[http://goodforyou.bloggang.com]
Group Blog
 
All Blogs
 

สู้ไมเกรนหน้าร้อน

อาการปวดตุ้บๆ ที่บริเวณขมับข้างเดียวหรือสองข้างอย่าเฉย



หน้าร้อนปีนี้มาแล้ว มาเร็วและแรงกว่าทุกปีเสียด้วย หลายคนคงนึกถึงสายลม แสงแดด และโปรแกรมท่องเที่ยวเพื่อคลายร้อนกัน แต่คงมีอีกหลายคนเช่นเดียวกันที่เริ่มวิตกกังวลและกลัวว่าหน้าร้อนปีนี้คงจะไม่สนุกเหมือนเช่นเคย เพราะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหัวไมเกรนอีกแล้ว คงเศร้าน่าดู... ดังนั้นวันนี้เรามาทำความรู้จักกับอาการปวดหัว “ไมเกรน” ให้มากขึ้น เพื่อสู้ไมเกรนหน้าร้อนกันดีกว่า

ไมเกรน (migraine) เป็นอาการปวดศีรษะชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะอาการที่สำคัญคือ ปวดตุ้บๆ ที่บริเวณขมับข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ บางคนอาจเริ่มจากปวดแบบตื้อๆ จี๊ดๆ ก่อน แล้วค่อยรุนแรงขึ้นจนเป็นตุ้บๆ ในที่สุด ความรุนแรงของอาการปวดมีตั้งแต่ปวดปานกลางจนถึงรุนแรงมาก ระยะเวลาของอาการปวดมีความแตกต่างกันในแต่ละคนตั้งแต่ 4-72 ชม. อาการปวดจะกำเริบหรือรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ขณะปวดไมเกรนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และอาจไวต่อแสงหรือเสียง ดังนั้นผู้ที่เป็นไมเกรนส่วนใหญ่มักอยากอยู่ในห้องมืดและเงียบ เพราะจะทำให้อาการปวดไมเกรนดีขึ้น

นอกจากนี้บางคนก่อนจะมีอาการปวดไมเกรนอาจมี “อาการนำ” มาก่อนประมาณ 5-20 นาที เช่น เห็นแสงวูบวาบคล้ายแสงแฟลช ตามองไม่เห็นชั่วขณะ หรือชาข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย เป็นต้น

สาเหตุของไมเกรน

สำหรับสาเหตุและกลไกของอาการปวดไมเกรนในปัจจุบันยังไม่ทราบชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้พยายามอธิบายถึงสาเหตุและกลไกของอาการปวดไมเกรนไว้หลายทฤษฏี ดังนี้
- เดิมเชื่อว่าเกิดจากการที่หลอดเลือดในสมองมีการหดตัวเกิดขึ้น หลังจากนั้นร่างกายมีการตอบสนองโดยการทำให้หลอดเลือดดังกล่าวเกิดการขยายตัว ซึ่งการขยายตัวของหลอดเลือดนี่เองเป็นสาเหตุของการปวดไมเกรน
- ต่อมาพบว่า เส้นประสาทคู่ที่ 5 หรือที่เรียกว่า ไทรเจมินัล (trigerminal) และสารเคมีในสมองที่ชื่อซีโรโตนิน (serotonin) ซึ่งเชื่อว่าการเสียสมดุลของสารเคมีนี้ในสมองเป็นสาเหตุของการปวดไมเกรน เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าเมื่อมีอาการปวดไมเกรน ระดับซีโรโตนินในสมองจะลดลง ทำให้เกิดการกระตุ้นผ่านเส้นประสาทไทรเจมินัลไปยังหลอดเลือดที่เยื่อหุ้มสมองด้านนอก ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวจนบวมและอักเสบในที่สุด
- ระยะหลังมานี้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับยีนส์หรือจีโนมิกส์พบว่า ion-transport gene อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดไมเกรน
- นอกจากนี้มีการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่าไมเกรนสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระตุ้นด้วย

ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรน

ปกติแล้วอาการปวดไมเกรนจะกำเริบขึ้นเมื่อมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น ซึ่งแต่ละคนจะมีปัจจัยกระตุ้นที่แตกต่างกันออกไป ปัจจัยกระตุ้นที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่

