All Blog
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสหก

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *









*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎

*.:。✿*゚¨゚✎ *✿* ติสหก D *.:。✿*゚¨゚✎






เก็จพรหมนิ่งงันมองสีหน้าอึดอัดของพู่กัน สายตาเข้มไต่ตามใบหน้ารูปไข่ที่ไร้การตกแต่ง ผิวเนียนเรียบน่าสัมผัส คิ้วเรียวเป็นระเบียบ ดวงตากลมโตประดับด้วยแพขนตาหนาเหมือนปีกผีเสื้อขยับยามกระพริบตาขึ้นลง จมูกขึ้นสันพองามรับกับริมฝีปากอิ่มสีชมพูเรื่อ ผมตรงยาวผูกขึ้นเป็นหางม้าอวดท้ายทอยได้รูป หน้าตาหญิงสาวไม่มีเค้าตรงไหนที่บ่งบอกมีลักษณะเป็นสาวหล่อให้ผู้หญิงด้วยกันหลงไหล หากจะมีก็คงจะเป็นบุคลิกที่แก่นแก้วในบางครั้ง ไม่ก็เป็นเพราะการแต่งตัวสบายๆสไตล์ติสสาวๆมักเห็นว่าเท่ห์ หรือคำพูดที่มั่นใจแต่ไม่ถึงกับโผงผาง... นึกอยากรู้ว่าตรงไหนนะที่แก้มใสเกิดปิ้งพู่กันเข้า

“หาเจอหรือยังคะ”
“ฮะ?” เก็จพรหมเลิกคิ้วงงกับคำถามของพู่กัน
“แล้วคุณมองหาอะไรบนหน้าฉันล่ะคะ” ตากลมโตจ้องมาฉายแววเอาเรื่อง
“มองหาเสน่ห์ของสาวหล่อ”
เก็จพรหมปั้นยิ้มพูดเสียงขลุกขลักในคอ พู่กันกลอกตา ทำสีหน้าปั้นยาก
“ถือเสียว่าฉันไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน”
พู่กันส่งตาคมวาววับก่อนเมินหน้าหนีรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม
“ผมขอโทษ ผมพูดเล่นแค่อยากให้คุณหายเครียด ก็เท่านั้นเอง”
เสียงทุ้มอ่อนลงเมื่อเห็นพู่กันทำหน้าเคือง
“เครียดกว่าเดิมสิไม่ว่า”
พู่กันควักตาคว่ำใส่เสียงรอดไรฟันพึมพัม

“ชิลชิลน่าพู่กัน อย่าซีเรียสสิฮะมันไม่ได้เลวร้ายอะไร ผมคิดว่าแก้มใสเค้าแค่ปลื้มคุณเท่านั้นเอง”
“ปลื้มฉันเนี่ยนะ” พู่กันยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง
“ใช่เธอคงเห็นคุณเป็นไอดอลของเค้า”
“ฉันไม่คิดแบบนั้นนะสิ ฉันรู้สึกเค้าคุกคามเวลาส่วนตัวมันกระเจิงไปหมดแล้ว”
“ยังไง”
“เค้าโทรหาฉันแทบทุกชั่วโมง ฉันทำงานไม่ได้”
“อ๋อ..คุณต้องรับทุกครั้ง”
เก็จพรหมเลียบเคียงถามโดยไม่ให้หญิงสาวรู้ตัว
“เปล่าใครจะรับได้ทุกครั้งไป น่าจะรู้ว่างานของฉันมันใช้อะไรเป็นสำคัญ”
พู่กันมองอาหารบนโต๊ะเป่าปากถอนหายใจระอากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ผมออกความคิดเห็นได้ใช่ไหม พู่กัน”

เก็จพรหมถามไม่อ้อมค้อม เผลอมองตามแพขนตาที่กระพริบขึ้นลงอย่างชื่นชม

“ได้สิคะ ฉันก็อยากจะรู้ว่าต้องทำยังไง”
“คุณต้องเชื่อผมด้วย”

คำร้องขอด้วยเสียงทุ้มแต่หนักแน่น สายตาเข้มจับดูกิริยาของคนที่ไม่รู้จะจัดการปัญหาอย่างไรดี

“ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย”

พู่กันเหลือบดูหน้าคมสัน ย่นจมูกรักษาฟอร์มเผลอตั้งคำถามแบบเด็กโง่ออกมา

“เพราะผมเป็นผู้ใหญ่กว่า อายุมากกว่า และมีประสบการณ์เยอะกว่าคุณนะสิ”

เพราะรู้ว่าต้องเจอคำถามที่ยียวน นายหัวหนุ่มเปิดยิ้มกว้างเพิ่มความเก๋เท่ห์บนใบหน้ามากขึ้น อธิบายว่าด้วยเหตุและผลดูน่าเชื่อถือให้คนตรงข้ามคล้อยตาม แววตาขันเปิดเผยทอดมองทำเอาใจของพู่กันแกว่งไกว สมองไม่ค่อยแล่นอีกแล้ว หัวคิ้วย่นเข้าหากันอย่างขัดใจ

“อืมม มันก็ถูกของคุณ แต่”
“ไม่มีแต่ได้ไหม คิดว่าผมเป็นเพื่อนเป็นพี่เหมือนที่คุณรู้สึกกับพี่หนูนา”

มิรอช้าที่จะเสนอความสัมพันธ์แบบบริสุทธิ์ใจ สายตาเข้มขรึมไร้แววกรุ่มกริ่มแต่ดูอ่อนโยนแทนที่ พู่กันแปลกใจกับท่าทีแสนใจดี สุภาพ และเหตุผลที่ฟังดูอบอุ่น หญิงสาวรีบแก้ไขคำพูดตัวเองเพื่อรักษาน้ำใจชายหนุ่ม เริ่มรู้ตัวว่าทำตัวเหมือนเด็กจนต้องให้คนตรงหน้าเตือนว่าสูงทั้งวัยและวุฒิภาวะกว่าเธอ

“ฉันหมายถึง..ฉันกำลังรู้สึกเกรงใจคุณ ทำไมคุณต้องมาเสียเวลาเรื่องงี่เง่าของฉันด้วย”

ตาดำขลับตกลงบนขอบโต๊ะโต้ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลง แน่หล่ะโอกาสมาแล้วมีหรือเก็จพรหมจะไม่รีบกระชับความสัมพันธ์แอบแฝงในความเป็นเพื่อน เสียงทุ้มชักชวนให้สาวใสหัวใจติสเห็นภาพตาม

“ก็เพราะว่าผมอยากเป็นเพื่อนกับพวกคุณทุกๆคนนะสิ ไม่งั้นผมจะสมัครเข้าชมรมอาสาเพื่อเพื่อนเหรอ ผมชื่นชอบและศรัทธาในอุดมการณ์ของชมรม พวกคุณเสียสละเวลาและมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าโดยไม่หวังผลตอบแทน ผมสัมผัสได้ถึงจิตใจบริสุทธิ์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่สำคัญผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ...พู่กัน”
“พูดซะยาวเลย..... เอาเป็นอันว่าคุณจะแนะนำอะไรฉัน”

ตาโตวาววับสบตาเข้ม มุมปากยิ้มน้อยๆ เธอรับไมตรีที่เพื่อนตัวโข่งหยิบยื่นให้ไม่เกี่ยงงอน เก็จพรหมมองหน้าพู่กันนิ่งค่อยๆแนะนำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“รับโทรศัพท์ทุกครั้งที่แก้มใสโทรมา”
“อ๊ายยยย ไม่ต้องทำงานกันพอดีนะสิ”

พู่กันค้านความคิดชายหนุ่มเสียงหลง สีหน้าเริ่มลังเลว่าควรเชื่อชายหนุ่มได้จริงหรือ

“เชื่อผมสิ ถ้าคุณรับสายเค้าจะโทรหาคุณน้อยลง”
ชายหนุ่มเฉลยและยืนยันคำแนะนำเดิม

“เพราะอะไรอะ”
“เพราะคนที่รู้สึกดีกับเราจะเป็นห่วงเสมอถ้าติดต่อเราไม่ได้นะสิ”
“แต่ถ้าเรารับสายเค้าก็จะโทรน้อยลง อย่างนั้นหรือคะ”
หญิงสาวลังเลและนึกคล้อยตามเหตุผลที่ฟังแล้วหวานเลี่ยนพิกล

“ถูกต้องฮะ มันเป็นตรรกะ”
เก็จพรหมพยักหน้า พูดเชิงวิทยาศาตร์เป็นเหตุเป็นผลให้หญิงสาวทราบ พู่กันพยักหน้ารับปากทำตามคำแนะนำ

“งั้นพู่จะเชื่อคุณพรหมคะ”

ภาพสองหนุ่มสาวนั่งคุยกันอย่างออกรสชาดนั้นอยู่ในสายตาของผู้จัดการจำเป็นทั้งคู่ตลอดเวลา ตอนที่ณารินกระซิบบอกความผิดปกติของน้องชาย แรกนั้นเก็จแก้วไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะเพิ่งคุยเรื่องอดีตคนรักของชายหนุ่มมาไม่นาน แต่มานึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยตอนที่พ่อน้องชายตัวดีอาสามาส่งแถมยังเซ้าซี้ให้เธอชวนพี่หนูนามาทำธุระด้วยทั้งๆที่ไม่จำเป็น

“พรหมพอลงจากเครื่องแล้วไปทำธุระให้คุณแม่เลยนะ จะได้รีบกลับภูเก็ตเที่ยวบินสุดท้ายก็ยังทัน”
“อ้าวมากรุงเทพฯทั้งทีนึกว่าจะถือโอกาสชอปปิ้งหรือไปหาพี่หนูนาเพื่อนพี่แก้วซะอีก”
“พี่มาทำธุระให้คุณแม่ไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยว”
“เอาน่าเวลาเหลือเฟือกลับพรุ่งนี้ก็ยังไม่เป็นไรหรอกฮะ แม่ไม่ว่าหรอก”
“พี่ไม่ได้กลัวแม่ว่าแต่งานพี่ยังมีให้ทำอีกเยอะ”
“งั้นเอางี้สิฮะ เพื่อประหยัดเวลาได้ทั้งงานและเจอเพื่อนด้วย พอเครื่องลงเสร็จเราก็ไปหาพี่หนูนาชวนไปทำธุระด้วยกัน แค่นี้พี่ก็เม้าท์กันเพลินระหว่างที่อยู่บนรถไงฮะ”
“อืมเป็นความคิดที่ดี ไม่รู้พี่หนูนาจะว่างหรือเปล่านี่นะสิ เรามาแบบไม่ได้นัดกันไว้ก่อน”
“พอลงจากเครื่องพี่แก้วก็โทรไปหาพี่หนูนาเลยสิฮะ”
“ก็ดีเหมือนกัน มาหนนี้ได้ทั้งงานและทั้งเจอเพื่อน”
“เห็นไหมล่ะมีผมมาเป็นเพื่อนไม่เสียหลายใช่ไหมครับ”
“นั่นสิอย่างน้อยพี่ก็ไม่นั่งหง่าวอยู่คนเดียวบนเครื่อง ดูสิมีแต่หัวเหลืองหัวแดงเต็มลำเลย”



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



พู่กันเดินหอบกระดาษร้อยปอนด์ 2-3 ม้วนมืออีกข้างถือกล่องเอนกประสงค์บรรจุสีน้ำจานสีและพู่กันเข้าบ้านด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ในใจคิดว่าคืนนี้ต้องทำงานที่ค้างให้เสร็จ เฉพาะวันนี้เธอจับงานได้ไม่มาก งานที่ตั้งใจว่าจะทำก็เหลวเป๋ว ไม่อยากทำแบบขอไปที เพราะมันหมายถึงคุณภาพของงาน จึงตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จชิ้นงานนี้ภายในค่ำคืนนี้ให้จงได้ จึงเงยขึ้นไปดูนาฬิกาที่แขวนบนผนัง คิดต่อว่าขอนอนงีบก่อนซักสองชั่วโมงแล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำงาน คืนนี้ไม่ต้องหลับต้องนอนกันล่ะ มัวแต่คิดจึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครอยู่ตรงนั้นเธอคงเดินผ่านเลยถ้าไม่มีเสียงทักทาย

“พู่กลับมาก็ดีแล้วไปล้างมือแล้วมาทานข้าวด้วยกัน”
“พู่ไม่ทานได้ไหมคะ คือพู่ง่วงอยากนอน”
“นอนหัวค่ำเลยหรือยายหนู ทานอะไรอุ่นๆรองท้องก่อนดีไหมจะได้หลับสบาย”
“ไม่ดีกว่าคะ พู่จะรีบนอนถ้าหิวพู่จัดการเองคะแม่”
“คืนนี้จะทำงานเหรอลูก”
“งานส่งลูกค้าไม่เดินเลยคะแม่ พู่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“กับข้าวนี่แม่เก็บไว้ให้นะ ถ้าหิวก็เปิดตู้เย็นแล้วกัน”
“คะแม่”

ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าเมื่อเห็นท่าทางกระปลกกระเปลี้ยของบุตรสาว นางชินเสียแล้วกับการตื่นขึ้นมากลางคืนทำงานจนถึงเช้าของพู่กัน เคยถามและได้คำตอบแสนจะธรรมดาแต่ฟังแล้วไม่เข้าใจ

“ทำไมต้องตื่นขึ้นมาทำงานตอนกลางคืน กว่าจะได้นอนอีกทีก็เช้าแล้ว”
“ไฟพู่มันติดตอนที่คนอื่นนอนฝันหวานคะแม่”

เพราะเป็นคนนอนง่ายพอหัวถึงหมอนระบบในร่างกายปิดสวิทตัวเองแทบจะทันที ก่อนนอนหญิงสาวตั้งระบบสั่นบนบีบีเพื่อไม่ให้กวนตัวเองขณะหลับ และค่อยโทรกลับไปตามสายมิสคอล เป็นอันรู้กันสำหรับบรรดาเพื่อนๆ แม้กระทั่งพี่หนูนาก็ชินกับพฤติกรรมติสจ๋าของหญิงสาว...........

เสียงนาฬิกาปลุกเวลาสามทุ่มเปะร่างบางลุกจากเตียงเดินเบลอๆเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่สดชื่นและลายพร้อยไปด้วยแป้งที่ปะเต็มหน้า พู่กันเดินไปหยิบเฟรมงานที่ทำค้าง ขึ้นขาตั้งไม้กับพื้น นำกระดาษร้อยปอนด์มากางทับภาพที่ทำค้างเดิม หญิงสาวจัดกระดาษเข้าที่เรียบร้อย หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนโตมาคลี่สะบัดก่อนจะผูกบนหัวได้รูปท่าทางขะมักเขม้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา นิ้วเรียวหยิบดินสอขึ้นมาแล้วหลับตาพริ้มพยายามบิ้วอารมณ์ตัวเองเหมือนที่เคยทำ หน้าสวยเชิดสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จรดปลายดินสอลงบนกระดาษแต่แล้วก็ต้องวางมือลงเพราะเสียงแปลกปลอมแทรกเข้ามา

“ครืด ครืด อืด ครูด”

ปากอิ่มทำเสียงจุ๊กจิ๊ก พยายามเงี่ยหูฟังที่มาของเสียงว่าอยู่ตรงไหน หญิงสาวก้มๆเงยหันข้างไปมาหาเสียงที่ยังดังอยู่

“เสียงอะไรวะ ดังครืด ๆ”

พู่กันเสียบดินสอทัดไว้ที่หู แปะกันข้างขอบเตียงนั่งนิ่งๆตะแคงหูฟังหาต้นตอของเสียงดังมาเป็นระยะ ตาคมวาววับส่องประกายความสงสัยแล้วหลับตานึกเทียบเสียงว่าควรเป็นอะไร ทันใดนั้นดวงตาเบิกโพลงผงะไปทั้งตัว ทำหน้าเลิกลั่กกระโดดขึ้นเตียงถดตัวไปชิดหัวเตียงสีหน้าไม่สู้ดี

“แง....อย่าบอกนะ สะเสียงที่ดังครืดนั่น..คะ..คือ ป๊อก ๆ ครืด...ไม่เอาน๊า..ไอ้พู่”

สาวติสจ๋าโกยผ้าห่มมาคลุมหัวโผล่หน้าออกมาเพียงเล็กน้อย ปากบางอิ่มแผดเสียงดังลั่นซึ่งความจริงแล้วมันเพียงแค่เล็ดลอดออกมาเบา ๆ เหงื่อซึมตรงขมับทั้งตกใจทั้งหวาดระแวง จนเสียงประหลาดเงียบไปพู่กันยังอยู่ในผ้าห่มต่ออีกหลายนาทีจนแน่ใจว่าไม่มีเสียงนั้น หญิงสาวค่อยแง้มผ้าห่มโผล่หน้าออกมา สอดส่ายตากลมโตบัดนี้วาววับไม่หลงเหลือความมั่นใจกลัวว่ายังจะมีหลอนอีกสักหน พู่กันค่อยๆคลานออกจากผ้าห่มตั้งใจเก็บงานไว้ก่อน ไม่ทงไม่ทำมันแล้วประสาทหลอนซะติสแตกกระจายวิ่งแนบคืนอาจารย์แบบนี้ใครจะมีกระจิตกระใจทำไหว หญิงสาวคิดขณะที่ก้าวลงจากเตียงด้านที่ติดกับโต๊ะสำหรับวางโป๊ะไฟมีเสียงครืด ๆ ดังขึ้น คราวนี้ดังชัดเจนจนขาที่หย่อนลงรีบหดขึ้นแทบไม่ทัน หญิงสาวหันไปตามเสียงโดยอัตโตมัติ แน่ล่ะคราวนี้เธอเห็นต้นตอของเสียงแปลกนั้นชัดเจนมันคือเจ้าบีบีตัวโปรดของเธอกำลังสั่นขยับตัวไปมาอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ร่างบางนิ่งงันมองมือถือเจ้ากรรมตัวต้นเหตุเกิดเสียงสยองตอนสามทุ่ม แล้วปล่อยเสียงหัวเราะขำตัวเองออกมาดังๆ

“โธ่ไอ้พู่ เสียงเจ้าบีบีนี่เอง”

นอกจากจะโล่งใจแล้วยังเกิดอาการโมโหคนโทรมาสุดๆ เพราะทำให้เธอหลุดแบบฉุดไม่อยู่ เรื่องกลัวผีไม่มีใครเกินพู่กันเพื่อนๆรู้กิติศัพท์นี้เป็นอย่างดี.... “ไอ้เจ้าเพื่อนคนไหนมันโทรมาแกล้งตรูฟระ”.... มือไวกว่าความคิดคว้าโทรศัพท์แล้วกดรับสาย หญิงสาวแผดเสียงใส่เจ้าบีบีทันที

“อะไรวะโทรมาอยู่ได้ มีธุระอะไรทำไมไม่รอตอนเช้านี่มันดึกแล้วนะหัดเกรงใจคนอื่นมั่งสิโว้ย”

ปลายสายเงียบงัน.......อึ้งกับเสียงแว๊ด ๆพ่นเข้ามาในหู ก่อนจะค่อยๆกรอกเสียงเบา ๆ

“ขะขอโทษพู่กัน ผมปลุกคุณตื่นหรือฮะ”
“ใคร? อย่ามาเก๊กเสียงหล่อเดี๋ยวแม่ด่าไม่ซ้ำเลย”

เสียงไม่คุ้นหูแต่ไม่ได้ช่วยให้พู่กันลดดีกรีความร้อนของอารมณ์เครียดลง

“ผมไง คุณจำไม่ได้เหรอ”
“เอ๊ะไอ้นี่ โรคจิตหรือไงฟระ ถามชื่อไม่บอก ผมน่ะใครแล้วโทรมาทำไมมีเรื่องด่วนหรือไงห๋า”

เมื่อไม่รู้จักบวกนิสัยไม่ชอบสุงสิงกับใครเป็นทุนเดิมก็ไม่คิดจะถนอมน้ำใจคนปลายสายพู่กันยังคงหลับตาด่าแหลกตามอารมณ์ศิลปิน

“ผมเก็จพรหมไง”

คราวนี้คนที่เงียบคือพู่กัน หญิงสาวรีบเอามือปิดปากตาพองโตเท่าไข่ดึงมือถือออกห่างดูเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นตามาก่อน แว่วเสียงของคนในสายพูดอะไรไม่รู้แต่เธอได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอแว่วมา รีบแนบโทรศัพท์กับหูอีกครั้ง

“คุณพรหม?” เสียงสูงไม่เชื่อหูขานตามมา
“ผมขอโทษที่รบกวน คือผมไม่คิดว่า...” เสียงทุ้มขอลุแก่โทษ
“ฉันจะนอนเร็วว่างั้นเหอะ”

แม่ติสจ๋ารู้ตัวว่าทำเสียมารยาทแว๊ดใส่ทำให้เสียงอ่อนลง แต่ยังไม่วายหงุดหงิดติดปลายนวม

“มันเพิ่งสามทุ่ม ผมคิดว่าคุณยังไม่หลับ”
“ฉันหลับและเพิ่งตื่น นี่ก็กำลังจะทำงานคุณโทรเข้ามาตอนที่ฉันกำลังประสาท เอ้ยไม่ใช่ฉันกำลังบิ้วอารมณ์อยู่นะสิ”

พู่กันยั้งปากไว้ทันไม่งั้นคงขายหน้ากว่านี้อีกอย่างแน่นอน ปากบางกัดชั่งใจว่าจะพูดอะไรต่อดี

“แล้วคุณรู้เบอร์ฉันได้ไงคุณพรหม”

แม้ว่าน้ำเสียงจะดีขึ้นแต่ไม่วายสงสัย ...คราวนี้คนที่โทรมาเงียบไปจนคนรอคำตอบขมวดคิ้วดึงมือถือออกมาดูหน้าปัดว่าสายตัดไปแล้วหรือยัง เมื่อเห็นตัวเลขรันเวลาเดินอยู่จึงเอาไปแนบหูดังเดิม

“คุณเคยโทรเข้าเครื่องผมก่อนหน้านี้....สงสัยคุณจำไม่ได้แล้วล่ะ ผมมีเบอร์คุณก็เลยโทรมาหา”
“นี่คุณยังเก็บไว้อยู่เหรอ ฉันนึกว่าคุณทิ้งเบอร์ฉันไปแล้วนะเนี่ย”
“ทำอย่างนั้นได้ไง”

ปากชายหนุ่มตอบ แต่ความคิดเลยเถิดถึงความจริงของที่มาได้เบอร์ของหญิงสาว “กว่าผมจะได้เบอร์คุณต้องดราม่าสุดชีวิตคุณรู้ไหมพู่กัน”

“คุณโทรมาหาฉันเรื่องอะไรคะ”

คำถามตรง ๆ คนที่จะต้องตอบนี่สิถึงกับอึ้ง สมองซีกที่ไม่เคยขยับมาหลายปีต้องทำงานอย่างเร็วจี๋ เขาคิดถึงเหตุการณ์ช่วงเที่ยงวันที่ผ่านมา

“ผมแค่อยากทราบความคืบหน้าว่ามันได้ผลไหม”
“ได้ผล? เรื่องอะไรเหรอคะ”

นอกจากลืมหญิงสาวยังงงกับคำพูดของเก็จพรหม “เรื่องไรฟระ” หญิงสาวคิดในใจ

“ก็เรื่องของแก้มใสไงฮะ”
เก็จพรหมส่ายหัวขำที่ต้องลุ้นตัวเองไม่ให้ตกขอบข่าว
“ที่คุณแนะนำมา ไม่ผิดเลยจริงๆคะคุณพรหม”

พู่กันตอบแบบชื่นชมชายหนุ่มด้วยใจจริง เพราะหลังจากที่รับสายของแก้มใสอีกครั้ง ดูเหมือนว่าแก้มใสจะโทรมาอีกแค่ครั้งเดียว ทำให้เธอได้งานขึ้นโครงงานไม่ต้องหงุดหงิดและพะวงกับเสียงโทรศัพท์

“ถ้าไม่ได้คุณพรหม งานนี้สงสัยประสาทพู่คงพิการเพราะเครียดจัดแน่ๆเลยคะ”
“ผมดีใจที่มันได้ผล แบบนี้ก็อารมณ์สร้างสรรค์ก็ลื่นทำงานได้แล้วเนอะ”
นายหัวหนุ่มเริ่มชวนคุยเพราะยังไม่อยากวางสาย

“แต่มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้”

พู่กันถอนหายใจรดมือถือเมื่อนึกถือคำพูดและพฤติกรรมของแก้มใสที่รับไม่ได้เอาเสียเลย ใครเลยจะคิดว่าแก้มใสจะชอบผู้หญิงด้วยกันแบบนี้ และทำไมต้องเป็นเธอที่แจ็กพ๊อตซะเอง

“อย่ากังวลไปเลย มันแก้ไขได้แต่ต้องใช้เวลาสักนิด เพราะมันเกี่ยวกับความรู้สึก”
“ยังไงคะ”
“มันเป็นรูปแบบของความรักไงครับ เพียงแต่ว่ามันอยู่ผิดที่ผิดคนเท่านั้นเอง”
“ฉันต้องต้องทำไงต่อไปดี”
“คุยแบบเปิดอกสิฮะว่าเราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเธอสิฮะ”
“แล้วอะไรจะตามมาล่ะ ถ้าพูดไปแล้ว” พู่กันเสียดายความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน
“มันก็อาจจะกระทบบ้าง แต่ถ้าไม่ทำปล่อยให้เธอคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าถึงตอนนั้นมันอาจจะเจ็บปวดกว่านี้”
“คุณพรหม พู่ลำบากใจจังถ้าพูดไปแล้วอาจจะต้องเสียเพื่อนนิสัยดีๆ ไป”

เสียงถอนหายใจทำเอาคนปลายสายอมยิ้มรู้สึกดีอย่างประหลาด นี่เขากลายเป็นที่ปรึกษาของพู่กันไปโดยปริยาย ต้องขอบใจความบังเอิญที่เขาได้รับรู้เรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะมีคู่แข่งแล้วก็ตาม

“อย่าคิดไปก่อนสิฮะ อาจจะเป็นผลดีก็ได้ถ้าแก้มใสรับฟังแล้วเข้าใจ คุณก็จะได้เพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นอีกคน”
“แล้วถ้ามันตรงข้ามล่ะคุณพรหม” หญิงสาวคิดเผื่อเหลือเผื่อขาด
“เราก็ค่อยหาวิธีอื่นต่อไปสิฮะ อย่ากังวลดีกว่าพู่กันทำใจให้สบาย ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามไม่ใช่การทำลายล้าง คนที่รู้สึกดีกับเราเป็นสิ่งที่น่ายินดีและควรจะขอบคุณเขาที่มอบความรู้สึกดีๆให้กับเรา เพียงแต่ว่ามันวางผิดคนไปหน่อยก็เท่านั้นเอง”
“อืมม มันก็จริงเนอะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะคุณพรหม พอได้ยินแบบนี้พู่รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ไม่ค่อยกังวลแล้วล่ะคะ”
“ดีครับ เอางี้สิถ้าไม่รังเกียจเรามาแลกพินกันดีไหม มีอะไรจะได้ส่งหากันได้”
“เอ๋....มันใช้ร่วมกันไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ ”
“ทำไมล่ะฮะ”
“ก็พู่ใช่ บีบี คุณใช้ไอโฟน มันคนละค่ายกันมันคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่ สองค่ายนี้เค้าจับมือกันแล้วหรือคะ”
“อะอ๋อ....เออ..คือตอนนี้ผมใช้บีบีแทนเครื่องเก่าน่ะครับ”
“นี่ฉันทำไอโฟนคุณเสียจริงๆ หรือคะคุณพรหม”
น้ำเสียงรู้สึกผิดมากมายเข้ามาตามสาย จนนายหัวหนุ่มรีบตอบกลับไป
“ไม่เสียเพียงแต่ก่อนหน้านี้มันรวนนิดหน่อย”
“เครื่องออกจะแพงรุ่นใหม่ถอดด้ามไม่ถึงสองเดือนไม่ใช่เหรอ คุณอย่าปิดฉันนะ”
“จริงๆ ครับคือผมตั้งใจจะเปลี่ยนพอดี ไอ้เจ้าเครื่องที่ผมใช้มันแฮงค์ๆ มีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว ความจริงยี่ห้อมันก็ดีแต่มันอาจจะเป็นหนึ่งในล้านเครื่องที่ผมโชคร้ายหยิบเจ้านี่พอดี ตอนนี้ผมส่งไปให้ศูนย์ซ่อมอยู่ ผมก็ต้องหาเครื่องมาใช้แทนชั่วคราว”
“แล้วไป..คุณอย่าพูดเพื่อให้ฉันไม่รู้สึกผิดนะคะคุณพรหม”
“ผมจะทำอย่างนั้นทำไมฮะพู่กัน ส่วนแลกพินนี่มันเป็นอีกทางหนึ่งที่เราสามารถติดต่อกันได้ เผื่อคุณหรือผมไม่สะดวกรับโทรศัพท์ระหว่างนั้นก็ยังพอปรึกษาเรื่องแก้มใสได้”

เก็จพรหมพลาดถนัดกับเหตุผลที่ให้ไป เพราะทำให้คิ้วเรียวขมวดรู้สึกไม่ชอบใจที่ได้ยินเหมือนเธอกำลังทำความลำบากให้ชายหนุ่ม

“นี่ก็ดึกแล้ว งานพู่ยังไม่ได้เริ่มเลย ขึ้นโครงไว้ตั้งแต่เที่ยงยังไปไม่ถึงไหนเลย แค่นี้ก่อนนะคะ สวัสดีคะคุณพรหม”
“พู่กัน เดี๋ยวก่อน...”

