ค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าก้องภพเป็นคนที่รับสายของเขาในวันนั้น เขาต้องรู้ให้ได้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อยู่ในขั้นไหนเพื่อนหรือแฟน ทั้งสี่ออกจากร้าน พู่กันขึ้นไปนั่งตอนหน้าคู่กับเก็จพรหมที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ ส่วนพี่หนูนากับเก็จแก้วนั่งคุยกันจุ๋งจิ๋งตลอดทาง โทรศัพท์เข้าหาพู่กันถึงสองครั้งสองคราหญิงสาวกดปิดเสียงด้วยเกรงใจคนขับรถและคนข้างหลังตัวเธอเอง สีหน้ายุ่งยากอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวพยายามระบายลมหายใจออกช้าๆไม่อยากรบกวนสมาธิคนกำลังขับรถปล่อยตามองออกนอกหน้าต่างรถ เก็จพรหมชำเลืองดูอย่างแปลกใจระคนสงสัยว่าทำไมหญิงสาวไม่ยอมรับสาย แววตาหมกมุ่นที่สะท้อนผ่านกระจกรถพอเข้าใจว่าหญิงสาวกำลังมีปัญหา พอถึงร้านอาหารเข้าจริงๆ พู่กันถูกทิ้งให้นั่งทานอาหารเพียงสองคนกับเก็จพรหมเพราะรุ่นพี่ทั้งสองปลีกตัวออกไปนั่งทานอีกโต๊ะกับเพื่อนที่เจอกันโดยบังเอิญ ทั้งคู่ทานอาหารอย่างเงียบๆ นานๆครั้งถึงจะพูดคุยโดยเก็จพรหมเป็นคนเริ่มต้นคุยก่อน ชายหนุ่มมองอาการเขี่ยข้าวบนจานของพู่กัน ไม่อร่อยหรือพู่กัน อร่อยคะ อร่อยแล้วทำไมทานน้อย หรือว่ารสจัดไป น้ำเสียงเป็นห่วงกลัวหญิงสาวทานไม่ได้ เปล่าคะ คุณทานเถอะอย่าห่วงพู่เลย พู่กันอึกอักตอบ หรือว่าคุณอึดอัดที่ทานกับผมสองคน ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอก คือ..อ้าวโทรมาอีก รับก็รับวะ...ขอโทษนะคะ เสียงโทรศัพท์ดัง คราวนี้พู่กันกดรับสายไม่กดทิ้งเหมือนเคย เหลือบตามองดูหน้าหล่อขออนุญาตเบา ๆ เป็นไงเป็นกันวะไอ้พู่ หญิงสาวบอกตัวเอง กรอกเสียงหวานเข้าไปในมือถือ สวัสดีจ๊ะแก้มใส / อะ อ๋อ คือพู่ไม่ได้เอามือถือติดตัว / พู่ติดลูกค้าคะ อื้อไม่เป็นไร ไม่ต้องลำบากพู่ทานแล้ว คะ คะ แล้วเจอกัน แก้มใสวางสายทิ้งให้พู่กันปล่อยตัวลงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ทำหน้าเซ็งใส่มือถือ เก็จพรหมกลั้นหัวเราะเขาเริ่มเดาทางปัญหาของพู่กันออกบ้างแล้ว นี่เจ้าหล่อนหวงความเป็นส่วนตัวขนาดนี้เชียวเหรอ พู่กันเหลือบมองหน้าเก็จพรหมเห็นสีหน้าแล้วตีรวนทันที ยิ้มอะไรคุณ เปล่า เปล่าได้ไง ก็คุณยิ้มฉันเห็น มีหรือพู่กันจะยอมแพ้ง่าย ๆ ก็ผมเห็นคุณทำหน้ายุ่งใส่มือถือ เลยขำขึ้นมานะสิ นายหัวหนุ่มยกมือยอมแพ้ ตอบตามที่ตาเห็น ก็คนมันเซ็งนี่ เสียงเซ็งสุดๆพ่นออกมา ทำไมทะเลาะกับแฟนเหรอ เก็จพรหมแกล้งถาม เอ้ยไม่ใช่ คนที่โทรมาเป็นผู้หญิง ฉันยังไม่มีแฟน พู่กันสั่นหน้ายืนยันคำพูดของตัวเอง คุณมีปัญหากับคนที่โทรมาเหรอพู่กัน เก็จพรหมยื่นหน้าเข้าใกล้กระซิบถาม ไม่มี...แต่ อาร์ทตัวแม่ส่ายหน้าผิดกับสายตาที่ลังเล แต่อะไรหรือครับ แววตาเข้มกรุ่มกริ่มสบตากลมโตแวววาว บอกตัวเองว่า ต้องรีบกระชับพื้นที่ระหว่างเขากับพู่กันให้แคบลง ไม่มีอะไร ม่านขนตากระพริบถี่เมื่อหน้าหล่อเข้มของเก็จพรหมยื่นเข้าใกล้จนเกินไป คุณรู้ไหมคนที่เส้นสมองแตกน่ะมีอาการยังไง เก็จพรหมถามพู่กันหลังจากถอยกลับไปนั่งที่เดิม เขาชอบแพขนตาหนานั้นเหลือเกิน ยังไงล่ะ พู่กันพาซื่อถาม มือแขนชาปากเบี้ยวนะสิ เก็จพรหมกอดอกอมยิ้มตอบหลังทำท่าประกอบก่อนจะอึ้งกับคำถามของสาวติสจ๋า แล้วคุณมาบอกฉันทำไม อะไรแค่นี้ก็ยังไม่รู้อีก ผมแค่จะบอกคุณว่าถ้าคุณเก็บกดเอาไว้คนเดียวนานๆระวังเส้นเลือดในสมองจะแตกได้นะสิ นี่คุณแช่งฉันเหรอคุณพรหม พู่กันวางมือบนโต๊ะชะโงกหน้าแยกเขี้ยวใส่เก็จพรหม ตาคมโตวาววับ น่ารักเป็นบ้า ไม่ชอบไม่ได้แล้ว ชายหนุ่มคิดส่งยิ้มแววตากรุ่มกริ่มยักคิ้วแถมให้เจอมุขนี้สาวติสจ๋าหุบปากรีบถอยกลับไปนั่งตามเดิม "คนอะไรเก๊กหน้าหล่อตลอด" หญิงสาวคิดทำเมินหน้าหนีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเก็จพรหม ผมจะแช่งคุณทำไมพู่กัน ทำไมไม่คิดว่าผมเป็นห่วงบ้างล่ะ พอรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป ชายหนุ่มยกมือลูบท้ายทอยตัวเองที่เผลอคิดดังไปหน่อย คุณจะมาห่วงฉันทำไม แปลกจังคุณนี่ พู่กันโต้กลับ มองอาการเขินของชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ คุณไม่ชอบแก้มใสเหรอ เก็จพรหมถามตรงๆ อ๊ายยยย จะบ้าเหรอถามแบบนี้ฆ่ากันตายดีกว่า พู่กันตกใจวัวสันหลังหวะลืมตัวว๊ากใส่ชายหนุ่ม ถึงตายเลยหรือพู่กัน เข้าทางผู้บริหารหนุ่มทำเนียนเป็นเข้าใจตามคำพูดของหญิงสาว ก็คุณดูถูกฉันนี่ ผมไปดูถูกคุณตรงไหน ผมแค่ถามว่าคุณไม่ชอบแก้มใสหรอกเหรอ ที่สุราษฏร์ธานีก็เห็นเค้าเอาใจใส่คุณดีออก ใครบอกให้คุณมาว่าฉันเป็นพวกนิยมดนตรีไทย ไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองกำลังแบไต๋ให้เก็จพรหมรู้ไปแล้ว ตอนไหน เสียงทุ้มถามย้ำ เริ่มเข้าใจอะไรลางๆบ้างแล้ว ก็คุณถามฉันว่าทำไมไม่ชอบแก้มใสอยู่หยก ๆ เสียงหงุดหงิดไม่แพ้กับสีหน้ามุ่ยตุ้ยของติสสาว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับดนตรีไทย ยิ่งฟังยิ่งงง นายหัวหนุ่มซักไม่หยุดไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไป เพราะใกล้จะรู้ความจริงอีกนิดเดียวเท่านั้นชายหนุ่มคิด ก็แก้มใสกำลังจีบฉันอยู่นะสิ...อุ๊ย ม่านตากลมโตเปิดกว้างเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป หญิงสาวรีบยกมืออุดปากตัวเอง อะไรนะ พูดอีกทีซิพู่กัน! สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสสี่
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสสาม
*.:。✿* ติสสาม *.:。✿*゚¨゚✎ “ พรหม ๆ ไปส่งพี่ไปตลาดทีสิจ๊ะ” “คนขับรถไม่อยู่หรือครับพี่แก้ว ผมยังง่วงอยู่เลย” “ตื่นเร็ว พี่อยากให้เราไปช่วยถือของ พี่หนูนากับพู่กันรออยู่ เดี๋ยวสาย” “........ขอเวลาห้านาทีฮะพี่แก้ว” ดูสิ...เจ้าหล่อนสนุกเป็นเด็กซน ๆ เดินตลาดเหมือนคุ้นเคย ปรู๊ดปร๊าดไปนั่นนี่ ใบหน้ามีรอยยิ้มระรื่น คอยถามนั่นนี่ตลอดเวลา โดยเฉพาะตากลมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยความแวววาวผ่านแพขนตายาวยามที่ถูกใจ เหมือนผีเสื้อขยับปีกไปมาชวนให้คอยมองตาม “พรหมมาช่วยน้องถือของหน่อย” เก็จพรหมกระพริบตาตื่นจากภวังค์จากเสียงเรียกของเก็จแก้ว เขามองข้าวของในมือของพู่กันกับของเขามันมากพอๆกัน พู่กันเห็นสายตาของชายหนุ่มแล้วชิงเสนอแนะ “พู่ว่า เอาไปเก็บที่รถก่อนดีไหมคะ ..มันหนักใช่ย่อยเลย” “ดีเหมือนกัน คุณแบ่งถุงให้ผมก่อนดีกว่า” “ไม่เป็นไร เรารีบไปเถอะคะ มัวแต่ยืนตรงนี้ ไม่ช่วยให้เบาขึ้นทั้งคุณและฉันเลยนะคะ” “งั้นตามผมมา” พู่กันเดินตามคนร่างสูงก้าวยาว ๆ ช่องทางเดินแคบพอเดินได้คนเดียว คนตัวเล็กต้องคอยมองแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไปทุกที ..ตาคมปาค้อนปักหลังชายหนุ่ม เป็นระยะ ในใจค่อนขอดคนร่างสูงขายาว ปากบางขมุบขมิบนินทาคนข้างหน้าเบา ๆ “อีตาบ้านี่ไม่ยอมรอเลย เห็นว่าขายาวกว่าได้เปรียบล่ะสิ ดูแล้วกันก้าวแต่ละทีเท่ากับสองก้าวเราเลย...เช้อออออ” “พู่กัน...หนักไหมแบ่งมาให้ผมบ้างก็ได้นะ” คนร่างสูงหยุดรอตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะได้ยินเธอบ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ร่างบางเบรคแทบไม่ทัน ตากลมโตเบิกกว้าง ตีหน้ามึนใส่หนุ่มหน้าเข้ม แต่หนนี้พู่กันยอมแบ่งสัมภาระในมือข้างหนึ่งให้ชายหนุ่ม สะบัดนิ้วมือให้หายเมื่อย โดยไม่สบตาเขา จึงมองไม่เห็นแววขันจากตาคมกล้านั้น ....