เชื่อว่า หากเรามีความตั้งใจ อดทน ไม่ย่อท้อ ทุกอย่างย่อมสำเร็จ
Group Blog
 
All Blogs
 

" ง า น อ ัน ต ร า ย "

“ยังไม่ถึงอีกหรือพี่” ผมหันมาถามด้วยน้ำเสียงกระซิบ
ไม่มีเสียงตอบกลับมาแต่อย่างใด ผมยังจับจ้องเข้าไปในความมืดตรงหน้า มือจับพวงมาลัยแน่น ผมไม่กล้าถามซ้ำ
รถเก๋งสีขาวเก่า ๆ วิ่งบนถนนดินแดง ในขณะที่สองข้างทางปกคลุมไปด้วยต้นไม้ท่ามกลางความมืดมิด มองลึกเข้าไปเหมือนคนยืนเรียงกันแล้วไหวตัวไปมา นั่นทำให้ผมยิ่งรู้สึกกลัวเพิ่มขึ้นมาทันใด
ชายคนที่นั่งข้าง ๆ ผม ชี้นิ้วไปทางขวา ผมมองเห็นมือของเขาแล้ว รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา คือมันใหญ่โตมาก ๆ เรียกได้ว่าใหญ่เกือบเท่าหัวผมเลยก็ว่าได้ ทันเท่าความคิด ผมเพ่งไปข้างหน้าแล้วเลี้ยวไปในทางเล็ก ๆ ด้านขวาทันที
ถนนที่วิ่งมาเรียกว่าแย่แล้ว ทางที่พึ่งเลี้ยวเข้ามากลับแย่หนักกว่าเดิมเสียอีก รถวิ่งผ่านหลุมน้อยใหญ่มากมาย พื้นดินที่เป็นตะปุ่มตะป่ำ ทำให้รถวิ่งเอนไปซ้ายที ขวาที เหมือนนั่งอยู่บนเรือที่แล่นฝ่าพายุคลื่นก็ไม่ปาน
“โครม” เสียงดังมาจากหลังรถ
“จอดก่อนสิ” พี่ใหญ่พูดขึ้น ผมเหยียบเบรคตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว รถจอดนิ่ง ทุกอย่างเงียบสนิท
“รออยู่นี่ล่ะ” พี่ใหญ่กระชากประตูเปิดแล้วเดินไปที่ท้ายรถ
“เฮ้ย เปิดฝากระโปรงสิ” ผมก้มลงดึงที่เปิดกระโปรงหลังออก แล้วเหลือบมองจากกระจกส่องหลัง
...
ถึงจะไม่ค่อยชัด แต่ภาพที่เห็นคือ ชายร่างยักษ์ ก้มลงง้างหมัดต่อยเข้าไปในหลังรถ หลายต่อหลายครั้ง มันรุนแรงจนรถสะเทือนไปทั่ว ผมไม่กล้าที่จะหันไปมองด้วยซ้ำ
ผ่านไป 5 นาที พี่ใหญ่เดินกลับเข้ามานั่งที่รถดังเดิม
“แฮ่ก ไปได้แล้ว” เสียงหายใจหอบดังขึ้นเบา ๆ
“เป็นไงบ้างพี่” ผมถามแก
“มันไม่ผิดอะไรหรอก แค่พื้นมันไม่ดี ก็เลยไปกระแทกรถ” พี่ใหญ่พูด พร้อมกับมองเลือดที่ติดอยู่ตรงสันหมัด
“แต่ไหน ๆ ก็เปิดฝากระโปรงแล้วน่ะนะ” พี่ใหญ่หันมาพูดยิ้ม ๆ ผมฝืนยิ้มให้แกแล้วกลืนน้ำลายลงคอ



รถแล่นเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกิน อากาศยามค่ำคืนที่ว่าเย็นหนาว แต่ผมกลับร้อนรุ่มดั่งไฟ เหงื่อหัวทำให้ผมด้านหน้าเปียกไปหมด สมองมันเต้นตุ๊บ ๆ ๆ จนปวดชาไปหมด
“เอาล่ะ จอดตรงนี้” พี่ใหญ่ชี้ไปตรงด้านหน้า
รถจอดสนิทนิ่ง พี่ใหญ่เปิดประตูเดินไปท้ายรถ ผมดึงเปิดฝากระโปรงเปิด หยิบหมวกไอ้โม่งมาใส่แล้วรีบลงตาม
สิ่งที่เห็นคือ ผู้ชายวัยกลางคนถูกมัดมือ มัดเท้า มีเทปกาวพันรอบปาก หน้าตาปูดบวมคล้ำเขียว มีเลือดไหลทั้งตาและจมูก กลิ่นขี้เยี่ยวคละคลุ้งไปทั่ว ผมเห็นแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
“ไม่เป็นไรน่าลุง เดี๋ยวลูกเมียโอนเงินมาก็จบเรื่องแล้ว” พี่ใหญ่พูดขึ้น
ผมได้ยินคำว่า ลูกเมีย แล้วรู้สึกว่าอยู่ ๆ จิตใจมันล่องลอยออกจากร่างไปไกล
...



- ส า ม ชั่ ว โ ม ง ก่ อ น ห น้ า –

“หวัดดีพี่” ผมยกมือขึ้นไหว้
“เออ ๆ พร้อมรึยัง” พี่ใหญ่เดินมาพร้อมจับไหล่ผมเบา ๆ
“เรื่องขับรถหรือพี่ ไม่ต้องห่วงครับ” ผมพูดอย่างมั่นใจ
“ดี งั้นไปเลย รถอยู่ข้างล่าง” แล้วพี่ใหญ่ก็เดินนำลงไป
...
ผมเดินเคียง ๆ พี่ใหญ่ รู้สึกว่าผมจะสูงประมาณคอแกเองแฮะ
“จริง ๆ พี่น่าไปเป็นนักกีฬานะ หุ่นได้เลย” ผมพูดแซว ๆ แก
“หึ ๆ เดี๋ยวนี้แค่เป็นการ์ดสระว่ายน้ำก็หมดเวลาแล้ว มวยก็ไม่ค่อยได้ลงแล้ว แม่งธุรกิจเกิน ต่อยไปก็ไม่คุ้ม” พี่ใหญ่พูดเป็นชุด
“อืม ผมก็ว่า..”
...
“เอ้อ แล้วนี่พี่ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่เลยเหรอครับ” ผมหันหน้ามาถาม
“ก็เออน่ะสิ เอ็งเคยถามพี่แล้วนี่หว่า บุหรี่น่ะ เลิกได้ก็เลิกซะ มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“ครับพี่ ก็พยายามลด ๆ อยู่เหมือนกัน” ผมพูดไปมือก็คลำซองบุหรี่ที่กระเป๋ากางเกง ยังเหลืออีกครึ่งซองได้
“เอ็งเห็นรถคันสีขาวตรงนั้นไหม ข้างคันสีแดงน่ะ” พี่ใหญ่พูดขึ้น
“อ๋อ นั่นหรือครับพี่”
“เอากุญแจไป สตาร์ทรถรอไว้ เอ้อ เปิดฝากระโปรงท้ายไว้ด้วย” แล้วพี่ใหญ่ก็ยื่นกุญแจมาให้ จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกไป
ผมเข้าไปนั่งในรถ เปิดแอร์ เปิดฝากระโปรงตามที่แกสั่ง
...
...
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ผมเคลิ้มทำท่าจะหลับ
“โครม” เสียงกระแทกรถดังลั่น ผมสะดุ้ง ยังไม่ทันที่จะหันไป พี่ใหญ่วิ่งมาเปิดประตูรถ แล้วพูดว่า
“ออกรถเลย” ผมหันจ้องตาแก เพราะยังตั้งสติไม่อยู่
“ออกรถสิโว้ย!!” พี่ใหญ่ตะคอกใส่ ผมเปลี่ยนเกียร์แล้วไปทันที