พู่กันตัดสายทิ้งแล้วนั่งมองมือถือด้วยความรู้สึกแปลกๆ ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร ตากลมโตเลื่อนมาจับจ้องรูปที่ใช้เป็นข้ออ้าง มันก็จริงนั่นแหละเธอไม่ได้ปดซักหน่อย มันรอเธอไปเติมเต็มให้เสร็จเมื่อคิดได้ดังนั้นพู่กันพยักหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ จับดินสอขึ้นมาจดๆจ้องๆที่จะลงเส้นต่อแต่ขุนอารมณ์ไม่ขึ้นในที่สุดจำต้องวางดินสอลงข้างมือถือ เสียงครืดๆ ดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้เธอรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่มองไม่เห็นแต่มีคนโทรเข้ามา สีหน้าบ่งบอกลำบากใจเพราะเบอร์ที่ปรากฏเธอเพิ่งตัดสายไปไม่กี่นาทีมานี้เอง

“จะโทรมาทำไมอีกนะ”

พู่กันมองโทรศัพท์ยังสั่นไม่หยุดอยู่บนโต๊ะ ใจหนึ่งไม่อยากรับแต่อีกใจหนึ่งก็ยังคิดว่ามันน่าเกลียดเพราะเก็จพรหมเป็นผู้ใหญ่กว่าซ้ำยังเป็นคนที่ช่วยเหลือทำให้เธอหมดกังวลเรื่องของแก้มใส ถ้าไม่รับคงจะไม่เหมาะเพราะเป็นเด็กให้ผู้ใหญ่รอ พู่กันให้เหตุผลตัวเองก่อนจะเอื้อมมือไปกดรับสายของชายหนุ่ม

“คุณโกรธผมหรือพู่กัน”

น้ำเสียงกังวลผ่านเข้ามาจนนึกอยากเห็นหน้าคนพูดว่ามันเป็นแบบไหน แต่หาเหตุผลตอบชายหนุ่มไม่ได้ต้องทวนเสียงสูงกลับไปด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“คะ?”
“ก็คุณตัดสายทั้งๆที่เรายังคุยกันไม่จบ”
“เปล่านะคะ พู่บอกคุณพรหมก่อนที่จะตัดสายว่าพู่มีงานค้างต้องทำต่อ คุณพรหมอาจจะไม่ได้ยิน”

พู่กันแย้งกลับโดยเร็ว หากแต่ใจกลับถามตัวเองว่า “แล้วจะแคร์อะไรวะไอ้พู่ถ้าเค้าอยากจะคิดแบบนั้น”

“ได้ยินแต่นึกว่าคุณคงโกรธที่ผมขอแลกพิน แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่โกรธก็โอเค เอาไว้แค่นี้ก่อนผมไม่กวนคุณแล้ว พู่จะได้ทำงาน ยังไงก็อย่านอนดึกนะครับ สุขภาพจะแย่เอา กู๊ดไนท์ครับ”

เสียงทุ้มนุ่มพูดเหมือนแคร์และเป็นห่วงทำให้พู่กันนึกด่าตัวเองที่คิดมากไป จึงตัดสินใจบอกหมายเลขพินให้กับชายหนุ่มด้วยความเต็มใจ

“เออ..คุณพรหมพินของพู่นะคะ.........”


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



Create Date : 19 กันยายน 2554
Last Update : 19 กันยายน 2554 21:55:11 น.
Counter : 588 Pageviews.

5 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสซ่าส์(ห้า)

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *








*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *

*.:。✿*゚¨゚✎ *✿*ติสซ่าส์ (ห้า)D *.:。✿*゚¨゚✎ *




“พี่พู่....พี่พู่คร๊าบบบ หมูกรอบมาแล้วฮะ”
“เข้ามาหลังร้านเลยอั๋น”

เสียงขานรับออกมาจากข้างใน จัดเป็นมุมส่วนตัวโดยเอาภาพวาดชิ้นใหญ่นำมาเป็นฉากกั้นด้านหลังเป็นชั้นวางอุปกรณ์วาดภาพ กระดาษร้อยปอนด์ม้วนกลม เฟรมผืนผ้า ขวดสีหลากสีทุกประเภท จานสี และพู่กันแต่ละขนาดบรรจุลงกล่อง ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ มีขาตั้งไม้พิงไว้ข้างผนังที่เต็มไปด้วยการเพ้นท์และพ่นเป็นภาพกราฟฟิตี้ด้วยสีสันสดใส หญิงสาวเรียกมันว่ามุมฟักอารมณ์หรือให้หรูว่าติสรูม

อั๋นเดินถือจานหมูกรอบกับข้าวเปล่าเดินเข้ามา เห็นพี่พู่กันที่กำลังนั่งยองตอกตะปูลงด้านหลังแผ่นเฟรม หญิงสาวเงยหน้ายิงเขี้ยวที่มุมปากให้เด็กชายแล้วก้มหน้าตอกตะปูต่อ

“แม่ให้เอาหมูกรอบมาให้ฮะ”
“วางไว้บนโต๊ะได้เลยจ๊ะ ขอบใจนะอั๋น ไม่ไปโรงเรียนหรือเราวันนี้”
“วันนี้วันเสาร์ฮะ โรงเรียนหยุด”
“เออจริงด้วย ทำงานจนลืมวันเลยพี่ อั๋นรอพี่แป๊บนะจะไปหยิบตังค์ให้ ขอตอกเจ้านี่ให้เสร็จก่อน”

พู่กันเงยหน้าจากพื้นบอกให้เด็กชายรอ แววตาเก้อเมื่อรู้ว่าหลงลืมวันแม้กระทั่งวันหยุด อั๋นนั่งยองๆข้างพี่คนสวยปากถามชวนคุยมากกว่าอยากรู้เพราะขนมกองบนโต๊ะอาหารยั่วน้ำลายไม่น้อย

“พี่พู่ตอกทำไมฮะ”
“พี่ติดตะขอ คนที่ซื้อรูปไปเค้าจะได้แขวนบนผนังไงล่ะจ๊ะ”
“เหมือนรูปในร้านนี้ใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้วจ๊ะ อะเสร็จแล้วขอล้างมือก่อนนะจ๊ะ อั๋นกินหนมไหมจ๊ะกองเต็มโต๊ะเลย ทานสิ”
“กินได้หรือฮะ”
“ได้ซี้ ของฟรีจ๊ะไม่คิดตังค์”

รอยยิ้มของพี่พู่ทำให้อั๋นกล้าพอที่จะเอื้อมมือไปหยิบขนมเข้าปาก เด็กชายไม่ค่อยกล้าเข้ามาข้องแวะพี่สาวคนสวยเพราะมารดาห้ามไว้ว่าอย่าไปสร้างความรำคาญกับเพื่อนบ้าน เดี๋ยวร้านแม่จะเสียลูกค้า พู่กันยื่นแบงก์ร้อยให้อั๋นเด็กน้อยยัดมือล้วงกระเป๋าควานหาเงินทอน

“ไม่ต้องจ๊ะ ที่เหลือทิปจ๊ะ”
“ขอบคุณครับพี่พู่ ขนมอร่อยจังฮะ พี่ซื้อที่ไหนเหรอขนมแบบนี้”

มือสองข้างยกมือไหว้ในปากคาบขนมไว้อย่างเสียดาย จิตรกรสาวกลั้นขำอาการติดขนมเหมือนตัวเองไม่มีผิดเวลาที่ของโปรดออกจากเตาร้อน ๆ

“อร่อยก็กินให้หมดนะจ๊ะ ขนมที่บ้านพี่เอง”
“บ้านพี่พู่ทำขนมขายหรือฮะ”
“จ๊ะ อร่อยก็กินเยอะ ๆ”
“อั๋นเอาติดมือกลับไปได้ไหมครับพี่พู่ ต้องกลับไปเสริฟอาหารช่วยแม่ฮะ”
“ได้เลยจ๊ะ เดี๋ยวพี่หยิบใส่ถุงให้นะ วันไหนว่างก็มาทานได้เลยจ๊ะ”
“คงไม่ได้ฮะ”
อั๋นปฏิเสธเสียงค่อยก้มหน้าดูขนมอย่างอาวรณ์

“อ้าวทำไมล่ะ”
“แม่ห้ามไม่ให้ยุ่ง เดี๋ยวพี่พู่รำคาญ”
“รำคาญ? รำคาญยังไงอะ”
“แม่บอกว่าถ้าทำให้พี่พู่รำคาญ ต่อไปก็จะไม่ไปทานข้าวที่ร้านแม่ฮะ”
“โธ่เอ้ยอั๋น ต่อไปถ้าอยากมาหาพี่ก็เข้ามาได้ตลอดนะ ลืมบอกไปพี่นิสัยนางงาม”

พู่กันวางมือบนบ่าบาง กลั้นหัวเราะพูดติดตลกเมื่อเห็นเด็กชายทำหน้าเหรอหราไม่เข้าใจความหมาย

“แล้วนางงามนิสัยยังไงหรือฮะพี่พู่”
“ก้อ..รักเด็ก..แบบนี้ไง ดิฉันรักเด็กทุกๆ คนคะ”

อั๋นหัวเราะจนตาหยีทั้งๆที่ขนมยังเต็มปาก กับท่าเชิดหน้าผายมือไปมาของพี่พู่ รู้สึกดีเมื่อมือนุ่มเอื้อมมาจับแก้มตุ่ยของตนเบา ๆ ทำให้กล้าที่จะพูดกับพี่สาวคนสวยมากขึ้น

“ขอบคุณครับ พี่พู่นอกจากสวยแล้วใจดีด้วย”
“จริงเหรอจ๊ะ แบบนี้ต้องมาบ่อย ๆนะ ปากหวานจริง ๆ นะเรา”

พู่กันส่ายหน้าเอ็นดูกับความช่างพูดของเด็กชายที่หิ้วถุงขนมออกจากร้านไปอย่างรีบเร่ง เด็กวัยนี้ควรจะได้ทำอะไรตามประสาแต่อั๋นทิ้งช่วงเวลานั้นมาเสริฟอาหารช่วยมารดาแทน หลายครั้งที่เห็นเด็กชายแอบมองดูเธอเหมือนอยากเข้ามาทักทายแต่ไม่กล้า อาจเป็นเพราะเป็นคำสั่งของมารดาที่ไม่ต้องการให้เข้ามายุ่มย่ามเพราะเกรงว่าเธอจะรำคาญและต่อไปอาจจะไม่แวะเวียนไปอุดหนุนอาหารที่ร้านตามที่บอกเล่าซื่อๆของอั๋นนั่นเอง



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


ที่ห้องประชุม...

“สรุปแล้วโรงแรมของเราทั้งสามแห่งจะไปออกงานโร้ดโชว์ที่เมืองฟอร์เลนซ์นะครับ อันที่จริงหน้า High Season โซนยุโรปเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่เข้าพักอยู่แล้ว แต่ถ้ากระตุ้นให้มาได้ตลอดปีถ้าสำเร็จจะเป็นผลดีกับโรงแรมเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องจะไปยังไงใครจะไปอะไรต่างๆ ประสานมากับพี่เก็จแก้วได้เลย ผมฝากเรื่องการนำเสนอขอให้ประชาสัมพันธ์เต็มที่นะครับ พิมพรรณคุณช่วยส่งสรุปผลการประชุมให้ผมและทุกคนด้วยภายในวันนี้”
“คะนาย”

ร่างสูงเตรียมลุกขึ้นหากแต่เก็จแก้วแตะแขนน้องชายไว้ให้นั่งคุยก่อน หลังจากทุกคนออกจากห้องไปแล้ว จึงเอ่ยถามเรื่องของรางวัลที่ต้องเตรียมให้สำหรับผู้ชนะเลิศในโครงการนี้

“พรหมคิดไว้หรือยังว่าจะให้อะไรเป็นของรางวัลผู้ชนะเลิศประกวดวาดภาพ”
“ให้พักห้องที่ดีที่สุดไปเลยสิฮะ เราอาจจะต้องใช้เค้าในอนาคต”
“บอกมาแล้วกันว่าจะใช้ห้องไหน แล้วนี่พรหมจะไปทริปเดียวกับพี่ใช่ไหม”
เก็จแก้วเหลือบดูน้องชายก่อนถาม

“คงตามไปทีหลังฮะ”
“อ้าวนึกว่าจะไปด้วยกัน ทำไมล่ะ”
เก็จแก้วมองหน้าน้องชาย หรี่ตาอย่างสงสัย

“ก็อยากไปพร้อมเหมือนกัน ถ้าไม่เผอิญนัดกับเพื่อนที่มาจากสวิสไว้ก่อนแล้ว เค้าจะมา Inspection โรงแรมของเราพอดี”

เก็จพรหมตอบตามจริง เพราะมาร์กเลื่อนเดินทางสองหนนับจากครั้งที่ไปช่วยภัยน้ำท่วมที่สุราษฏร์ธานี

“แล้วไป ไม่ใช่เป็นเพราะว่าแม่จุมพิตามาภูเก็ตหรอกนะ”

เก็จแก้วพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา มองหน้าน้องชายตัวดีเขม็ง แต่ไม่เห็นสีหน้าที่ผิดปกติแต่อย่างใด

“พี่แก้วทราบ? พี่แก้วเจอจูนที่ไหนเหรอฮะ”
“เจอบังเอิญที่ร้านอาหาร แต่เค้าไม่เห็นพี่หรอก ถามแบบนี้แปลว่าเจอกันแล้ว”
น้ำเสียงฟังดูราบเรียบ แต่แววตาจับผิดเต็มที่ ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับตามจริง

“จูนแวะมาหาผมที่นี่เมื่อวันก่อนฮะ”
“นั่นนะสิ ฉันสังหรณ์ใจอะไรไม่ค่อยผิด ยังนึกอยู่ว่าถ้าพรหมจะไม่ไปฟอร์เลนซ์ก็คงเพราะแม่นี่”
“โธ่พี่แก้ว ผมแยกแยะออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่ไม่ไปพร้อมพี่เพราะมาร์กอุตส่าห์บินมาจากสวิสจริงๆ เลื่อนนัดกันหลายหนแล้วผมไม่อยากเลื่อนเกรงใจเพื่อนคนในธุรกิจเดียวกันยังไงงานมาก่อนอยู่แล้วฮะ”
“งั้นพี่ทำเรื่องขอวีซ่าพร้อมๆ กันเลยนะ”

เก็จแก้วมัดมือชกน้องชาย เธอไม่อยากให้เขาไปข้องแวะกับอดีตคนเคยรักเพราะหญิงสาวมีครอบครัวไปแล้ว

“ครับ”
“แต่งงานแต่งการไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะมาหาอีกทำไม แล้วนี่คนที่บ้านไม่รู้หรือไงปล่อยออกมาหาแฟนเก่าอยู่ได้”

น้ำเสียงไม่วายตำหนิความประพฤติของอีกฝ่ายและตอกย้ำให้ทราบถึงสถานภาพของหญิงสาว

“จูนก็แค่แวะมาเยี่ยมเท่านั้นเองไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆฮะ” เก็จพรหมแก้ตัวแทนหญิงสาว
“ขอให้เป็นแบบนั้นจริงๆเหอะ พี่ไม่ได้จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวพรหมหรอกนะแต่ก็ไม่นึกชอบใจถ้าคนในครอบครัวพี่ไปผิดศีลข้อที่สามเข้า”
“ไปกันใหญ่แล้วพี่แก้ว ผมกับจูนเราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นจริงๆ”
“พี่กลัวถ่านไฟเก่ามันไม่ราเชื้อนะสิ”

ดูท่าพี่สาวยังฝังใจไม่เลิกกับอดีตของเขา เก็จพรหมตัดบทเสียงขรึมด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีแววขี้เล่นหลงเหลือ

“เอาเป็นอันว่าผมไม่ทำให้พี่แก้วผิดหวังในตัวน้องชายคนนี้แน่นอน ”
“ถ้าแม่นั่นไม่หยุดล่ะ พรหมจะจัดการยังไง ทำตัวพิลึกเหลือเกินเฮ้อ”

เก็จแก้วอดแดกดันไปถึงเพื่อนสาวของน้องชายไม่ได้ สายตาจับจ้องใบหน้าที่หล่อเข้มอย่างห่วงใย เพราะไม่เห็นน้องชายปลูกต้นรักกับใครอีกเลย ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มยังไม่ลืมรักครั้งเก่า แล้วจะไม่ให้คิดมากได้อย่างไร ยิ่งเคยรักกันแค่ไหนทั้งสองเกือบจะได้แต่งงานกันอยู่รอมมะร่อ ยังจำได้ตอนที่น้องชายอกหักยับเยินที่บ้านไม่เคยเห็นชายหนุ่มโวยวายทำร้ายตัวเอง เขาเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวทำแต่งานอยู่คนเดียวเงียบ ๆมันช่างน่ากลัวและเป็นห่วงจนอยากให้ระบายออกมา เธอไม่เคยเห็นสายตาไหวระริกนับแต่นั้นเลย

“ขอแค่เชื่อมั่นในตัวผมก็พอ”
“แน่นอนจ๊ะน้องรัก ... เกือบลืมไปเลย พรุ่งนี้พี่จะขึ้นกรุงเทพไปทำธุระให้คุณแม่ วันก่อนพรหมไปมาแล้ว เลยอยากจะถามว่าร้านมันอยู่ตรงไหนของสาทร”

เรื่องที่เก็จแก้วถามทำให้เก็จพรหมเงยหน้าขึ้นทันที สายตาที่เก็จแก้วคิดว่ามันตายไปแล้วแวบเข้ามาในดวงตาคมกล้า ก่อนที่เจ้าตัวซุกซ่อนมันลงบนมือถือเครื่องใหม่



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎


เสียงมือถือดังติดๆ กันหลายครั้งแต่ดูเหมือนเจ้าของไม่มีกะจิตกะใจจะรับเอาแต่นั่งมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เสียงถอนหายใจติดๆกันหลายครั้ง เรียกคนที่บรรจงวาดรูปเงียบๆ เงยหน้าขึ้นมองดูหน้ามู่ทู่ของพู่กัน

“เป็นอะไรวะพู่ ทำไมแกไม่รับสายปล่อยให้ดังอยู่ได้”
“ก็ฉันไม่อยากรับนี่”
พู่กันมองภาพวาดที่ขึ้นโครงไม่เสร็จแล้ว ถอนหายใจตวัดเสียงตอบ

“ไม่อยากรับก็กดสายทิ้งสิแก ปล่อยให้ร้องโหยหวนอยู่ได้ น่ารำคาญวะ”
สายตาก้องภพกลับไปที่งานปากยังคงพูดเรื่อยๆ

“อยากจะทำเหมือนกันแต่..มันน่าเกลียด”
กระชากเสียงตอบอย่างหงุดหงิด ก้องภพเงยหน้าถามเมื่อจับความรู้สึกพู่กันได้

“ใครโทรมาวะไอ้พู่”
“แก้มใส”
พู่กันก้มหน้าพูดน้ำเสียงต่ำลึกอยู่ในลำคอ เอียงคอมองดูเพื่อนชายขอความเห็นว่าจะเอาไงดี

“แกก็รับๆ ไปสิวะ เค้าแค่โทรมา”
ก้องภพอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยแนะนำ

“แต่วันนี้มันหลายครั้งแล้วนะ ฉันยิ่งบิ้วอารมณ์ไม่ขึ้นอยู่”
เสียงเบื่อหน่ายผุดออกมาไหนจะงานวาดไปไม่คืบไหนจะมัวผวากับเสียงโทรศัพท์

“งั้นแกก็ปิดมือถือซะสิ”
“เกิดลูกค้าติดต่อมาก็แย่สิ เสียลูกค้า ไม่ได้ ๆ”

พู่กันโบกมือปฏิเสธคำแนะนำของก้องภพกลัวเสียลูกค้าหากปิดมือถือ สองมือกุมขมับกับปัญหาแสนงี่เง่าที่ไม่ควรเกิดกับตัวเองแต่กลับสร้างความเดือดร้อนให้เสียมากมาย ร่างบางไถลเอนไปกับโต๊ะสองมือทุบเบาๆไม่รู้จะแก้ปัญหาให้ตัวเองอย่างไรดี

“โวยวายอะไรไอ้พู่เสียงดังไปถึงข้างนอก”

เพียงได้ยินทักจากด้านหลังเท่านั้นรอยยิ้มของพู่กันเปิดกว้างด้วยความดีใจพลางคิด "ใช่แล้วนางฟ้าของไอ้พู่มาแล้ว" ผู้จะที่จะช่วยชี้ทางสว่างให้กับเธอ

“ไชโย้ พี่หนูนามาโปรดแล้ว”

เสียงขานรับอย่างยินดีลุกขึ้นถลาเข้าไปกอด สายตาเลยข้ามหลังไปพบว่าณารินไม่ได้มาคนเดียว พู่กันคลายอ้อมแขนแล้วทำความเคารพผู้มาใหม่

“สวัสดีคะพี่แก้ว คุณพรหม”

ทั้งสองรับไหว้ เก็จแก้วมองพู่กันอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นท่าทางดีใจของรุ่นน้องณารินเหมือนเด็กๆไม่มีผิด ส่วนเก็จพรหมกลั้นขำเมื่อเห็นหญิงสาวทำตาโตเมื่อเห็นเขากับพี่สาวตามหลังพี่หนูนาเข้ามาในร้าน

“สวัสดีจ๊ะพู่กัน”
“จะเชิญนั่งก็ไม่ได้คะเพราะร้านพู่ไม่มีเก้าอี้รับแขก”
พู่กันถูมือเขินๆ มองไปรอบๆร้านมีแต่เฟรมภาพตั้งโชว์

“ไม่เป็นไรคนกันเองทั้งนั้น”

พี่หนูนาพยักหน้าตอบรุ่นน้องอย่างเข้าใจ
ทั้งสามแล้วหันไปมองรอบๆร้านที่มีผลงานอยู่เต็มผนังและที่ตั้งโชว์บนพื้น ภาพวาดที่สื่อความหมายหลากหลายอารมณ์บนเฟรมผืนผ้าใบแต่งแต้มหลากสีสัน ภาพไหนที่มีเจ้าของแล้วจะมีป้ายจองแปะติดที่กรอบรูป

“เป็นไงเธอ ฝีมือเจ้าพู่สวยไหม”

ณารินกระซิบถามเก็จแก้วที่ยืนมองผลงานใกล้ตัว ด้านเก็จพรหมยืนมองดูภาพวาดเด็กน้อยนั่งหงอยตาละห้อยมองดูเพื่อน กำลังเล่นน้ำตกอย่างสนุกสนาน หญิงสาวหันไปมองร่างสูงที่ยืนจ้องดูน้องโด่งนั่งเหงาอยู่ในรูป ค่อนขอดชายหนุ่มในใจว่า...."ที่ดูนั่นคงเข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร"... พู่กันหันมาคุยกับรุ่นพี่กับเก็จแก้วเพื่อหลบสายตาคมปลาบเบนกลับมาที่เธอ

“ไปไหนกับมาหรือคะถึงได้แวะมาที่ร้านพู่ได้”
“เผอิญพี่แก้วชวนพี่มาทำธุระแถวนี้ เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วพี่ก็เลยชวนพี่แก้วแวะมาชวนพู่ไปทานข้าวด้วยกัน”
“ลาภปากพู่ล่ะสิคะวันนี้”