ก็ใครจะไปรู้หล่ะว่าเจ้าหล่อนทำเป็นเก่ง “เร็วสิคุณ ถึงฉันจะถือของเบาลง แต่มันก็ยังหนักอยู่นะ แล้วอีกไกลไหมคะรถที่จอด” “เดินอีกนิดก็ถึงแล้ว นั่นไงฮะ” ทั้งคู่เดินมาถึงที่รถจอด แต่ยังไม่สามารถเปิดท้ายรถเพราะกุญแจอยู่ในกระเป๋ากางเกงชายหนุ่ม ครั้นจะวางของก็ไม่ได้เพราะบริเวณนั้นมีน้ำขังเป็นบริเวณกว้าง ท่าทางรีรอของคนร่างสูง ทำให้พู่กันหงุดหงิดเพราะของที่ถืออยู่เริ่มทำให้มือเธอชา ตาดำขลับตวัดขึ้นมองใบหน้าคมเข้มนั้นอย่างสงสัย “เร็วสิคุณ กดรีโมทเปิดรถสิ จะได้เอาของไปเก็บ มัวรออะไรอยู่” “คือกุญแจมันอยู่ในกระเป๋ากางเกง” “แล้วไง” “คุณล้วงกุญแจออกมา แล้วกดเปิดให้ผมที” “ห๋า! ....อะไรนะ ” ปริ๊ดแรกที่พู่กันตะโกนออกมาดังๆ เงยหน้ามองคนตัวสูงย้ำว่า หูฉันฟังไม่ผิดใช่ไหม เมื่อสายตาเข้มยืนยันกลับไป ทำเอาหน้าเนียนแดงก่ำ หลุบตาต่ำดูกระเป๋ากางเกงชายหนุ่มอย่างไม่ตั้งใจ พู่กันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น หาทางเลี่ยงทันที “... คุณวางของก่อนสิ” “วางได้ไง คุณไม่เห็นเหรอน้ำเจิ่งนองขนาดนี้” “เอางี้คุณแบ่งของมาให้ฉันถือก่อนก็ได้” หญิงสาวเหลียวดูรอบตัว น้ำท่วมอยู่เต็มไปหมด ถ้าเอาของวางคงจะสกปรก มองดูของที่ชายหนุ่มถือก็เหมือนกันหนักกว่าเธอเยอะหลายเท่าตัว “ไม่ไหวหรอกของผมหนักกว่าคุณเยอะ” “คือ...ฉัน..ฉัน” พู่กันอึกอัก...หน้าตาแดง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยที่จะต้องล้วงกระเป๋ากางเกงผู้ชาย อย่าว่าแต่พ่อเลย แล้วนี่เป็นผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่หน เสียงเร่งเร้าของเก็จพรหมทำเอาใจสาวติสเต้นแรง “เร็วสิคุณ ผมหนักนะ ” ปากบางขบเม้มเหมือนกำลังชั่งใจ เหลือบดูหน้าคนตัวสูง พบแววตาเคร่งขรึมมองมา หญิงสาวพยักหน้าทำตามคำขอร้องของเก็จพรหม มือบางถ่ายของรวมอยู่ในมือเดียวกัน แล้วมองหากระเป๋ากางเกงชายหนุ่ม เสียงเล็กเหวี่ยงใส่คนที่ยืนทำหน้าซื่อไม่รู้ไม่ชี้ “แล้วมันอยู่กระเป๋าไหนหล่ะคุณ” “ข้างซ้ายครับ” ชายหนุ่มเอียงตัวให้พู่กันหยิบได้ถนัด พู่กันถอนหายใจดัง ๆ พลางพยักหน้าเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง มือบางค่อยสอดเข้าไปในกระเป๋า ตามองไปทิศอื่นที่ไม่ใช่หน้าเข้มของชายหนุ่ม เลือดสาวฉีดพุ่งขึ้นทั่วหน้าเมื่อนิ้วเรียวเล็กเบียดต้นขาเพรียวของชายหนุ่มเข้าไป มือน้อยค่อยสอดจนถึงก้นกระเป๋า พบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีกุญแจรถ จึงรีบชักมือออกเหมือนถูกของร้อนจัดนาบ ถลึงตากลมวาวใส่คนร่างสูง “ไม่มี” “ขอโทษฮะ ผมลืมว่ามันอยู่กระเป๋าขวา นี่ฮะ” เก็จพรหมตีหน้าขรึมซื่อ มองตาพู่กันแสดงความบริสุทธิ์ใจ ก่อนจะหมุนตัวอีกข้างให้พู่กันล้วงเข้าไปใหม่ ทำมองไม่เห็นสีหน้าอึดอัดของหญิงสาว ไม่ได้คิดแกล้งแม่ติสจ๋าหรอก แค่อยากจะรู้ว่าเธอจะทำอย่างไรถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ ถามตัวเองว่า....... แกเป็นอะไรไปนี่นายเก็จพรหม แกไม่เคยต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรกับผู้หญิงมาก่อนมิใช่หรือ...... ประกายตาเข้มวาบเมื่อมือน้อยที่สอดเข้าไปในกางเกงที่มีทั้งมือถือและกุญแจรถอยู่รวมกัน หางตาเขาเห็นแก้มของพู่กันสุกปลั่ง มุมปากหยักยิ้มผินหน้าไปทิศอื่น แน่นอนคราวนี้ไม่พลาด นิ้วเล็กๆล้วงเจอกุญแจ อารามดีใจจึงรีบดึงออกมาอย่างเร็วทำให้มือถือหลุดตามออกมาด้วย ทั้งคู่ตะลึงมองดูไอโฟนเครื่องสวยออกจากกระเป๋าหล่นลงน้ำ แม้น้ำจะไม่มากแต่มันก็ท่วมเจ้าเครื่องบางอยู่ดี “จมน้ำแล้วคุณ!” พู่กันรีบเงยหน้า ตาดำขลับขยายกว้าง อุทานเสียงดัง หันซ้ายขวา สมองไวพอๆกับมือกดรีโมทเปิดกระโปรงรถ รีบวางสัมภาระโดยเร็ว ก้มหยิบมือถือเครื่องสวยของเก็จพรหม สะบัดน้ำและเช็ดบนเอี้ยมป้อย ๆ สีหน้าสาวติสตอนนี้ไม่สบายใจอย่างสุด ๆ ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดตัวเครื่องบางเฉียบตอนนี้เปียกชุ่มน้ำ เงยหน้ามองเจ้าของเครื่องซึ่งยืนมองมือถืออย่างไม่เชื่อสายตา ส่งสายตาละห้อยตามด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างมากมาย “เปียกหมดแล้วคุณ ทำไงดี” “ไม่เป็นไร มันคงใช้ได้อยู่หรือเปล่านี่สิ” ปากบอกไม่เป็นไรแต่ถามกลับมานี่สิ ทำเอาคนฟังใจแป้ว “ทำไงถึงจะรู้อะ” เกิดสมองหนาปัญญาทึบขึ้นมากะทันหันทั้งๆ ที่มันควรจะแล่นฝุ่นตลบไปหลายพันลี้เหมือนที่เคยเป็น “คุณลองโทรเข้าเครื่องผมดูแล้วกันว่ายังรับได้อยู่หรือเปล่า” เจ้าของเครื่องเสนอด้วยใบหน้าขรึม ตาเข้มเหลือบด้วยหน้าสวยของพู่กัน แววตานิ่งมองลึกเข้าไปในตากลมโตรอจ้องแทบไม่กระพริบ “ได้ ๆ แล้วคุณคิดว่ามันจะทำงานหรือเปล่าล่ะ” พู่กันแสดงความเซ่อซื่อไม่เลิก จนเจ้าตัวยังแปลกใจในเวลาต่อมา “ลองดูก่อนแล้วกัน” เก็จพรหมตอบเสียงแผ่วเหมือนเสียดายของรักไม่ปาน หลุบตาต่ำซ่อนแววตาไหวระริกบนมือถือที่หญิงสาวยื่นให้ ชายหนุ่มเอื้อมมือรับ ลูบไล้ไปมาอย่างถนุถนอม พู่กันรีบพูดก่อนความรู้สึกอื่น ๆ จะเข้ามามากกว่าแค่รู้สึกผิด “คุณก็บอกมาสิว่าเบอร์โทรของคุณอะไร” *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * เก็จพรหมมองไปรอบ ๆ บริเวณโรงแรมจากระเบียงห้องทำงาน รีสอร์ทหรูแห่งนี้เป็นกิจการของครอบครัว ที่ใช้เวลาและประสบการณ์ในการบริหารมาตั้งแต่รุ่นบิดาทำไว้ให้ สำหรับเขาย่างเข้าปีที่ 5 ได้เข้ามาบริหารอย่างเต็มตัว นับจากจบบริหารการโรงแรมจากประเทศอังกฤษ เป็นยุคถ่ายอำนาจจากรุ่นพ่อสู่ลูก เขาเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ไม่ใช่แค่มีฝีมือเรื่องการบริหารโรงแรมที่มีอยู่ในเครือถึงสามแห่ง แต่เขายังเป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์สำหรับสาวๆไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาความรู้และฐานะ บวกกับบุคลิกนิ่งสุขุม ย่อมเป็นความฝันของสาวน้อยสาวใหญ่ทุกคนที่อยากจะพิชิตใจแต่ยังครองตัวเป็นโสดมาตลอดเพราะไม่เคยเจอคนที่ถูกใจจริง ๆ สำหรับเก็จพรหมแล้วก็เหมือนผู้ชายทั่วไปยามเล่นเที่ยวเขาใช้ชีวิตตามที่ใจต้องการ สุดเหวี่ยงสุดคุ้มค่า แต่เมื่อไหร่ที่อยู่ในโหมดทำงานก็จะกลายเป็นคนละคนจริงจังดุดันไม่น้อย ไหวพริบแพรวพราวจนเป็นที่โจษจันในวงการธุรกิจเดียวกัน ร่างสูงสง่าผึ่งผายยืนพิงระเบียงจากห้องทำงาน มองไปข้างหน้า ณ ท้องทะเลเวิ้งว้าง ลำแสงสีทองไล้ผิวน้ำทะเลกระทบกับระลอกคลื่น ปรากฏประกายระยิบระยับยามเย็น สายลมพัดแผ่วปะทะหน้า ทะเลยามเย็นช่างดูโรแมนติกแต่ทำไมเขารู้สึกเหงาเสียเหลือเกิน ไม่ใช่สิ......