โดยวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 เป็นวันเริ่มต้นของกิจกรรม ณ พุทธสถาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นการแถลงเกี่ยววัตถุประสงค์ของกิจกรรม แนะนำผู้ที่จะร่วมเดินทาง และทำพิธีบูชาพระอุปคุต บริเวณริมฝั่งน้ำแม่ปิง (บริเวณสะพาน นวรัฐ) ตำนานแต่โบราณได้กล่าวว่า พระอุปคุตท่านเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นพระเถระผู้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพและฤทธิ์เดช สามารถปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้ายที่จะมาทำลายพิธีกรรมใหญ่ ๆ ดังนั้นจึงเป็นประเพณีความเชื่อของชาวล้านนาสืบมาแต่โบราณที่จะมีการอัญเชิญพระอุปคุตก่อนที่จะมีกิจกรรมสำคัญใดๆ เพื่อมาปกป้องคุ้มครอง สร้างความเป็นสิริมงคล ขวัญและกำลังใจให้สามารถปฏิบัติงานไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ มาขัดขวาง
ครั้งนี้พ่อหลวงสมบูรณ์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านสันกับตอง อ.สารภี ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มในการอัญเชิญอัญเชิญพระอุปคุต โดยตั้งอธิฐานจิตและดำลงไปในน้ำเพื่อหาหินหนึ่งก้อนที่มีรูปร่างสวยงามไม่บิดเบี้ยวหรือแตกบิ่น และสมมุติว่าหินก้อนนั้นเป็นพระอุปคุต ขอนิมนต์ไปปราบปรามห้ามมารที่จะมารบกวนงาน จากนั้นจึงนำเอาหินก้อนที่สมมุติว่าคือพระอุปคุตใส่พาน ผู้ที่มาร่วมพิธีจะพรมน้ำส้มป่อย โปรยข้าวตอกดอกไม้ และนิมนต์ร่วมเดินทางไปตลอดกิจกรรมการเดินทาง เมื่องานสำเร็จลุล่วงก็จะต้องนิมนต์ท่านกลับยังที่เดิม
หลังเสร็จพิธี ดร. ประมวล เพ็ญจันทร์ ยังได้แสดงปาฐกถา เรื่อง จิตวิญญาณ ศรัทธาแห่งสายน้ำ ในตอนหนึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า หากเราลบซึ่งความเกลียดชังออกแล้วเปลี่ยนเป็นความศรัทธาเราก็จะพบกับความอัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะที่อาจารย์ประมวลได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย ท่านได้เคยมีความเกลียดชังในแม่น้ำคงคา เนื่องจากชาวอินเดียจะประกอบพิธีศพและมีการปล่อยน้ำทิ้งลงสู่แม่น้ำคงคา แต่เมื่อท่านได้ละทิ้งซึ่งความเกลียดชังต่อสายน้ำออก ก็ได้พบกับความน่าอัศจรรย์ของสายน้ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิถีการดำรงชีวิตของชาวอินเดีย ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอินเดีย หากเราละทิ้งซึ่งจิตสำนึกต่อสายน้ำเราอาจจะลืมว่าสายน้ำก็เปรียบเสมือนน้ำนมของแม่ซึ่งคอยหล่อเลี้ยงชีวิตเรา อาจารย์ประมวลได้กล่าวทิ้งท้ายก่อนจบงานปาฐกถา จิตวิญญาณ ศรัทธาแห่งสายน้ำ หลังจากจบขบวนเดินธรรมยาตราก็ได้เดินทางสู่ดอยหลวงเชียงดาว ดินแดนที่หุบเขาเปื้อนหมอก ขบวนเดินทางของเราได้เดินมามาถึงที่เชียงดาวในยามเย็นและได้พักค้างแรมที่ ค่ายเยาวชนเชียงดาว เพื่อร่วมพิธีคารวะจิตวิญญาณแห่งสายน้ำ และเลี้ยงผีขุนน้ำตามวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองที่ ตำบล เมืองนะ โดยงานจะจัดขึ้นที่หมู่บ้านแม่นะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสายน้ำ ปิง หนึ่งในสายน้ำต้นกำเนิดของ แม่น้ำเจ้าพระยา
------------------------------------------------------------------------------------------
ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ตอนเช้าเราได้เริ่มเปิดวงสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสายน้ำ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนของการเดินทางอันยาวไกลที่มีระยะเวลาประมาณ 4 เดือนรวมระยะทาง 1200 กิโลเมตร ผู้ที่ร่วมเดินทางประกอบด้วยกลุ่มพระสงฆ์จากวัดต่างๆ รวมถึงหลวงพ่อประจักษ์ (พระนักอนุรักษ์ผืนป่า ป่าดงใหญ่จากการถูกนายทุนบุกรุก และในที่สุดผืนป่าแห่งนี้ก็ได้ถูกผนวกรวมเป็นผืนป่าดงพญาเย็น ซึ่งปัจจุบันได้รับการรับรองเป็นมรดกโลก) และกลุ่มคนทั่วไปที่สนใจ โดยมีคุณนิคม พุทธา เป็นตัวยืนที่จะเดินทางอย่างต่อเนื่อง การเดินทางจะเป็นการเดินภาวนา ไม่รีบเร่ง สัมผัสธรรมชาติโดยรอบและวิถีชีวิตชุมชน
หากเราคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้เราเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราก่อน เป็นคำพูดของอาจารย์ประมวลที่กล่าวในวงสนทนา ทำให้เราต้องมาคิดตามว่าแม้เราจะมีการณรงค์ มากซักเพียงใด แต่เราไม่ยอมเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตัวของเราเองก่อนสิ่งที่เราทำไปก็คงไม่สำเร็จ เราได้เคลื่อนขบวนเดินธรรมยาตราไปสู่ วัดถ้ำเมืองนะ ตำบลเมืองนะ ในยามบ่ายเพื่อที่จะประกอบพิธี เลี้ยงผีขุนน้ำ ซึ่งเป็นประเพณีที่มีมานับตั้งแต่สมัยโบราณตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อกันว่าในขุนน้ำหรือต้นน้ำมีเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิทักษ์ปกป้องรักษาป่าต้นน้ำ ทำให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ตลอดปี ทำให้น้ำไม่แห้งขอดเ มื่อมีน้ำกินน้ำใช้อย่างเหลือเฟือชาวบ้านก็สามารถเพาะปลูกพืชสวนทำไร่ไถนามีอาหารไว้บริโภคตลอดทั้งปี หากปีใดน้ำแห้งมีน้ำไม่เพียงพอต่อการใช้ เป็นสัญญาณว่าต้องมีอะไรผิดปกติ หรือมีใครหรือกลุ่มคนได้เข้าไปละเมิดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือทำอะไรผิดต่อผืนป่าต้นน้ำทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์โกรธจึงลงโทษทำให้สายน้ำแห้งเหือดหรือเกิดน้ำท่วม
ขบวนเดินธรรมยาตรา และชาวเขาเผ่าลาหู่ซึ่งเป็นผู้ที่จะทำพิธี ได้เดินทางด้วยเท้าเข้าไป ณ จุดต้นน้ำปิง พร้อมเครื่องเซ่นไหว้ซึ่งประกอบด้วย สุรา บุหรี่ หัวหมู ไข่ต้ม ข้าวเหนียวสุก ผลไม้ หมาก พลู รวมทั้งดอกไม้ธูปเทียน จากนั้นผู้ประกอบพิธีซึ่งเป็นผู้เฒ่าภายในหมู่บ้าน จะเข้าไปจุดธูปเทียน แล้วบอกกล่าวเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ปกปักษ์รักษาต้นน้ำลำธาร มีฝนตกลงมา เพื่อจะให้แม่น้ำลำธารอุดมสมบูรณ์มีน้ำตลอดปีให้เพียงพอต่อการเพาะปลูกตลอดปีและหล่อเลี้ยงชีวิต รวมทั้งกล่าวคำขอขมาลาโทษต่อสิ่งที่ไม่ดีไม่งามที่เกิดจากบุคคลที่เข้าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้เข้า ไปล่วงละเมิดต่อผืนป่าต้นน้ำ
หลังจากนั้น หลวงพ่อประจักษ์ก็นำผู้คนทำพิธีบวชป่า เริ่มจากไหว้พระรัตนตรัย สมาทานศีล พระสงฆ์เจิมต้นไม้ เสร็จแล้วพระสงฆ์ จะห่มผ้าเหลืองให้ต้นไม้ จากนั้นประพรมน้ำพระพุทธมนต์ตามต้นไม้ที่บวชไว้ เป็นเสร็จพิธี ต้นไม้ที่เราประกอบพิธีบวชป่านั้นเป็นต้นไทรขนาดใหญ่ ประมาณ 6 คนโอบ หลังจากเสร็จพิธี พ่อหลวงสมบูรณ์ได้พาเดินขึ้นไปชมบริเวณต้นน้ำแม่ปิงก่อนจะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วจึงพาคณะเดินธรรมยาตรากลับลงมา