- ส า ม วั น ก่ อ น ห น้ า –

“เอ้านี่” เมียผมส่งจดหมายทวงหนี้ปึกใหญ่มาให้
“อืม เอาวางไว้นั่นแหละ” ผมเหลือบตามองแล้วนอนก่ายหน้าผากต่อไป
“พ่อ เมื่อวานลูกมันบอกว่าครูเขาทวงค่าเทอมมาแล้วนะ ถามว่าเราจะจ่ายเมื่อไหร่” ผมถอนหายใจเสียงดัง
“บอกเขาเดี๋ยวพ่อเอาเข้าไปให้”
“เขาบอกว่าถ้าไม่จ่ายก็จะไม่ให้สอบ” เมียผมพูดต่อ ได้ยินคำนี้แล้วผมเงยหน้าลุกขึ้น
“อะไรวะ ไหนว่าเรียนฟรี ๆ แม่งก็หาเรื่องเก็บตังค์เหมือนเดิม เดี๋ยวฟ้องแม่งเลย” ผมโวยวายขึ้น
“... พ่อ แล้วดอกรายวันเนี่ย เราค้างมาหลายวันแล้วนะ เขาส่งเด็กมาถามแล้วว่าจะเอายังไง”
“อืม.. แล้วพ่อจะไปหามาให้เร็วที่สุดแล้วกัน เฮ้อ” ผมลดอารมณ์พร้อมกับถอนหายใจอีกครั้ง
...
...
มองไปข้างหน้า ผมเห็นภาพที่เคยถ่ายในสมัยก่อนตอนช่วงวัยรุ่น ดวงตาเปิดกว้างขึ้น ครุ่นคิดสักครู่ สูดลมหายใจเข้าปอด ผมเดินไปที่โทรศัพท์...
...
“ฮัลโหล ขอสายคุณใหญ่ครับ”
“...”
“พี่ใหญ่หรือพี่ ผมเองจำได้ไหม”
“...”
“ครับพี่ เป็นไงบ้างครับ สบายดีไหม ยังต่อยมวยหรือรึเปล่าพี่”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีอยากเจอน่ะพี่ เอ่อ พี่ใหญ่กินเหล้าไหมพี่”
“อ้าวเหรอ โห งั้นบุหรี่ก็ไม่สูบด้วยน่ะสิครับนี่ ยังฟิตเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“เอ่อ พี่ใหญ่ พอมีเวลานัดเจอกันหน่อยไหมครับพี่ เผื่อได้คุยกัน”
“... อ๋อ หรือครับพี่ ไม่เป็นไรครับ ไว้โอกาสหน้าก็ได้ครับพี่”
“ขับรถ ขับได้ครับพี่ สบายมาก มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“ได้เลย ๆ ครับ ช่วงนี้ผมก็แย่ ๆ เรื่องเงินเหมือนกัน ทั้งลูกทั้งเมียอีก”
“ครับพี่ ได้ครับ ขอบคุณมากครับพี่ ขอบคุณจริงๆ ครับพี่ใหญ่ แล้วเจอกันครับพี่”
“สวัสดีครับ”
ผมวางหูโทรศัพท์ แล้วหันไปมอง ลูกสาวนั่งกินข้าวไปดูทีวีไป ส่วนเมียก็อุ้มลูกน้อยไปกินนม..



- ก ลั บ ม า เ ว ล า ปั จ จุ บั น –


ผมช่วยพี่ใหญ่อุ้มชายคนนั้นออกจากรถ มาวางไว้ที่พื้นหญ้า ผมเห็นแกร้องไห้ออกมา
“อีกห้านาที ถ้าเมียมึงไม่เอาเงินมา มึงก็ทำใจไว้ได้เลย” เวลาพี่ใหญ่ทำงาน แกจะเปลี่ยนเป็นคนละคนทีเดียว
เหมือนว่าผมก็ลุ้นเอาใจช่วยแกอยู่ด้วย
“อีกสี่นาที” ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก
...
“กูว่ากูพูดชัดเจนนะ ว่าให้เอาเงินมาไว้กี่โมงน่ะ ใช่ไหม” แล้วพี่ใหญ่ก็เตะเข้าที่ท้องชายคนนั้นอย่างแรง
“อีกสามนาที”
“มึงอยากตายใช่ไหม ๆ ๆ” รองเท้าคอมแบททหารระดมกระแทกเข้าไปที่หัวและหน้าตาอย่างไม่ยั้ง ผมต้องหันหน้าหนี
“แฮ่ก ๆ อีกสองนาที.. มึงรู้ไหมกูเกลียดอะไรมากที่สุด คนที่ผิดสัญญาไง พวกที่ตกลงแล้วไม่ทำตาม กูเกลียดที่สุด!!” แล้วพี่ใหญ่ก็ทำให้ใจผมตกไปที่ตาตุ่ม
แ ก ค วั ก ปื น อ อ ก ม า ! !
“ฮัลโหล กูจะพูดช้า ๆ นะ ถ้าภายในหนึ่งนาที มึงไม่เอาเงินมาไว้ตามที่บอก เตรียมรับศพผัวมึงได้เลย เอ้า” แล้วพี่ใหญ่ก็ส่งโทรศัพท์ไปที่หน้าชายคนนั้น
“อู .. อือ..ออ” ไม่ทันที่ชายคนนั้นจะได้เอื่อนเอ่ยอะไรมาก พี่ใหญ่ก็วางหูแล้ว
“กูให้มึงนาทีสุดท้าย” ผมกลัวไปหมดต้องดึงบุหรี่มาสูบ
“มึงไปสูบไกล ๆ หน่อยไป” สิ้นเสียงผมรีบเดินห่างออกมา นี่มันเรื่องอะไรกันวะเนี่ย เมื่อไหร่มันจะจบ ๆ เสียที
...
...
“เฮ้ย มานี่สิ” พี่ใหญ่กวักมือเรียก ผมทำใจกล้าเดินเข้าไป
“หมดเวลาแล้ว เอ้า” ผมนิ่งมองสิ่งที่พี่ใหญ่ยื่นมาตรงหน้า มันคือ ปืน ที่แกควักออกมา
“มึงเก็บมันซะ แล้วเดี๋ยวเรากลับกัน” พี่ใหญ่พูดนิ่ง ๆ ผมรับปืนจากแก มันหนักเกือบหลุดมือ
“พี่.. พี่ครับ” ผมพูดเสียงสั่น
“เร็วสิ มึงมาถึงขั้นนี้แล้ว มึงต้องทำ!!” พี่ใหญ่พูดเสียงดังขึ้น
ผมเดินอ้อมมาด้านหลังชายคนนั้น มือจับปืนแน่น ยกขึ้น ชี้ที่หัว มือมันสั่นไปหมด
เหงื่อไหลจากขมับเรื่อยลงมายังคาง เหมือนว่าน้ำตา น้ำมูกมันไหลออกมาเองโดยไม่ตั้งใจ ผมหลับตา แล้วจะเหนี่ยวไก
...
...
...
“พี่ ผมทำไม่ได้ ฮือ..” ผมพูดเสียงคลอเหมือนเด็กจะร้องไห้ แขนมันหมดเรี่ยวแรง
“ผมยิงคนที่หัวไม่ได้จริง ๆ ครับ ผมขอโทษ” ผมก้มหน้าพูดออกไป
พี่ใหญ่คว้าปืนจากมือผม แล้วยิงเข้าไปที่ชายคนนั้นทันที 3 นัด
เสียงปืนไม่ได้ดังมากเหมือนในหนังที่เคยดู แล้วทุกอย่างก็เงียบสนิท มีแต่เสียงของลมที่พัดไปมาเท่านั้น
ร่างที่ผมเห็นตอนนี้นิ่งสนิทไร้วิญญาณเสียแล้ว ผมรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาที่หัว
... แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล... อ้อ ได้เงินแล้วหรือ มีใครตามไหม เรียบร้อยนะ โอเค ดีมาก”
“ได้เงินแล้วว่ะ แต่ช้าไปนิดเดียว ไม่เป็นไรไม่ใช่ความผิดมันหรอก ความผิดเมียมัน เงินแค่ 8-9 แสน เสือกช้า”
“ต้องเอาศพขึ้นรถไปทิ้งน้ำ มา ช่วยกัน” แล้วพี่ใหญ่ก็ยกร่างนั้นขึ้น
...
...
ผมขับรถกลับมาด้วยความเงียบ ไม่ได้พูดจาอะไร
“เฮ้ย ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวกูแบ่งเงินให้แสนนึง เอาไว้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย มึงไม่ต้องกลัวเดี๋ยวทิ้งน้ำก็จบแล้ว เรื่องปรกติ” ดูเหมือนพี่ใหญ่จะสบายใจขึ้น เพราะแกพูดมากกว่าเดิม
“กูก็ไม่อยากทำหรอกนะ ตั้งใจจะปล่อยไว้ในป่า แต่เมียมันเสือกยึกยักไง นัดไม่เป็นนัด ดี จะได้เป็นบทเรียน ฮ่า ๆๆ” ตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออก
...
...
“นั่น ข้างหน้า จอดริมเนินเลย” แล้วรถก็ค่อย ๆ ตรงเข้าไปจอด ผมดับเครื่อง ดับไฟมืด รอบกายเงียบสงัด
“เอาล่ะ เปิดท้าย ไปช่วยกัน” พี่ใหญ่หันไปเปิดประตู เพื่อจะได้ไปเอาศพทิ้งน้ำ
เสี้ยววินาทีนั้นเอง
ผมดึงเข็มฉีดยาออกมาปักเข้าที่คอพี่ใหญ่ แล้วฉีดเข้าไปอย่างรวดเร็ว !!
“อุ้บ..” เสียงคำพูดเบา ๆ ที่ออกมาจากปากพี่ใหญ่
ผมนั่งมองร่างกายอันใหญ่โตของแกซึ่งในตอนนี้นิ่งไม่ไหวติง มีเพียงลูกตาที่พอขยับบ้างเล็กน้อย
ผมเอื้อมมือมาปิดประตูแล้วสตาร์ทรถออกไป