ปกตินายเก็จพรหมควรจะพูดกับตัวเองว่า บรรยากาศอย่างนี้น่าจะพลพรรคมาดื่มมากกว่า แต่ทำไมวันนี้เขาไม่มีใจที่จะออกไปไหน แล้วนึกยังไงทำไมต้องมายืนจ้องแสงสุดท้ายของวันแบบนี้ ชายหนุ่มหลับตาสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ใจตวัดนึกไปถึงแม่สาวตาคมกลมโตที่ชื่อพู่กัน... ยังจำสายตาแวววาวภายใต้แพขนตายาวหนา ยามเธอทอดมองมาทำให้ใจไหวยวบ ไหนจะลักยิ้มมองแล้วเพลินตาเมื่อแต้มบนมุมปากอิ่ม แทบไม่อยากถอนสายตาออกจากหน้าใสตอนที่หัวเราะจนตาหยีโชว์เขี้ยวเล็ก ๆ แค่นี้สามารถทำเขาให้ลืมหายใจ ร่างบางน่ารักน่าถนอมแต่กลับปราดเปรียวคล่องตัว ดูท่าเจ้าหล่อนไม่ต้องการให้ใครดูแล เก็จพรหมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เสียงริงโทนดังขึ้นปลุกดึงสติเก็จพรหมกลับมา ปลายสายแทรกเสียงดังเข้ามาจนต้องดึงมือถือออกห่าง คิ้วเข้มขมวดแล้วคลายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ ส่ายหน้ากรอกเสียงระอาตอบกลับไป “อะไรของแกวะ ยังไม่ค่ำเลย” “ก็จะรอให้มันค่ำทำไมวะ สลัว ๆ อย่างนี้แหละเห็นชัดกว่ากลางคืนอีก” ลภณส่งเสียงห้าวกรอกเข้าหูกลับมา “รีบมาโว้ยพรหม สเปกนายตรึมเลยวะ” เสียงภวัตโวกเวกตามเข้ามาอีกเสียงก่อนจะปิดโทรศัพท์ ชายหนุ่มมองดูแสงสุดท้ายของวันนี้ริบหรี่ตรงขอบฟ้าจรดขอบทะเล พร้อมกับถามตัวเองว่าสเปกของเพื่อนๆที่พูดมาคงไม่พ้น ประเภทสูงยาวเข่าดีและเนื้อนมไข่ แต่ทำไมภาพสตรีร่างอรชรบอบบาง ตากลมโต กลับซ้อนขึ้นมา เก็จพรหมส่ายหน้ากับอาการแบเบลอของตัวเขาเอง กว่าจะไปตามคำเรียกร้องของเพื่อนๆได้ เก็จพรหมไปถึงที่นั่นเกือบสามทุ่ม โต๊ะประจำตอนนี้นอกจากมีเพื่อนหนุ่มของเขาสองคนแล้วยังมีหญิงสาวอีกสามคนนั่งอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นร่างสูงเดินตรงเข้ามาทั้งสามสาวต่างกรูเข้ามาเหมือนแย่งของหวาน เสียงหัวเราะหยันของสองหนุ่มตามหลังมาติด ๆ เพราะยังไงเขาทั้งคู่เป็นได้แค่พระรองนั่นเอง “คุณพรหมขา ทำไมมาช้าจังคะ” แม่สาวชุดแดงฉะอ้อนถามปรือตาเยิ้มให้กับเก็จพรหม ส่วนสาวอีกคนไม่ยอมน้อยหน้าถลากอดร่างสูงพร้อมกับเบียดร่างอวบแนบชิดแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน และแน่ล่ะคนสุดท้ายย่อมจัดหนักกว่าใคร เธอเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเอื้อมมือดึงเนคไทค์สีสวยและทำในสิ่งที่หญิงสองคนไม่ทำนั่นคือยืดตัวชะโงกหน้าเข้าไปจุมพิตแก้มสากไม่แคร์ว่าสีลิปสติกติดที่แก้มทั้งซ้ายขวา สายตาหวานเยิ้มเชิญชวนอย่างมั่นใจในเสน่หาที่โปรยเอาไว้ “รออยู่ตั้งนาน จะเล่นตัวไปถึงไหนคะพรหม” นนนี่สาวสวยที่สุดในกลุ่มเอ่ยถามหลังจากฝากตราจองบนหน้าหล่ออย่างสมใจ ตางามซึ้งผลพวงจากการปัดมาสคาร่าทำให้ขนตายาวงอนเด้งมองแล้วเพลินตา “นั่นสิคะ ร้ายจริงเชียวคุณพรหมนี่ ” สาวอีกนางดัดเสียงเล็กเสียงน้อยต่อว่าต่อขานชายหนุ่มจริตจะกร้านแพรวพราว “เพิ่งเสร็จธุระที่บ้านฮะ” เก็จพรหมพูดขึ้นหลังจากทรุดนั่งโดยมีสามสาวนั่งเบียดกระแซะแทบไม่มีช่องว่างเหลืออยู่เลยทั้งสองข้าง ภวัตขยิบตาเป็นคำถามรู้กันว่า สเปกของนายหรือของฉันกันแน่ “ที่บ้าน?” ณภิณถามแทรกขึ้นมาพลางซบหน้าไหล่หนา “วีซ่า ไม่ออกหรือคะ?” พลอยแพรสาวชุดแดงเหยียดปากกระเซ้าถาม ยื่นมือเชยคางสากแล้วลูบไล้ยั่วเย้า เก็จพรหมดึงมือออกอย่างสุภาพยิ้มกว้างเข้าใจความหมายคำถามเป็นอย่างดี โดยไม่ได้ตอบแต่อย่างใด “เป็นไปได้ไงยายพลอย ก็คุณพรหมของพวกเรายังไม่แต่งงาน แล้วจะขอวีซ่าจากใครกันล่ะจ๊ะเธอ” นนนี่พูดพลางสอดมือเกาะเกี่ยวแขนแข็งแรง เบียดความอวบหยุ่นลงบนต้นแขนอย่างจงใจ บอกเป็นนัยว่าค่ำคืนนี้เธอพร้อมที่จะไปทุกที่กับชายหนุ่ม เก็จพรหมขยับตัวเล็กน้อย แต่ไม่วายที่จะหว่านเสน่ห์ชายด้วยการเสยผมที่ตกลู่ลงมา เสียดสีกับก้อนเนื้อหยุ่นอย่างจงใจ ส่งสายตาเข้มพราวระยับอย่างรู้เท่าทันกันและกัน ตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ชายหนุ่มยกแก้วเบียร์ชูให้ลภณและภวัต ทั้งสามชูแก้วเป็นที่รู้กันว่าคืนนี้คงไม่มีใครนอนเหงาอย่างแน่นอน *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * “เป็นไปได้ไงวะแก ไม่มีกิจกรรมอะไรมันส์ๆ ในคืนวันศุกร์นี่นะโว้ยไอ้พรหม” ลภณโวยวายใส่เก็จพรหมกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาหนากลางห้อง หลังจากที่ทั้งสามออกจากผับมาต่อกันที่ห้องชุดคอนโดหรูใจกลางเมืองภูเก็ตของภวัตโดยไร้เงาของสามสาว “เออ แล้วไงมันจะลงแดงตายหรือไงวะ ไม่ได้จิ้มสักคืนน่ะแกไอ้ภณ” ภวัตพูดขึ้นหลังจากกระดกน้ำสีอำพันสาดเข้าไปในลำคอ ในบรรดาสามคนนี้ ภวัตถือว่าเป็นพี่ใหญ่ที่สุดในทีมทั้งนิสัยออกจะนักเลงกว่าใคร นอกจากความเป็นเพื่อนแล้วอนาคตเขากำลังจะแต่งงานกับเก็จแก้วนั่นหมายถึงมีศักด์เป็นว่าที่พี่เขยของเก็จพรหม ลึกซึ้งไปกว่านั้นด้านธุรกิจ ภวัตคือนายหัวของบริษัททัวร์ที่ส่งแขกป้อนให้กับโรงแรมทั้งสามแห่งของเพื่อนรุ่นน้อง ประมาณว่าเอื้อทั้งทางธุรกิจและส่วนตัว หลายครั้งที่เก็จพรหมขอคำแนะนำจากเพื่อนรุ่นพี่คนนี้และประสบความสำเร็จทุกครั้งไปเช่นกัน “ก็แหม...ของมันเคย แล้วไม่ได้มันก็เหมือนขาดอะไรไปนะสิพี่วัต คืนนี้ต้องเฉาตาย น่าสงสารจริงๆ ลูกพ่อ” ลภณพูดลดสายตาละห้อยตรงตำแหน่งของคำลงท้าย ทำเอาเก็จพรหมส่ายหน้าหัวเราะขำเสียงโอดครวญของคนไม่ได้ขึ้นสวรรค์ของลภณ เขาเอื้อมมือไปบีบไหล่คุดคู้ของเพื่อนรักพลางกลั้วหัวเราะระหว่างที่เอ่ยสัจธรรม “อดเสน่หาเขาว่าบ่วางวาย” “แต่ข้าคงตายด้าน หากขาดกิจกาม” “เป็นเอามากเลยนะแก ไอ้บ้าภณ เพลา ๆ ซะบ้างก็ดีนะแก โรคถามหาเมื่อไหร่แกจะรู้สึก” “พี่วัตฟังไอ้พรหมมันพูดดิ เหมือนจะเตรียมตัวไปห่มผ้าเหลืองอย่างนั้นแหละ” “พี่ว่าพรหมพูดถูกนะ ไม่ใช่แค่โรค แต่อาจจะได้แม่ของลูกแบบไม่ได้ตั้งใจ พี่ว่านายเองคงไม่อยากเจอเหตการณ์นี้หรอกนะ” “ถ้ารักสนุกก็ต้องรู้จักป้องกันตัวสิครับ คุณคอนดอมตัวช่วยไม่เคยห่างกระเป๋าผมเลยนะ ไม่เชื่อเดี๋ยวเปิดให้ดู” คนเถียงคำไม่ตกฟากขยับก้นเพื่อล้วงเอากระเป๋า เก็จพรหมยกมือห้ามบอกส่งๆ ไปถึงเหตุผล “ไม่ต้องหรอกฉันเชื่อแกวะ ไอ้ภณ เอาเป็นว่าคืนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ไปกับผู้หญิงคนไหน” “อะไรวะ นึกเกิดหวงตัวขึ้นมา หรือว่าแกเกิดไปปิ้งใครเข้า เลยอยากถนอมตัวสำหรับเธอคนเดียว” เป็นครั้งแรกที่ภวัตหันมองดูหน้าหล่อเหลาของเก็จพรหม ใช่สิเขาลืมสังเกตว่าวันนี้เพื่อนรุ่นน้องของเขาไม่รื่นเริงตามประสาหนุ่มโสดเหมือนที่ผ่าน ๆมา ในมุมสลัวทุกครั้งมักจะตอบสนองอย่างเต็มที่กับการหยิบยื่นเสนอของสาว ๆ เขามักได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักถูกอกถูกใจของแต่ละนางตลอดเวลา หากแต่ค่ำคืนนี้กลับได้ยินคำห้ามปรามเสียงกระเง้ากระงอดออดอ้อนและต่อว่า เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองจากหนุ่มผู้นี้ “เปล่า แค่อยากห่างๆเรื่องพวกนี้ก็เท่านั้นเอง” เก็จพรหมพูดเรื่อยๆ สายตาโฟกัสไปที่ไหนสักแห่ง...ความว่างเปล่าที่ตรงนั้นมีเงาของใครบางคนซ้อนขึ้นมา ภาพโบกมือลาเสียงหัวเราะยังก้องในโสต ท่าทางเหี่ยวเฉาและคำตอบของเพื่อนรักทำให้ นภณหัวเราะก๊ากออกมา “ฮะ ๆ ๆ ๆ ไอ้พรหม เหมือนเพลงขอห่างสักพักเลยวะพรหม ไหนแกลองบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าใครหรืออะไรทำให้นายเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นคนก็ต้องเป็นหญิงสาวสวยหยาดเยิ้มใช่ไหมล่ะ” “บางทีพรหมอาจจะรู้สึกเบื่อจริงๆก็ได้” “กิเลสคนเรามันจะหมดง่าย ๆ เชียวหรือฮะ โดยเฉพาะวัยอย่างคึกคักอย่างพวกผมนี่” “ถ้าแกอยากมากๆ แกก็ไปเองได้นี่หว่า ไม่จำเป็นต้องมีฉันเลย” เก็จพรหมพูดเนือยๆ บอกเพื่อนให้ทำตามความต้องการไม่ต้องกังวลเรื่องของตัวเอง “ได้ไงวะ แกเป็นเพื่อนฉันนะโว้ย มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมแก้ ไม่ใช่ทิ้งไปมีความสุขคนเดียว” “ฉันไม่นิยมสวิงกิ้งนะไอ้ภณ” “กะว่าจะชวนซักหนเหมือนกันนะแก” นายหัวทรานสปอร์ตถูมือไปมาทำหน้าทะเล้นใส่ แล้วต้องเด้งตัวหนีเมื่อเท้าของเก็จพรหมดีดเข้ามาอยู่ตรงก้น “เอ๊ะไอ้นี่ เดี๋ยวปั๊ด” “เออแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เอาล่ะคราวนี้เป็นงานเป็นการหน่อยนะพวก