------------------------------------------------------------------------------------------
ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นวันแรกของการเดินธรรมยาตรา จากต้นน้ำปิงสู่ที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาจรดอ่าวไทย การเรียนรู้ทุกย่างก้าวกำลังจะเริ่มขึ้น การเดินในวันแรกนี้เป็นการเดินระยะทางที่ไม่ไกลมากนักเพื่อให้ร่างกายของผู้เดินธรรมยาตราได้ปรับตัว หลังอาหารเช้า ขบวนได้เริ่มออกเดินทางจากวัดถ้ำเมืองนะซึ่งเป็นที่พัก ไปจนถึงห้วยเม่เกี๋ยงซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสายน้ำแม่ปิงอีกสายหนึ่ง ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร และหยุดพักวันแรกที่วัดถ้ำวัว
ตลอดการเดินทางในครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นการอนุรักษ์สายน้ำของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามรณรงค์รักษาสายน้ำให้คงอยู่สืบต่อไป แต่...เราจะไม่สามารถรักษาสายน้ำไว้ได้ถ้าหากพวกเราทุกคนไม่ช่วยกันดูแล ก้อนหินก้อนเล็กๆไม่อาจหยุดสายลมได้ แต่ถ้าก้อนหินรวมกันเป็นภูเขาก็จะสามารถหยุดสายลมได้ คณะเดินธรรมยาตราก็เปรียบเสมือนก้อนหินก้อนเล็กๆที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสายน้ำให้ดีขึ้นได้ แต่พวกเราทุกคนเปรียบเสมือนภูเขาที่จะช่วยกันปกป้องสายน้ำได้เพื่ออนาคตเริ่มวันนี้เริ่มที่ตัวเราทุกคน ป่าต้นน้ำกับการเกษตรที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ในยามที่ฝนตก พื้นที่ป่าต้นน้ำจะทำหน้าที่เสมือนอ่างเก็บน้ำและฟองน้ำขนาดมหึมาตามธรรมชาติ ที่คอยเก็บกักน้ำในหน้าฝนไม่ให้น้ำฝนที่ตกลงมาไหลออกไปหมดและค่อยๆปลดปล่อยออกในหน้าแล้ง น้ำที่ถูกปล่อยออกมาจะรวมเป็นกันลำธารสายเล็กๆแล้วลำธารก็จะไหลรวมกันเป็นแม่น้ำ หล่อเลี้ยงชีวิตทั้ง มนุษย์ พืช และสัตว์ ตลอดสายน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี
ป่าต้นน้ำ เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศอย่างมากเพราะป่าต้นน้ำมีความหลากหลายทางชีวภาพที่สูงมากเป็นที่ซึ่งควรแก่การอนุรักษ์ไว้ หากไม่มีซึ่งป่าต้นน้ำการเกษตรก็จะขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูกแม่น้ำลำคลองไม่มีน้ำก็จะทำให้ไม่สามารถทำการประมงได้ซึ่งผลกระทบจากการสูญเสียป่าต้นน้ำจะเป็นวงกว้างไม่เพียงมนุษย์ที่ได้รับผลกระทบแต่ยังรวมไปถึงพืชและสัตว์รวมถึงระบบนิเวศต่างๆที่ต้องใช่น้ำ ป่าต้นน้ำในประเทศไทยของเรากำลังถูกทำลายลงเรื่อยๆด้วยเหตุผลเดิมๆ การบุกรุกป่าเพื่อทำการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ธุรกิจท่องเที่ยวที่พักและสนามกอล์ฟ และการลักลอบตัดไม้ เป็นต้น ได้ก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น การขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง น้ำท่วมในหน้าฝน การเสื่อมโทรมลงของระบบนิเวศและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และการลดลงของพื้นที่ป่าชุมชนหรือป่าสาธารณะของชุมชนซึ่งส่งลต่อการดำรงชีพของผู้คนจำนวนมาก
ป่าต้นน้ำของประเทศไทยส่วนใหญ่กำลังถูกเปลี่ยนสภาพกลายเป็นแปลงเกษตรเชิงเดี่ยว พี่นิคม พุทธาได้พูดติดตลกในขณะที่เดินไปทำพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำที่ต้นน้ำปิงว่า ถ้าอยากรู้ว่าตรงไหนเป็นเขตของประเทศไทยตรงไหนเป็นเขตพม่าดูง่ายๆ ที่เราเห็นเป็นไร่นั้นละเป็นเขตของประเทศไทยแล้วที่เห็นเป็นแนวป่านั้นเป็นชายแดนพม่า เป็นคำพูดติดตลกเล็กๆของพี่นิคม ที่ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับป่าต้นน้ำของประเทศไทยในขณะนี้
แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายควบคุมการตัดไม้เพื่อการพาณิชย์ แต่ก็ยังมีการเปิดป่าเพื่อ การเกษตร ซึ่งยังไม่มีกฎหมายมารองรับในกรณีนี้ ซึ่งเป็นการทำลายป่าต้นน้ำอย่างน่าเสียดาย
การเกษตรเชิงเดี่ยวและการใช้สารเคมีในการทำการเกษตรที่มากเกินไปทำให้ดินในบริเวณนั้นตาย ตามความเชื่อผิดๆที่ว่าปลูกพืชเพียงชนิดเดียวแล้วจะทำให้ได้กำไรมากกว่าในช่วงที่ผลผลิตดี แต่ความจริงเป็นเหมือนกับเป็นการหนี้โปะหนี้ที่เกษตรกรจำต้องแบกรับเอาไว้ ชาวเกษตรส่วนใหญ่ในบริเวณป่าต้นน้ำนิยมที่จะใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเพราะเชื่อว่าปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงจะทำให้พวกเข้าได้ผลผลิตที่สูง น่ากังวลว่าการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงในบริเวณต้นน้ำจะทำให้มีการปนเปื้อนสารพิษลงสู่แหล่งน้ำ
ในพื้นที่ชนบทหรือเมืองต่างๆ ในประเทศไทยมักจะพบร้ายขายอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ขายปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชมากมาย รวมถึงโฆษณาขายเคมีเกษตรตลอดถนนหนทางทั่วไป ในทางกลับกัน เรามักไม่ค่อยพบร้านขายปุ๋ยอินทรีย์เลยและน้ำหมักชีวภาพเลย การทำเกษตรบริเวณต้นน้ำทำให้มีเปิดพื้นที่ป่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อสนองต่อการเกษตรกรและนายทุนที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น หากไม่มีการควบคุม เราสูญเสียป่าต้นน้ำเป็นบริเวณกว้าง และความเสี่ยงที่จะเกิดการปนเปื้อนของสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งระบบ รวมถึงมนุษย์
น้ำ ตะกอนดินที่ได้รับการปนเปื้อนสารเคมีก็จะทำให้พืชน้ำเกิดการปนเปื้อนสารพิษ สัตว์น้ำที่อยู่ในน้ำที่ปนเปื้อนและบริโภคพืชน้ำก็จะได้รับการสารพิษ สัตว์น้ำขนาดเล็กถูกสัตว์น้ำขนาดใหญ่กินก็จะได้รับสารพิษเพิ่มขึ้นตามลำดับ แล้วมนุษย์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารที่จับสัตว์น้ำมากินก็จะได้รับสารพิษที่สะสมมาจากสัตว์น้ำเหล่านั้น และเมื่อสะสมในร่างกายมากเข้าก็ก่อให้เกิดการเป็นโรคต่างๆ สิ่งที่เราก่อไว้ไม่ได้จางหายไปไหนหากแต่มันจะกลับมาถึงตัวเราสักวันหนึ่ง หากเรายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงยังคงใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ
.
เยี่ยมชมลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
Facebook : ธรรมยาตรา ศรัทธาแห่งสายน้ำ
www.doichiangdaocampingsite.com www.smartsmile-school.com
การพบกันของสายน้ำ อ.ประมวล เพ็งจันทร์
เพลงต้นเจ้าพระยา - ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
ธร รมยาตรา ลำน้ำแม่ปิง - ข่าวสดออนไลน์ 28ธค53
ธรรมยาตรา ศรัทธาสู่สายน้ำ - ทีวีไทย 20ธค53
ขุนเขาลุ่มน้ำแม่ปิง - เกริ่น เขียนชื่น
ภาพฝัน ริมฝั่งสองนทีของสายน้ำแม่ปิง - เกริ่น เขียนชื่น
ก้าวย่างพิเศษดอยหลวง - เกริ่น เขียนชื่น
พิธีกรรมการบูชาพระอุปคุต - เกริ่น เขียนชื่น
สิบห้าชีวิตจากขุนเขา - เกริ่น เขียนชื่น
มิตรภาพระหว่างทางสายน้ำแม่ปิง กับหมา หมา
เดี๋ยวช่วยบอกต่อนะค่ะ