“ฮัลโหล เฮีย ผมมีของเกรด A เลยล่ะงวดนี้ โห กว่าจะได้มาเกือบตาย”
“ก็สด ๆ น่ะเฮีย ตีคร่าว ๆ ปอด ตับอ่อน หัวใจ ตับ ไต แก้วตา ครั้งนี้ต้องขอไม่ต่ำกว่า 4 ล้าน”
“ไม่ต้องห่วงครับ คราวนี้งานดี เอ้อ มีแถมอีกหน่อยอยู่หลังรถ นั้นคงต้องเลือกอีกทีว่าอันไหนใช้ได้บ้าง พิเศษให้ เฮีย”


ผมขับรถออกจากถนนดินแดง มุ่งเข้าสู่แสงสว่างของถนนในใจกลางเมือง โดยมีพี่ใหญ่นั่งมองทางอยู่ข้าง ๆ

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ใหญ่.. พี่ไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่ผมมันผิดเองที่สร้างหนี้ไว้เยอะ”




 

Create Date : 29 มกราคม 2552    
Last Update : 29 มกราคม 2552 1:17:11 น.
Counter : 317 Pageviews.  

" เ มื่ อ ค ว า ม รั ก ข อ ง ผ ม มั น . . ส โ ล ว์ โ ม ชั่ น "

พอดีไปเจองานเขียนเก่า ๆ ตั้งแต่ 18 กพ. 47 อ่านแล้วก็ตลก ๆ ดีมั้ง

**************************

เลิกงานแล้ว..


มันก็เป็นอีกหนึ่งวันที่แสนจะน่าเบื่อมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ของผม


เหนื่อยชิบเป๋งเลยว๊อย..ยย เงินเท่าเดิม


เฮ้อ.. ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่ 8 ..


"กิ๊ง.." เสียงลิฟท์เปิด


ผมก้าวเข้าไปยืนข้างใน


มีสาวออฟฟิศ 2 คน ยืนคุยกัน ซุบซิบ ๆ


ยามที่คอยกดลิฟท์ยืนเงียบ เหมือนจะตั้งใจฟังหญิงสาวทั้งสอง


ผมเข้าไปยืนตรงกลาง


...


...


ขณะที่ลิฟท์เคลื่อนตัวลงมาจากชั้น 19


ผมยืนนึกอยู่ในใจ


"วันนี้จะเจอเธอไหมน๊า.."


ถึงผมจะเคยพบเธอเพียงแค่ครั้งเดียว


แต่นั่นก็ทำให้ผมจำหน้าเธอ ผิวเธอ รูปร่างของเธอ ได้อย่างแม่นยำ


เธอสวยมากจริง ๆ ครับ เหมือนว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นนางในฝันผมทีเดียว


ผมยืนยิ้มคนเดียว


จนกระทั่งผมสังเกตุหญิงสาวคนหนึ่งมองผมยิ้ม ๆ


[เค้าแอบหัวเราะผมเบา ๆ]


...


กิ้ง.. ลิฟท์มาถึงชั้น 7


เปิดออก


"ขอโทษค่ะ" หญิงสาวทั้งสองขอทางเดินออกไป


เหลือผมและยามเพียงสองคน


...


...


เฮ้อ.. เหงาจัง


เคยรู้สึกไหมว่าเวลาเพียงสั้น ๆ แต่มันเหมือนเวลานาน..แสนนาน


"ไปเที่ยวไหนต่อครับ" ลุงยามหันหน้ามาถามผม


"ออ.. อ๋อ กลับบ้านครับ แล้วลุงไปไหนครับเนี่ย วันวาเลนไทน์"


"วันความรักน่ะเหรอครับ ฮะ ฮะ ผมไม่ไปไหนหรอกครับ ลูกเมียคอยอยู่"


ผมได้ยินแล้วยิ่งเหงาใจ..


ถ้าผมได้เจอเธอตอนนี้ก็ดีสินะ


ผมตั้งใจจะชวนเธอทานข้าว ร้านบรรยากาศดี ๆ แล้วขอเธอเป็นแฟน


คบกันต่อไป ๆ แล้วเราก็แต่งงาน มีลูกด้วยกัน อยู่กันจนแก่จนเถ้า


มีหลานได้อุ้มเล่น ฮ้า.. ชีวิตมีความสุขจริง ๆ


ผมยืนยิ้มคนเดียวอีกแล้ว


"กิ้ง.." ลิฟท์ลงมาถึงชั้น 1


เปิดออก..