เกิดอะไรขึ้นกับแกวะ” “ก็ฉันเบื่อ!” เก็จพรหมยืนยันคำเดิม “เบื่อ แต่ทำไมหน้าแกมันไม่ได้บอกแบบนั้นนี่หว่า” “หน้าฉันเป็นยังไงว่ะ” “มานี่ มานี่เลยแก” ลภณลากแขนเพื่อนของเขาเดินไปที่กระจกข้างบาร์เครื่องดื่ม แล้วชี้ไปที่กระจกกำลังสะท้อนภาพใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้ม โดยเฉพาะดวงตาคมคู่นั้นหวานกว่าที่เป็น มือหนาตบบ่าเพื่อนรักพูดด้วยน้ำเสียงเข้มจนคนฟังต้องกระพริบตาคิดตาม “กระจกมันไม่โกหกไม่เป็นหรอกเพื่อน!” *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * “ก้อง ๆ ๆ ทางนี้” “หวัดดีไอ้พู่ ทีหลังนะแก ถ้าจะนัดฉันยังไงก็กรุณานัดใกล้ๆ ที่ทำงานฉันหน่อยก็ดีโว้ย นี่ฉันต้องถ่อสังขารจากสุขุมวิทมารังสิตเชียวนะแก” ก้องภพหนุ่มร่างสันทัดผิวคล้ำเดินตรงมาที่พู่กันนั่งอยู่ ดูจากเสื้อผ้าที่ชายหนุ่มสวมใส่แล้วพอนึกเดาได้ว่าชายหนุ่มต้องเป็นช่างทาสี หรือไม่ก็ทำสีหกใส่เสื้ออย่างแน่นอน “เออ ๆ น่า เจอหน้าทีไรแกบ่นอย่างนี้ทุกทีสิ” พู่กันยิ้มและค้อนควักใส่เพื่อนชายอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “ก็เออนะสิ แกไม่มีตาหรือไงดูตามตัวฉันนี่มีแต่สี ใครจะเหมือนแกล่ะแม่พู่กัน หน้าฉะแล้มแก้มใสมาเชียว ไงกิจการเจริญขึ้นหรือเจริญลงหล่ะ แต่ฉันว่านะต้องขึ้นสิไม่งั้นหน้าแกไม่บานเหมือนจานสีอย่างนี้หรอก” “นี่น้อย ๆ หน่อยแก ฉันนัดแกมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ เอ..หรือว่า ...ฉันว่าไปหาเพื่อนคนอื่นมาช่วยงานที่ร้านแทนแกดี พักนี้รู้สึกเบื่อคนพูดมากจัง” ปากอิ่มพูดเรียบ ๆ ใช้นิ้วเคาะคางมนอย่างใช้ความคิดหนักต่างจากตาดำขลับเหลือบแลก้องภพระยิบระยับ “ก็แล้วแต่...เดี๋ยว...อีกทีสิตะกี้แกว่าไงวะ พูดอีกทีวะเพื่อน” “ของดีฉายรอบเดียว ว่าแต่ตอนนี้ฉันหิวมากเลย ฉันสั่งอาหารเผื่อแกแล้ว กินก่อนคุยแล้วกัน” “ย่อมด้ายยยย นี่ถ้าแกไม่ใช่เพื่อนตั้งแต่สมัยประถมนะ รับรองได้ว่า” “แกต้องลุกสะบัดตูดหมึกออกไปแล้ว...พอๆ ไม่ใช่เพราะฉันเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยประถมหรอกยะ แต่ที่ฉันสถาปนาให้แกเป็นเพื่อนรัก ก็เพราะแกดันมาเจอฉันตั้งแต่ประถม ยังไม่พอมัธยมอีกหกปี ฉันว่าน่าจะหนีแกพ้นแล้วเชียวที่ไหนได้แกดันสอบติดคณะเดียวกับฉันอีก นับรวม ๆ แล้วเราอยู่ร่วมกันมาก็สิบกว่าปีเลยนะ เพราะฉะนั้นมีอะไรบ้างที่ฉันยังไม่รู้แกก็รีบ ๆ บอกมาให้หมดเลยนะเว้ย เผื่อตอนที่แกตายฉันจะได้รีบจัดหาให้” “แกจะสแกนอะไรอีกฟระ ไส้กี่ขดของฉันแกก็ล้างท่อซะเกลี้ยง” เสียงจุ๊กจิ๊กบนโต๊ะเงียบไปพักใหญ่ อาหารที่พู่กันสั่งมาให้ตัวเองกับก้องภพคือ ข้าวหมูกรอบกับเกาเหลาหมูน้ำตกคนละชุด เป็นมื้อเหลาของทั้งคู่ ก้องภพนอกจากจะเป็นเพื่อนชายที่สนิทที่สุดของพู่กัน ชายหนุ่มยังเข้านอกออกในบ้านเหมือนเป็นลูกหลานคนหนึ่ง ชายหนุ่มแทนตัวเองว่าหนูเวลาพูดกับพ่อแม่ของเพื่อนรัก ก้องภพมองหน้าพู่กันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ รู้แต่ว่าเขาใช้ความอดทนในการรอให้หญิงสาวจัดการหมูกรอบชิ้นสุดท้ายตามด้วยดื่มน้ำในแก้วสิ้นสุดลง “ว่ามา แกมีอะไรจะคุยกับฉันไอ้พู่” “อิ่มจัง...” พู่กันเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ลูบท้องไปมา พลางเปรยแถเวลาออกไปเพื่อแกล้งก้องภพ ที่จ้องมองไม่วางตา “ตังค์ไม่ครบแน่ มื้อนี้แกเลี้ยง เพราะเงินเดือนฉันยังไม่ออกแถมแกโทรตามฉันมาเอง” “ไม่มีปํญหา” พู่กันลอยหน้าตอบ ความจริงเธอเข้าใจถึงปัญหาของเพื่อนรักดีว่ามีใช้พอชนเดือน ตามฐานะของมนุษย์เงินเดือน “คราวนี้บอกได้หรือยัง ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะนะโว้ยเป็นลูกจ้างเขาไม่ใช่เจ้าของร้านอย่างแกไอ้พู่” “ก็นี่ไง ที่เรียกว่าจะให้เป็นเจ้าของกิจการไง” “มันก็ดีอยู่....ห๋า! ......ตลกตายล่ะแก เอามีดมาแทงกันดีกว่า พูดแบบนี้” ก้องภพทำท่าตกใจ มองตาพราวระยิบของพู่กันแล้วทำท่าเหี่ยวเฉาเช่นเดิมพูดเหมือนปลงตก “ย่อมได้ ออกจากนี่เราไปร้านขายเครื่องครัวกัน ขอจิ้มพุงแกทีเดียวมิดเลย” “ไม่เอา เลิก... เลิกไร้สาระได้แล้วไอ้พู่ สรุปแกจะพูดดี ๆ หรือจะให้ฉันกลับไปทำงานที่เป็นสาระดีกว่าแก” “ฉันพูดจริง ตั้งใจฟังให้ดีนะ ข้าพเจ้า นางสาวกมลาวสี เรียกสั้นๆว่าพู่กันก็ได้เจ้าคะ มีความยินดีขอเชิญคุณก้องภพ เพื่อนสุดที่เลิฟของข้าพเจ้า มาเป็นหุ้นส่วนร้านพู่กัน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าคะ” “พู่... ไอ้พู่แกพูดดีจริงหรือวะ...ไม่ใช่กิจการแกแย่ถึงขั้นต้องหาผู้ร่วมทุนเชียวหรือวะไอ้พู่ฉันสงสารแกจริง ๆ ” ก้องภพยื่นมือตบไหล่บางเพื่อนรัก ทำน้ำเสียงเศร้าอย่างเห็นใจ “อ้าว ไหงพูดสุนัขไม่แดกงี้ล่ะไอ้หมาก้อง เสียฟิวหมด” “ฉันมีเงินเก็บอยู่บ้างนะพู่ ยังไงเย็นนี้ฉันจะเอามาให้ มันคงช่วยได้บ้าง โธ่ตอนเปิดฉันก็บอกแกแล้วว่าแกมีหัวศิลปะแต่หัวการค้าแกไม่มีระวังมันจะล้มไม่เป็นท่า” “ถูกของแก นี่ไอ้ก้องยื่นหน้ามาใกล้ๆฉันอีกนิดสิ” “ทำไม แกจะกระซิบขอบใจฉันเหรอ” “ใครบอก ฉันจะทำแบบนี้ไง นี่ นี่ เรื่องอะไรมาว่าธุรกิจฉันแย่ห๋า ไอ้ก้อง” “โอ้ย ๆ ๆ ไอ้พู่เขกกบาลฉันทำไม ฉันเป็นผู้ชายนะ มันที่สาธารณะ อายเค้ามั่ง” “หัวแกมันทู่ ว่าจะลับให้แหลมซะหน่อย” “ฉันไม่อยากทะเลาะกับแกแล้วพู่กัน แกนี่สมเป็นอาร์ทตัวแม่ ไหนว่ามา ที่แกจะให้ฉันเป็นหุ้นส่วน ถ้าไม่ใช่กิจการแกไม่แย่อย่างที่ฉันเข้าใจแล้วมันเพราะอะไร” “แกเคยได้ยินคำว่า... ฟ้ามีตา...ไหมก้อง” สีหน้าพู่กันเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ขอโทษครับไอ้คุณพู่ ตอนนี้ไม่ใช่รายการก่อนบ่ายคลายเครียด กระผมไม่ตลกนะครับ เมื่อไหร่แกจะเฉลยซะทีห๋า” “ฉันชนะเลิศประกวดภาพวาดประเภทบุคคลทั่วไปที่เมืองเมืองฟอเลนซ์” “หะ.. เมืองฟอเลนซ์ ชื่อคุ้นๆ ประเทศอะไรวะแก” “ประเทศอิตาลี!” *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * สาวไฮเปอร์หัวใจติส : ติสสอง
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * “ทางนี้พู่ หาอะไรกินก่อน เดี๋ยวออกไปแล้วอาจจะไม่มีเวลา” ตรีภพกวักมือเรียกพู่กันที่เดินลงบันไดจากชั้นบนลงมา “ยังไม่มีใครลงมาหรือคะ” พู่กันนั่งลงตรงโต๊ะเดียวกันกับพี่ตรีและเหลียวมองหาคนอื่นๆ ของชมรม “ลงมาบ้างแล้วโน่นไง กำลังตักอาหารกันอยู่ และก็ทยอยลงมาอีกก็มี” พู่กันมองตามมือที่ชี้ไปตรงมุมอาหารที่อยู่ไม่ห่างจากที่นั่ง โรงแรมที่มาพักเป็นโรงแรมไม่ได้หรูหราระดับห้าดาว ถ้าให้เกรดจริงๆนะจะอยู่ที่สองสามดาวเท่านั้น หากแต่เน้นเรื่องความสะอาดมากกว่าเพราะไม่มีกลิ่นอับชื้นและจัดวางสิ่งของได้อย่างเรียบร้อย ที่บริการอาหารลูกค้าที่เข้ามาพักจึงเป็นแบบเรียบง่ายมีทั้งอาหารตามสั่งและสำเร็จรูปที่ทำเสร็จแล้ววางเรียงรายให้เลือกชี้เอาว่าจะเอากี่อย่าง เรียกง่ายๆ ก็คือข้าวราดแกงนั่งเองเสียแต่ว่าอาหารยังอุ่นน่ารับประทานมิได้วางแบเอาไว้เหมือนตามข้างถนนหรือร้านค้าทั่วๆ ไป ท้องพู่กันเริ่มอุทรขึ้นมาบ้างแล้ว “งั้น พู่ไปสั่งอาหารก่อนนะคะ รู้สึกหิวเหมือนกัน” “ถูกต้องแล้วกองทัพต้องเดินด้วยท้อง พอไปถึงที่จริงๆ อาจจะไม่มีเวลาก็ได้แม้หิวก็ตาม” “เป็นไปตามนั้นคะ” หนุ่มใหญ่ส่ายหน้ากับคำพูดกวนๆมองตามพู่กันเดินไปที่ซุ้มอาหาร ร่างบางอยู่ในกางเกงยีนกับเสื้อยืดที่เพ้นท์เอง ระยะหลังมานี้พู่กันเพ้นท์เสื้อใส่เอง