พู่กันกวาดนิ้วชี้และนิ้วโป้งที่มุมปากยิ้มโชว์ลักยิ้มทำตาหยีสองข้าง ห่อไหล่น่ารักลืมความทุกข์ใจของตัวเองไปเสียสนิท เก็จพรหมมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนตะกละ ณารินลอบมองสายตาเก็จพรหมที่จ้องดูอาการติสแตกไม่รู้ตัวของพู่กันและสะกิดให้เก็จแก้วดูตาม

“แล้วตะกี้พี่ได้ยิน....อะไรเสียลูกค้า มีปัญหาอะไรหรือพู่”
ณารินหันกลับมาถามเมื่อนึกขึ้นได้

“ก็ไอ้ก้องมันแนะนำให้พู่ปิดโทรศัพท์ พู่บอกมันว่าไม่ได้เผื่อลูกค้าโทรมา แล้วติดต่อพู่ไม่ได้ก็เสียลูกค้าหมดนะสิคะ”

พู่กันฟ้องณาริน ก้องภพซึ่งนั่งสเกตภาพเงียบ ๆ ลุกขึ้นรีบแย้งเพื่อนสาวทันควัน ทุกคนหันไปตามเสียงโดยเฉพาะเก็จพรหมนั้นมองหนุ่มหน้าตี๋วัยเดียวกันกับพู่กันอย่างพิจารณา

“พี่หนูนาอย่าฟังไอ้พู่มัน ไอ้นี่นิสัยเสีย มันไม่ค่อยรับสายปล่อยให้โทรศัพท์ดังจนสายหลุด มันน่ารำคาญไหมล่ะพี่”
“ความจริงก้องภพมันพูดถูกนะพู่ แกไม่ค่อยรับโทรศัพท์”
ณารินคล้อยตามก้องภพ

“ผมต้องรับให้มันบ่อยๆ”
ก้องภพเสียบไม้ย่างทันที

“ก็รับ... ถ้าว่าง”
พู่กันอ้อมแอ้มยอมรับตามจริง เหลือบตาเคืองไปที่ก้องภพ
“เอ..หรือมีใครมาขายขนมจีบแกวะไอ้พู่”

ปากณารินถามแต่หางตากลับมองไปที่น้องชายของเพื่อนรัก พู่กันสะดุ้งกับคำถามแทงใจจนหน้าแดงก่ำ ส่งสายตาอาฆาตไปที่ก้องภพเตือนว่าอย่าเผลอปากมอมเป็นอันขาด สายไปเสียแล้วก้องภพไม่ละทิ้งโอกาสเผาเพื่อนรักที่โอกาสพึงจะมี

“แกก็บอกพี่หนูนา ว่าไม่ใช่ใครอื่นไกล คนกันเองนี่แหละ”
“ไอ้ก้องอายุไขแกจะหมดไวถ้าขืนยังปากมอม”
พู่กันชี้หน้าปรามเพื่อนรัก หันไปคุยกับณาริน

“ไม่มีหรอกพี่ อย่างพู่ใครจะมาจีบ.... ดูสิคะพี่เก็จแก้วคงหิวแล้ว พู่ว่า เราไปหาอะไรทานกันเถอะคะ แกอยู่เฝ้าร้านเลยนะก้อง เดี๋ยวซื้อกะเตี๊ยวมาฝาก”

พู่กันตัดบทหันไปสั่งเพื่อนรัก.... ก็ใครจะไปพูดเรื่องหน้าอายแบบนี้ได้ยังไงเล่า... หญิงสาวคิด เก็จพรหมยืนมองดูสองหนุ่มสาวโต้ตอบกัน รู้ได้ทันทีว่าทั้งคู่สนิทสนมกันแน่นอน ค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าก้องภพเป็นคนที่รับสายของเขาในวันนั้น เขาต้องรู้ให้ได้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อยู่ในขั้นไหนเพื่อนหรือแฟน

ทั้งสี่ออกจากร้าน พู่กันขึ้นไปนั่งตอนหน้าคู่กับเก็จพรหมที่ทำหน้าที่เป็นคนขับ ส่วนพี่หนูนากับเก็จแก้วนั่งคุยกันจุ๋งจิ๋งตลอดทาง โทรศัพท์เข้าหาพู่กันถึงสองครั้งสองคราหญิงสาวกดปิดเสียงด้วยเกรงใจคนขับรถและคนข้างหลังตัวเธอเอง สีหน้ายุ่งยากอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวพยายามระบายลมหายใจออกช้าๆไม่อยากรบกวนสมาธิคนกำลังขับรถปล่อยตามองออกนอกหน้าต่างรถ เก็จพรหมชำเลืองดูอย่างแปลกใจระคนสงสัยว่าทำไมหญิงสาวไม่ยอมรับสาย แววตาหมกมุ่นที่สะท้อนผ่านกระจกรถพอเข้าใจว่าหญิงสาวกำลังมีปัญหา

พอถึงร้านอาหารเข้าจริงๆ พู่กันถูกทิ้งให้นั่งทานอาหารเพียงสองคนกับเก็จพรหมเพราะรุ่นพี่ทั้งสองปลีกตัวออกไปนั่งทานอีกโต๊ะกับเพื่อนที่เจอกันโดยบังเอิญ ทั้งคู่ทานอาหารอย่างเงียบๆ นานๆครั้งถึงจะพูดคุยโดยเก็จพรหมเป็นคนเริ่มต้นคุยก่อน ชายหนุ่มมองอาการเขี่ยข้าวบนจานของพู่กัน

“ไม่อร่อยหรือพู่กัน”
“อร่อยคะ”
“อร่อยแล้วทำไมทานน้อย หรือว่ารสจัดไป”
น้ำเสียงเป็นห่วงกลัวหญิงสาวทานไม่ได้

“เปล่าคะ คุณทานเถอะอย่าห่วงพู่เลย”
พู่กันอึกอักตอบ

“หรือว่าคุณอึดอัดที่ทานกับผมสองคน”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอก คือ..อ้าวโทรมาอีก รับก็รับวะ...ขอโทษนะคะ”
เสียงโทรศัพท์ดัง คราวนี้พู่กันกดรับสายไม่กดทิ้งเหมือนเคย เหลือบตามองดูหน้าหล่อขออนุญาตเบา ๆ

“เป็นไงเป็นกันวะไอ้พู่”
หญิงสาวบอกตัวเอง กรอกเสียงหวานเข้าไปในมือถือ

“สวัสดีจ๊ะแก้มใส / อะ อ๋อ คือพู่ไม่ได้เอามือถือติดตัว / พู่ติดลูกค้าคะ อื้อไม่เป็นไร ไม่ต้องลำบากพู่ทานแล้ว คะ คะ แล้วเจอกัน”

แก้มใสวางสายทิ้งให้พู่กันปล่อยตัวลงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ทำหน้าเซ็งใส่มือถือ เก็จพรหมกลั้นหัวเราะเขาเริ่มเดาทางปัญหาของพู่กันออกบ้างแล้ว นี่เจ้าหล่อนหวงความเป็นส่วนตัวขนาดนี้เชียวเหรอ พู่กันเหลือบมองหน้าเก็จพรหมเห็นสีหน้าแล้วตีรวนทันที

“ยิ้มอะไรคุณ”
“เปล่า”
“เปล่าได้ไง ก็คุณยิ้มฉันเห็น”
มีหรือพู่กันจะยอมแพ้ง่าย ๆ

“ก็ผมเห็นคุณทำหน้ายุ่งใส่มือถือ เลยขำขึ้นมานะสิ”
นายหัวหนุ่มยกมือยอมแพ้ ตอบตามที่ตาเห็น

“ก็คนมันเซ็งนี่”
เสียงเซ็งสุดๆพ่นออกมา

“ทำไมทะเลาะกับแฟนเหรอ”
เก็จพรหมแกล้งถาม

“เอ้ยไม่ใช่ คนที่โทรมาเป็นผู้หญิง ฉันยังไม่มีแฟน”
พู่กันสั่นหน้ายืนยันคำพูดของตัวเอง

“คุณมีปัญหากับคนที่โทรมาเหรอพู่กัน”
เก็จพรหมยื่นหน้าเข้าใกล้กระซิบถาม

“ไม่มี...แต่”
อาร์ทตัวแม่ส่ายหน้าผิดกับสายตาที่ลังเล

“แต่อะไรหรือครับ”
แววตาเข้มกรุ่มกริ่มสบตากลมโตแวววาว บอกตัวเองว่า ต้องรีบกระชับพื้นที่ระหว่างเขากับพู่กันให้แคบลง

“ไม่มีอะไร”
ม่านขนตากระพริบถี่เมื่อหน้าหล่อเข้มของเก็จพรหมยื่นเข้าใกล้จนเกินไป

“คุณรู้ไหมคนที่เส้นสมองแตกน่ะมีอาการยังไง”
เก็จพรหมถามพู่กันหลังจากถอยกลับไปนั่งที่เดิม เขาชอบแพขนตาหนานั้นเหลือเกิน

“ยังไงล่ะ”
พู่กันพาซื่อถาม

“มือแขนชาปากเบี้ยวนะสิ”
เก็จพรหมกอดอกอมยิ้มตอบหลังทำท่าประกอบก่อนจะอึ้งกับคำถามของสาวติสจ๋า

“แล้วคุณมาบอกฉันทำไม”
“อะไรแค่นี้ก็ยังไม่รู้อีก ผมแค่จะบอกคุณว่าถ้าคุณเก็บกดเอาไว้คนเดียวนานๆระวังเส้นเลือดในสมองจะแตกได้นะสิ”
“นี่คุณแช่งฉันเหรอคุณพรหม”

พู่กันวางมือบนโต๊ะชะโงกหน้าแยกเขี้ยวใส่เก็จพรหม ตาคมโตวาววับ “น่ารักเป็นบ้า ไม่ชอบไม่ได้แล้ว” ชายหนุ่มคิดส่งยิ้มแววตากรุ่มกริ่มยักคิ้วแถมให้เจอมุขนี้สาวติสจ๋าหุบปากรีบถอยกลับไปนั่งตามเดิม "คนอะไรเก๊กหน้าหล่อตลอด" หญิงสาวคิดทำเมินหน้าหนีเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเก็จพรหม

“ผมจะแช่งคุณทำไมพู่กัน ทำไมไม่คิดว่าผมเป็นห่วงบ้างล่ะ”
พอรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป ชายหนุ่มยกมือลูบท้ายทอยตัวเองที่เผลอคิดดังไปหน่อย

“คุณจะมาห่วงฉันทำไม แปลกจังคุณนี่”
พู่กันโต้กลับ มองอาการเขินของชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ

“คุณไม่ชอบแก้มใสเหรอ”
เก็จพรหมถามตรงๆ

“อ๊ายยยย จะบ้าเหรอถามแบบนี้ฆ่ากันตายดีกว่า”
พู่กันตกใจวัวสันหลังหวะลืมตัวว๊ากใส่ชายหนุ่ม

“ถึงตายเลยหรือพู่กัน”
เข้าทางผู้บริหารหนุ่มทำเนียนเป็นเข้าใจตามคำพูดของหญิงสาว

“ก็คุณดูถูกฉันนี่”
“ผมไปดูถูกคุณตรงไหน ผมแค่ถามว่าคุณไม่ชอบแก้มใสหรอกเหรอ ที่สุราษฏร์ธานีก็เห็นเค้าเอาใจใส่คุณดีออก”
“ใครบอกให้คุณมาว่าฉันเป็นพวกนิยมดนตรีไทย”
ไม่รู้สึกตัวเลยว่าตัวเองกำลังแบไต๋ให้เก็จพรหมรู้ไปแล้ว

“ตอนไหน”
เสียงทุ้มถามย้ำ เริ่มเข้าใจอะไรลางๆบ้างแล้ว

“ก็คุณถามฉันว่าทำไมไม่ชอบแก้มใสอยู่หยก ๆ”
เสียงหงุดหงิดไม่แพ้กับสีหน้ามุ่ยตุ้ยของติสสาว

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับดนตรีไทย ยิ่งฟังยิ่งงง”
นายหัวหนุ่มซักไม่หยุดไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไป เพราะใกล้จะรู้ความจริงอีกนิดเดียวเท่านั้นชายหนุ่มคิด

“ก็แก้มใสกำลังจีบฉันอยู่นะสิ...อุ๊ย”
ม่านตากลมโตเปิดกว้างเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป หญิงสาวรีบยกมืออุดปากตัวเอง

“อะไรนะ พูดอีกทีซิพู่กัน!”



Create Date : 12 กันยายน 2554
Last Update : 13 กันยายน 2554 9:13:21 น.
Counter : 701 Pageviews.

6 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสสี่

*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *







*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎

✎*.:。✿* ติสสี่ D *.:。✿*゚¨゚✎




"กำลังล้อมคอกให้ตัวเลขหรือคะ คิ้วยุ่งเชียว”

ณารินหรือพี่หนูนาเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงใส ๆ ทักทายอย่างร่าเริง คิ้วโก่งเลิกขึ้นมาอย่างประหลาดใจ วันนี้พู่กันแต่งตัวได้น่ารักดูแล้วเหมือนสาวเซอร์ ร่างบางสวมกระโปรงผ้าฝ้ายยาวกรอมเท้าเสื้อลายสก๊อตตัวโคร่งคาดเข็มขัดเส้นเล็ก ๆ พ่วงด้วยด้วยสายพู่ห้อยตุ้งติ้งตรงสะโพก ผมยาวถักเปียหลวม ชวนให้นึกถึงสาวอินเดียแดง ร่างบางมาเดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ลมอะไรหอบแกมาถึงที่นี่ไอ้พู่”
“งานเข้าแล้วสิแกไอ้พู่ พี่แกถามเหมือนกับน้องนุ่งไม่เคยมาหา”
สาวติสบ่นงึมงัมพอได้ยินทั้งสองคน รุ่นพี่สาวกระแทกค้อนใส่จนพู่กันหัวเราะขำ

“ก็วันนี้ไม่ใช่วันเสาร์ มันน่าแปลกใจที่เจ้าของร้านพู่กันมายืนอยู่ที่นี่นะสิ ”
“พู่เอาภาพวาดมาใส่กรอบให้ลูกค้าคะ”
“กะแล้ว เออแล้วกิจการเป็นไงบ้างยังไปสวยใช่ไหม”
“ออร์เดอร์มาเรื่อยๆ คะมีให้ทำตลอด”
“ถามจริง”
“ตอบจริง มือชั้นนี้แล้ว”
“ดีใจด้วย จะได้จับฝันตัวเป็น ๆ ได้เสียที”
“สาธุ”

พู่กันยกมือไหว้ท่วมหัว ล้อเลียนคำพูดของรุ่นพี่ จึงได้มะเหงกลงกบาลเป็นรางวัล สองสาวหัวเราะกันประสานเสียง ร่างบางทรุดนั่งข้างๆตัวณาริน เหลือบดูงานของรุ่นพี่ บัญชีรายรับรายจ่ายนี่เอง นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เธอต้องทำทุกเดือนเหมือนกัน ตากลมตกไต่ไปตามตัวเลขแล้วทำท่าสยอง ก่อนจะส่งยิ้มโชว์เขี้ยวมุมปากให้เห็น ย่นจมูกใส่สมุดบัญชีของรุ่นพี่สาว

“ตัวเลขอีกแล้วน่าเบื่อที่สุด พู่ไม่ชอบเลยคะพี่ ถนัดจับพู่กันจานสีมากกว่า”
“แต่ก็ต้องทำใช่ไหมล่ะ”
“ต้องสิคะ แม่บอกว่าร้านของพู่ต้องทำเอง ไม่งั้นจะไม่รู้รายได้สุทธิแต่ละเดือน แต่พู่ก็ทำแบบง่ายๆซ้ายรับ ขวาจ่าย”
“ดีแล้ว คนเรามันก็ต้องเริ่มต้นเล็กๆ ไปก่อน ทำเองได้ก็ทำ ดูอย่างพี่สิ เฮียเปิดสาขาเพิ่มพี่ก็ยังต้องทำเอง เฮียไม่ยอมจ้างบัญชี ไม่รู้เลยว่าเมียตัวเอง มีแขกเป็นอีกามาเยี่ยมเพิ่มขึ้นทุกเดือน เห็นไหมนี่ ๆ ๆ ”

ณารินชี้ตำแหน่งบนใบหน้าประกอบ แววตาเป็นประกายขำมากกว่าถือเป็นสาระ เป็นลักษณะเฉพาะตัวของรุ่นพี่คนนี้ มีอารมณ์ขันเป็นนิจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา แบบนี้สินะที่เค้าเรียกว่าเสน่ห์ที่ไม่ต้องแต่งแต้ม แววตาของพู่กันไหววับเมื่อนึกเรื่องที่ควรแจ้งให้รุ่นพี่ทราบ

“เกือบลืมแน่ะ ตอนนี้พู่มีผู้ช่วยบริหารร้านแล้วนะคะ”
“ใครคือผู้โชคร้ายคนนั้นวะไอ้พู่”

พู่กันหัวเราะกิ๊กกับคำถามและสีหน้าของรุ่นพี่สาว ณารินค้อนควักใส่รุ่นน้องอย่างเอ็นดู ตามด้วยจิ้มนิ้วชี้เข้าที่หน้าผากเมื่อเห็นแววตาระริก มันน่าแปลกที่เดาความคิดของสาวรุ่นน้องออกทุกครั้ง จึงเอ่ยชื่อออกไปโดยไม่รอคำตอบจากปากอิ่ม

“ก้องภพ ใช่ไหม”

นอกจากไม่ตอบแล้วกลับทำทีเป็นเฉย ตากลมโตมองหน้ารุ่นพี่ผ่านแพขนตาแล้วเชิดหน้าขึ้นไปดูภาพวาดข้างผนังเป็นภาพที่เธอให้เป็นของขวัญในวันเปิดร้านด้วยใบหน้าอมยิ้ม เธอมักหยอกล้อเพื่อนรุ่นพี่แบบนี้เสมอยามที่ทายถูก ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาทางถูก เพราะคนที่พู่กันสนิทมีไม่มากและคนรักเพื่อนอย่างสาวติสเองก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือก้องภพ ชายหนุ่มที่เป็นทั้งลูกหม้อ เป็นเพื่อนและเป็นพี่ได้เฉพาะบางครั้งที่พู่กันยอมให้เป็น

“ดู..ดูมันทำ ไม่ต้องมาอมพะนำ ก็ดีแล้วก้องภพมันจะได้มีกำลังใจว่าฝันที่มันตามหาอยู่ไม่ไกลแล้ว”
“โธ่ มีอะไรบ้างที่พี่หนูนาจะไม่รู้สักเรื่อง”
“มองหน้าพี่ไอ้พู่ แล้วบอกมาว่าฉันเป็นใคร”
“พี่หนูนา ผู้ปกครองเฮียตี๋”
“ใช่ และฉันก็คือพี่หนูนาของแกด้วย อย่าเปิดประเด็นพาเขวเรื่องอื่นสิ ประจำเลยแก”
“ทีหลังจะเดาผิดบ้างก็ได้นะพี่ ฟิวแบดทุกทีเลย”
“อ้าวไอ้นี่ แถไปได้อีก”
“ก็ไม่มีอะไร พู่ต้องการคนดูแลร้านและรับงาน ช่วงที่พู่อาจจะไม่อยู่ พู่ก็มองไม่เห็นใครเหมาะที่สุดเท่าไอ้ก้องมันแล้ว ที่สำคัญมันไม่ควรเป็นลูกน้องเขานานไปกว่านี้เดี๋ยวนิสัยขี้เกียจจะผูกขาด เป็นลูกน้องเค้าไอเดียไม่บรรเจิดเท่าเป็นเจ้าของความคิดหรอก”
“แล้วทำไมแกจะต้องไม่อยู่ด้วยหล่ะ”
“อะ...อ้าว คนเราก็ต้องมีธุระบ้าง พูดแบบนี้แปลว่าไม่รู้จริง ๆ ๆ ”

พู่กันทำเสียงยานคางกวนอารมณ์เจ้าแม่ขาติสตัวจริงเข้าให้แล้ว ยกมะเหงกแต่ช้ากว่าร่างบางที่โยกตัวออกห่างอย่างรวดเร็วกลายเป็นชกลมแทน

“บ๊ะไอ้นี่ แกว่าพี่ว่าเชื้อ ชอบแส่เรื่องชาวบ้านไปทั่วงั้นแหละ”
“ไม่เชิงแต่ก็คล้าย ๆ นะ”

ปากไวอีกตามเคย แสร้งทำรู้สึกตัวรีบปิดปากตัวเองทำเสียงขลุกขลักอยู่ในลำคอก่อกวนอารมณ์ติสแตก เสียงแปดหลอดแผดออกมาอย่างสุดกลั้น

“ไอ้พู่”

ณารินยกขาด้านเดียวที่พู่กันนั่งขึ้นวางเท้าบนเก้าอี้ ให้รู้ว่าพูดอีกทีมีสิทธิ์โดน พู่กันกระเถิบตัวออกห่างโดยอัตโนมัติ รีบจับแขนอวบของรุ่นพี่บีบๆ นวด ๆ ให้หายงอน ลักยิ้มมุมปากทำงานเมื่อเจ้าของส่งยิ้มเอาใจรุ่นพี่คนสวย ตามด้วยคำพูดรัวเร็วกลัวลูกถีบจริง ๆ

“อะ..ล้อเล่น คืองานมันเริ่มเยอะขึ้นและก็พู่จะไม่อยู่สองสามอาทิตย์ ”
“จะไปต่างจังหวัดหรือพู่ เมื่อไหร่ล่ะ”
คำถามเรียบตามมา เพราะไม่เคยโกรธรุ่นน้องได้จริงๆ นอกจากค้อนประหลับประเหลือกเป็นโบนัสแทน

“เปล่า พู่จะไปต่างประเทศ”

พู่กันตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่ตากลมโตเหลือบดูสีหน้ารุ่นพี่สาว สายตาสองคู่เจอะกันพอดี ณารินนิ่งไปไม่นาน คำพูดที่รอฟังเข้าล็อกตามที่คาดไว้เป็นแบบนี้เสมอ ความห่วงใยและหวังดีมาพร้อมกับคำสั่งสอน ให้รู้จักการประหยัดและบริหารเงินเป็น......ตามแบบฉบับของรุ่นพี่

“ไปเที่ยวเหรอ ก็ดีนะทำมาหาเก็บไม่ดี ต้องทำมาหาเที่ยวเนอะ”
“คิก คิก พี่หนูนาเจ้าขา พู่ไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยวหรอก”
“ทำงาน! งานอะไร? ฉันตกข่าวอะไรไปหรือไอ้พู่”

พี่หนูนาถามด้วยความแปลกใจกับคำตอบที่ไม่เคยมีลางบอกเหตุมาก่อน ปกติพู่กันจะทำอะไรมักจะมาปรึกษาเสมอ รุ่นน้องสาวยิ้มตาหยี ก่อนจะตอบช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ ส่งสายตาประเมินปฏิกิริยาของรุ่นพี่

“พู่จะไปอิตาลีปลายเดือนนี้”
“อิตาลี! ประเทศแห่งศิลปะและแสนโรแมนติก ไหน ๆ เล่ามาให้หมดเลยไอ้พู่”

สองมือจับไหล่บางรุ่นน้องสาวเขย่าโดยไม่สนใจหัวสั่นคลอน พู่กันไม่อยากนับว่ามันกี่ครั้งแล้วที่เธอหัวเราะขำกับท่าทางของรุ่นพี่... เรื่องโอเวอร์แอ็คติ้งไม่มีใครเกินณารินจริงๆ

“แหมทำเป็นลืม พี่จำที่พู่เคยมาปรึกษาเรื่องส่งผลงานเข้าประกวดกับสมาคมการท่องเที่ยวได้หรือเปล่าล่ะ รูปที่พู่ส่งเข้าประกวดพี่เป็นคนเลือกให้พู่ด้วย ตอนนี้ผลประกวดออกมาแล้วพู่ได้รางวัลชนะเลิศและปลายเดือนนี้พู่ต้องเดินทางไปรับรางวัล แว่วว่างานนี้ จะมีการโปรโมทการท่องเที่ยวของไทย คนที่ได้รางวัลที่ 1-3 จะได้ทำสัญญากับบริษัทสปอนเซอร์ใหญ่ของโครงการนี้ด้วยนะ รายละเอียดคงต้องรอดูอีกทีคะ”
“โอ้ยต๊ายแล้ว จริงหรือไอ้พู่”

เสียงแหลมปริ๊ดบ่งบอกถึงความตื่นเต้นดีใจอย่างชัดเจน สองมือจับแก้มเนียนสั่นไปมามันเป็นอะไรที่พู่กันไม่ชอบใจเอาจริง ๆให้ตายสิ มือบางยกเช็ดแก้มนุ่มหลังถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

“อื้มมม จริงๆ”
พู่กันยกหน้าสวยเชิดขึ้นไป อมยิ้มขำกับท่าทางดีใจของรุ่นพี่ เพราะเธอดีใจจนเลิกดีใจแล้วนั่นเอง

“เก่งไม่เบาแก แบบนี้สิถึงจะคุยได้ว่าเป็นน้องฉัน พี่ดีใจกับแกจริง ๆ เห็นไหมล่ะทุกอย่างมันอยู่ฝีมือของเราเพียงขออย่าท้อแท้และมั่นใจ”
“เจ้าคะ พู่ขอบคุณพี่หนูนาจริงๆ ถ้าวันนั้นพี่ไม่ยุให้พู่ส่งผลงานก็คงไม่มีวันนี้ แต่อันที่จริงพู่ดีใจที่ได้ไปอิตาลีมากกว่าได้รับรางวัลอีกนะพี่”
“ไหงเป็นงั้นวะ”
ณารินไม่เคยแปลกใจกับคำตอบของพู่กัน แต่ยังไม่เคลียรพอที่จะไม่ต้องถามให้หายสงสัย

“อิตาลี มันประเทศในฝันเชียวนะ ถามว่าต้องเก็บเงินกี่ปีถึงจะได้ไปล่ะพี่ ต้องเก็บทั้งชาติก็ยังไม่รู้จะมีโอกาสไหม คงต้องถูกหวยถูกฉลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 ความน่าจะเป็นได้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ เพราะพู่ไม่เคยซื้อ”
“เอาน่า ได้ทั้งรางวัลแถมได้เที่ยวอีกก็คุ้มล่ะวะ”
“นั่นสิ แล้วจะถ่ายรูปมาฝากเยอะ ๆ เลย”
“แกไปปลายเดือนนี้ใช่ไหม แปลว่าทริปหน้าที่เชียงใหม่แกก็ไม่ได้ไปนะสิ”
“คงไม่ได้ไปคะ ว้าเสียดายจัง พู่ไม่ได้ขึ้นเหนือเป็นปีแล้วนะ สายเดีย...เสียดาย”
ประกายตาเหมือนคำพูดแวบออกมาจากตากลมโต