ผมก้าวเท้าออกไป


เ ธ อ เ ดิ น ส ว น เ ข้ า ม า ทั น ที . . ! !


ใช่ เธอคนนั้นที่ผมพูดถึง นั่นแหละครับ




--เสมือนเวลาหยุดนิ่ง--




ผมยืนค้างในท่าก้าว ขาขวานำหน้า ขาซ้ายงอเล็กน้อย


มือขวาจับขอบประตูลิฟท์ มือซ้ายถือกระเป๋าเอกสารข้างตัว


หันหัวมาทางไหล่ซ้าย สายตาทั้งสองจับจ้องยังที่ใบหน้าของเธอ


เธอค้างในขณะที่สายตาของเธอก็จ้องมายังผม


เหมือนชะตาฟ้าลิขิต


เราทั้งสองมองตากันและกัน


[เอ่อ.. สวัสดีครับ]


[หวัดดีค่ะ เธองงเล็กน้อย]


[ผะ..ผะ.. ผม อยู่ชั้น19 ทำบัญชี แต่ไม่ค่อยเก่ง ชอบกินก๋วยเตี๋ยวถั่วงอกดิบ กูจะพูดทำไมวะเนี่ย ผมพูดไปแบบที่บังคับตัวเองไม่ได้ ]


[(แต่เธอยิ้ม..)]


[ฟ้าก็ชอบเหมือนกันค่ะ ฮิ ฮิ]


[(ฟ้า เธอ ชื่อ ฟ้า โอวว ชื่อเข้ากันกับเราเลย..)]


[ผมชื่อ โอ่ง ครับ]


[ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฟ้าว่าเราเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้ว ใช่ไม๊..น๊า]


[ครับ ๆ บนลิฟท์นี่แหละครับ ผมเคยยืนยิ้มคนเดียว แล้วคุณฟ้าก็หัวเราะ]


[ฮิ ฮิ ฟ้าจำไม่ได้หรอก แต่เห็นหน้าคุณก็นึกภาพออก]


[เอ่อ นี่จะกลับไปทำงานเหรอครับ]


[อ๋อ พอดีฟ้าลืมเอกสารน่ะค่ะ เลิกงานแล้วล่ะ..]


[ ไ ม่ ท ร า บ ว่ า คุ ณ ฟ้ า ว่ า ง ไ ห ม ค รั บ ผมตะโกนตัดบททันที]


[เธอมองหน้าผม]


[จะรังเกียจไหมครับ ถ้าผมจะชวนคุณฟ้าทานข้าวสักมื้อ]


[... เธอไม่พูดอะไร]


[เธอยืนนิ่ง แต่ผมลุ้นเยี่ยวจะแตก]


[งั้นเดี๋ยวรอฟ้าแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวฟ้าลงมา]


[เธอยิ้มแล้วบ๊ายบายผม]


[ผมยืนยิ้มกว้างส่งเธอ ถ้าฉีกได้ ปากคงฉีกไปแล้ว]


[ ฮ่ า ฮ่ า ฮ่ า สำ เ ร็ จ แ ล้ ว โ ว๊ ย .. ]


[ผมกระโดดร้องด้วยความดีใจ]


...


...


--เวลาปัจจุบันที่มิใช่ภาพเสมือน--


ผมยืนค้างมองหน้าเธอ ในขณะที่เธอมองตาผมกลับเช่นกัน


เธอก้าวสวนผมเข้ามาในลิฟท์..


เราทั้งสองต่างเดินสวนทางกัน แต่ผมยังจ้องเธอไม่วางตา


ผมเห็นมือขวาที่ถือกระเป๋าสีดำเงาใบน้อยน่ารัก


และมือซ้ายที่เธอใส่นาฬิกาสีสด รับกันกับข้อมือเล็ก ๆ ของเธอ


แล้วผมก็ยังเห็นมือของเธอ ในอ้อมจับของชายที่เดินตามหลังเธอมา


มือของทั้งสองจับซึ่งกันและกัน


ชายตัวใหญ่ สมาร์ท แต่งตัวดี เดินเข้ามาพร้อมกับเธอในลิฟท์ทันที


...


ผ ม ยื น อ ยู่ ห น้ า ลิ ฟ ท์


ประตูค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ..


ผมยิ้มให้เธอ


เธอมองผมแล้วยิ้มเบา ๆ


ลิฟท์ค่อย ๆ ปิด..


ช้า ๆ


ช้า ๆ


เธอหายลับตาผมไป


ผมยังยิ้มอยู่


ถึงมันจะเป็นความรักเพียงเสี้ยววินาที แต่ผมก็จะจดจำมันไว้


ฮะ ฮะ ผมหัวเราะให้ตัวเอง


ฮ่า ๆ ๆ ๆ หัวเราะให้มันสะใจไปเล้ย...


ฮ่า..


ฮะ


..


...


ฮึก ..


ฮึก ..


ซิก ๆ ๆ


แง๊.... เว๊ยยยยย ฮือออออออออออ แง๊....


....


--------The end---------




สุขสันต์ในความรักทุกคนนะครับ


^_______^




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2551    
Last Update : 30 ธันวาคม 2551 8:43:56 น.
Counter : 212 Pageviews.  

" ด า ด ฟ้ า "

บันไดปูนที่มีรอยร้าวช่วงปลาย กลิ่นอับชื้นสกปรก ความมืดหม่นไร้แสงไฟ
ผ ม ก้ า ว เ ร็ ว ๆ ใ ห้ พ้ น ๆ มั น ไ ป . .

สุดทางของบันไดขั้นบน ผมหยุดยืนหน้าประตูเหล็ก ไม่นานกว่าใจอดทน ผมเปิดมัน


สายลมยะเยือกพัดช้า อ่อน แต่ไม่ขาดสาย ดาดฟ้าของตึกเป็นสีเทาหมอง หนังสือเก่าที่ผ่านแดดผ่านฝนวางทิ้งอยู่ห่าง ๆ แท็งค์น้ำเก่าหมดสภาพ ซากขวดเบียร์แตกตั้งหงายชี้ดูน่ากลัว กลิ่นขี้เยี่ยวที่สะสมมานานปีส่งสายมาชวนสำรอกออกมายิ่งนัก บรรยากาศข้างบนนี้ช่างสกปรกและน่าขยะแขยงสิ้นดี
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเจ้าของตึกถึงได้ปล่อยปละละเลยเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นที่ส่วนรวมแต่ว่าดูเหมือนว่าทุกคนกลับพยายามข่มขืนมันอย่างบ้าคลั่งและปล่อยให้มันเน่าเหม็นตามยถากรรมเช่นนั้นเอง

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยังถือว่าที่นี้ยังเป็นสถานส่วนตัวที่หลีกลี้หนีความวุ่นวายต่าง ๆ นา ๆ ผมชอบที่จะอยู่ข้างบนนี้คนเดียวเสมอ ๆ

เพียงแต่วันนี้..



ไกลห่างสายตา ผมเห็นเงาดำตะคุ่มอยู่ตรงปลายดาดฟ้า
..ผีรึปล่าววะ.. ผมคิดในใจ เกิดกลัวขึ้นมาแวบหนึ่ง ชั่วกลั้นใจผมวางกระเป๋าลงแล้วกัดฟันเดินตรงเข้าไปดู

ช้า ๆ

ช้า ๆ . .