หญิงสาวคิดได้ว่ามันเป็นการตลาดที่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณา เพราะเธอเป็นฟรีเซนเตอร์เสียเอง และมันก็ขายได้เสียด้วยสิ สมาชิกชมรมลงมาจนครบ บ้างก็นั่งดื่มกาแฟบ้างก็ทานอาหาร แก้มใสเดินถือจานอาหารมานั่งข้างๆพู่กัน สองสาวนั่งทานอาหารเงียบๆ แก้มบุ๋มแยกตัวไปนั่งอีกโต๊ะ หางตาคอยชำเลืองมองดูแก้มใสที่นั่งโต๊ะเดียวกับพู่กัน ออกจะน้อยใจเหมือนกันที่น้องสาวไม่ติดตามตนเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆเธอเป็นฝ่ายปฏิเสธคำชวนของแก้มใสที่จะไปนั่งทานด้วยกัน ตรีภพเรียกประชุมก่อนออกเดินทางไปที่จุดประสบเหตุ แจ้งให้สมาชิกทราบขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือและคนในพื้นที่ที่ต้องติดต่อประสาน การแจกจ่ายของและการเตือนให้รู้ถึงอันตรายการลงพื้นที่ให้ทราบอย่างทั่วถึงกัน พี่หนูนาแจกป้ายชื่อชมรมสำหรับแขวนคอจะได้รู้ว่ามาจากหน่วยไหน สะดวกทั้งเจ้าหน้าที่และทีมอื่น ๆ อันเป็นเข้าใจร่วมกันว่ามาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย “คืนนี้คงแค่ไปดูก่อนว่าความเสียหายอยู่ในระดับไหน เราจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง อุปสรรคการลงพื้นที่คือมันเป็นตอนกลางคืนไม่สะดวก เราจะไปดูแล้วค่อยกลับมาวางแผนกัน ตอนนี้ขอแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มประสานงานก็จะเป็นพวกผู้หญิงกับกลุ่มผู้ชายที่จะลงพื้นที่กับเจ้าหน้าที่” เมื่อไปถึงศูนย์อำนวยการ ทีมประสานงานเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ โดยแจ้งวัตถุประสงค์ของชมรมที่เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ในเวลาเดียวกันพวกผู้ชายเข้าไปดูภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จากภาพถ่ายบ้างจากข้อมูลจากรายงานบ้า นำมาเป็นข้อมูลประกอบเพื่อหารือกันในกลุ่มต่อไป ทั้งหมดจึงกลับมาตั้งหลัก ใช้ห้องพักของพี่ตรีเป็นที่ประชุม “ที่คุยกันมาทั้งหมด ก็ตามนั้นนะใครมีคำถามอะไร ถามได้” “ของบริจาคที่พวกเรานำมาส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าและอาหารแห้งเท่านั้น ตอนนี้ถามถึงว่าอะไรสำคัญที่สุดน่าจะเป็นปากท้องของผู้ประสบภัย มากกว่าเครื่องนุ่งห่ม ดูเหมือนครั้งนี้เราจะช่วยเหลือได้ไม่เต็มที่นะสิคุณตรี” ลุงนาถเอ่ยขึ้นตามจริง “เป็นเช่นนั้นจริงๆครับลุงนาถ เพราะแพลนของพวกเราคือขึ้นเหนือ จึงเตรียมแต่พวกเครื่องนุ่งห่มกันเป็นหลัก ส่วนอาหารที่เตรียมไปก็จะเป็นอาหารแห้งให้ชาวบ้านเก็บไว้กินได้ แต่ใช่ว่าเราจะมาเสียเที่ยวนะครับ กลับไปนี่เราจะไประดมทุนเพื่อกลับมาช่วยเหลือชาวบ้านอีกครั้ง” “เพิ่มเติมอีกนิดนะคะ หนูนามีเพื่อนอยู่จังหวัดใกล้ๆนี้เอง พรุ่งนี้จะมาสมทบกับทีมเรา คิดว่าน่าจะมีอาหารมาเยอะเหมือนกัน อาจจะช่วยได้อีกแรง” พี่หนูนาพูดเสริมขึ้นมา ทุกคนพยักหน้ารับรู้ การประชุมเสร็จสิ้นต่างฝ่ายแยกย้ายกันไปพักผ่อน พู่กันเดินเข้าห้องก่อนใคร คว้าเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เพียงไม่นานหญิงสาวออกมาพร้อมกับความสดชื่นเตรียมตัวที่จะกระโดดขึ้นโซฟา ถ้าไม่ได้ยินเสียงของแก้มบุ๋มพูดขึ้นก่อน “พู่กัน เธอแน่ใจแล้วที่จะนอนตรงโซฟา” “แน่ใจสิ เธอสองพี่น้องจะได้สบายแบบไม่นอนเบียดกันไง” “ยังไงจะว่าพวกฉันสองคนเอาเปรียบเธอไม่ได้นะ” “ไม่คิดหรอก พู่สมัครใจที่จะนอนที่ตรงนี้ ไม่ว่ากันนะ ถ้าพู่จะขอนอนก่อน” พูดจบร่างบางที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีหม่นคอร่นตัวเก่งเอนตัวลงบนโซฟาเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ของตัวเองคลุมขาเอาไว้แล้วหันหลังให้ โดยไม่สนใจว่าคนที่คุยด้วยยังยืนอยู่ด้วยหรือเปล่า จึงไม่เห็นสายตาหมิ่นมุมปากแบะนิดๆของแก้มบุ๋ม.... ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับคนที่ชอบทำนิสัยแย่ๆใส่ พู่กันคิดแบบนี้ พอเอาเข้าจริงๆ ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา พู่กันต้องเข้าห้องน้ำคนสุดท้าย แก้มบุ๋มเข้าใช้ห้องน้ำเป็นคนแรกทำเหมือนเป็นของส่วนตัว กว่าจะกลับออกมาได้ใช้เวลาร่วมชั่วโมง แก้มใสขอเข้าต่อเพราะปวดท้องเข้าห้องน้ำแต่ก็ใช้เวลาไม่นานออกมาพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อนๆ อย่างเกรงใจ พู่กันต้องทำเวลาทุบสถิติในการอาบน้ำแต่งตัว แต่กระนั้นก็ยังลงมาช้ากว่าใครอีกตามเคยมีสายตาแปลกหลายคู่มองมาหนึ่งในจำนวนนั้นคือรอยยิ้มสะใจของแก้มบุ๋ม “ไอ้พู่นอนตื่นสายหรือไง” พี่หนูนาทักก่อนเมื่อเห็นรอยยิ้มขอโทษกราดเข้ามาในกลุ่ม พู่กันพยักหน้าไม่ได้ตอบประการใดเมื่อมากันครบแล้วต่างทยอยกันออกไปขึ้นรถ ขณะที่พู่กันจะกระโดดขึ้นท้ายรถแต่ถูกเรียกให้ขึ้นรถลุงนาถเสียก่อน หมดหนทางปฏิเสธเพราะพี่หนูนาดึงแขนให้ขึ้นรถโดยไม่ต้องรอให้มีการชวนรอบสอง หลังจากที่เข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว “มานี่พี่มีเรื่องถามเราหน่อย” “ถามเรื่องอะไรคะพี่หนูนา” “พู่กันถูกแก้มบุ๋มแกล้งรู้ตัวหรือเปล่า” “แกล้ง? แกล้งยังไง และทำไมคะ” “อ้าว ก็พอแก้มบุ๋มลงมา ชีก็เริ่มพูดประมาณว่าลงมาก่อนใคร พูดถึงพู่ว่ายังไม่ตื่นนอนมัวนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ ปลุกก็ไม่ตื่นซะงั้น” “อ้าว ไหงพูดหมาๆอย่างนี้ล่ะ พวกเราตื่นพร้อมๆกันนั่นแหละ แต่พู่ต้องอาบน้ำคนสุดท้าย ไอ้ที่ลงมาช้าก็เพราะเค้านั่นแหละเข้าห้องน้ำเป็นชั่วโมงเลย แก้มใสเองก็ต้องรีบอาบเพราะกลัวพู่ลงมาสาย ” พู่กันพูดอย่างเหลืออดกับพฤติกรรมน่าเกลียดของแก้มบุ๋มทำตัวเป็นต้นเหตุทำให้ตนลงมาสายแล้วยังเที่ยวโพนทนาในเรื่องไม่จริง เป็นครั้งแรกที่พี่หนูนาหันมองใบหน้าคมหวานอย่างพิจารณา ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “มีอะไรกันหรือเปล่า” “จะมีได้ไง ปกติก็ไม่ค่อยได้คุยกัน” พู่กันค้านด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ “ศรศิลป์ ไม่กินกันมั้ง” ลุงนาถเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ฟังทั้งสองคุยกัน ในขณะที่ตายังมองไปทางถนน พู่กันเงยหน้ามองลุงนาถทางกระจกพร้อมกับคิดตาม ภายในรถเงียบเสียงลง คำพูดลุงนาถยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของพู่กัน พี่หนูนาหันไปมองซีกหน้าด้านข้างของพู่กัน แม้ผิวพรรณไม่ได้ขาวหยวก แต่ก็ดูเนียนจนอยากสัมผัส คิ้วโก่งเรียวธรรมชาติ ของจริงแน่นอนเพราะไม่เห็นร่องรอยการตกแต่ง ขนตาหนายาวเป็นแพนั้นถ้าปัดมาสคาร่าเสียหน่อยคงจะงอนงาม จมูกโด่งไม่มากรับกับริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อธรรมชาติ ผิวหน้ารู้ได้ทันทีว่าเจ้าหล่อนทาแต่แป้งเด็ก นี่แหละมั้งเค้าเรียกว่าเด็กติส ดูเจ้าหล่อนแต่งตัวสิ เสื้อยืดสีชมพูเพ้นท์ตัวการ์ตูนด้านหน้าเสื้อเป็นหัวช้างด้านหลังเป็นตูดช้างมีหางซะด้วย กางเกงขายาวห้าส่วนรองเท้าผ้าใบเตรียมลุยเต็มที่ คิดกลับไปว่าถ้าแก้มบุ๋มกับพู่กันศรศิลป์ไม่กินกันก็น่าจะเป็นเพราะพู่กันสวยคมดูดีกว่าอาหมวยอย่างแก้มบุ๋มนั่นเอง *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚ ถุงยังชีพถูกรวบรวมนำมากองรวมกันต่อไปจะต้องมีการแบ่งสรรไปตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในถุงก็จะประกอบด้วย เครื่องอุปโภคบริโภค พู่กันรับอาสาเป็นคนประสานงานเธอนำเอกสารจากกองอำนวยการระบุถึงการให้ความช่วยเหลือไปถึงระดับไหน