“แกจะยกเลิกไม่ไปอิตาลีก็ได้นะ”

ณารินพูดอย่างหน้าตาเฉย ขำได้อีกกับสีหน้าเหรอหราของรุ่นน้อง เธอรู้ว่ามันเป็นไปได้ยากที่พู่กันจะทำตามคำแนะนำตลกฝืดของเธออย่างแน่นอน

“โธ่พี่หนูนา โรคซึมเศร้าถามหาได้เลยนะเนี่ย ถ้าให้พู่งดไปอิตาลี เสียดายร้อยเท่าพันเท่า แต่ก็แหมรักพี่เสียดายน้อง”
“เมืองไทยไปเมื่อไหร่ก็ได้แก เออนึกขึ้นได้ลืมอัพเดทให้ฟัง พู่รู้ไหมว่า คุณพรหมน้องชายของพี่เก็จแก้วมาสมัครเข้าชมรมอาสาของเราแล้วนะ เมื่อวานพี่ตรีส่งชื่อให้พี่เพิ่มเข้าไปในฐานข้อมูลสมาชิกชมรม สงสัยจะศรัทธาและมีมีอุดมการณ์อย่างพวกเราอีกคนหนึ่งแล้วเนอะ”
“เหรอคะ อืมมพู่กลับก่อนดีกว่ามานานแล้ว ต้องแวะไปเอางานที่ร้านกรอบรูปป่านนี้คงเสร็จแล้ว ถ้ามีอะไรคืบหน้าพู่จะโทรหาพี่นะ”

พู่กันพยักหน้ารับทราบ เหลือบตาดูนาฬิกาบนข้อมือ ร่างบางลุกมือขึ้น มือบางยกไหว้รุ่นพี่อย่างเคยชิน เป็นแบบนี้เสมอ สำหรับสาวติสจ๋าเธอไม่เคยรีรอที่จะทำคล้ายกับความคิดกับการกระทำไปพร้อมๆ กันตลอดเวลา

“อ้าวจะไปแล้วเหรอ โอเค ๆ เหมือนกันถ้าพี่มีอะไรจะโทรไปหานะ อย่าลืมชาร์จแบตล่ะ”
“จ้า BB มาแล้วกัน ไปก่อนนะพี่ บ๊ายบายคะ”

ณารินมองตามร่างบาง เดินออกจากร้านไปด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ รุ่นน้องผู้นี้มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เธอนึกย้อนถึงตัวเอง คนที่จบงานศิลปกรรมมักจะมีความฝันคล้าย ๆ กันนั่นคือไปให้สูงที่สุดหมายถึงการได้เห็นผลงานของตัวเองอยู่ในแถวหน้า เปิดงานแสดงผลงานให้เพื่อนคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก แต่รักและชื่นชอบในสิ่งเดียวกันได้มาชื่นชมไปกับเจ้าของ มันเป็นความสุขที่ได้สื่อสารออกมาบนแผ่นภาพ มีปลายดินสอ พู่กัน จานสีเป็นสื่อนำบอกถึงตัวตนของเจ้าของงานศิลป์ การที่ได้วิ่งตามความฝันของตัวเองและไปถึงฝั่งฝันได้สักวันเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุด ดูเหมือนว่าพู่กันกำลังอยู่ในช่วง Lucky in Game นอกจากความสามารถ พู่กันยังมีพรสวรรค์ บวกกับความขยันและความตั้งใจ เป็นแรงผลักดันให้หญิงสาวก้าวเข้าสู่วงการศิลปะได้อย่างสง่าผ่าเผย เธอเชื่อว่าเพื่อนรุ่นน้องผู้นี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


ร่างสูงเดินผ่านเลขาหน้าห้องอย่างเร็ว ประตูปิดตามหลังอย่างเงียบกริบ เช้านี้เจ้านายหนุ่มหล่อของพิมพรรณ อารมณ์บ่จอยอย่างแน่นอนเพราะปกติ เช้าๆแบบนี้ท่านจะต้องเดินตรวจงานก่อนเข้าอ๊อฟฟิทประมาณ เก้านาฬิกาสามสิบนาที แต่วันนี้ท่านมาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงนั่นก็หมายถึงว่า นายหัวเก็จพรหมลงจากรถแล้วมุ่งหน้าเข้าอ๊อฟฟิท กิริยาเดินลงซ้นหนักนั่นอีกไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่ท่านเดินผ่านหรือพบหน้าต้องคอตกตาต่ำสู่พื้นด้วยเกรงบารมี พิมพรรณรู้ชะตาตัวเองว่าวันนี้จะต้องโดนหางเลขตั้งแต่เช้า เลขาหน้าห้องเก็จพรหมถอนใจเข้าหนักๆแล้วพ่นลมหายใจออกมาช้า ๆ ขณะที่พิมพรรณกำลังทำสมาธิอยู่นั้น เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์บนโต๊ะแทบทำเอาร่างอวบมีอาการผวาเอื้อมมือรับสายทันที

“คะท่านประธาน จะไปเดี๋ยวนี้คะ”

เลขาสาวกระวีกระวาดหยิบฉวยสมุดปากกาเข้าไปในห้องที่ประธานหนุ่มเพิ่งเข้าไปก่อนหน้านี้ ยืนตัวเกร็งกางสมุดโน๊ตขึ้นเสมออกพร้อมจดตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่มที่นั่งมองเธอสีหน้าบอกบุญไม่รับ

“นั่นคุณทำอะไร”
เสียงเข้มดุถามเมื่อเห็นท่าทางเลขาเงียบรีรออยู่นิ่ง ๆ

“ก็...ก็เจ้านายเรียกให้พิมพรรณมารับงานไม่ใช่เหรอคะ”
“นี่คุณลืมไปแล้วหรือว่า ทันทีที่ผมเข้าห้องคุณต้องรีบเข้ามารายงานว่าวันนี้ผมต้องทำอะไร มีนัดที่ไหนบ้าง ที่ผมตามเพราะคุณไม่เข้ามาสักที”
“งั้นพิมพรรณขอตัวไปเอาสมุดนัดมาก่อนนะคะ”

ร่างอวบของเลขาเคลื่อนไหวเหมือนลมพายุออกและเข้ามา พร้อมสมุดนัดหมาย เริ่มต้นอ่านให้เจ้านายฟังโดยไม่ยอมสบตาเพราะเธอเกรงว่าฉี่จะราดเอาถ้าหากสบตาเขียวเข้มนั้น หญิงสาวนึกสยองทุกทีที่เจ้านายเธอเข้าโหมดโหดดุแบบนี้

“เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา ท่านมีนัดกับคุณอิงอร เลขาสมาคมโรงแรมภาคใต้คะ”
“ถ้าเธอมาแล้วให้พาไปที่ อิงตะวัน แล้วกัน”
“ได้คะ มีอีกคะ ช่วงบ่ายสองโมงท่านมีประชุมที่ตึกสมาคมการท่องเที่ยวด้วยคะ”
“ยังไงเตือนผมอีกทีแล้วกัน ก่อนบ่ายโมงนะ”
“ท่านคะ คุณนนนี่โทรมาสองครั้งแล้วคะ จะรับสายไหมคะถ้าเธอโทรมาอีก”
พิมพรรณรีบแจ้ง เผื่อเจ้านายจะอารมณ์ดีขึ้นถ้าได้คุยเรื่องสาว ๆ โทนเสียงดุจเดิมบอกปัดไร้เยื่อใย

“คุณบอกไปแล้วกันว่าผมมีประชุมทั้งวัน”
“แล้วถ้าเธอบุก เอ้ย มาหาล่ะคะ”
“คุณก็บอกไปว่าผมไม่อยู่สิ ยังไงคุณก็กันไม่ให้เค้าเข้ามาให้ได้แล้วกัน”
คำสั่งที่เลขาสาวต้องกลืนน้ำลายลงคอ
“โอยโหยวววว ไม่เคยทำได้สักที”
เลขาสาวทำเสียงอ่อยเพราะเธอไม่เคยขวางได้สักหน

“ได้แน่นอน เพราะถ้าเค้าเข้าหาผมได้ในวันนี้ เงินเดือนคุณจะหายไป 20%”
“เจ้านาย แบบนี้พิมพรรณก็แย่สิคะ”
“คุณออกไปได้แล้ว เป็นไปตามนั้น ผมจะทำงานห้ามรบกวน ถ้ามีอะไรผมจะโทรตามเองเชิญกลับไปที่โต๊ะคุณได้แล้ว”
“คะเจ้านาย”


เลขาร่างอวบเดินหงอยออกไปแล้ว ส่วนคนที่บอกว่าจะทำงานกลับนั่งหันหน้าออกสู่ทะเลผ่านกระจกใส ชายหนุ่มกดรีโมทผ้าม่านเนื้อหนานิ่มแยกออกจากกันเปิดโล่งมองเห็นท้องทะเลกว้างยามเช้า ปกติแล้วในหัวของเขาจะปลอดโปร่งเต็มไปด้วยความสดชื่นยามที่จ้องมองความสดใสของท้องทะเล แต่วันนี้เขากลับหงุดหงิดอย่างประหลาด มันเริ่มหลังจากที่เขาโทรไปหาใครคนหนึ่ง ตั้งใจโทรทักทาย แต่เสียงในสายที่รับทำให้เขาอึ้งอยู่เป็นนาน ดูเบอร์บนจอมือถือให้แน่ใจ ใช่มันเป็นเบอร์โทรของพู่กัน แต่ทำไมผู้ชายรับ ที่สำคัญมันยังเช้าอยู่ ถ้าชายผู้นั้นไม่สนิทกับพู่กันก็คงไม่กล้ารับสายแทนหรือว่าเธอมีแฟนตัวจริงแล้ว เพียงแค่คิดหัวคิ้วเข้มก็ชนกันอัตโนมัติ สายตาที่มองจรดขอบฟ้าสีของน้ำตอนนี้เขียวครามนั้นหม่นแสง หาได้ดื่มด่ำกับท้องทะเลงามยามต้องแสงอาทิตย์ส่องแสงระยิบระยับเหมือนเพชรเม็ดเล็ก เล็ก กระจายเต็มท้องทะเล คำพูดของภวัตผุดขึ้นมาก้องในโสตในคืนนั้น


“สรุปว่านายไปปิ๊งผู้หญิงคนหนึ่งมาว่างั้นเถอะ”
“ก็ไม่เชิงฮะพี่ บอกไม่ถูกคือผมรู้สึกดีเวลาที่ได้มองเวลาเธอพูด ยิ้ม หัวเราะ ทั้งๆที่เธอไม่ได้สนใจผมด้วยซ้ำ”
“แล้วเจอเธอที่ไหน...ที่ภูเก็ตเหรอ”
“ที่กรุงเทพฮะ และอีกหนตอนไปสุราษฏร์ช่วยภัยน้ำท่วมกับพี่แก้ว เค้ามากับทีมอาสากลุ่มเดียวกับเพื่อนพี่แก้ว”
“บังเอิญสุด ๆ”
“ฮะบังเอิญจริง ๆ”
“ไม่น่าจะมีปัญหานี่พรหม ถ้าชอบก็เข้าไปทำความรู้จักเค้าสิ อย่างนายปัญหาไม่น่าจะเกิด พี่ว่าบุคลิกหน้าตาเปิดเครดิตแบบไม่ต้องแนบโปรไฟล์อยู่แล้วนี่”
“พู่กันไม่เหมือนผู้หญิงทุกคนที่ผมรู้จัก”
“ชื่อน่ารักวะ ทำไมเหรอ เค้าเป็นทอมหรือไง”
“ไม่ใช่แบบนั้น....เค้าเป็นพวกศิลปะ นิสัยเค้าเออ..”
“อ๋อสาวอาร์ตติสนั่นเอง ที่นายกลุ้มใจอยู่เพราะเจ้าหล่อนไม่ได้มองนายเป็นของหวานเหมือนสาวๆคนอื่น เผลอจะถูกลูกเหวี่ยงเข้าเสียด้วยสิ อารมณ์คนพวกนี้เอาแน่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นพิษเป็นภัย ถ้าเข้าใจก็อยู่ร่วมกันได้”
“มีอะไรบางอย่างในตัวเค้าที่ผมอยากรู้จักมากกว่านี้ แต่เข้าหาไม่ได้ มันผิดที่ผิดทางทุกครั้งที่เราอยู่ใกล้กัน”
“นายไปจีบเขาอีท่าไหนจนเค้ารู้ตัวเลยเผ่นล่ะวะ เอ...แต่ว่าแกไม่เคยล้มเหลียวเรื่องจีบสาวเลยนี่หว่าพรหม”
“ก็ผมบอกพี่แล้วไงว่า พู่กันไม่เหมือนผู้หญิงที่ผมเคยรู้จัก”
“อืมมม เข้าใจล่ะ เอางี้สิถ้าอยากจะให้ผู้หญิงประเภทนี้ยอมรับ นายก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต้องไม่ทำตัวจีบ นายต้องให้เค้ารู้สึกว่านายเป็นเพื่อนที่จริงใจคุยด้วยได้ทุกเรื่องและทำให้เค้าซึมซับความเป็นตัวตนของนายแบบไม่รู้ตัว”
“ผมต้องทำไง”
“ก็ต้องเข้าหาแบบไม่ตั้งใจ เหมือนเจอกันโดยบังเอิญ และที่สำคัญนายต้องทำตัวปกติ”

ร่างสูงลุกเดินไปยืนชิดกระจก ตามองท้องน้ำสีคราม ล้วงมือถือเครื่องใหม่ออกมา หลังจากวันนั้นเค้าได้เปลี่ยนค่ายมือถือ ไม่ใช่เครื่องเก่าไม่ทำงาน แต่เขาอยากติดต่อกับพู่กันทุกทางที่เจ้าหล่อนมี




*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



“ไอ้พู่ตะกี้ใครไม่รู้โทรหาแกวะ”
“ใครอะ แกไม่ได้ถามชื่อไว้เหรอ เผื่อเป็นลูกค้า”
“ยังไม่ทันได้คุยเลยแก วางสายเฉยเลย”
“สงสัยโทรผิดมั้ง ช่างเหอะ”

ร่างบางหยิบเฟรมวาดภาพที่ทำค้างไว้ขึ้นขาตั้งไม้ ภาพวาดขึ้นโครงไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ลงสี งานที่รอการส่งกลับให้ลูกค้าเริ่มมีมากขึ้น ส่วนมากงานเข้ามาจากอินเตอร์เน็ต ลูกค้าจะส่งไฟล์รูปมาให้พร้อมกับโอนเงินค่ามัดจำก่อนทำกึ่งหนึ่ง หลังจากที่วาดเสร็จเรียบร้อยแล้วจะส่งไฟล์ภาพถ่ายจากภาพวาดสมบูรณ์แล้วกลับไปให้ลูกค้าดูก่อน หลังจากที่เงินโอนก้อนสุดท้ายเข้ามาในบัญชีภาพวาดจะถูกส่งไปให้ซึ่งก็แล้วแต่จะตกลงกันว่าจะให้ส่งวิธีไหน


ตั้งแต่ก้องภพมาผนึกกำลังทำให้ร้านพู่กันงานศิลป์มีงานเพิ่มมากขึ้นเพราะเจ้าของร้านกล้าที่จะรับงานหลายชิ้นในเวลาเดียวกัน ที่ผ่านมาพู่กันยึดมั่นเสมอมาคือเรื่องการตรงต่อเวลา เธอเรียนรู้จากการช่วยมารดาทำขนม ขนมที่มารดาทำนั้นหอมอร่อยถูกปากและความตรงต่อเวลาที่ลูกค้าต้องการ พู่กันนำมาใช้ในงานของเธอคือการทุ่มเทในการทำงาน ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ และรักษาเวลาในการทำงาน จึงได้รับการบอกต่อๆ กันจากปากต่อปาก ร้านพู่กันจึงมีลูกค้าแวะเวียนมาเยี่ยมชมเสมอ ๆ



“ก้องฉันว่าจะถามแกหลายหนแล้ว ทำไมแกต้องนั่งรถไปมาระหว่างที่พักกับที่ร้านวะเปลืองค่ารถออก”
“ความจริงสองสามวันนี้ฉันหาอยู่เหมือนกันแต่ยังไม่ถูกใจ”
“นี่ก้อง ถ้าแกไม่คิดมาก ว่ามันจะทำให้แกรู้สึกอยู่กับงานตลอดเวลา ฉันว่าห้องชั้นสองมันเจ๋งอยู่นะ แกไม่ต้องทำอะไรแล้วทั้งเตียงตู้เสื้อผ้าก็มีพร้อมแล้ว คนก่อนเค้าน่าจะทำเป็นห้องนอนเหมือนกันนะแก”
“จริงหรือไอ้พู่ ถ้าอยู่ได้ฉันก็จะมาอยู่จริงๆล่ะนะ”
“เอาสิฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งเลย บริเวณนี้มีพร้อมสรรพเลยนะแก หาที่กินก็ง่ายนายก็ไม่ต้องตื่นเช้าขึ้นรถมาร้าน เยื้องไปอีกนิดเป็นสวนสาธารณะนายจะไปวิ่งออกกำลังกายก็ได้นะก้อง”
“งั้นฉันย้ายของเข้ามาวันพรุ่งนี้เลยนะพู่”
“ได้เลย แล้วของแกมีเยอะเปล่าวะ ให้ฉันไปช่วยขนด้วยก็ได้นะ หรือแกจะเอารถไปขนเอง ก็แล้วแต่ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ทำไมแกดีกับฉันวะไอ้พู่ แกช่วยฉันแทบทุกเรื่อง แกกำลังทำให้ฉันคิดว่ามีแกเป็นเพื่อนคนเดียวก็พอใจแล้ววะ”
“ก็เพราะแกเป็นเพื่อนรักของฉันไง เพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะเป็นเพื่อนกันทำห่าทำไมวะ อย่ามาทำน้ำเชื่อมหกแถวนี้ขี้เกียจเช็ด เอาเป็นอันว่าแกไม่ให้ฉันไปช่วยใช่ไหม ดีงั้นเย็นนี้ฉันไปดูเครื่องนอนให้แกแล้วกันนะ”
“เออขอบใจวะเพื่อน”
“ไม่เป็นไรเพื่อนกัน .....ใครโทรมาวะเบอร์ไม่คุ้น”

พู่กันตอบเพื่อนชายก่อนจะดูหน้าจอมือถือที่กำลังส่งเสียงเพลงเรียกเข้ารอให้เธอกดรับสาย กรอกคำถามติสแตกเข้าไปทำเอาคนโทรมางงเหมือนกันว่ากำลังโทรหาใคร

“จะพูดกับใครคะ”
“คุณพู่กันอยู่ไหมคะ”

เสียงผู้หญิงตอบกลับมา คิ้วเรียวสวยขมวดเสียงไม่คุ้นแถมยังเรียกชื่อเธอถูกเสียด้วย

“กำลังพูดคะ”
“พู่กันนี่แก้มใสนะคะ อยู่ที่ไหนคะตอนนี้”
“อะอ๋ออยู่คะ เอ้ย..พู่อยู่ที่ร้านคะ เออ...แก้มใสมีธุระอะไรกับพู่หรือเปล่าถึงได้โทรมาหาแต่เช้าเลย”
“ก็คิดถึงนะสิคะ ไม่เจอกันอีกเลยนับตั้งแต่กลับจากสุราษฏร์ แก้มใสก็เลยอยากมาเจอมาคุยด้วยคะ”
“คิดถึง.....”

ตากลมโตขยายกว้างกว่าเดิม ปากบางอิ่มป่องเสียงครางขลุกขลักอยู่ในลำคอ หันไปมองก้องภพกำลังลงสีภาพวาดบนเฟรมอยู่ แวบนึงความคิดที่ไม่เคยคิดมาก่อนสว่างวาบเข้ามาในสมอง ปลายสายขานชื่อเข้ามาเมื่อหญิงสาวเงียบเสียงไป

“พู่กันยังอยู่หรือเปล่าคะ”
“อยู่ ๆ คะ แหะ ๆ ๆ เออแล้วตอนนี้แก้มใสโทรจากที่ไหนเหรอคะ”
“ตอนนี้แก้มใสอยู่หน้าร้านพู่กันงานศิลป์แล้วคะ แก้มใสกลัวว่าพู่ไม่อยู่เลยโทรถามว่าอยู่ที่ไหนน่ะคะ”
“เดี๋ยวพู่ออกไปรับนะคะ”

หลังจากปิดโทรศัพท์แล้วร่างบางเดินตัวปลิวออกไป พบแขกสาวยืนยิ้มรอตรงหน้าร้าน ยังไม่ทันได้ทักทายร่างเล็กถลาเข้ากอดแขนเรียว น้ำเสียงดีใจอย่างมากมายแต่คนฟังกลับรู้สึกทะแม่ง ๆ ในคำพูดของหญิงสาวผู้มาเยือน

“พู่กันจ๋าคิดถึงจังเลย คิดถึงทุกวันเลยคะ”
“ดะ เดี๋ยว ๆ แก้มใส เดี๋ยวๆ รู้จักร้านพู่ได้ไง”
“แก้มใสก็ถามจากพี่หนูนาสิคะ”

แก้มใสเอียงคอตอบอย่างน่ารัก สายตาที่มองมาอ่อนหวานจนพู่กันชักเริ่มเอะใจ เหมือนหลงเข้ามาอยู่ในโลกสีชมพู อาจจะเป็นเพราะแก้มใสเป็นคนอ่อนโยนจิตใจดีทำอะไรก็ย่อมหวานไปหมด

“กะแล้วเชียว”

เสียงงึมงัมอยู่ในลำคอ ครั้นรู้สึกตัวพู่กันรีบส่งยิ้มเจื่อนๆให้แก้มใสที่มองอย่างสงสัย พู่กันตีหน้ามึนใส่ก่อนจะเชื้อเชิญให้แขกสาวเข้าไปในร้าน สิ่งแรกที่พู่กันคิดจะทำคือการพาร่างอรชรไปอยู่ตรงหน้าก้องภพที่กำลังสนใจลงสีบนภาพเขียนอย่างใจจรดจ่อ

ก้องภพรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมอง จึงเหลือบตาขึ้นเจอสายตาสองคู่ที่มองเค้าอยู่ พู่กันกับแขกสาวที่ยืนมองดูการทำงานของเขาอย่างตรงหน้า เขาเห็นเพื่อนสาวของพู่กันมองผลงานเขาด้วยสายตาอ่อนโยนพร้อมๆกับมองมือเขาจับจ่ออยู่กับพู่กันสลับกับจานสี สายตาเลยไปที่พู่กันทำท่าส่งสัญญานบางอย่างให้เขารู้ ...อะไรของมันวะจิกตากลอกไปมาน่ารำคาญ....จิตรกรหนุ่มคิด..

“เออ..ก้องนายรู้จักเพื่อนของพู่หน่อยสิ นี่คือ แก้มใส เพื่อนที่ชมรมอาสาน่ะ แก้มใสจ๊ะ...ก้องภพเค้าเป็นหุ้นส่วนร้านพู่กันจ๊ะ”

พู่กันแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กันและกัน ก้องภพก้มหัวทักทายให้เพื่อนสาวของพู่กัน.....สวยน้อยกว่าไอ้พู่นิดหนึ่ง หนุ่มอาร์ตคิดเปรียบเทียบเสร็จสรรพ

“สวัสดีครับ”
“สวัสดีคะ”
“ถ้าแก้มใสอยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับศิลปะอะนะ ถามก้องภพเค้าได้เลย รับรองว่านายคนนี้จะตอบแบบหมดไส้หมดพุงเลยล่ะ”
“มันกำลังคิดทำอะไรของมันวะ ไอ้พู่”

ก้องภพมองเขม็งที่ใบหน้าหวานของเพื่อนรัก เมื่อได้ยินคำอวดอ้างสรรพคุณที่ไม่เคยชมมาก่อน ด้วยมารยาทจึงต้องยิ้มสำรวมให้กับหญิงสาวที่เกาะแขนพู่กันไว้แจเหมือนกับว่ากลัวแม่ติสจ๋าจะเผ่นหนีไปไหน

“ดีจังเลยคะพู่กัน รูปที่แขวนตามผนังนี่เป็นฝีมือของพู่กันหมดหรือคะ”
“ส่วนหนึ่งก็ของพู่อะจ๊ะ และก็อีกส่วนก็เป็นของก้องภพเขาเหมือนกัน”
“เหรอคะ ดีจังแล้วดูยังไงว่าภาพไหนเป็นของใครกันล่ะจ๊ะ”
“ดูจากลายมือชื่อข้างล่างฮะ”

ก้องภพตอบแทนเพื่อนรักที่พยายามขอตัวช่วยจากเขา จากที่สังเกตดูแล้วแขนข้างหนึ่งของพู่กันขาดอิสรภาพโดยสิ้นเชิงจากการเกาะเกี่ยวด้วยมือของหญิงสาวผู้มาใหม่ ในเวลาเดียวกันพู่กันทำหน้าอิหลักอิเหลื่อพิกล ทำให้เขาต้องมองหน้าเพื่อนสาวของพู่กันอย่างพิจารณา

“แก้มใสจะเดินทัศนารูปรอบๆ ร้านก่อนก็ได้นะคะ มีอะไรซักถามนายก้องภพเขาได้จ๊ะ”

พู่กันยัดเยียดอาชีพไกด์ให้เพื่อนรักได้อย่างหน้าตาเฉย ตากลมวาวขยับแพขนตาขึ้นลงส่งให้ก้องภพอย่างล้อเลียน

“ภาพวาดสวย ๆทั้งนั้นเลย พู่กันวาดเก่งมากเลยจ๊ะ แก้มใสไม่มีหัวทางนี้เอาเสียเลย แต่ก็สนใจอยากเรียนขึ้นมาเสียแล้วสิ”
“เอาสิ ถ้าแก้มใสอยากเรียนก็มาได้ตลอดเวลา ไม่หวงวิชาหรอกจ๊ะ”
“จริงๆหรือคะ แก้มใสถือเป็นคำเชิญแล้วนะ แก้มใสจะเป็นลูกศิษย์ที่ดีเลยคะ”
“เออ...วันนี้แก้มใสมีธุระอะไรกับพู่หรือเปล่า”
“แก้มใสแวะมายินดีกับพู่กันที่ประกวดวาดภาพได้รางวัลชนะเลิศ แถมโชคดีได้ไปเที่ยวถึงอิตาลีนะสิคะ”
“ไม่ใช่ใครแน่ ๆ พี่หนูนาบอกใช่ไหมนี่”

พู่กันนึกเข่นเขี้ยวพี่หนูนาในใจที่โพทนาเรื่องของเธอไปทั่ว ป่านนี้มิรู้กันหมดทั้งชมรมแล้วก็อาจเป็นไปได้ พี่หนูนานะพี่หนูนาเจ้าแม่โทรโข่งจริง ๆ ..