เงาดำที่เห็นเริ่มชัดขึ้น ผมเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ลำพังคนเดียว เพียงแต่ที่ ๆ เขานั่งนั้น มันช่างน่ากลัวเสี่ยเหลือเกิน จนผมไม่กล้าเดินต่อ ถ้าสายตาไม่ผิดเพี้ยน ผมว่าผมเห็นรองเท้าหนังของเขาถอดอยู่ข้าง ๆ เบียร์หนึ่งขวด และรองเท้านั้นเหมือนมีจดหมายอยู่ข้างใต้ ชายคนนั้นนั่งหมิ่นเหม่ระหว่างโลกกับความตายเสียเหลือเกิน สัญชาตญาณบอกผมว่า ให้หยุดเดิน

เมื่อคิดได้ ผมจึงใช้เท้าเปล่าเตะเศษหินเบา ๆ บรรยากาศที่เงียบสงัดเช่นนี้ ไม่มีทางที่ชายคนนั้นจะไม่ได้ยิน "แกร็ก.." เสียงหินขยับเบา ๆ ผมกลัวว่า หน้าที่หันมาจะสยดสยองเหมือนหนังผีที่เคยดูนัก
..
ชายคนนั้นหันมาทันที!! พระเจ้า ผมเกือบหยุดหายใจ ในใจผมนึกว่าเขาเป็นผีเสียจริง ๆ แน่ล่ะ ก็บรรยากาศมันให้ซะขนาดนี้ ชายคนนั้นยังจ้องหน้าผมอยู่
"เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนคุณ เพียงแต่จะบอกว่า นั่งอย่างนั้น ระวังตกลงไปนะครับ" แปลกที่ผมพูดเสียงสั่น
ชายคนนั้นหน้าตาผอมเกร็ง จมูกโง้งแหลม ขอบตาดำ หน้าซีดผมตรงสั้นแต่ยุ่งเหยิง ปากสั่นระริก เหมือนแกต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง เพียงแต่ผมไม่อาจทนบรรยากาศเช่นนี้ได้อีกแล้ว
"งั้น ผมไม่รบกวนแล้วกัน" ว่าแล้วผมก็ตั้งใจเดินกลับบันได
"ขอ.." ลำเสียงสั่นดังขึ้น แต่ผมเหมือนไม่ได้ยินและก้าวต่อ
".. ขอร้องอย่าพึ่งไป.." สิ้นคำนี้ขาผมสะดุดกึก.
"ได้โปรด อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนเถอะครับ" ผมแทบหยุดหายใจ เอาแล้วมึง
...
...
เหมือนมันนาน แต่จริงแล้วเป็นเวลาไม่กี่วินาที ที่ผมฉุกคิดและสูดลมหายใจหันกลับไป และเดินไปหาเขา ชายคนนั้น
ผมค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้เขา เกือบนั่งข้างกันเลยทีเดียว มีเพียงรองเท้าข้างตัวที่วางกั้นเรา และแน่นอนผมไม่ได้นั่งห้อยขาที่ดาดฟ้าเช่นเขา ให้ตายสิ แน่นอนที่สุด
"..." เราปล่อยให้ความเงียบผ่านไปช้า ๆ ๆ จนกระทั่ง
"นั่ง ง นั่งชมวิวบ่อยหรือครับพี่" ผมเป็นคนเริ่ม
"ปล่าวครับ ผมไม่ได้นั่งชมวิว กินลม อะไรเลย.." เขาพูดเสียงเบา ราบเรียบแต่ชวนสยอง
"พี่พักที่ตึกนี้หรือครับ ไม่เคยเห็นหน้าเลย ผมอยู่ชั้นล่างนี้เอง" ผมพยายามเปิดบทสนทนาหลาย ๆ หัวข้อพร้อมกัน
"ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้อยู่ตึกนี้หรอก.." อยู่ ๆ อารมณ์ผมก็พุ่งขึ้นมานิดนึง แล้วมึงมานั่งทำสากกะเบืออะไรวะ
"เหรอครับ ผมอยู่ตึกนี้แหละ อยู่ชั้นล่างเนี่ย" พูดซ้ำ คือไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ผมอยากไปให้พ้นจากตรงนี้จริง ๆ
"คือ..คืนนี้ผมอยากคิดอะไรคนเดียว.."
"เหรอครับ มีเรื่องอะไรปรึกษาผมได้.. นะครับ" จำเป็นต้องกลั้นใจพูดคำนี้ไป แล้วพูดต่อโดยไม่ทิ้งจังหวะ
"ผมเองก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรหรอก เรียนก็ไม่จบ ทำงานก็เหี้ย แม่ก็มาตาย แล้วแม่งเมียก็เสือกมีชู้อีก ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละครับพี่" ผมพูดทั้งหมดเป็นความจริงครับ เหมือนว่าเขาจ้องอยู่ ผมจึงพูดต่อไป..
"ผมก็ไม่รู้ว่าความหมายของชีวิตแม่งคืออะไร คนเราเกิดมาแล้วทำไมต้องเจอเรื่องห่วย ๆ เหี้ย ๆ ทั้งหลายด้วยวะ พี่ว่าไหม แล้วชีวิตพี่เป็นไง.." เหมือนเสียงผมแข็งกล้ามากขึ้น
คราวนี้ผมเงียบ เพื่อรอฟังเขาพูด
"..ชีวิตผมมันก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรดีเลย" นั่นไง ผมว่าแล้ว
" ทำงานก็ไม่มีใครชอบ มีแต่คนคอยกลั่นแกล้ง เจ้านายก็ลำเอียง.." แล้วชายคนนั้นก็พูดออกมาเรื่อย ๆ
...
...
เป็นเวลานานเหมือนกัน ที่เขาทั้งพูด ทั้งด่า และร้องไห้ คล้ายว่าเขาไม่ได้คุยกับใคร ๆ เลยในชีวิต ผมเหลือบมองนาฬิกา จะตีสามแล้ว และคิดว่าเขาคงสบายใจขึ้นบ้างแล้วล่ะ
"เอ่อ .." ผมเอ่ยขึ้น
"เดี๋ยวสิ คุณจะไปแล้วหรือ.."
"ครับ ผมว่ามันดึกมากแล้ว คือผมต้อง.."
"คุณเป็นคนดีมากนะครับ ผม ผม ผมไม่เคยมีใครนั่งฟังผมอย่างนี้เลย ฮืออออ" แล้วชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาอีก แกขยับไปมา ผมกลัวว่าจะตกไปเสียให้ได้
"งั้น ผมขอตัวก่อนแล้วกันครับ" ผมยันตัวลุกขึ้น
"... " ชายคนนั้นเงียบลง แล้วเงยหน้ามองผม
"ผม ผม ผมจะตาย" เขาพูดเสียงเบาแต่ชัดเจนให้ผมได้ยิน
"ผมจะกระโดดลงไปตาย!!" เสียงชายคนนั้นดังขึ้นอีก เพื่อให้ผมหันกลับไป แต่ผมกัดฟัน ค่อย ๆ ก้าวเท้าต่อ
"ไม่สนใจผมใช่ไหม กูจะฆ่าตัวตายยยย" คราวนี้ชายคนนี้ถึงกับลุกขึ้นตะโกน เสียงดังก้องไปหมด ผมหยุดเท้า
"ไม่มีใครสนใจกูเลยยย ไม่เคยมีเลยยย ฮืออออ" ถ้าสายตาผมไม่ผิด
ช า ย ค น นั้ น เ อี ย ง ตั ว เ ห มื อ น ร่ า ง ไ ร้ น้ำ ห นั ก อ อ ก ไ ป ท า ง ด า ด ฟ้ า ! !