หมู่บ้านใดบ้างที่ได้รับความช่วยเหลือไปแล้วและจุดไหนที่ยังเข้าไปไม่ถึง ตรีภพเดินเรื่องขอเข้าไปดูพื้นที่จริงกับเจ้าหน้าที่เพื่อสำรวจความเสียหาย หาข้อมูลจะได้ให้ความช่วยเหลือในระดับต่อไป กลุ่มถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มสมาชิกชายออกไปกับเจ้าหน้าที่ทางเรือและรถบางส่วน ฝ่ายหญิงให้ดูแลเข้าของที่นำมาบริจาคและคอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยเบื้องต้น พี่หนูนากำลังโทรศัพท์แว่วดังมาเหมือนกับว่ากำลังบอกทางให้ใครทราบว่าตอนนี้สมาชิกชมรมเพื่อเพื่อนอยู่ตรงไหน “ตอนนี้ฉันอยู่ข้างในอาคาร ห่างจากกองอำนวยการมาด้านหลัง แก้วบอกคนขับให้เข้ามาในโรงเรียนประจำจังหวัดนะ รู้จักใช่ไหม เค้าตั้งเป็นศูนย์อำนวยการ แต่ฉันบอกทางไม่ถูกหรอกเพิ่งเคยมา เออ ๆ ๆ แล้วมาด้วยรถอะไรล่ะ อ๋อ ๆ ๆ เดี๋ยวจะให้น้องเค้ารอรับนะ” พู่กันกำลังแยกถุงยังชีพออกมากองไว้ตามพื้นที่ เพราะจะมีคนมารับเอาไป จำนวนสิ่งของที่รวบรวมมาก็ไม่น้อยแต่ก็เหมือนจะไม่มากเพียงพอแจกจ่ายอย่างทั่วถึง อีกมุมสองสาวพี่น้องแก้มบุ๋มกับแก้มใสกำลังเช็คจำนวนข้าวกล่องที่จะให้เจ้าหน้าที่นำไปแจกจ่าย หนูนาเดินดูน้องๆทำงาน เห็นว่างานที่พู่กันทำน่าจะเสร็จก่อนแก้มบุ๋มและแก้มใสจึงเดินเข้าไปสั่งการให้พู่กันออกไปรับทีมที่มาจากภูเก็ต “ไอ้พู่ ถ้าเสร็จแล้วเดินไปหน้ากองอำนวยการหน่อยนะ เพื่อนพี่ที่มาจากภูเก็ตกำลังจะมาถึง จะให้มาสมทบกันที่ตรงนี้แหละ” “คะพี่หนูนา แล้วเค้ามาด้วยรถอะไร พู่จะได้เข้าไปถามได้ถูกคัน” “รถตู้สีขาว” “แล้วเพื่อนพี่ชื่ออะไรล่ะ เดี๋ยวทักคนผิดขายหน้าแย่” “ชื่อเก็จแก้วจ๊ะ” ถุงสุดท้ายถูกวางเรียบร้อย พู่กันเดินออกไปหน้าศูนย์อำนวยการ แล้วเธอต้องอ้าปากค้างเพราะรถที่กำลังขับเข้ามาและที่จอดใหญ่เป็นรถตู้สีขาว หญิงสาวใช้ไหวพริบนิดหน่อยคือดูป้ายทะเบียนภูเก็ต ก่อนจะทำเสียงฮึมฮัมอยู่ในลำคอเพราะทะเบียนรถภูเก็ตมีมากกว่าหนึ่งคันนั่นเอง หญิงสาวยืนดูรถอย่างชั่งใจว่าควรจะเป็นคันไหน ข้างหน้ามีรถตู้กำลังวิ่งเข้ามาตรงมาที่เธอยืนอยู่บนฟุตบาท ป้ายทะเบียนรถภูเก็ต หลังคารถเต็มไปด้วยสัมภาระ หญิงสาวคิดในใจว่าน่าจะเป็นคันนี้แหละ พู่กันรอให้รถจอดสนิท คนในรถทยอยกันออกมา หญิงสาวมองหาเพื่อนพี่หนูนา คาดคะเนหน้าตาวัยน่าจะใกล้เคียงกัน แต่ยังไม่ทันจะทักทายพี่หนูนาก็ส่งเสียงมาแต่ไกล “กะแล้วไอ้พู่ ว่าแกต้องยืนงงเป็นไก่ตาแตกแหงๆ” “ก็ไม่เชิงคะ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าคันไหน ฟันธงว่าคันนี้แน่ๆ นั่นไงคะพวกเค้ากำลังลงจากรถพอดี” “ไหนดูซิ เออแกเก่ง นั่นไงเพื่อนพี่” พี่หนูนาบอกพู่กันพร้อมกับยกมือทักทายเพื่อนสาวทันที “แก้ว ๆ ทางนี้” ตามสายตาพู่กันแล้ว เพื่อนที่ชื่อแก้วของพี่หนูนา ท่าทางจะดูอ่อนวัยกว่าพี่หนูนาสองสามปี อาจจะเป็นเพราะทรงผมและการแต่งตัว “ไอ้พู่ไหว้พี่แก้วเพื่อนพี่สิ ..นี่พี่เก็จแก้ว” พีหนูนาสะกิดพู่กันให้ไหว้เพื่อนรัก “สวัสดีคะ” พู่กันยกมือไหว้เพื่อนพี่หนูนา เก็จแก้วยกมือไหว้ตอบส่งยิ้มตามด้วยถามชื่อตามมารยาทที่พึงมีต่อผู้น้อย “สวัสดีจ๊ะ ชื่อพู่หรือจ๊ะ” “เค้าชื่อพู่กัน นี่แหละอาร์ทตัวแม่เลยล่ะเธอ” พี่หนูนาเสริมอย่างยียวน ทำเอาพู่กันหัวเราะขำมากกว่าจะถือโกรธเพราะเธอรู้นิสัยพี่หนูนา “โหยยย พี่หนูนานินทากันให้ได้ยินเลยนะคะ” “ก็พู่กัน จบศิลปะมาไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่เรียกอาร์ทตัวแม่แล้วจะให้บอกว่าไงล่ะจ๊ะแม่ติสจ๋า” พี่หนูนาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เอื้อมมือจับสองแก้มใสของพู่กันเขย่าไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว “ไม่เอาล่ะคะพี่พาคุณแก้วไปที่หน่วยก่อนเหอะ ตรงนี้มันร้อน” พู่กันพูดพร้อมกับเช็ดป้อย ๆ ที่แก้มสองข้าง เธอไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะมันดูหวานไป แต่พี่หนูนามักจะแสดงความเอ็นดูต่อเธอแบบนี้เสมอทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ชอบก็ตาม “ดีเหมือนกัน ถ้าเอาของลงหมดแล้ว ยังงั้นพี่จะให้พวกผู้ชายมาช่วยขนของนะ เราไปคุยกันที่หน่วยดีกว่าเพื่อน” “พู่จะอยู่ตรงนี้ก่อนเผื่อพี่ๆเขามาจะได้รู้ว่าเป็นรถคันไหน” พู่กันเดินไปท้ายรถตู้หลังจากที่พี่หนูนากับเพื่อนๆเดินกลับไปที่หน่วย เห็นว่ากำลังทยอยขนของลงจากท้ายรถเกือบหมดแล้ว คนร่างสูงกำลังชโงกหน้าสำรวจดูว่ามีของหลงเหลือในรถหรือเปล่า จนแน่ใจว่าหมดแล้วจึงได้หมุนตัวหันกลับมา สิ่งที่ทำให้พู่กันตกใจเมื่อฝาท้ายรถตู้ปิดลงมากระแทกลงบนศีรษะที่ยังไม่พ้นรัศมี แม้เสียงไม่ดังมากแต่คงแรงไม่น้อยเพราะร่างสูงที่หันมานั้นซวนเซทีเดียว เพียงไม่นานมีของเหลียวไหลเป็นทางจากศีรษะของชายหนุ่ม “คุณ คุณคะ เจ็บมากไหม ขอโทษนะคะมานั่งตรงนี้ก่อน” พู่กันกระโดดเข้าไปหาร่างสูงอย่างรีบร้อนไม่ได้คิดอะไรมากกว่าความเป็นห่วงคนเจ็บยิ่งเห็นเลือดไหลอาบแก้มคมสัน จนลืมสังเกตว่าชายหนุ่มเอาแต่จ้องหน้าเธอเขม็งด้วยความประหลาดใจปนไม่แน่ใจแวบหนึ่งในแววตาสีน้ำตาลเข้มนั้น มือบางตวัดแขนคนเจ็บพยุงพามานั่งชิดเสา หญิงสาวล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงวางโป๊ะซับกดลงบนแผลที่มีเลือดไหลออกมา “คุณไหวไหม เอามือนี่กดผ้าบนบาดแผลไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันมา” พู่กันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ววิ่งไปที่กองอำนวยการที่อยู่ไม่ไกลเพื่อไปขออุปกรณ์ทำแผลโดยมีสายตาของชายหนุ่มตามไปเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวก็ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร คนเจ็บบอกให้คนที่เหลือเอาของบริจาคล่วงหน้าไปก่อน เพียงไม่กี่นาทีหญิงสาวกลับมาพร้อมเครื่องปฐมพยาบาล แววตาไหวยามมองมือที่กดบาดแผลอยู่ พู่กันลดกวาดสายตามองหน้าคนเจ็บแล้วมีความคิดแวบเข้ามาในสมอง ผู้ชายคนนี้หน้าตาหล่อเข้มทีเดียวล่ะ ยังดีนะที่ไม่ได้เป็นแผลที่หน้า แต่ถึงจะมี อาจจะต้องเย็บหลายเข็มมันคงไม่ทำให้ความหล่อลดลง เผลอๆจะเท่ห์อีกเป็นกอง พู่กันกระพริบตาอีกครั้งเรียกสมาธิตัวเองกลับมา เอ่ยกับคนเจ็บเบา อย่างอ่อนโยน “เออคุณนั่งพิงเสาก็ได้นะ หน้ามืดบ้างหรือเปล่า” “เปล่าครับ” เสียงทุ้มตอบมาโดยสายตายังมองใบหน้าพยาบาลจำเป็นไม่คลาดคลา “งั้นก็ดีแล้วเดี๋ยวฉันขอดูแผลคุณก่อนนะ เลือดยังไหลอยู่เลย ถ้าแผลใหญ่คุณก็ต้องไปหาหมอ แต่ถ้าไม่มากก็ต้องไปหาหมออยู่ดี อ้า...ยังไงดีล่ะ..คือฉันไม่ใช่หมอ” หลังจากที่บอกคนเจ็บน้ำเสียงเริ่มแผ่ว พู่กันรู้สึกถึงเหงื่อชื้นที่มือและแผ่นหลังของตัวเอง ทำไมหายใจติดขัด ใจสั่นตาพร่าพิกล เธอกำลังจะเป็นลม โอ้ยตาย...