“คะ พี่หนูนาเล่าให้ฟัง ตอนนี้ทุกคนในชมรมเค้ารู้กันหมดแล้ว แก้มใสเลยรีบมาแสดงความยินดีด้วยตัวเองก่อนเป็นคนแรก แหมนอกจากจะเป็นอาร์ติสสุดเท่ห์แล้วพู่กันของแก้มใสยังเก่งมากมาย แบบนี้จะไม่ให้ชอบได้ยังไงกัน”
“มะไม่ต้องชอบ เอ้ย ไม่เก่งถึงขนาดนั้นหรอกคะ คงฟลุ๊คน่ะคะ สงสัยกรรมการตาถั่ว พู่เลยได้รางวัลมา แหะ ๆ ๆ”

ติสสาวรีบออกตัว เหล่ตามองดูก้องภพที่อ้าปากค้างกับคำพูดมั่นใจสุด ๆ ของแก้มใสที่เอ่ยชอบผู้หญิงด้วยกันอย่างหน้าตาเฉย ใจหนึ่งก็อยากจะดูลีลาคนถูกจีบซึ่งๆหน้าว่าแม่ติสจ๋าของเขาจะทำอย่างไร แต่พอเห็นอาการคนถูกยัดเหยียดให้กินบอระเพ็ดแล้วให้นึกสงสาร ดูท่าเจ้าหล่อนอยากจะหลุดช่วงเวลานี้เต็มกลืน จึงออกอุบายให้เพื่อนรักได้มีเวลาหายใจคล่องขึ้นมาบ้าง

“พู่กันตะกี้แกบอกว่าจะเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ”
“พูดตอนไหน...อะอ๋ออออออ ใช่ๆ พอดีแก้มใสโทรมาเลยลืม งั้นฉันขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“เออ ๆ ๆ รีบไปเดี๋ยวโรคปัสสาวะอักเสบก็ถามหาอีกหรอกแก”
“จริงหรือคะ พู่กันรีบเข้าห้องน้ำก่อนเถอะคะ แก้มใสจะรออยู่ตรงนี้แหละคะ”
“ขอบใจวะที่เตือน พู่ขอไปทำธุระก่อนนะคะ”


พู่กันรีบจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำ ติสตัวแม่มองหน้าตัวเองในกระจก ออกจะตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของแก้มใส คำพูดแปลกไปท่าทางก็ไม่เหมือนเดิมมันดูล้น ๆ พิกล ..พู่กันของแก้มใส เป็นตอนไหนวะ ...จะไม่ให้ชอบได้ยังไง เฮ้ยฟังแล้วเหมือนตัวเองกำลังถูกจีบ.... เพียงแค่คิดร่างบางถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ....เฮ้ยนี่อย่าบอกว่าแก้มใสเป็นพวกหญิงชอบหญิงนะ...ตาคมกลมโตเบ่งมองหน้าและร่างกายตัวเองในกระจกเพื่อหาความผิดปกติส่วนไหนของร่างกายที่อันเป็นที่เสน่หาของเพศเดียวกัน...พู่กันสั่นหน้าสยอง...



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *



“เจ้านายคะ คุณอิงอรมารอที่ห้องอิงตะวันแล้วคะ”
“ขอบใจ เดี๋ยวผมออกไป”

ร่างสูงเดินสง่าเชิ้ตสีฟ้าตัดกับไทด์สีดำขลิบน้ำเงิน ทำให้รูปร่างดูสูงโปร่งไปอีก ชายหนุ่มรับไหว้จากผู้มาเยือน อิงอรเลขาสมาคมโรงแรม มาพบเขาบ่อย ส่วนใหญ่ก็จะเอาเรื่องงานของสมาคมที่เขารับหน้าที่เป็นกรรมการฝ่ายกิจกรรม หญิงสาวจะเป็นคนนำข่าวมาอัพเดทให้ทราบในยามที่ต้องการการสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษนั่นก็หมายถึงเงินสมทบหรืออาจจะเป็นการสนับสนุนให้เป็นสปอนเซอร์ออกบูท และไปRoad show หากมีกิจกรรมการแสดงตามสถานที่ต่างๆ

“สวัสดีคะคุณพรหม อิงอรขอรบกวนเวลาซักครึ่งชั่วโมงนะคะ”

หญิงสาวขยับแว่นตาเล็กน้อยขจัดความประหม่า แค่แววตาเข้มที่มองมา แทบทำใจสาววัยสามสิบบวกเต้นแรงได้อีก ยิ่งริมฝีปากหยักนั่นอีกแม้ไม่พูดแต่ก็ดูมีเสน่ห์บุรุษให้ชวนสัมผัส เพราะใจคิดไกลทำให้คนคิดหน้าร้อน

“คุณอิงอร มีเรื่องอะไรให้ผมดำเนินการบอกมาได้เลย”
“เข้าเรื่องเลยนะคะ อาทิตย์ที่ผ่านมาทางสมาคมฯได้รับหนังสือจากการท่องเที่ยวฯให้สมาชิกสมาคมโรงแรมส่งตัวแทนออกงาน Road show ซึ่งทางการท่องเที่ยวได้จับมือกับสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เมืองนอก ความจริงงานนี้เริ่มมาได้พักใหญ่แล้วคะ มีกิจกรรมส่งเสริมหลายช่องทาง ที่ผ่านมาก็เป็นไปด้วยดีจะเหลือก็คงจะเป็นเรื่องการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศสมาชิกรวมถึงประเทศไทยด้วย การท่องเที่ยวได้สรุปให้แบ่งออกไปเป็นสี่ภาคเหมือนเดิมคะ พวกเขาได้ขอให้สมาคมโรงแรมฯทุกภาคคัดเลือกสมาชิกของสมาคมฯไปออกบูทฝั่งโน้นได้จัดเตรียมสถานที่ไว้แล้วคะ”
“ง่ายๆคือทางสมาคมอยากให้สมาชิกไปออกงานใช่ไหมครับ”
“ประมาณนั้นคะ ทางสมาคมเลยให้อิงอรมาคุยกับคุณเก็จพรหม อิงอรก็เห็นว่าคุณพรหมมีโรงแรมและรีสอร์ทอยู่ในเครือถึงสามแห่งถ้าจะออกบูทเดียวก็ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ที่คุ้มค่านะคะ”
“แล้วคุณอิงอรได้ถามกับสมาชิกท่านอื่นหรือยัง”

ชายหนุ่มยิงคำถามตรงๆ ที่เป็นธรรมต่อเพื่อนสมาชิกรายอื่นที่อาจสนใจในการออกงานโรดโชว์ในครั้งนี้ ให้มีสิทธิเท่าเทียมกันเขาไม่อยากให้กิจการเป็นที่เขม่นในกลุ่มเพื่อนสมาชิกด้วยกันเอง และพึงระลึกอยู่เสมอคนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ ทำธุรกิจเดียวกันย่อมมีศัตรูมากกว่ามิตรเป็นสัจธรรมของจริง

“ยังคะ...เออ อิงอรมาที่นี่เป็นที่แรกคะ”

เลขาสมาคมฯอ้อมแอ้มตอบเพราะเธออยากจะมาเสนอให้ชายหนุ่มเข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วยความหวังดี อยากให้สถานประกอบแห่งนี้มีลูกค้ามาเข้าพักเต็มทุกเทศกาล

“อืมม ผมว่าเอาเข้าไปในที่ประชุมก่อนดีกว่านะฮะ รู้สึกว่าวันนี้ทางการท่องเที่ยวฯเองก็จัดประชุมเหมือนกันยังไงก็บรรจุเป็นหัวข้อประชุมซะเลย สมาชิกรายใดสนใจก็จะได้สมัครไป”

เก็จพรหมเสนอแนะเพื่อให้มีสิทธิเท่าเทียมกันมากกว่าจะเห็นโอกาสมีควรรีบฉวย ทั้งยอดจองห้องพักในช่วง High Season ส่วนมากก็จะ Over booking อยู่แล้ว ไม่ต้องปวดหัวหาที่พักให้แขกยามที่ห้องมีไม่พอ

“แล้วคุณพรหมไม่คิดจะส่งเหรอคะ”
“ผมต้องคุยกับผู้บริหารท่านอื่นเหมือนกันก่อน ไป Road show แบบนี้ไม่ใช่แค่วันสองวัน น่าจะเกินครึ่งเดือนถึงจะได้ผล ค่าใช้จ่ายก็มากโขต้องเข้าที่ประชุมก่อน”
“เข้าใจแล้วล่ะคะ เดี๋ยวอิงอรจะรีบไปเพิ่มหัวข้อการประชุมของสมาคมส่งให้การท่องเทียวฯอีกที อิงอรขอตัวเลยนะคะ ...นี่คะเอกสารอิงอรเตรียมมาให้ ก็จะมีตั้งแต่กิจกรรมที่ทำไปแล้วและยังไม่ได้ทำคะ”
“ขอบใจครับ ผมขอดูเอกสารก่อนแล้วกัน ช่วงบ่ายเจอกันอีกครั้งนะครับ”
“คะ ลาล่ะคะ สวัสดีคะ”
“สวัสดีครับ”

เอกสารหนาเกือบยี่สิบหน้าถูกวางตรงหน้า ชายหนุ่มพลิกไปอย่างรวดเร็ว เขามองแค่ผ่านๆ เพราะถึงที่สุดแล้วก็ต้องประชุมกับเก็จแก้วพี่สาวก่อนว่าจะไปหรือไม่ กลุ่มเป้าหมายตรงตามวัตถุประสงค์ของโรงแรมหรือเปล่าก็ต้องคุยกัน มือหนารวบเอกสารทั้งหมดเดินกลับไปห้องทำงาน ชายหนุ่มหยุดยืนหน้าโต๊ะเลขา


“คุณพิมพรรณช่วยทำนัดคุณแก้วกับจีเอ็ม(GM) อีกสองโรงแรมในเครือให้ผมด้วย แจ้งว่าผมเชิญประชุม วันมะรืนนี้ที่ห้องประชุมเล็กเรื่องการทิศทางการตลาดของปีหน้า ถ้ามีประชุมอื่นๆในวันนั้นเลื่อนเวลาที่เหมาะสมแล้วกัน”
“ได้คะนาย”
“ยังไงคุณช่วยแจ้งคนขับให้ผมมารับผมเวลาบ่ายโมงครึ่ง”
“คะนาย เออนายขา...ตะกี้มีโทรศัพท์จากคุณจุมพิตาคะ เธอบอกว่าจะเข้ามาหาในครึ่งชั่วโมงนี้คะ”
“จูนหรือ?

เก็จพรหมพึมพำชื่อของคนที่โทรหาเขา สายตาเจ้านายของพิมพรรณสว่างไสวขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อ “จุมพิตา” เสียงที่สั่งเลขาสาวอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ คุณโทรจองโต๊ะที่ห้องเกวลินให้ผมหน่อย ขอติดระเบียงนะ”
“ได้คะนาย”


ที่เกวลินคอฟฟี่ชอป.....

หญิงสาวนาม จุมพิตา พารูปร่างระหงคล้ายนางแบบเดินคล้องแขนเก็จพรหมอย่างสนิทสนมเคียงคู่เข้าไปในคอฟฟี่ชอป ร่างสูงเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งแล้วอ้อมไปนั่งหัวโต๊ะหันหน้าออกไปทางทิศเดียวกันคือ Sea view มันเป็นมุมพิเศษสำหรับลูกค้าที่ต้องการเห็นภาพวิวทะเลกว้างไกลตัดกับขอบฟ้าลิบๆ สายลมพัดแผ่วเพิ่มความเย็นสบายโดยไม่ต้องพึ่งความเย็นทางวิทยาศาสตร์ เมื่อบริกรนำเครื่องดื่มเสริฟเรียบร้อย จะไปยืนรอจุดเคาท์เตอร์โดยไม่ทำลายความเป็นส่วนตัวของแขกที่มาใช้บริการ

“จูนมาเมืองไทยเมื่อไหร่ครับ”

เสียงทุ้มเอ่ยถามหลังจากที่มองหน้าแขกพิเศษมาแบบไม่รู้ตัว มือหนาเอื้อมไปจับมือบางดึงมากุมไว้อย่างถนอม ไม่ได้ทำมากไปกว่านั้นแต่ความรู้สึกมากมายแล่นไปทั่วร่างอรชร ใบหน้าที่ตกแต่งไว้งดงามยังคงเหมือนเดิม สายตาคมหวานไหวระริกถ้าสังเกตสักนิดจะเห็นน้ำใสบางฉาบไล้ในดวงตาคู่สวย เพียงแต่เจ้าของกระพริบไล่ให้เหือดแห้งไปโดยเร็ว

“สองวันที่แล้วคะ คุณยังเหมือนเดิมนะคะพรหม ไม่เปลี่ยนเลย ยังหล่อกระชากใจสาวๆเช่นเคย”
“จูนพูดแบบนี้ทำให้ผมเขวรู้ไหม”
“อย่ามาทำพูดดีไป อย่านึกว่าจูนจะเชื่ออะไรง่ายๆนะจ๊ะ”
“ซะงั้น เกลียดคนรู้ทันจริงๆ ... ว่าแต่มาคราวนี้ มาอยู่กี่วันล่ะฮะ”
“สองอาทิตย์คะ มาพักผ่อนให้หายเครียดแล้วค่อยกลับไปสู้ต่อ”
“มีอะไรหรือเปล่าฮะ”

น้ำเสียงสัมพันธ์กับสายตาหมายถึงความห่วงใย หากแต่หญิงสาวเลือกที่จะหัวเราะเบา ๆ ติดหยันที่ปลายเสียงขื่น ก่อนที่จะเปลี่ยนท่าทีร่าเริงเช่นเดิม

“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ ว่าแต่พรหมจะเลี้ยงอะไรจูนล่ะคะเที่ยงนี้”
“จะเอาแบบเดิมหรือว่าเปลี่ยนรสชาติดีล่ะฮะ”
“ขอรำลึกความหลังก่อนแล้วกันนะพรหม”
“งั้นจัดไป”
“น่ารักไม่เปลี่ยน”
“เราเหมือนกันมิใช่เหรอฮะ”
“อย่าถือว่าเป็นความผิดของจูนคนเดียวสิจ๊ะ ตบมือข้างเดียวไม่ดังนี่พรหมก็รู้”
“นั่นสินะ”


ระหว่างที่รออาหารทั้งสองคุยเกี่ยวกับการทำงานของแต่ละฝ่ายและสารทุกข์สุกดิบ จุมพิตาเป็นอดีตคนรักและเกือบจะแต่งงานกันอยู่แล้วถ้าหากหญิงสาวไม่บอกเลิกเพื่อไปแต่งงานกับมหาเศรษฐีชาวรัสเชียเจ้าของเหมืองเพชรตามความต้องการบิดา เก็จพรหมไม่โกรธที่หญิงสาวเลือกครอบครัวแทนที่จะเลือกเขา ความเจ็บปวดย่อมมีอยู่แล้ว แต่สติทำให้เขาเคารพการตัดสินใจของอดีตคนรักทำให้เป็นการจากกันด้วยดี และทุกวันนี้เธอและเขายังเป็นเพื่อนกันไม่เปลี่ยนแปลง

เก็จพรหมดูเม็ดเหงื่อเล็กๆที่เกาะปลายจมูกเล็ก เสียงปากจิ๊ดจ๊าดและสูดจมูกฟุดฟิดเพราะอาหารแต่ละอย่างที่สั่งมาเผ็ดองศาเดือด กระดาษเช็ดปากถูกใช้งานมากมายเช็ดตั้งแต่น้ำตา น้ำมูก และเม็ดเหงื่อที่ไหลเกาะตามใบหน้าและลำคองาม ดวงตาคมเข้มไหววูบเมื่อใจไขว่นึกถึงหญิงสาวอีกคน เธอก็มีอาการแบบนี้เช่นกัน เหงื่อไหลตามแก้มเนียน พื้นผิวบนใบหน้าแดงระเรื่อไม่ใช่เพราะอายแต่เพราะความเผ็ดร้อนของพริก ปากบางอิ่มแดงจัดเจ่อดูเซ็กซี่น่าจูบมากกว่าน่าสงสาร เสียงเรียกแว่วปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์

“พรหม.. พรหม... ถามทำไมไม่ตอบ ฝันกลางวันอยู่หรือไง”
“อะ..อะไรนะจูน จูนถามผมว่าอะไร”
“จูนถามพรหมว่า บ่ายนี้มีธุระที่ไหนหรือเปล่าคะ”

จุมพิตาส่งค้อนหวานใส่เพื่อนหนุ่ม อดขำใส่คนนั่งเหม่อลอยไม่หาย .... นี่เขาเห็นเงาพู่กันทำท่าเผ็ดร้อนทับซ้อนร่างหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มโคลงศีรษะลูบท้ายทอยไปมา....เป็นเอามากแล้วไอ้พรหม....

“มี.. มีฮะบ่ายสองผมมีประชุมนอกโรงแรม”
“จู่ๆ พรหมก็เงียบ เอ....หรือว่ากำลังนึกถึงใครเอ่ย คุยอยู่แท้ๆ แล้วใจเหม่อลอยแบบนี้....ข่าวดีใช่ไหมจ๊ะ”
หญิงสาวเอียงคออย่างน่ารักส่งยิ้มสวยให้เก็จพรหม ขัดกับรอยหม่นในตาคู่สวยที่เจ้าตัวขจัดออกไปโดยเร็ว

“เปล่า ผมเห็นจูนมีความสุข ก็อยากเก็บเวลาดีๆไว้ก็เท่านั้นเอง”
“อื้อใครเชื่อก็เป็นลาโง่ล่ะจ๊ะ ปากหวานไม่เปลี่ยนจริงๆนะพรหม อุ๊ยตาย เผลอแป๊บเดียวจะบ่ายสองแล้ว จูนขอตัวกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวพรหมจะไปประชุมไม่ทัน”

ตาคมหวานนั้นค้อนจริตให้กับอดีตคนรัก คำพูดอ่อนหวานเอาใจยังเหมือนเดิม ทำให้ใจเธออิ่มเอมเติมเต็มช่องว่างจากความเหนื่อยล้าที่อยากหลีกหนี นิ้วเรียวยาวแตะแขนชายหนุ่มอย่างสนิทสนมเมื่อเอ่ยปากลา

“ผมยังเป็นคนเดิมนะจูน”

เสียงทุ้มบอกความหมายให้หญิงสาวได้รู้ว่าตัวเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง คำพูดที่เกิดจากอารมณ์อ่อนไหวในวันนี้ไม่รู้เลยว่ามันจะสร้างปัญหาหัวใจเขามากมายในอนาคต.....

“ถ้าวันใดจูนหวั่นไหวขึ้นมา พรหมต้องรับผิดชอบ”


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎


High Season : ฤดูที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ภาคใต้ :ช่วงหน้าร้อน ตุลาคม - เมษายน ภาคเหนือ : ช่วงฤดูหนาว ดอกไม้บาน อากาศเย็น
Road show : การกิจกรรมต่างๆไปในพื้นที่ต่างๆ
Over Booking : ตามศัพท์ของโรงแรมคือการจองห้องพักเกินกว่าที่จำนวนห้องมีอยู่เป็นการบริหารงานด้านจองห้องไม่ดี
GM : General Manger : ผู้จัดการทั่วไปตำแหน่งสูงที่สุดในโรงแรม




Create Date : 06 กันยายน 2554
Last Update : 6 กันยายน 2554 13:39:16 น.
Counter : 823 Pageviews.

8 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส - ติสสาม
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *

*.:。✿* ติสสาม *.:。✿*゚¨゚✎




เก็จพรหมมองร่างเล็กเดินไหว ๆ ตามพี่สาวและเพื่อนสนิทเดินดูของสดในตลาด เช้านี้พู่กันแต่งตัวเหมือนเด็กทอมบอยไม่มีผิด หล่อนสวมรองเท้าผ้าใบ เอี๊ยมยีนส์กางเกงขาสั้นสวมทับเสื้อยืดสีขาวข้างใน ผมยาวมัดจุกเหมือนพวกบูชิโด เวลาหญิงสาวเดินจะได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งจากข้อมือบาง เขายังนึกขำตัวเองเมื่อตอนที่พี่สาวเข้ามาปลุกให้เขาตื่นเพื่อเป็นสารถีขับรถส่งมาตลาด ถ้าไม่เพราะชื่อของหญิงสาวผู้นี้ เขาก็คงนอนอุตุอยู่บนเตียง

“ พรหม ๆ ไปส่งพี่ไปตลาดทีสิจ๊ะ”
“คนขับรถไม่อยู่หรือครับพี่แก้ว ผมยังง่วงอยู่เลย”
“ตื่นเร็ว พี่อยากให้เราไปช่วยถือของ พี่หนูนากับพู่กันรออยู่ เดี๋ยวสาย”
“........ขอเวลาห้านาทีฮะพี่แก้ว”

ดูสิ...เจ้าหล่อนสนุกเป็นเด็กซน ๆ เดินตลาดเหมือนคุ้นเคย ปรู๊ดปร๊าดไปนั่นนี่ ใบหน้ามีรอยยิ้มระรื่น คอยถามนั่นนี่ตลอดเวลา โดยเฉพาะตากลมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยความแวววาวผ่านแพขนตายาวยามที่ถูกใจ เหมือนผีเสื้อขยับปีกไปมาชวนให้คอยมองตาม

“พรหมมาช่วยน้องถือของหน่อย”
เก็จพรหมกระพริบตาตื่นจากภวังค์จากเสียงเรียกของเก็จแก้ว เขามองข้าวของในมือของพู่กันกับของเขามันมากพอๆกัน พู่กันเห็นสายตาของชายหนุ่มแล้วชิงเสนอแนะ

“พู่ว่า เอาไปเก็บที่รถก่อนดีไหมคะ ..มันหนักใช่ย่อยเลย”
“ดีเหมือนกัน คุณแบ่งถุงให้ผมก่อนดีกว่า”
“ไม่เป็นไร เรารีบไปเถอะคะ มัวแต่ยืนตรงนี้ ไม่ช่วยให้เบาขึ้นทั้งคุณและฉันเลยนะคะ”
“งั้นตามผมมา”

พู่กันเดินตามคนร่างสูงก้าวยาว ๆ ช่องทางเดินแคบพอเดินได้คนเดียว คนตัวเล็กต้องคอยมองแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไปทุกที ..ตาคมปาค้อนปักหลังชายหนุ่ม เป็นระยะ ในใจค่อนขอดคนร่างสูงขายาว ปากบางขมุบขมิบนินทาคนข้างหน้าเบา ๆ

“อีตาบ้านี่ไม่ยอมรอเลย เห็นว่าขายาวกว่าได้เปรียบล่ะสิ ดูแล้วกันก้าวแต่ละทีเท่ากับสองก้าวเราเลย...เช้อออออ”
“พู่กัน...หนักไหมแบ่งมาให้ผมบ้างก็ได้นะ”

คนร่างสูงหยุดรอตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะได้ยินเธอบ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ร่างบางเบรคแทบไม่ทัน ตากลมโตเบิกกว้าง ตีหน้ามึนใส่หนุ่มหน้าเข้ม แต่หนนี้พู่กันยอมแบ่งสัมภาระในมือข้างหนึ่งให้ชายหนุ่ม สะบัดนิ้วมือให้หายเมื่อย โดยไม่สบตาเขา จึงมองไม่เห็นแววขันจากตาคมกล้านั้น ....ก็ใครจะไปรู้หล่ะว่าเจ้าหล่อนทำเป็นเก่ง

“เร็วสิคุณ ถึงฉันจะถือของเบาลง แต่มันก็ยังหนักอยู่นะ แล้วอีกไกลไหมคะรถที่จอด”
“เดินอีกนิดก็ถึงแล้ว นั่นไงฮะ”

ทั้งคู่เดินมาถึงที่รถจอด แต่ยังไม่สามารถเปิดท้ายรถเพราะกุญแจอยู่ในกระเป๋ากางเกงชายหนุ่ม ครั้นจะวางของก็ไม่ได้เพราะบริเวณนั้นมีน้ำขังเป็นบริเวณกว้าง ท่าทางรีรอของคนร่างสูง ทำให้พู่กันหงุดหงิดเพราะของที่ถืออยู่เริ่มทำให้มือเธอชา ตาดำขลับตวัดขึ้นมองใบหน้าคมเข้มนั้นอย่างสงสัย

“เร็วสิคุณ กดรีโมทเปิดรถสิ จะได้เอาของไปเก็บ มัวรออะไรอยู่”
“คือกุญแจมันอยู่ในกระเป๋ากางเกง”
“แล้วไง”
“คุณล้วงกุญแจออกมา แล้วกดเปิดให้ผมที”
“ห๋า! ....อะไรนะ ”

ปริ๊ดแรกที่พู่กันตะโกนออกมาดังๆ เงยหน้ามองคนตัวสูงย้ำว่า หูฉันฟังไม่ผิดใช่ไหม เมื่อสายตาเข้มยืนยันกลับไป ทำเอาหน้าเนียนแดงก่ำ หลุบตาต่ำดูกระเป๋ากางเกงชายหนุ่มอย่างไม่ตั้งใจ พู่กันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น หาทางเลี่ยงทันที

“... คุณวางของก่อนสิ”
“วางได้ไง คุณไม่เห็นเหรอน้ำเจิ่งนองขนาดนี้”
“เอางี้คุณแบ่งของมาให้ฉันถือก่อนก็ได้”

หญิงสาวเหลียวดูรอบตัว น้ำท่วมอยู่เต็มไปหมด ถ้าเอาของวางคงจะสกปรก มองดูของที่ชายหนุ่มถือก็เหมือนกันหนักกว่าเธอเยอะหลายเท่าตัว

“ไม่ไหวหรอกของผมหนักกว่าคุณเยอะ”
“คือ...ฉัน..ฉัน”

พู่กันอึกอัก...หน้าตาแดง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยที่จะต้องล้วงกระเป๋ากางเกงผู้ชาย อย่าว่าแต่พ่อเลย แล้วนี่เป็นผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่หน เสียงเร่งเร้าของเก็จพรหมทำเอาใจสาวติสเต้นแรง

“เร็วสิคุณ ผมหนักนะ ”

ปากบางขบเม้มเหมือนกำลังชั่งใจ เหลือบดูหน้าคนตัวสูง พบแววตาเคร่งขรึมมองมา หญิงสาวพยักหน้าทำตามคำขอร้องของเก็จพรหม มือบางถ่ายของรวมอยู่ในมือเดียวกัน แล้วมองหากระเป๋ากางเกงชายหนุ่ม เสียงเล็กเหวี่ยงใส่คนที่ยืนทำหน้าซื่อไม่รู้ไม่ชี้

“แล้วมันอยู่กระเป๋าไหนหล่ะคุณ”
“ข้างซ้ายครับ”

ชายหนุ่มเอียงตัวให้พู่กันหยิบได้ถนัด พู่กันถอนหายใจดัง ๆ พลางพยักหน้าเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง มือบางค่อยสอดเข้าไปในกระเป๋า ตามองไปทิศอื่นที่ไม่ใช่หน้าเข้มของชายหนุ่ม เลือดสาวฉีดพุ่งขึ้นทั่วหน้าเมื่อนิ้วเรียวเล็กเบียดต้นขาเพรียวของชายหนุ่มเข้าไป มือน้อยค่อยสอดจนถึงก้นกระเป๋า พบแต่ความว่างเปล่า ไม่มีกุญแจรถ จึงรีบชักมือออกเหมือนถูกของร้อนจัดนาบ ถลึงตากลมวาวใส่คนร่างสูง

“ไม่มี”
“ขอโทษฮะ ผมลืมว่ามันอยู่กระเป๋าขวา นี่ฮะ”

เก็จพรหมตีหน้าขรึมซื่อ มองตาพู่กันแสดงความบริสุทธิ์ใจ ก่อนจะหมุนตัวอีกข้างให้พู่กันล้วงเข้าไปใหม่ ทำมองไม่เห็นสีหน้าอึดอัดของหญิงสาว ไม่ได้คิดแกล้งแม่ติสจ๋าหรอก แค่อยากจะรู้ว่าเธอจะทำอย่างไรถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ ถามตัวเองว่า....... แกเป็นอะไรไปนี่นายเก็จพรหม แกไม่เคยต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรกับผู้หญิงมาก่อนมิใช่หรือ...... ประกายตาเข้มวาบเมื่อมือน้อยที่สอดเข้าไปในกางเกงที่มีทั้งมือถือและกุญแจรถอยู่รวมกัน หางตาเขาเห็นแก้มของพู่กันสุกปลั่ง มุมปากหยักยิ้มผินหน้าไปทิศอื่น แน่นอนคราวนี้ไม่พลาด นิ้วเล็กๆล้วงเจอกุญแจ อารามดีใจจึงรีบดึงออกมาอย่างเร็วทำให้มือถือหลุดตามออกมาด้วย ทั้งคู่ตะลึงมองดูไอโฟนเครื่องสวยออกจากกระเป๋าหล่นลงน้ำ แม้น้ำจะไม่มากแต่มันก็ท่วมเจ้าเครื่องบางอยู่ดี

“จมน้ำแล้วคุณ!”