ให้ฟ้าผ่าตาเหอะว่ะ ผมหันกลับตัวแทบไม่ทัน ด้วยสัญชาตญาณ ผมวิ่ง ๆ ๆ
เหมือนว่าเวลาหยุดเดิน ผมเห็นชายคนนั้นกำลังร่วงลงจากดาดฟ้าตึก หน้าตาของแกกลัวสุดขีด น้ำหูน้ำตาไหลออกมาไม่ขาด ผมพุ่งออกไปสุดตัว


พลั๊ก !! ตัวผมกระแทกกับพื้น ชนรองเท้ากระเด็นกระจาย ผมเผลอกัดลิ้นตัวเองอย่างแรง แขนครูดไปกับคอนกรีต ชาไปหมด


มองลงไปข้างล่าง เบียร์หล่นลงพื้นแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี

"แฮ่ก ๆ ๆ " เสียงหายใจหอบสั่นดังมาก ผ ม กำ ข้ อ มื อ ข อ ง ช า ย ค น นั้ น ไ ว้ แ น่ น ! !

...

...

หลังจากที่ผมดึงชายคนนั้นขึ้นมาได้ และต่อยเข้าเต็มหน้าสองครั้ง ทำให้เขาได้สติมากขึ้น
ผมบีบคอเขาแน่น แล้วตะโกนใส่ "ถ้าเรื่องเหี้ย ๆ แค่นี้มึงทนไม่ได้ กลับไปฆ่าพ่อฆ่าแม่มึงก่อน แล้วอยากจะตาย ก็ตายไป! แฮ่ก แฮ่ก" แล้วก็ผลักเขาล้มลงไป
ชายคนนั้นเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด ผมเดินไปหยิบรองเท้าเขามาโยน แล้วทิ้งตัวลงข้าง ๆ ใจผมยังเต้นระทึกไม่หยุด

...
...
"คิดดูให้ดีซะก่อน ไอ้เรื่องห่วย ๆ พวกนั้นน่ะ มันคุ้มที่จะแลกกับความตายของคุณไหม" ผมทำหน้าซีเรียสจ้องตาพูด
ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนว่าเขาจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก
เมื่อเห็นว่าดูท่าจะไม่ไหว ผมจึงพยุงเขาลุกขึ้น หยิบรองเท้ามาใส่ให้ แล้วพาเดิ
นกลับไปที่บันได ชายคนนั้นได้แต่ร้องไห้พลางพูดขอบคุณผมไม่หยุด


"บางทีชีวิตมันก็ไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดเสมอไปหรอกนะครับ" ผมพูดส่งหลังจากที่แกเดินลงบันไดลับตาไป












...

...

ความเงียบกลับมาอีกครั้ง นาฬิกาบอกเป็นเวลา ตีสี่ ผมเดินกลับมายังกระเป๋าที่วางไว้

หยิบขึ้นข้างกาย


แล้วเดินตรงไปช้า ๆ..

รูดซิปเปิดกระเป๋า หยิบถุงมือยางมาสวม เสียงลมพัดผ่านหูไปดัง วิ้ว..ววว
ผมเดินฝ่าเข้าไปความมืดเงียบสงัด ก้าวขึ้นไปบนแท็งค์น้ำเก่าเขรอะ

ฝาแท็งค์มีสนิมจับเกรอะกรัง ผมหมุนเปิดมันออก จู่ ๆ ก็มีเสียงหมาโหนร้องอย่างโหยหวน
ผมหยุดนิ่ง เหงื่อตก ใจเต้นสั่นไม่เป็นท่า เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง..
ค่อย ๆ ค่อย ๆ แหย่มือลงไปควานในแท็งค์เก่านั้น นิ้วอีกข้างจับขอบไว้แน่น

ผมกว้านมือไปรอบ ๆ จนกระทบเข้ากับสิ่ง ๆ หนึ่ง ขนลุกตั้งชันขึ้นมาทั้งตัว
วัตถุแข็ง ขรุขระแต่เมื่อจับแล้วเหมือนมีเมือกวุ้นเคลือบอยู่ ขยะแขยงจนเหมือนนิ้วหดเข้าไปในมือเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็กลั้นใจดึงสิ่งนั้นขึ้นมา


หั ว ผู้ ห ญิ ง เ น่ า เ ล ะ ขึ้ น ม า จ า ก น้ำ ! ! ผมจับไว้แน่น แต่ต้นแขนสั่นไม่หยุด
รีบกางกระเป๋า หลับตาเอาสิ่งนั้นยัดๆเข้าไป แล้วผมก็อ๊วกออกมาตรงนั้น
"แฮ่ก ๆ ๆ " เหมือนคนหมดแรง ผมค่อย ๆ เก็บเส้นติดหนังกระโหลกยัดเข้ากระเป๋า กลิ่นเหม็นรุนแรงวิ่งเข้าจมูกจนปวดสมองไปหมด

ต้องใช้เวลานานพอดู กว่าจะจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อยลงได้
ผมกลับลงมาที่สตาร์ทรถ เช็ดเหงื่อและคว้าน้ำหอมมาฉีดควุ้งไปทั่ว
"ชิ้นสุดท้ายแล้ว จบสิ้นกันเสียทีนะมึง เฮ้อ.." ถอนหายใจยาว ๆ พร้อมกับมองกระเป๋าใบนั้นซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของเมียผมเอง!



รถเคลื่อนตัวออกห่างจากตึกเก่าไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางความมืดมิด เสียงลมกรรโชกแรงปั่นป่วน ดั่งเช่นเสียงกรีดร้องของหญิงสาว และเหมือนว่าเสียงนี้จะดังตามรถคันนั้นไปชั่วกาลปวสาร.




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2550    
Last Update : 22 สิงหาคม 2550 20:11:10 น.
Counter : 221 Pageviews.  

" วั น สิ้ น โ ล ก "

วั น สิ้ น โ ล ก "
เล่าโดย โรเบิร์ต จ๊อต ที่1



"คศ. 2019 สงครามโลกครั้งสุดท้ายอุบัติขึ้น ผู้คนล้มตายจำนวนมาก
หลายต่อหลายทวีปต้องจมลงไปในพื้นมหาสมุทร ประเทศนับพันสูญสิ้น สายพันธุ์ต่าง ๆ ต้องหมดไปจากโลก เหลือจำนวนผู้ที่รอดเพียงหยิบมือเท่านั้น"

เสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อ่านออกเสียงตามข้อความเลือดบนผนังห้อง
ผมนั่งมองตาม ตาปริบ ๆ
" มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ที่จะลิ .. ลิ.." เธออ่านต่อ
"มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ที่จะลิขิตอนาคตได้ จ๊ะลูก" เสียงอันอ่อนโยนดังขึ้น ผมหันมอง แม่ของเธอพูดขึ้น คริสยิ้มและกอดแม่ ส่วนผมก็คลอเคลียข้างขาเธอเช่นกัน
เธอลูบหัวผมเบา ๆ

ในที่ที่เราอยู่ตอนนี้ เป็นพื้นที่ชั้นใต้ดิน ที่ลึกสุด ปลอดภัยที่สุดในโลกใบนี้ ผมได้ยินเขาพูดกันอย่างนั้น

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโชคดี หรือเป็นลิขิตพระเจ้า อย่างที่คริสพูด
ในช่วงที่ผมวิ่งหนีอย่างโกราหล จู่ ๆ รถคันใหญ่วิ่งมาจอดเทียบ แล้วจับตัวผมขึ้นไปทันที