นี่เธอตื่นเต้นเห็นคนบาดเจ็บจนลืมไปว่าเธอเห็นเลือดที่ไหลเป็นทางยาวแบบนี้ไม่ได้ สติที่เหลือน้อยเต็มทีบอกตัวเองให้ทรุดนั่งแล้วเอนตัวพิงกับเสาต้นเดียวกันกับที่ชายหนุ่มพิงอยู่ ดวงหน้าซีดเผือดหลับตา พยายามหายใจลึกๆอาการคลื่นเหียรอาเจียรจะได้ทุเลา เขากำลังแปลกใจกับอาการของหญิงสาว มองตามร่างบางกำลังทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา เกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวกันแน่ ร่างหนาเอี้ยวตัวดูใบหน้าที่ซีดเผือดเปลือกตาปิดลงมีเหงื่อผุดขึ้นที่ตรงหน้าผากและไรผม ชายหนุ่มอุทานเบา ๆ “เป็นลมหรือนี่” คนเจ็บเปลี่ยนสถานะเป็นบุรุษพยาบาลทันที รีบประคองร่างพยาบาลจำเป็นนอนลงให้หนุนตักเขาเพื่อจะได้ปฐมพยาบาลได้ถนัด เขาเลิกสนใจบาดแผลตัวเองรื้อค้นสำลีและแอมโมเนีย หยดน้ำที่มีกลิ่นฉุนเพียงเล็กน้อยลงบนสำลี มือใหญ่กวัดไกวบริเวณจมูกเล็กๆ สายตาเข้มมองดูหน้ารูปไข่ซีดเผือด ดวงตาปิดสนิทขนตาหนาแผ่ขยาย คิ้วโก่งเรียวสวย จมูกโด่งเป็นสันพองาม ริมฝีปากอิ่มสวยซีดเซียว รู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ป้ายที่เธอแขวนเป็นของชมรมเพื่อเพื่อน ทีมอาสาที่พี่สาวของเขาเล่าประวัติให้ฟัง ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหน..... ที่ไหนกันนะ..... ชายหนุ่มครุ่นคิด เป็นเวลาเดียวกันพี่หนูนาเดินกลับมาดูพู่กันอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เห็นหายไปนานทั้งๆที่ของบริจาคขนไปที่หน่วยหมดแล้ว ครั้นพอเห็นร่างบางนอนราบศีรษะหนุนอยู่บนตักน้องชายของเพื่อนรู้สึกตกใจจนต้องทักด้วยเสียงอันดัง “อ้าวเฮ้ยไอ้พู่...พู่กัน..เป็นอะไรไป พู่กัน..อ้าวแล้วนั่นพรหมเป็นอะไรทำไมเลือดเต็มหน้าแบบนี้” เสียงคุ้นๆ แว่วอยู่ไกลลิบในโสตประสาทของพู่กัน สติเธอเริ่มคืนมาบ้างเพราะกลิ่นแอมโมเนียกวัดแกว่งส่งกลิ่นฉุนพัดผ่านปลายจมูกเธออยู่ไม่ห่าง สายตาคมเข้มจ้าจัดยามที่มองใบหน้าหญิงสาว หัวใจบีบตัวแรงเหมือนถูกกระชากให้ตื่นจากฝันเมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาวจากปากผู้มาใหม่ พู่กัน... ใช่เธอคนเมื่อวันก่อนหรือเปล่า ชื่อแบบนี้มันคงมีไม่มาก ถ้าเธอเป็นพี่พู่กันของอั๋น มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุดที่มาเจอหญิงสาวที่นี่ นั่นสิทำไมถึงได้คุ้นตาพยายามนึกว่าเคยเห็นที่ไหนยามที่เห็นหน้าเธอครั้งแรก “หวัดดีครับพี่หนูนา เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยฮะ ฝาท้ายรถตูปิดลงมากระแทกใส่หัวผม แล้วคุณคนนี้กำลังช่วยปฐมพยาบาลผมอยู่ดีๆ เกิดเป็นลมขึ้นมาฮะ” “โธ่....ไอ้พู่เอ้ย... สงสัยเป็นห่วงคนเจ็บ จนลืมไปว่าตัวเองกลัวเลือด เห็นเลือดไหลทะลักแบบนี้ทีไรมันเป็นลมทุกที” “อย่างนี้นี่เอง” เก็จพรหมครางอยู่ในลำคอแล้วกัมสำรวจดูดวงหน้าขาวซีดที่มีสีสันขึ้นมาบ้างแล้ว เปลือกตาขยุกขยิกเริ่มหรี่ขึ้นมองไปรอบๆ ตัว สายตาผ่านใบหน้าพี่หนูนาแล้วมองขึ้นสู่ที่สูง พู่กันกระพริบตางงๆสบตาเข้มที่มองก่อนหญิงสาวปิดตาลงอีกครั้งแล้วต้องลืมตาโพลงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังหนุนตักคนแปลกหน้าอยู่ หญิงสาวผลุดลุกขึ้นทำหน้างง สีหน้าเรื่อออกสีชมพูแทนที่ความซีดเผือดไปเสียสิ้น เสียงพี่หนูนาทำให้เธอใจชื้นรีบหันไปตามเสียงที่ได้ยิน “เดี๋ยว ๆ ไอ้พู่ใจเย็น ลุกนั่งเร็วๆ เดี๊ยวก็ได้เป็นลมอีกรอบหรอก” “ตายจริง พู่เป็นลมจริงๆ หรือคะ พู่ขอโทษคะ แทนที่จะช่วยคนเจ็บดันเป็นซะเอง” “เรานี่น๊า ลืมไปว่ากลัวเลือดล่ะสิ” “จริงด้วย พู่เห็นฝาท้ายรถตู้ ตกลงมากระแทกหัวคุณคนนี้ แล้ว เออ..เออ..คุณเป็นยังไงบ้างคะ ฉันไม่ได้เรื่องจริงๆ แทนที่จะช่วยกลับเป็นภาระให้อีก” พู่กันมองดูหน้าชายหนุ่มแต่ไม่พยายามมองขึ้นสูงไปมากกว่านั้นเพราะกลัวจะเป็นลมอีกหน คราบเลือดยังคงเกรอะกรังบนหน้าเข้ม ถึงตอนนี้เลือดได้หยุดไหลแล้ว บอกตัวเองว่ามันน่าอายอย่างมากที่เป็นลมต่อหน้าคนแปลกหน้าแถมเป็นคนเจ็บที่ควรดูแลแต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องมาดูแลเธอเสียนี่ เจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามาดูบาดแผลชายหนุ่มเบื้องต้นแล้วพาขึ้นรถไปโรงพยาบาลเพราะบาดแผลเปิดกว้างจำเป็นต้องเย็บปิดปากแผล พู่กันเดินตามพี่หนูนากลับหน่วย ร่างบางทรุดนั่งบนเก้าอี้ในใจยังโมโหตัวเองที่ไปนอนหนุนตักคนแปลกหน้า นี่ถ้าแม่รู้คงบ่นสามคืนสี่วันไม่จบชัวร์ ต่อไปต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ มันน่านัก พู่กันคิดก่นด่าตัวเองอยู่คนเดียว “พู่กันหิวหรือยัง แก้มใสเอาข้าวกลางวันมาให้ ทานเลยดีกว่ากำลังร้อน ๆ” ข้าวกล่องยื่นตรงหน้า กลิ่นอาหารโชยเข้าจมูก พู่กันเหลือบดูหน้าหวานของแก้มใสแล้วส่ายหน้าไปมา ยิ้มบางตอบแทนน้ำใจของเพื่อนสาว “แก้มใสทานก่อนเถอะ พู่ยังไม่หิวเหมือนเพิ่งกินไปอยู่เลย” “เหมือนกันเลย ว่าแต่พู่กันไม่สบายหรือเปล่าหน้าซีด ๆ” “เปล่า... ไม่ได้เป็นอะไร สบายดี พู่ว่าเราไปช่วยพี่ๆเขาแพคถุงยังชีพดีกว่า” พู่กันลุกหนีแก้มใสที่เข้ามาคุยอย่างสนิทสนม เดินเข้าหากลุ่มขณะกำลังช่วยกันแพคของบริจาคใส่ในถุงยังชีพเตรียมแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยต่อ เดิมของบริจาคที่นำมาจากภูเก็ตยังอยู่ในกล่องจำต้องแกะออกมาแล้วนำไปใส่ถุงมีทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคคละๆกัน “ไงหายหรือยัง” พี่หนูนากระซิบถาม หลังจากที่ร่างบางทรุดนั่งข้าง ๆ “หายแล้วคะ อย่าเอ็ดไปนะคะ พู่ขายหน้า” น้ำเสียงโทนเดียวกันกระซิบกลับมา “เออรู้น่า พี่ไปรู้มาอีกว่ารายนั้นเย็บตั้งสิบเข็มเชียว” พี่หนูนารายงานผลให้หญิงสาวทราบ “ถือว่าซวยไปคะ” น้ำเสียงเรียบจนคนชวนคุยมองหน้า แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ ไม่คิดจะพูดต่อเพราะดูท่าว่าคนข้างๆ ไม่อยากจะพูดถึงอีก ความที่เป็นศิษย์สถาบันเดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกันมานานพอจะรู้จักนิสัยใจคอของพู่กันเป็นอย่างดี หนูนาจึงหันไปคุยกับเก็จแก้วเรื่องการให้ความช่วยเหลือในวันถัดไป จากที่ได้ยินพู่กันคิดว่าทีมอาสาเพื่อเพื่อนน่าจะอยู่ในพื้นที่ประสบภัยประมาณ 3-4 วัน เสียงคุยกระหนุงกระหนิงระหว่างเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานไม่ได้ช่วยให้พู่กันรู้สึกดีไปด้วย อาการเซ็งเริ่มก่อตัวเมื่อต้องคอยตอบคำถามหรือฟังเสียงแก้มใสที่นั่งข้าง ๆ อยู่ตลอดเวลา แม้จะพยายามคิดไปในทางที่ดีว่าแก้มใสเป็นคนมีอัธยาศัยดี แต่เธออยากจะมีเวลาส่วนตัวจัดระเบียบความคิดของตัวเองบ้างไม่ใช่คอยปั้นหน้าเสแสร้งเออออห่อหมกกับท่าทางจี๋จ๋าของแก้มใส อาการนอยของพู่กันอยู่ในสายตาพี่หนูนาความจริงมันก็น่าเซ็งอยู่หรอกเพราะแก้มใสพูดเป็นต่อยหอยไม่เว้นช่วงให้คนฟังได้หายใจขนาดคนปกติยังรู้สึกรำคาญ แล้วอย่างไอ้พู่มีหรือหน้าจะไม่เหมือนกินบอระเพ็ด รุ่นพี่พู่กันแอบอมยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นพู่กันก้มหน้าแอบลอบถอนหายใจ...... *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚ ภาพปุยเมฆสีเทากำลังลอยไหลมารวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้า พู่กันเงยหน้ามองฟ้าพลางคิดอย่างหนักใจว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกห่าใหญ่แน่นอน ดูจากเมฆที่ลอยต่ำและกลิ่นฝนที่ใกล้เข้ามา ยังไม่ทันจะลุกไปไหนฝนก็เทกระหน่ำลงมาพร้อมกับลมพัดแรงทำให้เข้าของในอาคารปลิวว่อน หนึ่งในนั้นคือเอกสารที่อยู่ในตะกร้า พู่กันโผลุกขึ้นไล่ตะครุบกระดาษที่กำลังจะปลิวออกนอกอาคาร สายฟ้าแลบแปลบปลาบหยุดเท้าพู่กันชะงักงันนอกจากกลัวเลือดแล้วเธอยังกลัวสายฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องเป็นที่สุด “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยพู่ด้วย” พู่กันอุทานออกมาเบาๆแล้วทรุดนั่งตัวงอยกมือปิดหูหลับตาปี๋เมื่อเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องปล่อยให้สายฝนสาดใส่จนตัวเปียกโชก มีมือใหญ่ดึงร่างบางให้เข้ามาในอาคารก่อนที่จะเปียกฝนไปมากกว่านี้ “คุณ คุณเปียกหมดแล้ว” เสียงทุ้มทักเข้ามาในโสตประสาทในช่วงเวลาที่หวาดกลัว พู่กันเงยหน้ามองดูคนที่ดึงเธอเข้ามาในอาคารนายคนนี้อีกแล้ว เจอทีไรซวยทุกทีพู่กันคิดพลางเหลียวมองรอบตัวหาคนอื่นๆ ต่างกำลังวุ่นวายกับข้าวของที่ปลิวตามแรงลม ร่างบางลุกขึ้นโดยเร็วเพื่อไปช่วยอีกแรง กว่าจะเรียบร้อยเล่นเอาเหนื่อยกันแทบทุกคน “โอยยยย...