พู่กันรีบเงยหน้า ตาดำขลับขยายกว้าง อุทานเสียงดัง หันซ้ายขวา สมองไวพอๆกับมือกดรีโมทเปิดกระโปรงรถ รีบวางสัมภาระโดยเร็ว ก้มหยิบมือถือเครื่องสวยของเก็จพรหม สะบัดน้ำและเช็ดบนเอี้ยมป้อย ๆ สีหน้าสาวติสตอนนี้ไม่สบายใจอย่างสุด ๆ ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดตัวเครื่องบางเฉียบตอนนี้เปียกชุ่มน้ำ เงยหน้ามองเจ้าของเครื่องซึ่งยืนมองมือถืออย่างไม่เชื่อสายตา ส่งสายตาละห้อยตามด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดอย่างมากมาย

“เปียกหมดแล้วคุณ ทำไงดี”
“ไม่เป็นไร มันคงใช้ได้อยู่หรือเปล่านี่สิ”
ปากบอกไม่เป็นไรแต่ถามกลับมานี่สิ ทำเอาคนฟังใจแป้ว

“ทำไงถึงจะรู้อะ”
เกิดสมองหนาปัญญาทึบขึ้นมากะทันหันทั้งๆ ที่มันควรจะแล่นฝุ่นตลบไปหลายพันลี้เหมือนที่เคยเป็น

“คุณลองโทรเข้าเครื่องผมดูแล้วกันว่ายังรับได้อยู่หรือเปล่า”
เจ้าของเครื่องเสนอด้วยใบหน้าขรึม ตาเข้มเหลือบด้วยหน้าสวยของพู่กัน แววตานิ่งมองลึกเข้าไปในตากลมโตรอจ้องแทบไม่กระพริบ

“ได้ ๆ แล้วคุณคิดว่ามันจะทำงานหรือเปล่าล่ะ”
พู่กันแสดงความเซ่อซื่อไม่เลิก จนเจ้าตัวยังแปลกใจในเวลาต่อมา

“ลองดูก่อนแล้วกัน”
เก็จพรหมตอบเสียงแผ่วเหมือนเสียดายของรักไม่ปาน หลุบตาต่ำซ่อนแววตาไหวระริกบนมือถือที่หญิงสาวยื่นให้ ชายหนุ่มเอื้อมมือรับ ลูบไล้ไปมาอย่างถนุถนอม พู่กันรีบพูดก่อนความรู้สึกอื่น ๆ จะเข้ามามากกว่าแค่รู้สึกผิด

“คุณก็บอกมาสิว่าเบอร์โทรของคุณอะไร”




*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


เก็จพรหมมองไปรอบ ๆ บริเวณโรงแรมจากระเบียงห้องทำงาน รีสอร์ทหรูแห่งนี้เป็นกิจการของครอบครัว ที่ใช้เวลาและประสบการณ์ในการบริหารมาตั้งแต่รุ่นบิดาทำไว้ให้ สำหรับเขาย่างเข้าปีที่ 5 ได้เข้ามาบริหารอย่างเต็มตัว นับจากจบบริหารการโรงแรมจากประเทศอังกฤษ เป็นยุคถ่ายอำนาจจากรุ่นพ่อสู่ลูก เขาเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ไม่ใช่แค่มีฝีมือเรื่องการบริหารโรงแรมที่มีอยู่ในเครือถึงสามแห่ง แต่เขายังเป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์สำหรับสาวๆไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาความรู้และฐานะ บวกกับบุคลิกนิ่งสุขุม ย่อมเป็นความฝันของสาวน้อยสาวใหญ่ทุกคนที่อยากจะพิชิตใจแต่ยังครองตัวเป็นโสดมาตลอดเพราะไม่เคยเจอคนที่ถูกใจจริง ๆ สำหรับเก็จพรหมแล้วก็เหมือนผู้ชายทั่วไปยามเล่นเที่ยวเขาใช้ชีวิตตามที่ใจต้องการ สุดเหวี่ยงสุดคุ้มค่า แต่เมื่อไหร่ที่อยู่ในโหมดทำงานก็จะกลายเป็นคนละคนจริงจังดุดันไม่น้อย ไหวพริบแพรวพราวจนเป็นที่โจษจันในวงการธุรกิจเดียวกัน


ร่างสูงสง่าผึ่งผายยืนพิงระเบียงจากห้องทำงาน มองไปข้างหน้า ณ ท้องทะเลเวิ้งว้าง ลำแสงสีทองไล้ผิวน้ำทะเลกระทบกับระลอกคลื่น ปรากฏประกายระยิบระยับยามเย็น สายลมพัดแผ่วปะทะหน้า ทะเลยามเย็นช่างดูโรแมนติกแต่ทำไมเขารู้สึกเหงาเสียเหลือเกิน ไม่ใช่สิ......ปกตินายเก็จพรหมควรจะพูดกับตัวเองว่า บรรยากาศอย่างนี้น่าจะพลพรรคมาดื่มมากกว่า แต่ทำไมวันนี้เขาไม่มีใจที่จะออกไปไหน แล้วนึกยังไงทำไมต้องมายืนจ้องแสงสุดท้ายของวันแบบนี้


ชายหนุ่มหลับตาสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ ใจตวัดนึกไปถึงแม่สาวตาคมกลมโตที่ชื่อพู่กัน... ยังจำสายตาแวววาวภายใต้แพขนตายาวหนา ยามเธอทอดมองมาทำให้ใจไหวยวบ ไหนจะลักยิ้มมองแล้วเพลินตาเมื่อแต้มบนมุมปากอิ่ม แทบไม่อยากถอนสายตาออกจากหน้าใสตอนที่หัวเราะจนตาหยีโชว์เขี้ยวเล็ก ๆ แค่นี้สามารถทำเขาให้ลืมหายใจ ร่างบางน่ารักน่าถนอมแต่กลับปราดเปรียวคล่องตัว ดูท่าเจ้าหล่อนไม่ต้องการให้ใครดูแล เก็จพรหมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว


เสียงริงโทนดังขึ้นปลุกดึงสติเก็จพรหมกลับมา ปลายสายแทรกเสียงดังเข้ามาจนต้องดึงมือถือออกห่าง คิ้วเข้มขมวดแล้วคลายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันศุกร์ ส่ายหน้ากรอกเสียงระอาตอบกลับไป

“อะไรของแกวะ ยังไม่ค่ำเลย”
“ก็จะรอให้มันค่ำทำไมวะ สลัว ๆ อย่างนี้แหละเห็นชัดกว่ากลางคืนอีก”
ลภณส่งเสียงห้าวกรอกเข้าหูกลับมา

“รีบมาโว้ยพรหม สเปกนายตรึมเลยวะ”

เสียงภวัตโวกเวกตามเข้ามาอีกเสียงก่อนจะปิดโทรศัพท์ ชายหนุ่มมองดูแสงสุดท้ายของวันนี้ริบหรี่ตรงขอบฟ้าจรดขอบทะเล พร้อมกับถามตัวเองว่าสเปกของเพื่อนๆที่พูดมาคงไม่พ้น ประเภทสูงยาวเข่าดีและเนื้อนมไข่ แต่ทำไมภาพสตรีร่างอรชรบอบบาง ตากลมโต กลับซ้อนขึ้นมา เก็จพรหมส่ายหน้ากับอาการแบเบลอของตัวเขาเอง

กว่าจะไปตามคำเรียกร้องของเพื่อนๆได้ เก็จพรหมไปถึงที่นั่นเกือบสามทุ่ม โต๊ะประจำตอนนี้นอกจากมีเพื่อนหนุ่มของเขาสองคนแล้วยังมีหญิงสาวอีกสามคนนั่งอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นร่างสูงเดินตรงเข้ามาทั้งสามสาวต่างกรูเข้ามาเหมือนแย่งของหวาน เสียงหัวเราะหยันของสองหนุ่มตามหลังมาติด ๆ เพราะยังไงเขาทั้งคู่เป็นได้แค่พระรองนั่นเอง

“คุณพรหมขา ทำไมมาช้าจังคะ”

แม่สาวชุดแดงฉะอ้อนถามปรือตาเยิ้มให้กับเก็จพรหม ส่วนสาวอีกคนไม่ยอมน้อยหน้าถลากอดร่างสูงพร้อมกับเบียดร่างอวบแนบชิดแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน และแน่ล่ะคนสุดท้ายย่อมจัดหนักกว่าใคร เธอเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเอื้อมมือดึงเนคไทค์สีสวยและทำในสิ่งที่หญิงสองคนไม่ทำนั่นคือยืดตัวชะโงกหน้าเข้าไปจุมพิตแก้มสากไม่แคร์ว่าสีลิปสติกติดที่แก้มทั้งซ้ายขวา สายตาหวานเยิ้มเชิญชวนอย่างมั่นใจในเสน่หาที่โปรยเอาไว้

“รออยู่ตั้งนาน จะเล่นตัวไปถึงไหนคะพรหม”

นนนี่สาวสวยที่สุดในกลุ่มเอ่ยถามหลังจากฝากตราจองบนหน้าหล่ออย่างสมใจ ตางามซึ้งผลพวงจากการปัดมาสคาร่าทำให้ขนตายาวงอนเด้งมองแล้วเพลินตา

“นั่นสิคะ ร้ายจริงเชียวคุณพรหมนี่ ”
สาวอีกนางดัดเสียงเล็กเสียงน้อยต่อว่าต่อขานชายหนุ่มจริตจะกร้านแพรวพราว

“เพิ่งเสร็จธุระที่บ้านฮะ”

เก็จพรหมพูดขึ้นหลังจากทรุดนั่งโดยมีสามสาวนั่งเบียดกระแซะแทบไม่มีช่องว่างเหลืออยู่เลยทั้งสองข้าง ภวัตขยิบตาเป็นคำถามรู้กันว่า สเปกของนายหรือของฉันกันแน่

“ที่บ้าน?”
ณภิณถามแทรกขึ้นมาพลางซบหน้าไหล่หนา

“วีซ่า ไม่ออกหรือคะ?”

พลอยแพรสาวชุดแดงเหยียดปากกระเซ้าถาม ยื่นมือเชยคางสากแล้วลูบไล้ยั่วเย้า เก็จพรหมดึงมือออกอย่างสุภาพยิ้มกว้างเข้าใจความหมายคำถามเป็นอย่างดี โดยไม่ได้ตอบแต่อย่างใด

“เป็นไปได้ไงยายพลอย ก็คุณพรหมของพวกเรายังไม่แต่งงาน แล้วจะขอวีซ่าจากใครกันล่ะจ๊ะเธอ”

นนนี่พูดพลางสอดมือเกาะเกี่ยวแขนแข็งแรง เบียดความอวบหยุ่นลงบนต้นแขนอย่างจงใจ บอกเป็นนัยว่าค่ำคืนนี้เธอพร้อมที่จะไปทุกที่กับชายหนุ่ม เก็จพรหมขยับตัวเล็กน้อย แต่ไม่วายที่จะหว่านเสน่ห์ชายด้วยการเสยผมที่ตกลู่ลงมา เสียดสีกับก้อนเนื้อหยุ่นอย่างจงใจ ส่งสายตาเข้มพราวระยับอย่างรู้เท่าทันกันและกัน ตามด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ชายหนุ่มยกแก้วเบียร์ชูให้ลภณและภวัต ทั้งสามชูแก้วเป็นที่รู้กันว่าคืนนี้คงไม่มีใครนอนเหงาอย่างแน่นอน



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *




“เป็นไปได้ไงวะแก ไม่มีกิจกรรมอะไรมันส์ๆ ในคืนวันศุกร์นี่นะโว้ยไอ้พรหม”

ลภณโวยวายใส่เก็จพรหมกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาหนากลางห้อง หลังจากที่ทั้งสามออกจากผับมาต่อกันที่ห้องชุดคอนโดหรูใจกลางเมืองภูเก็ตของภวัตโดยไร้เงาของสามสาว

“เออ แล้วไงมันจะลงแดงตายหรือไงวะ ไม่ได้จิ้มสักคืนน่ะแกไอ้ภณ”

ภวัตพูดขึ้นหลังจากกระดกน้ำสีอำพันสาดเข้าไปในลำคอ ในบรรดาสามคนนี้ ภวัตถือว่าเป็นพี่ใหญ่ที่สุดในทีมทั้งนิสัยออกจะนักเลงกว่าใคร นอกจากความเป็นเพื่อนแล้วอนาคตเขากำลังจะแต่งงานกับเก็จแก้วนั่นหมายถึงมีศักด์เป็นว่าที่พี่เขยของเก็จพรหม ลึกซึ้งไปกว่านั้นด้านธุรกิจ ภวัตคือนายหัวของบริษัททัวร์ที่ส่งแขกป้อนให้กับโรงแรมทั้งสามแห่งของเพื่อนรุ่นน้อง ประมาณว่าเอื้อทั้งทางธุรกิจและส่วนตัว หลายครั้งที่เก็จพรหมขอคำแนะนำจากเพื่อนรุ่นพี่คนนี้และประสบความสำเร็จทุกครั้งไปเช่นกัน

“ก็แหม...ของมันเคย แล้วไม่ได้มันก็เหมือนขาดอะไรไปนะสิพี่วัต คืนนี้ต้องเฉาตาย น่าสงสารจริงๆ ลูกพ่อ”

ลภณพูดลดสายตาละห้อยตรงตำแหน่งของคำลงท้าย ทำเอาเก็จพรหมส่ายหน้าหัวเราะขำเสียงโอดครวญของคนไม่ได้ขึ้นสวรรค์ของลภณ เขาเอื้อมมือไปบีบไหล่คุดคู้ของเพื่อนรักพลางกลั้วหัวเราะระหว่างที่เอ่ยสัจธรรม

“อดเสน่หาเขาว่าบ่วางวาย”
“แต่ข้าคงตายด้าน หากขาดกิจกาม”
“เป็นเอามากเลยนะแก ไอ้บ้าภณ เพลา ๆ ซะบ้างก็ดีนะแก โรคถามหาเมื่อไหร่แกจะรู้สึก”
“พี่วัตฟังไอ้พรหมมันพูดดิ เหมือนจะเตรียมตัวไปห่มผ้าเหลืองอย่างนั้นแหละ”
“พี่ว่าพรหมพูดถูกนะ ไม่ใช่แค่โรค แต่อาจจะได้แม่ของลูกแบบไม่ได้ตั้งใจ พี่ว่านายเองคงไม่อยากเจอเหตการณ์นี้หรอกนะ”
“ถ้ารักสนุกก็ต้องรู้จักป้องกันตัวสิครับ คุณคอนดอมตัวช่วยไม่เคยห่างกระเป๋าผมเลยนะ ไม่เชื่อเดี๋ยวเปิดให้ดู”
คนเถียงคำไม่ตกฟากขยับก้นเพื่อล้วงเอากระเป๋า เก็จพรหมยกมือห้ามบอกส่งๆ ไปถึงเหตุผล

“ไม่ต้องหรอกฉันเชื่อแกวะ ไอ้ภณ เอาเป็นว่าคืนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ไปกับผู้หญิงคนไหน”
“อะไรวะ นึกเกิดหวงตัวขึ้นมา หรือว่าแกเกิดไปปิ้งใครเข้า เลยอยากถนอมตัวสำหรับเธอคนเดียว”

เป็นครั้งแรกที่ภวัตหันมองดูหน้าหล่อเหลาของเก็จพรหม ใช่สิเขาลืมสังเกตว่าวันนี้เพื่อนรุ่นน้องของเขาไม่รื่นเริงตามประสาหนุ่มโสดเหมือนที่ผ่าน ๆมา ในมุมสลัวทุกครั้งมักจะตอบสนองอย่างเต็มที่กับการหยิบยื่นเสนอของสาว ๆ เขามักได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักถูกอกถูกใจของแต่ละนางตลอดเวลา หากแต่ค่ำคืนนี้กลับได้ยินคำห้ามปรามเสียงกระเง้ากระงอดออดอ้อนและต่อว่า เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองจากหนุ่มผู้นี้

“เปล่า แค่อยากห่างๆเรื่องพวกนี้ก็เท่านั้นเอง”

เก็จพรหมพูดเรื่อยๆ สายตาโฟกัสไปที่ไหนสักแห่ง...ความว่างเปล่าที่ตรงนั้นมีเงาของใครบางคนซ้อนขึ้นมา ภาพโบกมือลาเสียงหัวเราะยังก้องในโสต ท่าทางเหี่ยวเฉาและคำตอบของเพื่อนรักทำให้ นภณหัวเราะก๊ากออกมา

“ฮะ ๆ ๆ ๆ ไอ้พรหม เหมือนเพลงขอห่างสักพักเลยวะพรหม ไหนแกลองบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าใครหรืออะไรทำให้นายเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นคนก็ต้องเป็นหญิงสาวสวยหยาดเยิ้มใช่ไหมล่ะ”
“บางทีพรหมอาจจะรู้สึกเบื่อจริงๆก็ได้”
“กิเลสคนเรามันจะหมดง่าย ๆ เชียวหรือฮะ โดยเฉพาะวัยอย่างคึกคักอย่างพวกผมนี่”
“ถ้าแกอยากมากๆ แกก็ไปเองได้นี่หว่า ไม่จำเป็นต้องมีฉันเลย”
เก็จพรหมพูดเนือยๆ บอกเพื่อนให้ทำตามความต้องการไม่ต้องกังวลเรื่องของตัวเอง

“ได้ไงวะ แกเป็นเพื่อนฉันนะโว้ย มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมแก้ ไม่ใช่ทิ้งไปมีความสุขคนเดียว”
“ฉันไม่นิยมสวิงกิ้งนะไอ้ภณ”
“กะว่าจะชวนซักหนเหมือนกันนะแก”
นายหัวทรานสปอร์ตถูมือไปมาทำหน้าทะเล้นใส่ แล้วต้องเด้งตัวหนีเมื่อเท้าของเก็จพรหมดีดเข้ามาอยู่ตรงก้น

“เอ๊ะไอ้นี่ เดี๋ยวปั๊ด”
“เออแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เอาล่ะคราวนี้เป็นงานเป็นการหน่อยนะพวก เกิดอะไรขึ้นกับแกวะ”
“ก็ฉันเบื่อ!” เก็จพรหมยืนยันคำเดิม
“เบื่อ แต่ทำไมหน้าแกมันไม่ได้บอกแบบนั้นนี่หว่า”
“หน้าฉันเป็นยังไงว่ะ”
“มานี่ มานี่เลยแก”

ลภณลากแขนเพื่อนของเขาเดินไปที่กระจกข้างบาร์เครื่องดื่ม แล้วชี้ไปที่กระจกกำลังสะท้อนภาพใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้ม โดยเฉพาะดวงตาคมคู่นั้นหวานกว่าที่เป็น มือหนาตบบ่าเพื่อนรักพูดด้วยน้ำเสียงเข้มจนคนฟังต้องกระพริบตาคิดตาม

“กระจกมันไม่โกหกไม่เป็นหรอกเพื่อน!”




*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


“ก้อง ๆ ๆ ทางนี้”
“หวัดดีไอ้พู่ ทีหลังนะแก ถ้าจะนัดฉันยังไงก็กรุณานัดใกล้ๆ ที่ทำงานฉันหน่อยก็ดีโว้ย นี่ฉันต้องถ่อสังขารจากสุขุมวิทมารังสิตเชียวนะแก”

ก้องภพหนุ่มร่างสันทัดผิวคล้ำเดินตรงมาที่พู่กันนั่งอยู่ ดูจากเสื้อผ้าที่ชายหนุ่มสวมใส่แล้วพอนึกเดาได้ว่าชายหนุ่มต้องเป็นช่างทาสี หรือไม่ก็ทำสีหกใส่เสื้ออย่างแน่นอน

“เออ ๆ น่า เจอหน้าทีไรแกบ่นอย่างนี้ทุกทีสิ”
พู่กันยิ้มและค้อนควักใส่เพื่อนชายอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“ก็เออนะสิ แกไม่มีตาหรือไงดูตามตัวฉันนี่มีแต่สี ใครจะเหมือนแกล่ะแม่พู่กัน หน้าฉะแล้มแก้มใสมาเชียว ไงกิจการเจริญขึ้นหรือเจริญลงหล่ะ แต่ฉันว่านะต้องขึ้นสิไม่งั้นหน้าแกไม่บานเหมือนจานสีอย่างนี้หรอก”
“นี่น้อย ๆ หน่อยแก ฉันนัดแกมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ เอ..หรือว่า ...ฉันว่าไปหาเพื่อนคนอื่นมาช่วยงานที่ร้านแทนแกดี พักนี้รู้สึกเบื่อคนพูดมากจัง”
ปากอิ่มพูดเรียบ ๆ ใช้นิ้วเคาะคางมนอย่างใช้ความคิดหนักต่างจากตาดำขลับเหลือบแลก้องภพระยิบระยับ

“ก็แล้วแต่...เดี๋ยว...อีกทีสิตะกี้แกว่าไงวะ พูดอีกทีวะเพื่อน”
“ของดีฉายรอบเดียว ว่าแต่ตอนนี้ฉันหิวมากเลย ฉันสั่งอาหารเผื่อแกแล้ว กินก่อนคุยแล้วกัน”
“ย่อมด้ายยยย นี่ถ้าแกไม่ใช่เพื่อนตั้งแต่สมัยประถมนะ รับรองได้ว่า”
“แกต้องลุกสะบัดตูดหมึกออกไปแล้ว...พอๆ ไม่ใช่เพราะฉันเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยประถมหรอกยะ แต่ที่ฉันสถาปนาให้แกเป็นเพื่อนรัก ก็เพราะแกดันมาเจอฉันตั้งแต่ประถม ยังไม่พอมัธยมอีกหกปี ฉันว่าน่าจะหนีแกพ้นแล้วเชียวที่ไหนได้แกดันสอบติดคณะเดียวกับฉันอีก นับรวม ๆ แล้วเราอยู่ร่วมกันมาก็สิบกว่าปีเลยนะ เพราะฉะนั้นมีอะไรบ้างที่ฉันยังไม่รู้แกก็รีบ ๆ บอกมาให้หมดเลยนะเว้ย เผื่อตอนที่แกตายฉันจะได้รีบจัดหาให้”
“แกจะสแกนอะไรอีกฟระ ไส้กี่ขดของฉันแกก็ล้างท่อซะเกลี้ยง”



เสียงจุ๊กจิ๊กบนโต๊ะเงียบไปพักใหญ่ อาหารที่พู่กันสั่งมาให้ตัวเองกับก้องภพคือ ข้าวหมูกรอบกับเกาเหลาหมูน้ำตกคนละชุด เป็นมื้อเหลาของทั้งคู่ ก้องภพนอกจากจะเป็นเพื่อนชายที่สนิทที่สุดของพู่กัน ชายหนุ่มยังเข้านอกออกในบ้านเหมือนเป็นลูกหลานคนหนึ่ง ชายหนุ่มแทนตัวเองว่าหนูเวลาพูดกับพ่อแม่ของเพื่อนรัก

ก้องภพมองหน้าพู่กันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ รู้แต่ว่าเขาใช้ความอดทนในการรอให้หญิงสาวจัดการหมูกรอบชิ้นสุดท้ายตามด้วยดื่มน้ำในแก้วสิ้นสุดลง

“ว่ามา แกมีอะไรจะคุยกับฉันไอ้พู่”
“อิ่มจัง...”
พู่กันเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ลูบท้องไปมา พลางเปรยแถเวลาออกไปเพื่อแกล้งก้องภพ ที่จ้องมองไม่วางตา

“ตังค์ไม่ครบแน่ มื้อนี้แกเลี้ยง เพราะเงินเดือนฉันยังไม่ออกแถมแกโทรตามฉันมาเอง”
“ไม่มีปํญหา”
พู่กันลอยหน้าตอบ ความจริงเธอเข้าใจถึงปัญหาของเพื่อนรักดีว่ามีใช้พอชนเดือน ตามฐานะของมนุษย์เงินเดือน