ผมถูกคริสอุ้มวิ่งเข้ามาในห้องนิรภัยโลก ไปโดยปริยาย
ตอนนี้เราทั้งสามนั่งรวมกันอยู่ตรงมุมห้อง
มองหันไป ยังมีอีกหลายครอบครัว ที่อยู่ในห้องนี้ ผู้ชายบางคนนั่งร้องไห้คนเดียว บางคนก็เดินไปเดินมาอย่างสิ้นสติ ผมเห็นชายคนหนึ่งนั่งกอดศพแล้วพูด ๆ ๆ ไม่หยุด มีหลายต่อหลายคนที่พากันมา แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ก็ต้องตายกันไป

กลิ่นเลือดและเขม่าระเบิดคละคลุ้งไปทั่ว เพียงแต่ผมชินกับเรื่องแบบนี้แล้วล่ะ

"แม่ .. เมื่อไหร่เราจะได้ออกไปคะ" คริสนั่งอยู่ในอ้อมกอดของแม่เธอ
"อีกไม่นานแล้วล่ะจ๊ะ" ผมเห็นแม่ของคริสพูดคำนี้เป็นครั้งที่สิบแล้ว ผมเข้าใจนะ แต่บางครั้งเราก็ควรที่จะบอกสภาพความเป็นจริง ของโลกห่วย ๆ ใบนี้ ให้คริสเข้าใจ ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดีกว่านะ

" ตู ม ม ม ม ม ! ! !" เ สี ย ง ร ะ เ บิ ด ดั ง ขึ้ น อ ย่ า ง รุ น แ ร ง ! !

สนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้อง เพดานที่อยู่ข้างหน้าเรา ถล่มลงมาทันที ผมเห็นชายคนที่นั่งกอดศพถูกเพดานไทเทเนียมเหล็กกล้าหล่นลงมาทับ เลือดสาดกระเด็นไปทั่ว ผมว่าเขาคงดีใจ เสียงร้องของคริสและแม่ดังฟังไม่ได้ศัพท์ ห้องสั่นไหวเหมือนมดปลวกที่อยู่กล่องใบเล็ก ๆ แล้วถูกคนเขย่าเล่นแรง ๆ อย่างนั้นเลย

"ตูม ๆ ๆมมมมมมมม" เสียงระเบิดยังดังไม่เสร็จสิ้น ก็มีตามมาอีกหลายลูก
ผมเชื่อว่า พื้นที่ประเทศ ไม่ใช่สิ พื้นที่ผิวโลกตอนนี้ คงไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดอีกแล้วล่ะ

...

...

...


ผ่านไปพักใหญ่ ทุกอย่างเริ่มสงบลง จากห้องใหญ่ที่แข็งแรง บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นเหมือนกระดาษที่ขยำยับยู่ยี่ คือมันเละเทะไปหมด ผู้คนที่เหลือรอดก็พากันล้มตาย บางคนเหลือมาเพียงแขน มีเพียงกลิ่นเลือดดิบที่ไหลออกมาจากร่างกาย
ค ว้ น พิ ษ ก ลิ่ น จ า ง ๆ ค่อ ย ๆ เ ข้ า ม า ค ง ไ ม่ มี ใ ค ร รู้
เคราะห์ดีที่พวกเราอยู่ใกล้ประตู คิดว่าความแข็งแรงคงมากกว่า
"งิ๊ด ๆ ๆ " ผมกัดแขนเสื้อของคริส จะดึงไปให้ห่างประตู เพราะควันพิษมันเข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว
"อะไร ล่ะ โรเบิร์ต" ชื่อนี้ คริสเป็นคนตั้งให้ผม เธอบอกกับแม่ว่า ตั้งแทนตัวพ่อเธอ
ผมก็ดึง ๆ เธอ
"แม่ ดูโรเบิร์ตมันสิ แค่ก ๆ " คริสในตอนนี้เธอโทรมมาก คงจากแรงระเบิด
"..." แม่ของคริสไม่ได้พูดอะไร สภาพของเธอแย่ยิ่งกว่าซะอีก มีเลือดไหลออกมาจากข้างหลังเธอด้วย

ตอนนี้ในห้องเหลือคนไม่ถึงสิบแล้ว

...

...
...
...

เวลาผ่านไป นานมาก ทุกอย่างอยู่ในความสงบ ทุกคนพากันนั่งนิ่ง บ้างก็นอน แต่บางคนก็ทนไม่ไหว พยายามหาทางออก
"โอ๊ยยยย เว้ยยย" ผมเห็นชายคนหนึ่งพยายามลากประตูให้เปิดออก แต่ทำไม่ได้ แน่ล่ะ ขนาดระเบิดยังทำอะไรไม่ได้ ลองถ้ามันล็อคแล้วคงเปิดไม่ได้แน่
หันไปอีกฝั่งหนึ่ง ผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งนั่งข้างกัน คุยกันเบา ๆ แล้วจ้องมาทางเรา

...
...
...
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน เสบียงที่มีอยู่มากมาย ถูกแรงระเบิดถล่มลงมาไม่มีเหลือ ตอนนี้ทุกคนไม่มีแม้แต่น้ำที่จะเลียกิน ชายคนที่พยายามจะเปิดประตูเมื่อวันก่อน ตอนนีก็นอนนิ่งแล้ว
ส่วนคริสก็นอนกอดผม ในอ้อมอกของแม่เธอ ผมสงสารแม่ลูกคู่นี้จัง
จริง ๆ แล้ว ผมควรสงสารตัวเองมากกว่านะ ตอนนี้ผมก็ได้แต่หายใจรวยริน ผอมมีแต่หนังติดกระดูก
...
คิดว่าถ้านอนเฉย ๆ เราคงไม่รอดแน่ ผมค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นเดิน
ไม่อยากเลยจริง ๆ แต่เพื่อความอยู่รอด ตรงไปศพร่างหนึ่ง ที่โผล่มาเพียงแขน
ผมยืนเลียเลือดที่ไหลออกมา รสชาติมันช่างชวนอ๊วกเสียเหลือเกิน มันเป็นเลือดเน่า ๆ ที่ผมจำเป็นต้องกระเดือกลงไปในคอ

แ ล้ ว เ ห ตุ ก า ร ณ์ ไ ม่ ค า ด คิ ด ก็ เ กิ ด ขึ้ น

ผมโดนจับคอแน่นแล้วกระชากขึ้นทันที!!
ชายหญิงที่นั่งคู่กัน ที่ผมเห็น มันจับคอผมแน่น ผมหายใจไม่ออก สายตาของมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ผมออกมาในลำคอ
"กริ๊ด..ดดดด" เสียงคริสร้องดังลั่น
เธอลุกขึ้นวิ่งเข้ามาจับขาผม ดึงแย่งกัน "ปล่อยนะ ปล่อยยย"
คริสจับขาผมแน่นเธอพยายามจะดึงผมออกจากมือ
"โธ่เว้ยยย" แล้วชายคนนั้นเขาก็ง้างมือตบคริสอย่างแรง เธอกระเด็นออกไป
"จะร้องทำไมวะ ไอ้นี่คืออาหารชิ้นสุดท้ายของเราแล้วนะ" ชายคนนั้นพูดขึ้น
นี่มันจะกินกู ผมตกใจมาก เหลือกตามอง เห็นผู้หญิงอีกคนจ้องผมเขม็ง..