แทบตายอะไรจะขนาดนั้นลมหนอลม” พี่หนูนาใช้มือทุบขาทุบน่องตัวเองให้หายเมื่อยปากไม่วายบ่นทั้งๆที่ยังหอบไม่หาย โดยมีพู่กันนั่งข้างๆตัว หางตาของคนอาบน้ำมาก่อนรู้ว่าหญิงสาวต้องการที่พึ่ง อาจเป็นเพราะวันนี้เธอเจอเรื่องแต่เรื่องแย่ ๆกับตัวเอง มืออันอบอุ่นตบบ่าลูบหลังสาวรุ่นน้องเรียกขวัญให้กลับมาไม่จำเป็นต้องมีคำพูดแต่สายตาที่มองสบกันนั้นก็เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ไม่วายกระเซ้าหญิงสาว “ไม่เป็นไรนะ วันนี้ไม่ใช่วันของแกว่ะพู่” “ฟังพูดเหมือนพู่เจอซะน่วมงั้นแหละ แต่จะพูดไปก็สนุกดีนะพี่ พู่ไม่ได้วิ่งออกกำลังกายแบบนี้นานแล้ว ตอนที่ไล่ตระครุบกระดาษเอย กล่องเอย มันเหมือนกำลังไล่จับหมาจับแมวเลย ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกเลยพี่” “สนุกของแกไปคนเดียวเหอะ ทีไอ้ตอนฟ้าแลบฟ้าร้องไมแกไม่วิ่งหนีฝนวะลงไปนั่งปล่อยให้ฝนสาดอยู่ได้ นี่ถ้าไม่ได้นายพรหมช่วยดึงมาคงได้ถูกฟ้าผ่าอยู่ตรงนั้นแหงๆๆ” “ก็อยากจะวิ่งอยู่หรอกแต่ขามันก้าวไม่ออก พู่กลัวฟ้าร้องฟ้าแลบนี่ ฝนฟ้าที่นี่น่ากลัวจัง” พู่กันทำหน้าสยองเมื่อพูดถึงเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปหยกๆ “นี่ ๆ ตะกี้นะ ฉันกำลังนึกว่ากำลังถ่ายทำ MV นางเอกกลัวฟ้าแลบฟ้าร้องให้พระเอกมาช่วยซะอีก” “ไหงพี่หนูนาพูดเข้ ๆ แบบนี้อะ พู่เสียหายนะ นายคนนั้นโผล่มาตอนไหนพู่ยังไม่รู้เลย” “เขาชื่อพรหม” “ไม่ได้ถามเลยยย พู่ขอไปดูเอกสารดีกว่า ไม่รู้ว่าเปียกเสียหายมากหรือเปล่า” พู่กันลุกขึ้นโดยไม่รอว่าพี่หนูนาจะกล่าวอะไรต่อไป ร่างบางเดินไปที่ตะกร้าเก็บเอกสาร หยิบมันติดมือไปนั่งตรงมุมห้องแล้วหันหลังให้กับทุกคน ทำงานคนเดียวเงียบ ๆ ชายหนุ่มคนที่พี่หนูนาพูดถึงกำลังมองแผ่นหลังบอบบางของพู่กันอยู่เงียบ ๆ ภายใต้แว่นดำ เขาปฏิเสธที่จะนอนพักอยู่ที่รูมสวีทที่พี่สาวเปิดไว้ให้กับโรงแรมดังห้าดาวในตัวเมืองสุราษฏร์ เพียงแค่อยากรู้จักว่าเธอเป็นใคร ด้วยนิสัยที่อยากได้อะไรก็ต้องได้จึงไม่อยากให้คาใจ บวกกับโชคชะตาพาให้เขามาเจอเธอที่นี่ ความจริงแล้วเขาไม่ควรจะมานั่งตรงนี้ในวันนี้ หากไม่ใช่เพื่อนนักธุรกิจจากสวิสที่มีกำหนดการนัดคุยเรื่องธุรกิจติดธุระด่วนขอเลื่อนเดินทางมาเมืองไทยออกไปเป็นอาทิตย์หน้า ทำให้ตารางเวลามีช่องว่างขึ้นมาทันที แค่ต้องการคั่นเวลาที่ว่างลงให้มีประโยชน์ดีกว่านั่งเฉยๆ ชายหนุ่มคิด ทั้งทนการชักชวนครั้งแล้วครั้งเล่าจากเก็จแก้วที่อยากให้เขาได้รู้จักการทำสาธารณะกุศลดูบ้าง *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚ “ไอ้พู่นี่ของชอบแกเลย เอ้ากินเข้าไปเยอะ ๆ ผอมเชียวแก” พี่หนูนานั่งใกล้พู่กันใช้ตะเกียบคีบหมูกรอบให้รุ่นน้องอย่างรู้ใจ เก็จพรหมมองหมูกรอบวางบนข้าวเหลือบดูใบหน้าเปื้อนยิ้มแทนขอบคุณแล้วยิ่งแน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันกับพี่พู่กันของอั๋น “พี่พู่ชอบข้าวหมูกรอบมาก มานั่งทีไรสั่งทุกที” “นี่ด้วยคะพู่กัน แก้มใสตักไข่เจียวให้ ดูสิปากแดงหมดแล้วทานอะไรคะถึงได้เผ็ดขนาดนี้” แก้มใส ตักไข่เจียวสีเหลืองกรอบน่าทานให้อีกคน ในขณะที่พู่กันหน้าแดงปากแดงจากความเผ็ดร้อนของน้ำพริกกุ้งเสียบ อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารรสชาดของคนใต้ใช้ได้ทีเดียวยกเว้นเรื่องความเผ็ดที่พู่กันแขยง เธอไม่ชอบของเผ็ดทุกชนิด ขนาดส้มตำเธอยังต้องบอกแม่ค้าใส่พริกเม็ดเดียว ในหมู่เพื่อนๆทุกคนจะรู้ใจด้วยการสั่งจานแยกให้เพื่อนสาวคนนี้ “น้ำพริกกุ้งเสียบอร่อยมากเลยเสียแต่ว่าเผ็ดไปหน่อย” เผ็ดไปหน่อยของพู่กันคือเหงื่อไหลข้างแก้มเนียน มือบางยกมือซับหน้าด้วยกระดาษเช็ดปาก ยกน้ำเปล่าตามเกือบหมดแก้ว หมูกรอบชิ้นน้อยเข้าปากแก้เผ็ดเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เก็จพรหมนั่งข้างเก็จมณีตรงข้ามกับพี่หนูนาและพู่กัน ดูเหมือนชายหนุ่มจะรับประทานอาหารเงียบ ๆ แต่ยังมีคนแอบเห็นชายหนุ่มคอยเหลือบดูหญิงสาวตรงหน้าบ่อย ๆ โดยที่เขาและคนถูกมองไม่รู้ตัว “อาหารมื้อนี้ต้องขอบคุณคุณแก้วนะครับที่มีน้ำใจพามาเลี้ยง อาหารถูกปากมากเลยครับ ดูสิฮะแต่ละคนข้าวเกลี้ยงจานเลย” พี่ตรีภพเป็นฝ่ายเอ่ยขอบคุณเจ้าภาพอาหารมื้ออร่อยแทนสมาชิกในกลุ่ม “แค่บอกว่าอาหารมื้อนี้ถูกปากคนพามาก็ปลื้มแล้วล่ะคะ ความจริงอาหารคนใต้รสจัดออกร้อนแรง แก้วก็ยังนึกกลัวทุกคนจะทานไม่ได้เหมือนกันนะคะ” “ก็คงจะมีแต่ไอ้พู่นี่แหละ ดูสิคะ ปากแก้มมันยังแดงอยู่เลย ใช่ไหมไอ้พู่” หน้าพู่กันร้อนขึ้นมาอีกเมื่อสายตาทุกคู่หันมามองตามคำบอกเล่าของพี่หนูนา ได้แต่ยิ้มเขิน ๆ ก้มหน้ามองจานข้าวของตน หนุ่มหน้าเข้มตรงหน้ามีโอกาสได้มองอย่างเต็มตา “เออ คุณพรหมเป็นไงบ้างครับ บาดแผลที่หัวครับ” ตรีภพถามอาการเจ็บของชายหนุ่มเมื่อเงยหน้ามองดูผ้าพันแผลบนศีรษะ “รู้สึกตึง ๆ นิดหน่อยครับ” “คุณน่าจะนอนพักนะคะ แก้มบุ๋มมียาแก้ปวดจะรับไหมคะ” แก้มบุ๋ม เอ่ยแทรกขึ้นมา แสดงความมีน้ำใจเอียงคอยิ้มให้เก็จพรหม สายตาหลายคู่มองฉงนกับความมีน้ำใจที่เพิ่งเคยเจอ “ขอบใจครับ แต่ไม่เป็นไรฮะ ทางโรงพยาบาลจัดมาให้แล้วนี่ไงฮะ” เก็จพรหมชูถุงยาของโรงพยาบาลส่งยิ้มเก๋ให้หญิงสาวที่นั่งติดกับเขา ก่อนจะตวัดสายตาไปที่คนนั่งตรงข้ามที่เอาแต่สนใจบางอย่างบนพื้นที่ของตัวเอง ดูท่าเจ้าหล่อนไม่ได้สนใจใครๆหรือการสนทนาบนโต๊ะอาหาร “นี่ไอ้พู่แกติดใจอะไรนักหนากับมือถือวะ เห็นจิ้มๆกดๆ อย่าบอกนะว่าแก BB อยู่” พี่หนูส่ายหน้าระอากับอาการติสจ๋าของพู่กัน เธอจะเข้าโหมดส่วนตัวได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่สนใจว่าใครจะพูดคุยหรือทำอะไรกันอยู่ “งานเข้าคะพี่ พู่กำลังรับงาน ขอโทษนะคะ เด่วพู่ออกไปโทรศัพท์นะคะ” พูดจบพู่กันลุกขึ้นเดินออกไปคุยนอกร้าน โดยมีสายตาของหนุ่มหน้าเข้มตามไปด้วย เขาอยากรู้ว่าพู่กัน BB กับใคร ที่ว่างานเข้านั้นมันคืออะไร พี่หนูนามองหน้าเก็จพรหมแล้วหัวเราะดังๆ ก่อนจะสาธยายคุณสมบัติเด่นของหญิงสาว “แบบนี้แหละคะ แม่พู่ติสจ๋าของพวกเรา” “เชื่อแกเลย” ตรีภพพูดเสริมพร้อมกับส่ายหน้าเอ็นดูนิสัยส่วนตัวของสมาชิกชมรม “ทำไมไม่คิดว่าเป็นการเสียมารยาทบ้าง เราควรตักเตือนเค้าให้รู่ว่า อยู่กับคนหมู่มากไม่ควรสร้างโลกส่วนตัว ทำตัวแบบนี้น่าเกลียด” แก้มบุ๋มพูดเมื่อเห็นทุกคนบนโต๊ะไม่ได้ตำหนิเมื่อพู่กันผละจากไปคุยเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะสายตาของหนุ่มหล่อที่นั่งข้างๆ เธอ “แก้มบุ๋มทำไมพูดแบบนั้น พู่กันเค้าก็บอกว่า งานเข้า ก็แปลว่ามีงาน ดีออกน่าจะดีใจกับพู่กันมากกว่าถึงจะถูก” แก้มใสพูดในเชิงบวกทำให้ทุกคนในที่นั้นพยักหน้าเห็นด้วย เพียงไม่นานคนเจ้าของเรื่องกลับมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยกเว้นแววตาที่เต้นระริกที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิด |
gymstek
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?] Friends Blog
Link |