“คราวนี้บอกได้หรือยัง ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะนะโว้ยเป็นลูกจ้างเขาไม่ใช่เจ้าของร้านอย่างแกไอ้พู่”
“ก็นี่ไง ที่เรียกว่าจะให้เป็นเจ้าของกิจการไง”
“มันก็ดีอยู่....ห๋า! ......ตลกตายล่ะแก เอามีดมาแทงกันดีกว่า พูดแบบนี้”
ก้องภพทำท่าตกใจ มองตาพราวระยิบของพู่กันแล้วทำท่าเหี่ยวเฉาเช่นเดิมพูดเหมือนปลงตก

“ย่อมได้ ออกจากนี่เราไปร้านขายเครื่องครัวกัน ขอจิ้มพุงแกทีเดียวมิดเลย”
“ไม่เอา เลิก... เลิกไร้สาระได้แล้วไอ้พู่ สรุปแกจะพูดดี ๆ หรือจะให้ฉันกลับไปทำงานที่เป็นสาระดีกว่าแก”
“ฉันพูดจริง ตั้งใจฟังให้ดีนะ ข้าพเจ้า นางสาวกมลาวสี เรียกสั้นๆว่าพู่กันก็ได้เจ้าคะ มีความยินดีขอเชิญคุณก้องภพ เพื่อนสุดที่เลิฟของข้าพเจ้า มาเป็นหุ้นส่วนร้านพู่กัน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าคะ”
“พู่... ไอ้พู่แกพูดดีจริงหรือวะ...ไม่ใช่กิจการแกแย่ถึงขั้นต้องหาผู้ร่วมทุนเชียวหรือวะไอ้พู่ฉันสงสารแกจริง ๆ ”
ก้องภพยื่นมือตบไหล่บางเพื่อนรัก ทำน้ำเสียงเศร้าอย่างเห็นใจ

“อ้าว ไหงพูดสุนัขไม่แดกงี้ล่ะไอ้หมาก้อง เสียฟิวหมด”
“ฉันมีเงินเก็บอยู่บ้างนะพู่ ยังไงเย็นนี้ฉันจะเอามาให้ มันคงช่วยได้บ้าง โธ่ตอนเปิดฉันก็บอกแกแล้วว่าแกมีหัวศิลปะแต่หัวการค้าแกไม่มีระวังมันจะล้มไม่เป็นท่า”
“ถูกของแก นี่ไอ้ก้องยื่นหน้ามาใกล้ๆฉันอีกนิดสิ”
“ทำไม แกจะกระซิบขอบใจฉันเหรอ”
“ใครบอก ฉันจะทำแบบนี้ไง นี่ นี่ เรื่องอะไรมาว่าธุรกิจฉันแย่ห๋า ไอ้ก้อง”
“โอ้ย ๆ ๆ ไอ้พู่เขกกบาลฉันทำไม ฉันเป็นผู้ชายนะ มันที่สาธารณะ อายเค้ามั่ง”
“หัวแกมันทู่ ว่าจะลับให้แหลมซะหน่อย”
“ฉันไม่อยากทะเลาะกับแกแล้วพู่กัน แกนี่สมเป็นอาร์ทตัวแม่ ไหนว่ามา ที่แกจะให้ฉันเป็นหุ้นส่วน ถ้าไม่ใช่กิจการแกไม่แย่อย่างที่ฉันเข้าใจแล้วมันเพราะอะไร”
“แกเคยได้ยินคำว่า... ฟ้ามีตา...ไหมก้อง”
สีหน้าพู่กันเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“ขอโทษครับไอ้คุณพู่ ตอนนี้ไม่ใช่รายการก่อนบ่ายคลายเครียด กระผมไม่ตลกนะครับ เมื่อไหร่แกจะเฉลยซะทีห๋า”
“ฉันชนะเลิศประกวดภาพวาดประเภทบุคคลทั่วไปที่เมืองเมืองฟอเลนซ์”
“หะ.. เมืองฟอเลนซ์ ชื่อคุ้นๆ ประเทศอะไรวะแก”
“ประเทศอิตาลี!”



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *





Create Date : 30 สิงหาคม 2554
Last Update : 3 กันยายน 2554 23:48:04 น.
Counter : 1338 Pageviews.

8 comment
สาวไฮเปอร์หัวใจติส : ติสสอง
*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *






*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *


“ทางนี้พู่ หาอะไรกินก่อน เดี๋ยวออกไปแล้วอาจจะไม่มีเวลา”
ตรีภพกวักมือเรียกพู่กันที่เดินลงบันไดจากชั้นบนลงมา

“ยังไม่มีใครลงมาหรือคะ”
พู่กันนั่งลงตรงโต๊ะเดียวกันกับพี่ตรีและเหลียวมองหาคนอื่นๆ ของชมรม

“ลงมาบ้างแล้วโน่นไง กำลังตักอาหารกันอยู่ และก็ทยอยลงมาอีกก็มี”

พู่กันมองตามมือที่ชี้ไปตรงมุมอาหารที่อยู่ไม่ห่างจากที่นั่ง โรงแรมที่มาพักเป็นโรงแรมไม่ได้หรูหราระดับห้าดาว ถ้าให้เกรดจริงๆนะจะอยู่ที่สองสามดาวเท่านั้น หากแต่เน้นเรื่องความสะอาดมากกว่าเพราะไม่มีกลิ่นอับชื้นและจัดวางสิ่งของได้อย่างเรียบร้อย ที่บริการอาหารลูกค้าที่เข้ามาพักจึงเป็นแบบเรียบง่ายมีทั้งอาหารตามสั่งและสำเร็จรูปที่ทำเสร็จแล้ววางเรียงรายให้เลือกชี้เอาว่าจะเอากี่อย่าง เรียกง่ายๆ ก็คือข้าวราดแกงนั่งเองเสียแต่ว่าอาหารยังอุ่นน่ารับประทานมิได้วางแบเอาไว้เหมือนตามข้างถนนหรือร้านค้าทั่วๆ ไป ท้องพู่กันเริ่มอุทรขึ้นมาบ้างแล้ว

“งั้น พู่ไปสั่งอาหารก่อนนะคะ รู้สึกหิวเหมือนกัน”
“ถูกต้องแล้วกองทัพต้องเดินด้วยท้อง พอไปถึงที่จริงๆ อาจจะไม่มีเวลาก็ได้แม้หิวก็ตาม”
“เป็นไปตามนั้นคะ”

หนุ่มใหญ่ส่ายหน้ากับคำพูดกวนๆมองตามพู่กันเดินไปที่ซุ้มอาหาร ร่างบางอยู่ในกางเกงยีนกับเสื้อยืดที่เพ้นท์เอง ระยะหลังมานี้พู่กันเพ้นท์เสื้อใส่เอง หญิงสาวคิดได้ว่ามันเป็นการตลาดที่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณา เพราะเธอเป็นฟรีเซนเตอร์เสียเอง และมันก็ขายได้เสียด้วยสิ

สมาชิกชมรมลงมาจนครบ บ้างก็นั่งดื่มกาแฟบ้างก็ทานอาหาร แก้มใสเดินถือจานอาหารมานั่งข้างๆพู่กัน สองสาวนั่งทานอาหารเงียบๆ แก้มบุ๋มแยกตัวไปนั่งอีกโต๊ะ หางตาคอยชำเลืองมองดูแก้มใสที่นั่งโต๊ะเดียวกับพู่กัน ออกจะน้อยใจเหมือนกันที่น้องสาวไม่ติดตามตนเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆเธอเป็นฝ่ายปฏิเสธคำชวนของแก้มใสที่จะไปนั่งทานด้วยกัน


ตรีภพเรียกประชุมก่อนออกเดินทางไปที่จุดประสบเหตุ แจ้งให้สมาชิกทราบขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือและคนในพื้นที่ที่ต้องติดต่อประสาน การแจกจ่ายของและการเตือนให้รู้ถึงอันตรายการลงพื้นที่ให้ทราบอย่างทั่วถึงกัน พี่หนูนาแจกป้ายชื่อชมรมสำหรับแขวนคอจะได้รู้ว่ามาจากหน่วยไหน สะดวกทั้งเจ้าหน้าที่และทีมอื่น ๆ อันเป็นเข้าใจร่วมกันว่ามาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

“คืนนี้คงแค่ไปดูก่อนว่าความเสียหายอยู่ในระดับไหน เราจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง อุปสรรคการลงพื้นที่คือมันเป็นตอนกลางคืนไม่สะดวก เราจะไปดูแล้วค่อยกลับมาวางแผนกัน ตอนนี้ขอแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มประสานงานก็จะเป็นพวกผู้หญิงกับกลุ่มผู้ชายที่จะลงพื้นที่กับเจ้าหน้าที่”


เมื่อไปถึงศูนย์อำนวยการ ทีมประสานงานเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ โดยแจ้งวัตถุประสงค์ของชมรมที่เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ในเวลาเดียวกันพวกผู้ชายเข้าไปดูภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จากภาพถ่ายบ้างจากข้อมูลจากรายงานบ้า นำมาเป็นข้อมูลประกอบเพื่อหารือกันในกลุ่มต่อไป ทั้งหมดจึงกลับมาตั้งหลัก ใช้ห้องพักของพี่ตรีเป็นที่ประชุม


“ที่คุยกันมาทั้งหมด ก็ตามนั้นนะใครมีคำถามอะไร ถามได้”
“ของบริจาคที่พวกเรานำมาส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าและอาหารแห้งเท่านั้น ตอนนี้ถามถึงว่าอะไรสำคัญที่สุดน่าจะเป็นปากท้องของผู้ประสบภัย มากกว่าเครื่องนุ่งห่ม ดูเหมือนครั้งนี้เราจะช่วยเหลือได้ไม่เต็มที่นะสิคุณตรี” ลุงนาถเอ่ยขึ้นตามจริง
“เป็นเช่นนั้นจริงๆครับลุงนาถ เพราะแพลนของพวกเราคือขึ้นเหนือ จึงเตรียมแต่พวกเครื่องนุ่งห่มกันเป็นหลัก ส่วนอาหารที่เตรียมไปก็จะเป็นอาหารแห้งให้ชาวบ้านเก็บไว้กินได้ แต่ใช่ว่าเราจะมาเสียเที่ยวนะครับ กลับไปนี่เราจะไประดมทุนเพื่อกลับมาช่วยเหลือชาวบ้านอีกครั้ง”
“เพิ่มเติมอีกนิดนะคะ หนูนามีเพื่อนอยู่จังหวัดใกล้ๆนี้เอง พรุ่งนี้จะมาสมทบกับทีมเรา คิดว่าน่าจะมีอาหารมาเยอะเหมือนกัน อาจจะช่วยได้อีกแรง”

พี่หนูนาพูดเสริมขึ้นมา ทุกคนพยักหน้ารับรู้ การประชุมเสร็จสิ้นต่างฝ่ายแยกย้ายกันไปพักผ่อน พู่กันเดินเข้าห้องก่อนใคร คว้าเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ เพียงไม่นานหญิงสาวออกมาพร้อมกับความสดชื่นเตรียมตัวที่จะกระโดดขึ้นโซฟา ถ้าไม่ได้ยินเสียงของแก้มบุ๋มพูดขึ้นก่อน

“พู่กัน เธอแน่ใจแล้วที่จะนอนตรงโซฟา”
“แน่ใจสิ เธอสองพี่น้องจะได้สบายแบบไม่นอนเบียดกันไง”
“ยังไงจะว่าพวกฉันสองคนเอาเปรียบเธอไม่ได้นะ”
“ไม่คิดหรอก พู่สมัครใจที่จะนอนที่ตรงนี้ ไม่ว่ากันนะ ถ้าพู่จะขอนอนก่อน”

พูดจบร่างบางที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีหม่นคอร่นตัวเก่งเอนตัวลงบนโซฟาเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ของตัวเองคลุมขาเอาไว้แล้วหันหลังให้ โดยไม่สนใจว่าคนที่คุยด้วยยังยืนอยู่ด้วยหรือเปล่า จึงไม่เห็นสายตาหมิ่นมุมปากแบะนิดๆของแก้มบุ๋ม.... ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับคนที่ชอบทำนิสัยแย่ๆใส่ พู่กันคิดแบบนี้


พอเอาเข้าจริงๆ ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา พู่กันต้องเข้าห้องน้ำคนสุดท้าย แก้มบุ๋มเข้าใช้ห้องน้ำเป็นคนแรกทำเหมือนเป็นของส่วนตัว กว่าจะกลับออกมาได้ใช้เวลาร่วมชั่วโมง แก้มใสขอเข้าต่อเพราะปวดท้องเข้าห้องน้ำแต่ก็ใช้เวลาไม่นานออกมาพร้อมกับส่งยิ้มเจื่อนๆ อย่างเกรงใจ พู่กันต้องทำเวลาทุบสถิติในการอาบน้ำแต่งตัว แต่กระนั้นก็ยังลงมาช้ากว่าใครอีกตามเคยมีสายตาแปลกหลายคู่มองมาหนึ่งในจำนวนนั้นคือรอยยิ้มสะใจของแก้มบุ๋ม


“ไอ้พู่นอนตื่นสายหรือไง”

พี่หนูนาทักก่อนเมื่อเห็นรอยยิ้มขอโทษกราดเข้ามาในกลุ่ม พู่กันพยักหน้าไม่ได้ตอบประการใดเมื่อมากันครบแล้วต่างทยอยกันออกไปขึ้นรถ ขณะที่พู่กันจะกระโดดขึ้นท้ายรถแต่ถูกเรียกให้ขึ้นรถลุงนาถเสียก่อน หมดหนทางปฏิเสธเพราะพี่หนูนาดึงแขนให้ขึ้นรถโดยไม่ต้องรอให้มีการชวนรอบสอง หลังจากที่เข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

“มานี่พี่มีเรื่องถามเราหน่อย”
“ถามเรื่องอะไรคะพี่หนูนา”
“พู่กันถูกแก้มบุ๋มแกล้งรู้ตัวหรือเปล่า”
“แกล้ง? แกล้งยังไง และทำไมคะ”
“อ้าว ก็พอแก้มบุ๋มลงมา ชีก็เริ่มพูดประมาณว่าลงมาก่อนใคร พูดถึงพู่ว่ายังไม่ตื่นนอนมัวนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ ปลุกก็ไม่ตื่นซะงั้น”
“อ้าว ไหงพูดหมาๆอย่างนี้ล่ะ พวกเราตื่นพร้อมๆกันนั่นแหละ แต่พู่ต้องอาบน้ำคนสุดท้าย ไอ้ที่ลงมาช้าก็เพราะเค้านั่นแหละเข้าห้องน้ำเป็นชั่วโมงเลย แก้มใสเองก็ต้องรีบอาบเพราะกลัวพู่ลงมาสาย ”

พู่กันพูดอย่างเหลืออดกับพฤติกรรมน่าเกลียดของแก้มบุ๋มทำตัวเป็นต้นเหตุทำให้ตนลงมาสายแล้วยังเที่ยวโพนทนาในเรื่องไม่จริง เป็นครั้งแรกที่พี่หนูนาหันมองใบหน้าคมหวานอย่างพิจารณา ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“มีอะไรกันหรือเปล่า”
“จะมีได้ไง ปกติก็ไม่ค่อยได้คุยกัน”
พู่กันค้านด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ

“ศรศิลป์ ไม่กินกันมั้ง”

ลุงนาถเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ฟังทั้งสองคุยกัน ในขณะที่ตายังมองไปทางถนน พู่กันเงยหน้ามองลุงนาถทางกระจกพร้อมกับคิดตาม ภายในรถเงียบเสียงลง คำพูดลุงนาถยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของพู่กัน

พี่หนูนาหันไปมองซีกหน้าด้านข้างของพู่กัน แม้ผิวพรรณไม่ได้ขาวหยวก แต่ก็ดูเนียนจนอยากสัมผัส คิ้วโก่งเรียวธรรมชาติ ของจริงแน่นอนเพราะไม่เห็นร่องรอยการตกแต่ง ขนตาหนายาวเป็นแพนั้นถ้าปัดมาสคาร่าเสียหน่อยคงจะงอนงาม จมูกโด่งไม่มากรับกับริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อธรรมชาติ ผิวหน้ารู้ได้ทันทีว่าเจ้าหล่อนทาแต่แป้งเด็ก นี่แหละมั้งเค้าเรียกว่าเด็กติส ดูเจ้าหล่อนแต่งตัวสิ เสื้อยืดสีชมพูเพ้นท์ตัวการ์ตูนด้านหน้าเสื้อเป็นหัวช้างด้านหลังเป็นตูดช้างมีหางซะด้วย กางเกงขายาวห้าส่วนรองเท้าผ้าใบเตรียมลุยเต็มที่ คิดกลับไปว่าถ้าแก้มบุ๋มกับพู่กันศรศิลป์ไม่กินกันก็น่าจะเป็นเพราะพู่กันสวยคมดูดีกว่าอาหมวยอย่างแก้มบุ๋มนั่นเอง


*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚


ถุงยังชีพถูกรวบรวมนำมากองรวมกันต่อไปจะต้องมีการแบ่งสรรไปตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในถุงก็จะประกอบด้วย เครื่องอุปโภคบริโภค พู่กันรับอาสาเป็นคนประสานงานเธอนำเอกสารจากกองอำนวยการระบุถึงการให้ความช่วยเหลือไปถึงระดับไหน หมู่บ้านใดบ้างที่ได้รับความช่วยเหลือไปแล้วและจุดไหนที่ยังเข้าไปไม่ถึง ตรีภพเดินเรื่องขอเข้าไปดูพื้นที่จริงกับเจ้าหน้าที่เพื่อสำรวจความเสียหาย หาข้อมูลจะได้ให้ความช่วยเหลือในระดับต่อไป กลุ่มถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มสมาชิกชายออกไปกับเจ้าหน้าที่ทางเรือและรถบางส่วน ฝ่ายหญิงให้ดูแลเข้าของที่นำมาบริจาคและคอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยเบื้องต้น พี่หนูนากำลังโทรศัพท์แว่วดังมาเหมือนกับว่ากำลังบอกทางให้ใครทราบว่าตอนนี้สมาชิกชมรมเพื่อเพื่อนอยู่ตรงไหน

“ตอนนี้ฉันอยู่ข้างในอาคาร ห่างจากกองอำนวยการมาด้านหลัง แก้วบอกคนขับให้เข้ามาในโรงเรียนประจำจังหวัดนะ รู้จักใช่ไหม เค้าตั้งเป็นศูนย์อำนวยการ แต่ฉันบอกทางไม่ถูกหรอกเพิ่งเคยมา เออ ๆ ๆ แล้วมาด้วยรถอะไรล่ะ อ๋อ ๆ ๆ เดี๋ยวจะให้น้องเค้ารอรับนะ”

พู่กันกำลังแยกถุงยังชีพออกมากองไว้ตามพื้นที่ เพราะจะมีคนมารับเอาไป จำนวนสิ่งของที่รวบรวมมาก็ไม่น้อยแต่ก็เหมือนจะไม่มากเพียงพอแจกจ่ายอย่างทั่วถึง อีกมุมสองสาวพี่น้องแก้มบุ๋มกับแก้มใสกำลังเช็คจำนวนข้าวกล่องที่จะให้เจ้าหน้าที่นำไปแจกจ่าย หนูนาเดินดูน้องๆทำงาน เห็นว่างานที่พู่กันทำน่าจะเสร็จก่อนแก้มบุ๋มและแก้มใสจึงเดินเข้าไปสั่งการให้พู่กันออกไปรับทีมที่มาจากภูเก็ต

“ไอ้พู่ ถ้าเสร็จแล้วเดินไปหน้ากองอำนวยการหน่อยนะ เพื่อนพี่ที่มาจากภูเก็ตกำลังจะมาถึง จะให้มาสมทบกันที่ตรงนี้แหละ”
“คะพี่หนูนา แล้วเค้ามาด้วยรถอะไร พู่จะได้เข้าไปถามได้ถูกคัน”
“รถตู้สีขาว”
“แล้วเพื่อนพี่ชื่ออะไรล่ะ เดี๋ยวทักคนผิดขายหน้าแย่”
“ชื่อเก็จแก้วจ๊ะ”


ถุงสุดท้ายถูกวางเรียบร้อย พู่กันเดินออกไปหน้าศูนย์อำนวยการ แล้วเธอต้องอ้าปากค้างเพราะรถที่กำลังขับเข้ามาและที่จอดใหญ่เป็นรถตู้สีขาว หญิงสาวใช้ไหวพริบนิดหน่อยคือดูป้ายทะเบียนภูเก็ต ก่อนจะทำเสียงฮึมฮัมอยู่ในลำคอเพราะทะเบียนรถภูเก็ตมีมากกว่าหนึ่งคันนั่นเอง หญิงสาวยืนดูรถอย่างชั่งใจว่าควรจะเป็นคันไหน ข้างหน้ามีรถตู้กำลังวิ่งเข้ามาตรงมาที่เธอยืนอยู่บนฟุตบาท ป้ายทะเบียนรถภูเก็ต หลังคารถเต็มไปด้วยสัมภาระ หญิงสาวคิดในใจว่าน่าจะเป็นคันนี้แหละ พู่กันรอให้รถจอดสนิท คนในรถทยอยกันออกมา หญิงสาวมองหาเพื่อนพี่หนูนา คาดคะเนหน้าตาวัยน่าจะใกล้เคียงกัน แต่ยังไม่ทันจะทักทายพี่หนูนาก็ส่งเสียงมาแต่ไกล

“กะแล้วไอ้พู่ ว่าแกต้องยืนงงเป็นไก่ตาแตกแหงๆ”
“ก็ไม่เชิงคะ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าคันไหน ฟันธงว่าคันนี้แน่ๆ นั่นไงคะพวกเค้ากำลังลงจากรถพอดี”
“ไหนดูซิ เออแกเก่ง นั่นไงเพื่อนพี่”
พี่หนูนาบอกพู่กันพร้อมกับยกมือทักทายเพื่อนสาวทันที

“แก้ว ๆ ทางนี้”
ตามสายตาพู่กันแล้ว เพื่อนที่ชื่อแก้วของพี่หนูนา ท่าทางจะดูอ่อนวัยกว่าพี่หนูนาสองสามปี อาจจะเป็นเพราะทรงผมและการแต่งตัว

“ไอ้พู่ไหว้พี่แก้วเพื่อนพี่สิ ..นี่พี่เก็จแก้ว”
พีหนูนาสะกิดพู่กันให้ไหว้เพื่อนรัก

“สวัสดีคะ”
พู่กันยกมือไหว้เพื่อนพี่หนูนา เก็จแก้วยกมือไหว้ตอบส่งยิ้มตามด้วยถามชื่อตามมารยาทที่พึงมีต่อผู้น้อย

“สวัสดีจ๊ะ ชื่อพู่หรือจ๊ะ”
“เค้าชื่อพู่กัน นี่แหละอาร์ทตัวแม่เลยล่ะเธอ”
พี่หนูนาเสริมอย่างยียวน ทำเอาพู่กันหัวเราะขำมากกว่าจะถือโกรธเพราะเธอรู้นิสัยพี่หนูนา

“โหยยย พี่หนูนานินทากันให้ได้ยินเลยนะคะ”
“ก็พู่กัน จบศิลปะมาไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่เรียกอาร์ทตัวแม่แล้วจะให้บอกว่าไงล่ะจ๊ะแม่ติสจ๋า”
พี่หนูนาตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เอื้อมมือจับสองแก้มใสของพู่กันเขย่าไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว

“ไม่เอาล่ะคะพี่พาคุณแก้วไปที่หน่วยก่อนเหอะ ตรงนี้มันร้อน”

พู่กันพูดพร้อมกับเช็ดป้อย ๆ ที่แก้มสองข้าง เธอไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เพราะมันดูหวานไป แต่พี่หนูนามักจะแสดงความเอ็นดูต่อเธอแบบนี้เสมอทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ชอบก็ตาม

“ดีเหมือนกัน ถ้าเอาของลงหมดแล้ว ยังงั้นพี่จะให้พวกผู้ชายมาช่วยขนของนะ เราไปคุยกันที่หน่วยดีกว่าเพื่อน”
“พู่จะอยู่ตรงนี้ก่อนเผื่อพี่ๆเขามาจะได้รู้ว่าเป็นรถคันไหน”

พู่กันเดินไปท้ายรถตู้หลังจากที่พี่หนูนากับเพื่อนๆเดินกลับไปที่หน่วย เห็นว่ากำลังทยอยขนของลงจากท้ายรถเกือบหมดแล้ว คนร่างสูงกำลังชโงกหน้าสำรวจดูว่ามีของหลงเหลือในรถหรือเปล่า จนแน่ใจว่าหมดแล้วจึงได้หมุนตัวหันกลับมา สิ่งที่ทำให้พู่กันตกใจเมื่อฝาท้ายรถตู้ปิดลงมากระแทกลงบนศีรษะที่ยังไม่พ้นรัศมี แม้เสียงไม่ดังมากแต่คงแรงไม่น้อยเพราะร่างสูงที่หันมานั้นซวนเซทีเดียว เพียงไม่นานมีของเหลียวไหลเป็นทางจากศีรษะของชายหนุ่ม

“คุณ คุณคะ เจ็บมากไหม ขอโทษนะคะมานั่งตรงนี้ก่อน”

พู่กันกระโดดเข้าไปหาร่างสูงอย่างรีบร้อนไม่ได้คิดอะไรมากกว่าความเป็นห่วงคนเจ็บยิ่งเห็นเลือดไหลอาบแก้มคมสัน จนลืมสังเกตว่าชายหนุ่มเอาแต่จ้องหน้าเธอเขม็งด้วยความประหลาดใจปนไม่แน่ใจแวบหนึ่งในแววตาสีน้ำตาลเข้มนั้น มือบางตวัดแขนคนเจ็บพยุงพามานั่งชิดเสา หญิงสาวล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงวางโป๊ะซับกดลงบนแผลที่มีเลือดไหลออกมา

“คุณไหวไหม เอามือนี่กดผ้าบนบาดแผลไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันมา”

