ข้าวราคาถูก ควรปลูกแบบลดต้นทุน.
หลังจากที่รัฐบาลยุติโครงการรับจำนำข้าวจึงทำให้วิกฤติราคากระทบกับปากท้องของชาวไร่ชาวนาเมื่อข้าวเปลือกราคาเป็นไปตามกลไกของตลาดโลกที่มีทั้งอินเดีย ลาว กัมพูชาเมียนมาร์ เวียดนาม ต่างก็ออกมาแข่งขันประชันราคาจนอยู่ที่ระดับราคา 5,000-6,000 บาทต่อตันซึ่งถือว่าต่ำมากอยู่เหมือนกันเมื่อเทียบค่าครองชีพในปัจจุบันส่งผลทำให้กำรี้กำไรที่เคยมีของชาวไร่ชาวนาหดหายไม่เหลือพอที่จะนำไปจับจ่ายใช้หนี้ได้เพียงพอ การประมูลข้าวที่ไทยหวังว่าจะได้จากฟิลิปปินส์ก็อาจจะต้องผิดหวังเพราะถูกเวียดนามแซงหน้าให้ราคาที่ต่ำกว่าจึงคาดได้ว่าน่าจะได้โควต้าในการส่งออกข้าวไปยังฟิลิปปินส์กว่า 700,000 ตัน (จากการเสริมสต๊อคข้าวที่กำลังลดลง)ไทยเราก็ต้องก้มหน้ากลับมาหาวิธีแนวทางในการระบายข้าวไปยังประเทศอื่นๆต่อไปทั้งยุโรป อเมริกา จีน แอฟริกาเพื่อที่จะได้ระบายข้าวที่มีอยู่ในสต๊อคจำนวนมาก โดยปรกติไทยจะส่งออกข้าวไปต่างประเทศแบ่งเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้ 1. ข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวระดับพรีเมี่ยมชื่นชอบมากในสหรัฐฯ อียู จีน สิงคโปร์ 2. ข้าวขาว ปลูกมากในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบนข้าวชนิดนี้ต้องแข่งขันกันสูงกับเวียดนาม ไทยมีจุดแข็งในข้าวขาว 100% และมีสัดส่งออกข้าวนี้ 30-40% ตลาดส่วนใหญก็จะเป็นชาวอาเซียนด้วยกันอย่าง ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย 3. ข้าวนึ่งไทยผลิตเพื่อส่งออก แต่ส่งออก 100% ไปที่แอฟริกา ไนจีเรีย 4. ข้าวเหนียวมีการส่งออกน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่บริโภคภายในประเทศ วงจรการค้าข้าวก็จะมีเกษตรกรที่ทำหน้าที่ปลูกข้าวและส่งขายไปยังโรงสีโรงสีก็จะแปรสภาพเป็นข้าวสารจำหน่ายจ่ายแจกไปยังตลาดทั้งในในและต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ก็จะผ่านพ่อค้าผู้ส่งออกในห้วงช่วงสองสามปีที่ผ่านมาโครงการรับจำนำของรัฐบาลที่รับซื้อข้าวสูงถึงตันละ 15,000 บาท ทำให้กระทบกับพ่อค้าผู้ส่งออกจำนวนมากที่ไม่สามารถซื้อข้าวแข่งกับรัฐบาลได้ข้าวส่วนใหญ่จึงไหลเข้าไปอยู่กับรัฐบาลและรัฐบาลก็จะต้องเร่งรีบหาเงินมาจ่ายคืนชาวด้วยการค้าข้าวออกไปยังตลาดทั้งภายในและต่างประเทศเช่นกันซึ่งส่วนใหญ่จะทำการค้าแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี แต่ก็มาติดขัดเกี่ยวกับเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นและปัญหาการเมืองปัญหาข้าวเน่าข้าวหายไปจากคลังที่เก็บจึงทำให้โครงการนี้มีอันสะดุดหยุดไปตามระเบียบ ภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะงักจากยอดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่หายหน้าหายตาไปส่วนหนึ่งทำให้เกิดปัญหาในหลากหลายมิติแต่มิติที่สัมผัสกับชาวไร่ชาวนาเกษตรกรได้ก็คือเรื่องปัญหาปากท้องที่มีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายเมื่อขายข้าวในราคาตามตลาดโลก ซึ่งมีราคาค่างวดเฉียดฉิวกับต้นทุนที่แพงโด่งขึ้นมาสาเหตุส่วนหนึ่งก็คือค่าครองชีพ ค่าปุ๋ยค่ายาที่ขึ้นตามราคาข้าวแต่เมื่อราคาข้าวลดลงแต่ราคาปุ๋ยยาไม่ลดตามลงมาด้วย จึงทำให้การดำรงชีพของพี่น้องเกษตรกรดำรงอยู่ได้ยากขึ้น การหาสิ่งทดแทนปุ๋ยยาเคมีจึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งอย่างการใช้กลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟที่ให้แร่ธาตุสารอาหารที่เกือบครบถ้วนแก่พืชหรือต้นข้าวไม่ว่าจะเป็นฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน เหล็ก ทองแดงแมงกานีส สังกะสี โบรอน โมลิบดินั่ม นิกเกิล ขาดแต่เพียง ไนโตรเจนถ้าเกษตรกรไม่เผาตอซังฟางข้าวหรือมีการเติมอินทรีย์วัตถุปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกเพิ่มเติมเสริมเข้าไปก็จะช่วยทำให้ใช้หินแร่ภูเขาไฟทดแทนปุ๋ยเคมีได้ไม่ยากที่สำคัญทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลงมามากกว่า 50-60%เพราะหินแร่ภูเขาไฟช่วยทำให้พืชมีความแข็งแกร่งจากซิลิก้าที่ละลายน้ำได้ด้วยเพลี้ยหนอนแมลงราไรจึงเข้าทำลายได้ค่อนข้างยาก มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
Create Date : 25 เมษายน 2557 |
Last Update : 25 เมษายน 2557 17:58:54 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1657 Pageviews. |
|
|
|