"แม่ แม่ ช่วยด้วย" คริสร้องไห้ ตะโกนเรียกแม่เธอ
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา..
คริสหันไป

"ก ริ๊ ด . . ด ด ด ด ด " คริสร้องเสียงหลง ดังแทบขาดใจตาย
ทุกคนมองไปพร้อมกัน
ผมตกใจ คือเรื่องแม่ของคริสน่ะ ผมรู้อยู่แล้วเธอคงไม่รอดแน่ แต่ภาพที่ผมเห็นและทำให้ตกใจ คือมันยิ่งกว่านั้น

ชายคนที่พยายามเปิดประตู ตอนนี้นั่งข้างแม่ของคริส
มั น กำ ลั ง กิ น เ ธ อ อ ยู่ ! !

ให้ตายเหอะ นี่มันบ้าอะไรกันวะ คอผมถูกปล่อยลงพื้น ชายหญิงคู่นั้นเห็นก็วิ่งตรงไปเช่นกัน

ผมค่อย ๆ คลานไปหาคริส เธออยู่ในสภาพนิ่ง ตาค้างกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ชายหญิงสามคน แย่งกันฉีกเนื้อศพมนุษย์ตรงหน้า นี่มันยิ่งกว่าเดรัชฉานเสียอีก
ขนาดผมเป็นหมา เรายังไม่กินพวกเดียวกันเลย

ผมและคริสหลบไปนั่งห่าง ๆ คนพวกนั้น


หญิงคนที่ผมมอง แกยิ้มด้วยสายตากระหาย แล้วเอามือปาดเลือดที่ปาก
ผมทำใจแล้ว ต่อจากแม่ของคริส รายต่อไปไม่เป็นผมก็ต้องเป็นเด็กน้อยคนนี้แน่
ผมถอนหายใจยาว ๆ

คนพวกนั้นอิ่มท้องกันแล้ว พากันยิ้มอย่างสบายใจ พวกเขาพากันนอนหน้าประตู
ใกล้ ๆ ร่างแม่ของคริส เหมือนเฝ้าสมบัติที่สำคัญของเขามากกว่า


"เด็กผู้หญิงนี่น่าจะอร่อยนะ " ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น ชายทั้งสองพากันมองตา
"ชั้นพูดเล่นน่า ฮะ ฮะ" แล้วเธอก็หัวเราะ
"ฮะ ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า " ทั้งหมดพากันหัวเราะเสียงดังชอบอกชอบใจ
...

...

...

"ตูมมมมมมมม" จู่ ๆ ประตูก็ระเบิดขึ้นอย่างแรง
ร่างของทั้งสามกระเด็นปลิวออกมา ผมเห็นประตูหนาขนาดใหญ่หลุดออกมากระแทกชายคนที่พยายามจะเปิด หัวและแขนเขาหลุดออกจากกันทันที
"กริ๊ด..ดดดดดด" ผู้หญิงร้องดังลั่น

แล้วคริสก็อุ้มผมวิ่ง
เธอวิ่งร้องไห้ด้วยความตกใจ ฝ่าควันระเบิด เราทั้งสองวิ่งออกมาจากห้องนั้น


"โครมมมม " ไม่ถึงสองก้าวที่เท้าข้ามมา ห้องนิรภัยนั้นก็ถล่มลงมาไม่มีชิ้นดี
เราทั้งสองวิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ อย่างไม่คิดชีวิตเลย

เป็นระยะทางไกลมาก ที่เราสองคนพยายามหนีออกมา
ผมก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ว่าประตูระเบิดได้อย่างไร



...

...


...


เ ป็ น เ ว ล า ส า ม วั น เ ต็ ม ๆ กว่าผมจะออกมาสู่พื้นผิวโลกได้
ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ เหลืออยู่ อากาศบนโลกเบาบางมาก
"แค่ก" ผมไอออกมาเป็นเลือด คงเป็นเพราะควันพิษนั่นล่ะมั้ง


ผมเดินไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ เหมือนพระเจ้าลิขิต ผมเจอแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์
ไม่น่าเชื่อจริง ๆ


..


..





..

"เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้ล่ะ" ผมพูด
"แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นล่ะครับท่าน" เลขาผมเอ่ยถาม
ผมมองหน้าเขา

"ถ้าผมคือพระเจ้าของโลกนี้ เธอเปรียบเสมือนผู้ให้ชีวิตผมเช่นกัน" ผมพูดพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
"แค่นี้ก่อนนะ ผมต้องการพักผ่อน" แล้วผมก็พิงพนักเก้าอี้นวมหนาอย่างสบายตัว
"ครับ ขอบพระคุณมากครับท่าน ขอท่านพระเจ้าโรเบิร์ต จ๊อต จงเจริญ"

...


...


...



ผมกลับมาอยู่ตัวเดียว

ยืนมองกระจก นึกถึงภาพและกลิ่นสัมผัสในอดีต..

ยิ้ม..

"ถ้าไม่ได้คริสในวันนั้น ผมคงไม่เป็นพระเจ้าในวันนี้"

ผมหลับตานึกถึงภาพเธอ..
...
...
น้ำลายไหลหยดลงมาไม่รู้ตัว

เ สี ย ด า ย จั ง ที่ ยุ ค นี้ ไ ม่ มี ม นุ ษ ย์ ซ ะ แ ล้ ว ! ! ผมรำพันกับตัวเองแล้วเช็ดน้ำลาย


คศ. 2020 โรเบิร์ต จ๊อต ที่ 1 พระเจ้าของโลกใหม่




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2550 16:45:47 น.
Counter : 281 Pageviews.  

" อ ก หั ก อ ย่ า ง มี ค ว า ม สุ ข "

“อกหักอย่างมีความสุข”

วันนั้นผมยืนอ่านหนังสืออยู่ ในBOOK แห่งหนึ่ง..

ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามา
ขาว ผมยาว ตาโต ปากนิดจมูกหน่อย น่ารัก ใส่แว่นด้วย(สเปคเลย)

ก็เห็นว่าน่ารักดี ก็เลยยิ้มให้ (ผมยิ้มง่าย)
เธอก็งง ๆ แต่ก็ยิ้มให้ (โครตน่ารักเลย..อึ๋ย ยยย)

-ลองยิ้มให้ใครก็ได้ ตามที่ต่าง ๆ
เขาจะงง ๆ ก่อน ว่ารู้จักเรารึปล่าว
อาจมีมองซ้าย มองขวาบ้าง

แต่ถ้าคนจิตใจดี เขาจะยิ้มตอบเรา
(ถ้าหน้าตาเราไม่เลวจนเกินไปนะ)-

แต่ผมก็ยังทำเป็นอ่านหนังสือในมืออยู่ ไม่รู้สิ แต่ในตอนนั้น
ผมรู้สึกว่า อยู่ดี ๆ ใจมันก็มีความสุขขึ้นนะ

สักพัก มีชายอีกคนนึง แต่งตัวดี เดินเข้ามารับเธอ
เธอวางหนังสือ หันมาทางผมอีกครั้ง ยิ้มแล้วเดินจากไป..

อ ก หั ก อ ย่ า ง มี ค ว า ม สุ ข

ครับ ถึงแม้ว่าเป็นเวลาไม่นาน แต่ผมก็รู้สึกดีในช่วงชีวิตนึง

บ้าไม๊เนี่ย..เรา




 

Create Date : 29 มกราคม 2550    
Last Update : 30 มกราคม 2550 12:15:19 น.
Counter : 180 Pageviews.  

1  2  

Gorra
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Gorra's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.