พู่กันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ววิ่งไปที่กองอำนวยการที่อยู่ไม่ไกลเพื่อไปขออุปกรณ์ทำแผลโดยมีสายตาของชายหนุ่มตามไปเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวก็ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร คนเจ็บบอกให้คนที่เหลือเอาของบริจาคล่วงหน้าไปก่อน เพียงไม่กี่นาทีหญิงสาวกลับมาพร้อมเครื่องปฐมพยาบาล แววตาไหวยามมองมือที่กดบาดแผลอยู่ พู่กันลดกวาดสายตามองหน้าคนเจ็บแล้วมีความคิดแวบเข้ามาในสมอง ผู้ชายคนนี้หน้าตาหล่อเข้มทีเดียวล่ะ ยังดีนะที่ไม่ได้เป็นแผลที่หน้า แต่ถึงจะมี อาจจะต้องเย็บหลายเข็มมันคงไม่ทำให้ความหล่อลดลง เผลอๆจะเท่ห์อีกเป็นกอง พู่กันกระพริบตาอีกครั้งเรียกสมาธิตัวเองกลับมา เอ่ยกับคนเจ็บเบา อย่างอ่อนโยน


“เออคุณนั่งพิงเสาก็ได้นะ หน้ามืดบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
เสียงทุ้มตอบมาโดยสายตายังมองใบหน้าพยาบาลจำเป็นไม่คลาดคลา

“งั้นก็ดีแล้วเดี๋ยวฉันขอดูแผลคุณก่อนนะ เลือดยังไหลอยู่เลย ถ้าแผลใหญ่คุณก็ต้องไปหาหมอ แต่ถ้าไม่มากก็ต้องไปหาหมออยู่ดี อ้า...ยังไงดีล่ะ..คือฉันไม่ใช่หมอ”

หลังจากที่บอกคนเจ็บน้ำเสียงเริ่มแผ่ว พู่กันรู้สึกถึงเหงื่อชื้นที่มือและแผ่นหลังของตัวเอง ทำไมหายใจติดขัด ใจสั่นตาพร่าพิกล เธอกำลังจะเป็นลม โอ้ยตาย...นี่เธอตื่นเต้นเห็นคนบาดเจ็บจนลืมไปว่าเธอเห็นเลือดที่ไหลเป็นทางยาวแบบนี้ไม่ได้ สติที่เหลือน้อยเต็มทีบอกตัวเองให้ทรุดนั่งแล้วเอนตัวพิงกับเสาต้นเดียวกันกับที่ชายหนุ่มพิงอยู่ ดวงหน้าซีดเผือดหลับตา พยายามหายใจลึกๆอาการคลื่นเหียรอาเจียรจะได้ทุเลา

เขากำลังแปลกใจกับอาการของหญิงสาว มองตามร่างบางกำลังทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา เกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวกันแน่ ร่างหนาเอี้ยวตัวดูใบหน้าที่ซีดเผือดเปลือกตาปิดลงมีเหงื่อผุดขึ้นที่ตรงหน้าผากและไรผม ชายหนุ่มอุทานเบา ๆ

“เป็นลมหรือนี่”

คนเจ็บเปลี่ยนสถานะเป็นบุรุษพยาบาลทันที รีบประคองร่างพยาบาลจำเป็นนอนลงให้หนุนตักเขาเพื่อจะได้ปฐมพยาบาลได้ถนัด เขาเลิกสนใจบาดแผลตัวเองรื้อค้นสำลีและแอมโมเนีย หยดน้ำที่มีกลิ่นฉุนเพียงเล็กน้อยลงบนสำลี มือใหญ่กวัดไกวบริเวณจมูกเล็กๆ สายตาเข้มมองดูหน้ารูปไข่ซีดเผือด ดวงตาปิดสนิทขนตาหนาแผ่ขยาย คิ้วโก่งเรียวสวย จมูกโด่งเป็นสันพองาม ริมฝีปากอิ่มสวยซีดเซียว รู้สึกคุ้นหน้าแต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ป้ายที่เธอแขวนเป็นของชมรมเพื่อเพื่อน ทีมอาสาที่พี่สาวของเขาเล่าประวัติให้ฟัง ทำไมรู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหน..... ที่ไหนกันนะ..... ชายหนุ่มครุ่นคิด

เป็นเวลาเดียวกันพี่หนูนาเดินกลับมาดูพู่กันอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เห็นหายไปนานทั้งๆที่ของบริจาคขนไปที่หน่วยหมดแล้ว ครั้นพอเห็นร่างบางนอนราบศีรษะหนุนอยู่บนตักน้องชายของเพื่อนรู้สึกตกใจจนต้องทักด้วยเสียงอันดัง

“อ้าวเฮ้ยไอ้พู่...พู่กัน..เป็นอะไรไป พู่กัน..อ้าวแล้วนั่นพรหมเป็นอะไรทำไมเลือดเต็มหน้าแบบนี้”


เสียงคุ้นๆ แว่วอยู่ไกลลิบในโสตประสาทของพู่กัน สติเธอเริ่มคืนมาบ้างเพราะกลิ่นแอมโมเนียกวัดแกว่งส่งกลิ่นฉุนพัดผ่านปลายจมูกเธออยู่ไม่ห่าง สายตาคมเข้มจ้าจัดยามที่มองใบหน้าหญิงสาว หัวใจบีบตัวแรงเหมือนถูกกระชากให้ตื่นจากฝันเมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาวจากปากผู้มาใหม่ พู่กัน... ใช่เธอคนเมื่อวันก่อนหรือเปล่า ชื่อแบบนี้มันคงมีไม่มาก ถ้าเธอเป็นพี่พู่กันของอั๋น มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุดที่มาเจอหญิงสาวที่นี่ นั่นสิทำไมถึงได้คุ้นตาพยายามนึกว่าเคยเห็นที่ไหนยามที่เห็นหน้าเธอครั้งแรก

“หวัดดีครับพี่หนูนา เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยฮะ ฝาท้ายรถตูปิดลงมากระแทกใส่หัวผม แล้วคุณคนนี้กำลังช่วยปฐมพยาบาลผมอยู่ดีๆ เกิดเป็นลมขึ้นมาฮะ”
“โธ่....ไอ้พู่เอ้ย... สงสัยเป็นห่วงคนเจ็บ จนลืมไปว่าตัวเองกลัวเลือด เห็นเลือดไหลทะลักแบบนี้ทีไรมันเป็นลมทุกที”
“อย่างนี้นี่เอง”

เก็จพรหมครางอยู่ในลำคอแล้วกัมสำรวจดูดวงหน้าขาวซีดที่มีสีสันขึ้นมาบ้างแล้ว เปลือกตาขยุกขยิกเริ่มหรี่ขึ้นมองไปรอบๆ ตัว สายตาผ่านใบหน้าพี่หนูนาแล้วมองขึ้นสู่ที่สูง พู่กันกระพริบตางงๆสบตาเข้มที่มองก่อนหญิงสาวปิดตาลงอีกครั้งแล้วต้องลืมตาโพลงเมื่อรู้ตัวว่ากำลังหนุนตักคนแปลกหน้าอยู่ หญิงสาวผลุดลุกขึ้นทำหน้างง สีหน้าเรื่อออกสีชมพูแทนที่ความซีดเผือดไปเสียสิ้น เสียงพี่หนูนาทำให้เธอใจชื้นรีบหันไปตามเสียงที่ได้ยิน

“เดี๋ยว ๆ ไอ้พู่ใจเย็น ลุกนั่งเร็วๆ เดี๊ยวก็ได้เป็นลมอีกรอบหรอก”
“ตายจริง พู่เป็นลมจริงๆ หรือคะ พู่ขอโทษคะ แทนที่จะช่วยคนเจ็บดันเป็นซะเอง”
“เรานี่น๊า ลืมไปว่ากลัวเลือดล่ะสิ”
“จริงด้วย พู่เห็นฝาท้ายรถตู้ ตกลงมากระแทกหัวคุณคนนี้ แล้ว เออ..เออ..คุณเป็นยังไงบ้างคะ ฉันไม่ได้เรื่องจริงๆ แทนที่จะช่วยกลับเป็นภาระให้อีก”

พู่กันมองดูหน้าชายหนุ่มแต่ไม่พยายามมองขึ้นสูงไปมากกว่านั้นเพราะกลัวจะเป็นลมอีกหน คราบเลือดยังคงเกรอะกรังบนหน้าเข้ม ถึงตอนนี้เลือดได้หยุดไหลแล้ว บอกตัวเองว่ามันน่าอายอย่างมากที่เป็นลมต่อหน้าคนแปลกหน้าแถมเป็นคนเจ็บที่ควรดูแลแต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องมาดูแลเธอเสียนี่

เจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามาดูบาดแผลชายหนุ่มเบื้องต้นแล้วพาขึ้นรถไปโรงพยาบาลเพราะบาดแผลเปิดกว้างจำเป็นต้องเย็บปิดปากแผล พู่กันเดินตามพี่หนูนากลับหน่วย ร่างบางทรุดนั่งบนเก้าอี้ในใจยังโมโหตัวเองที่ไปนอนหนุนตักคนแปลกหน้า นี่ถ้าแม่รู้คงบ่นสามคืนสี่วันไม่จบชัวร์ ต่อไปต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ มันน่านัก พู่กันคิดก่นด่าตัวเองอยู่คนเดียว

“พู่กันหิวหรือยัง แก้มใสเอาข้าวกลางวันมาให้ ทานเลยดีกว่ากำลังร้อน ๆ”
ข้าวกล่องยื่นตรงหน้า กลิ่นอาหารโชยเข้าจมูก พู่กันเหลือบดูหน้าหวานของแก้มใสแล้วส่ายหน้าไปมา ยิ้มบางตอบแทนน้ำใจของเพื่อนสาว

“แก้มใสทานก่อนเถอะ พู่ยังไม่หิวเหมือนเพิ่งกินไปอยู่เลย”
“เหมือนกันเลย ว่าแต่พู่กันไม่สบายหรือเปล่าหน้าซีด ๆ”
“เปล่า... ไม่ได้เป็นอะไร สบายดี พู่ว่าเราไปช่วยพี่ๆเขาแพคถุงยังชีพดีกว่า”

พู่กันลุกหนีแก้มใสที่เข้ามาคุยอย่างสนิทสนม เดินเข้าหากลุ่มขณะกำลังช่วยกันแพคของบริจาคใส่ในถุงยังชีพเตรียมแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยต่อ เดิมของบริจาคที่นำมาจากภูเก็ตยังอยู่ในกล่องจำต้องแกะออกมาแล้วนำไปใส่ถุงมีทั้งเครื่องอุปโภคบริโภคคละๆกัน

“ไงหายหรือยัง”
พี่หนูนากระซิบถาม หลังจากที่ร่างบางทรุดนั่งข้าง ๆ

“หายแล้วคะ อย่าเอ็ดไปนะคะ พู่ขายหน้า”
น้ำเสียงโทนเดียวกันกระซิบกลับมา

“เออรู้น่า พี่ไปรู้มาอีกว่ารายนั้นเย็บตั้งสิบเข็มเชียว”
พี่หนูนารายงานผลให้หญิงสาวทราบ

“ถือว่าซวยไปคะ”

น้ำเสียงเรียบจนคนชวนคุยมองหน้า แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ คนฟังพยักหน้าหงึก ๆ ไม่คิดจะพูดต่อเพราะดูท่าว่าคนข้างๆ ไม่อยากจะพูดถึงอีก ความที่เป็นศิษย์สถาบันเดียวกัน ทำกิจกรรมร่วมกันมานานพอจะรู้จักนิสัยใจคอของพู่กันเป็นอย่างดี หนูนาจึงหันไปคุยกับเก็จแก้วเรื่องการให้ความช่วยเหลือในวันถัดไป จากที่ได้ยินพู่กันคิดว่าทีมอาสาเพื่อเพื่อนน่าจะอยู่ในพื้นที่ประสบภัยประมาณ 3-4 วัน เสียงคุยกระหนุงกระหนิงระหว่างเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานไม่ได้ช่วยให้พู่กันรู้สึกดีไปด้วย อาการเซ็งเริ่มก่อตัวเมื่อต้องคอยตอบคำถามหรือฟังเสียงแก้มใสที่นั่งข้าง ๆ อยู่ตลอดเวลา แม้จะพยายามคิดไปในทางที่ดีว่าแก้มใสเป็นคนมีอัธยาศัยดี แต่เธออยากจะมีเวลาส่วนตัวจัดระเบียบความคิดของตัวเองบ้างไม่ใช่คอยปั้นหน้าเสแสร้งเออออห่อหมกกับท่าทางจี๋จ๋าของแก้มใส อาการนอยของพู่กันอยู่ในสายตาพี่หนูนาความจริงมันก็น่าเซ็งอยู่หรอกเพราะแก้มใสพูดเป็นต่อยหอยไม่เว้นช่วงให้คนฟังได้หายใจขนาดคนปกติยังรู้สึกรำคาญ แล้วอย่างไอ้พู่มีหรือหน้าจะไม่เหมือนกินบอระเพ็ด รุ่นพี่พู่กันแอบอมยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นพู่กันก้มหน้าแอบลอบถอนหายใจ......



*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚



ภาพปุยเมฆสีเทากำลังลอยไหลมารวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้า พู่กันเงยหน้ามองฟ้าพลางคิดอย่างหนักใจว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกห่าใหญ่แน่นอน ดูจากเมฆที่ลอยต่ำและกลิ่นฝนที่ใกล้เข้ามา ยังไม่ทันจะลุกไปไหนฝนก็เทกระหน่ำลงมาพร้อมกับลมพัดแรงทำให้เข้าของในอาคารปลิวว่อน หนึ่งในนั้นคือเอกสารที่อยู่ในตะกร้า พู่กันโผลุกขึ้นไล่ตะครุบกระดาษที่กำลังจะปลิวออกนอกอาคาร สายฟ้าแลบแปลบปลาบหยุดเท้าพู่กันชะงักงันนอกจากกลัวเลือดแล้วเธอยังกลัวสายฟ้าแลบเสียงฟ้าร้องเป็นที่สุด “พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยพู่ด้วย” พู่กันอุทานออกมาเบาๆแล้วทรุดนั่งตัวงอยกมือปิดหูหลับตาปี๋เมื่อเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องปล่อยให้สายฝนสาดใส่จนตัวเปียกโชก มีมือใหญ่ดึงร่างบางให้เข้ามาในอาคารก่อนที่จะเปียกฝนไปมากกว่านี้

“คุณ คุณเปียกหมดแล้ว”

เสียงทุ้มทักเข้ามาในโสตประสาทในช่วงเวลาที่หวาดกลัว พู่กันเงยหน้ามองดูคนที่ดึงเธอเข้ามาในอาคารนายคนนี้อีกแล้ว เจอทีไรซวยทุกทีพู่กันคิดพลางเหลียวมองรอบตัวหาคนอื่นๆ ต่างกำลังวุ่นวายกับข้าวของที่ปลิวตามแรงลม ร่างบางลุกขึ้นโดยเร็วเพื่อไปช่วยอีกแรง กว่าจะเรียบร้อยเล่นเอาเหนื่อยกันแทบทุกคน


“โอยยยย...แทบตายอะไรจะขนาดนั้นลมหนอลม”

พี่หนูนาใช้มือทุบขาทุบน่องตัวเองให้หายเมื่อยปากไม่วายบ่นทั้งๆที่ยังหอบไม่หาย โดยมีพู่กันนั่งข้างๆตัว หางตาของคนอาบน้ำมาก่อนรู้ว่าหญิงสาวต้องการที่พึ่ง อาจเป็นเพราะวันนี้เธอเจอเรื่องแต่เรื่องแย่ ๆกับตัวเอง มืออันอบอุ่นตบบ่าลูบหลังสาวรุ่นน้องเรียกขวัญให้กลับมาไม่จำเป็นต้องมีคำพูดแต่สายตาที่มองสบกันนั้นก็เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ไม่วายกระเซ้าหญิงสาว


“ไม่เป็นไรนะ วันนี้ไม่ใช่วันของแกว่ะพู่”
“ฟังพูดเหมือนพู่เจอซะน่วมงั้นแหละ แต่จะพูดไปก็สนุกดีนะพี่ พู่ไม่ได้วิ่งออกกำลังกายแบบนี้นานแล้ว ตอนที่ไล่ตระครุบกระดาษเอย กล่องเอย มันเหมือนกำลังไล่จับหมาจับแมวเลย ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกเลยพี่”
“สนุกของแกไปคนเดียวเหอะ ทีไอ้ตอนฟ้าแลบฟ้าร้องไมแกไม่วิ่งหนีฝนวะลงไปนั่งปล่อยให้ฝนสาดอยู่ได้ นี่ถ้าไม่ได้นายพรหมช่วยดึงมาคงได้ถูกฟ้าผ่าอยู่ตรงนั้นแหงๆๆ”
“ก็อยากจะวิ่งอยู่หรอกแต่ขามันก้าวไม่ออก พู่กลัวฟ้าร้องฟ้าแลบนี่ ฝนฟ้าที่นี่น่ากลัวจัง”
พู่กันทำหน้าสยองเมื่อพูดถึงเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปหยกๆ

“นี่ ๆ ตะกี้นะ ฉันกำลังนึกว่ากำลังถ่ายทำ MV นางเอกกลัวฟ้าแลบฟ้าร้องให้พระเอกมาช่วยซะอีก”
“ไหงพี่หนูนาพูดเข้ ๆ แบบนี้อะ พู่เสียหายนะ นายคนนั้นโผล่มาตอนไหนพู่ยังไม่รู้เลย”
“เขาชื่อพรหม”
“ไม่ได้ถามเลยยย พู่ขอไปดูเอกสารดีกว่า ไม่รู้ว่าเปียกเสียหายมากหรือเปล่า”


พู่กันลุกขึ้นโดยไม่รอว่าพี่หนูนาจะกล่าวอะไรต่อไป ร่างบางเดินไปที่ตะกร้าเก็บเอกสาร หยิบมันติดมือไปนั่งตรงมุมห้องแล้วหันหลังให้กับทุกคน ทำงานคนเดียวเงียบ ๆ


ชายหนุ่มคนที่พี่หนูนาพูดถึงกำลังมองแผ่นหลังบอบบางของพู่กันอยู่เงียบ ๆ ภายใต้แว่นดำ เขาปฏิเสธที่จะนอนพักอยู่ที่รูมสวีทที่พี่สาวเปิดไว้ให้กับโรงแรมดังห้าดาวในตัวเมืองสุราษฏร์ เพียงแค่อยากรู้จักว่าเธอเป็นใคร ด้วยนิสัยที่อยากได้อะไรก็ต้องได้จึงไม่อยากให้คาใจ บวกกับโชคชะตาพาให้เขามาเจอเธอที่นี่ ความจริงแล้วเขาไม่ควรจะมานั่งตรงนี้ในวันนี้ หากไม่ใช่เพื่อนนักธุรกิจจากสวิสที่มีกำหนดการนัดคุยเรื่องธุรกิจติดธุระด่วนขอเลื่อนเดินทางมาเมืองไทยออกไปเป็นอาทิตย์หน้า ทำให้ตารางเวลามีช่องว่างขึ้นมาทันที แค่ต้องการคั่นเวลาที่ว่างลงให้มีประโยชน์ดีกว่านั่งเฉยๆ ชายหนุ่มคิด ทั้งทนการชักชวนครั้งแล้วครั้งเล่าจากเก็จแก้วที่อยากให้เขาได้รู้จักการทำสาธารณะกุศลดูบ้าง




*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ * *.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎*.:。✿* D *.:。✿*゚¨゚✎ *✿* D *.:。✿*゚¨゚



“ไอ้พู่นี่ของชอบแกเลย เอ้ากินเข้าไปเยอะ ๆ ผอมเชียวแก”

พี่หนูนานั่งใกล้พู่กันใช้ตะเกียบคีบหมูกรอบให้รุ่นน้องอย่างรู้ใจ เก็จพรหมมองหมูกรอบวางบนข้าวเหลือบดูใบหน้าเปื้อนยิ้มแทนขอบคุณแล้วยิ่งแน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันกับพี่พู่กันของอั๋น “พี่พู่ชอบข้าวหมูกรอบมาก มานั่งทีไรสั่งทุกที”

“นี่ด้วยคะพู่กัน แก้มใสตักไข่เจียวให้ ดูสิปากแดงหมดแล้วทานอะไรคะถึงได้เผ็ดขนาดนี้”

แก้มใส ตักไข่เจียวสีเหลืองกรอบน่าทานให้อีกคน ในขณะที่พู่กันหน้าแดงปากแดงจากความเผ็ดร้อนของน้ำพริกกุ้งเสียบ อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารรสชาดของคนใต้ใช้ได้ทีเดียวยกเว้นเรื่องความเผ็ดที่พู่กันแขยง เธอไม่ชอบของเผ็ดทุกชนิด ขนาดส้มตำเธอยังต้องบอกแม่ค้าใส่พริกเม็ดเดียว ในหมู่เพื่อนๆทุกคนจะรู้ใจด้วยการสั่งจานแยกให้เพื่อนสาวคนนี้

“น้ำพริกกุ้งเสียบอร่อยมากเลยเสียแต่ว่าเผ็ดไปหน่อย”


เผ็ดไปหน่อยของพู่กันคือเหงื่อไหลข้างแก้มเนียน มือบางยกมือซับหน้าด้วยกระดาษเช็ดปาก ยกน้ำเปล่าตามเกือบหมดแก้ว หมูกรอบชิ้นน้อยเข้าปากแก้เผ็ดเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เก็จพรหมนั่งข้างเก็จมณีตรงข้ามกับพี่หนูนาและพู่กัน ดูเหมือนชายหนุ่มจะรับประทานอาหารเงียบ ๆ แต่ยังมีคนแอบเห็นชายหนุ่มคอยเหลือบดูหญิงสาวตรงหน้าบ่อย ๆ โดยที่เขาและคนถูกมองไม่รู้ตัว

“อาหารมื้อนี้ต้องขอบคุณคุณแก้วนะครับที่มีน้ำใจพามาเลี้ยง อาหารถูกปากมากเลยครับ ดูสิฮะแต่ละคนข้าวเกลี้ยงจานเลย”
พี่ตรีภพเป็นฝ่ายเอ่ยขอบคุณเจ้าภาพอาหารมื้ออร่อยแทนสมาชิกในกลุ่ม

“แค่บอกว่าอาหารมื้อนี้ถูกปากคนพามาก็ปลื้มแล้วล่ะคะ ความจริงอาหารคนใต้รสจัดออกร้อนแรง แก้วก็ยังนึกกลัวทุกคนจะทานไม่ได้เหมือนกันนะคะ”
“ก็คงจะมีแต่ไอ้พู่นี่แหละ ดูสิคะ ปากแก้มมันยังแดงอยู่เลย ใช่ไหมไอ้พู่”


หน้าพู่กันร้อนขึ้นมาอีกเมื่อสายตาทุกคู่หันมามองตามคำบอกเล่าของพี่หนูนา ได้แต่ยิ้มเขิน ๆ ก้มหน้ามองจานข้าวของตน หนุ่มหน้าเข้มตรงหน้ามีโอกาสได้มองอย่างเต็มตา

“เออ คุณพรหมเป็นไงบ้างครับ บาดแผลที่หัวครับ”
ตรีภพถามอาการเจ็บของชายหนุ่มเมื่อเงยหน้ามองดูผ้าพันแผลบนศีรษะ

“รู้สึกตึง ๆ นิดหน่อยครับ”
“คุณน่าจะนอนพักนะคะ แก้มบุ๋มมียาแก้ปวดจะรับไหมคะ”

แก้มบุ๋ม เอ่ยแทรกขึ้นมา แสดงความมีน้ำใจเอียงคอยิ้มให้เก็จพรหม สายตาหลายคู่มองฉงนกับความมีน้ำใจที่เพิ่งเคยเจอ

“ขอบใจครับ แต่ไม่เป็นไรฮะ ทางโรงพยาบาลจัดมาให้แล้วนี่ไงฮะ”

เก็จพรหมชูถุงยาของโรงพยาบาลส่งยิ้มเก๋ให้หญิงสาวที่นั่งติดกับเขา ก่อนจะตวัดสายตาไปที่คนนั่งตรงข้ามที่เอาแต่สนใจบางอย่างบนพื้นที่ของตัวเอง ดูท่าเจ้าหล่อนไม่ได้สนใจใครๆหรือการสนทนาบนโต๊ะอาหาร

“นี่ไอ้พู่แกติดใจอะไรนักหนากับมือถือวะ เห็นจิ้มๆกดๆ อย่าบอกนะว่าแก BB อยู่”

พี่หนูส่ายหน้าระอากับอาการติสจ๋าของพู่กัน เธอจะเข้าโหมดส่วนตัวได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่สนใจว่าใครจะพูดคุยหรือทำอะไรกันอยู่

“งานเข้าคะพี่ พู่กำลังรับงาน ขอโทษนะคะ เด่วพู่ออกไปโทรศัพท์นะคะ”

พูดจบพู่กันลุกขึ้นเดินออกไปคุยนอกร้าน โดยมีสายตาของหนุ่มหน้าเข้มตามไปด้วย เขาอยากรู้ว่าพู่กัน BB กับใคร ที่ว่างานเข้านั้นมันคืออะไร พี่หนูนามองหน้าเก็จพรหมแล้วหัวเราะดังๆ ก่อนจะสาธยายคุณสมบัติเด่นของหญิงสาว

“แบบนี้แหละคะ แม่พู่ติสจ๋าของพวกเรา”
“เชื่อแกเลย”
ตรีภพพูดเสริมพร้อมกับส่ายหน้าเอ็นดูนิสัยส่วนตัวของสมาชิกชมรม

“ทำไมไม่คิดว่าเป็นการเสียมารยาทบ้าง เราควรตักเตือนเค้าให้รู่ว่า อยู่กับคนหมู่มากไม่ควรสร้างโลกส่วนตัว ทำตัวแบบนี้น่าเกลียด”
แก้มบุ๋มพูดเมื่อเห็นทุกคนบนโต๊ะไม่ได้ตำหนิเมื่อพู่กันผละจากไปคุยเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะสายตาของหนุ่มหล่อที่นั่งข้างๆ เธอ

“แก้มบุ๋มทำไมพูดแบบนั้น พู่กันเค้าก็บอกว่า งานเข้า ก็แปลว่ามีงาน ดีออกน่าจะดีใจกับพู่กันมากกว่าถึงจะถูก”

แก้มใสพูดในเชิงบวกทำให้ทุกคนในที่นั้นพยักหน้าเห็นด้วย เพียงไม่นานคนเจ้าของเรื่องกลับมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยกเว้นแววตาที่เต้นระริกที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิด



Create Date : 21 สิงหาคม 2554
Last Update : 21 สิงหาคม 2554 8:52:51 น.
Counter : 599 Pageviews.

6 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

gymstek
Location :
ภูเก็ต  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



>