- อาหารหรือสารบางชนิด เช่น ผงชูรส สารถนอมอาหาร คาเฟอีน ช็อกโกแลต แอลกอฮอล์ หรือการแม้แต่กินอาหารไม่ตรงเวลา ความหิวก็อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ในบางคน

- การพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนมากหรือน้อยเกินไปอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้

- ฮอร์โมน ผู้หญิงบางคนจะมีอาการปวดไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือน หรือตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก บางคนที่ใช้ยาฮอร์โมนคุมกำเนิดบางยี่ห้ออาจกระตุ้นให้มีอาการปวดไมเกรนที่รุนแรงหรือระยะเวลาในการปวดนานมากขึ้นได้

- สิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น “อากาศร้อน” หรือ “เย็นมากเกินไป” อยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน หรือได้กลิ่นบางอย่างก็ทำให้ปวดหัว เช่น กลิ่นน้ำหอม ควันบุหรี่

- ความเครียด ผู้ที่มีความเครียดจะมีอาการปวดไมเกรนได้บ่อยและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่เครียด

ทราบอย่างไรว่าเป็นไมเกรน
การวินิจฉัยไมเกรนนั้นจำเป็นต้องอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะอาการปวด ตำแหน่ง ความรุนแรง ความถี่ ระยะเวลาในการปวด และอาการอื่นที่ร่วมด้วย ประวัติโรคประจำตัวและประวัติการใช้ยา การตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือการตรวจเอกซเรย์เพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคอื่น เช่น อาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว หรือจากภาวะเครียด การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง โรคของต่อมใต้สมอง หรือมีเนื้องอก เป็นต้น

“ยา” กับ “ไมเกรน”
สำหรับยาที่ใช้ในการรักษาอาการปวดไมเกรนนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
กลุ่มที่ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดไมเกรน
- ยากลุ่มแก้ปวด ไม่ว่าจะเป็นพาราเซตามอล แอสไพริน หรือยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบรูโพรเฟน (Ibuprofen) เป็นต้น กลุ่มยาเหล่านี้เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการบรรเทาอาการปวดไมเกรนเป็นกลุ่มแรกๆ เนื่องจากมีประสิทธิภาพดี อาการข้างเคียงของยาน้อย และราคาถูก
- ยากลุ่ม Ergot alkaloids ได้แก่ ergotamine ในปัจจุบันนี้มีหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาด จัดเป็นยาอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมใช้ในการบรรเทาอาการปวดไมเกรน ข้อดีของยากลุ่มนี้คือ ยาออกฤทธิ์ได้นานและลดการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนได้ในบางราย ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาให้ยา ergotamine เพียงตัวเดียวในการรักษาหรืออาจให้ร่วมกับยากลุ่มแก้ปวด หากอาการปวดไมเกรนยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการปวด และสภาพร่างกายของแต่ละคน

สำหรับผลข้างเคียงที่สำคัญของยา ergotamine ได้แก่ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดตามแขนขาหรือกล้ามเนื้อ มีอาการชา รู้สึกหนาวตามปลายมือปลายเท้า ปวดศีรษะ เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที และเนื่องจากยา ergotamine ที่จำหน่ายในท้องตลาดอยู่ในรูปแบบที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีนร่วมด้วยเพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมยา ergotamine ได้ดีขึ้น ดังนั้นนอกจากผลข้างเคียงจากยา ergotamine แล้ว บางคนยังอาจได้รับผลข้างเคียงจากคาเฟอีนด้วย ได้แก่ ใจสั่น ปวดศีรษะ เป็นต้น

คำแนะนำสำหรับการใช้ยาที่มีส่วนประกอบของ ergotamine คือ ไม่ควรกินเกินวันละ 6 เม็ด และไม่ควรเกินสัปดาห์ละ 10 เม็ด นอกจากนี้ยังห้ามใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ ผู้ที่มีภาวะไตวาย หรือในหญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- ยากลุ่ม Triptans เช่น sumatriptan, zolmitriptan เป็นต้น เป็นกลุ่มยาที่ถูกพัฒนามาใหม่เพื่อใช้ใน การบรรเทาอาการปวดไมเกรนโดยเฉพาะ ข้อดีของยากลุ่มนี้ ได้แก่ ออกฤทธิ์เร็วและลดการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนได้ดี นอกจากนี้ยังลดปัญหาการเกิด headache recurrence (เป็นอาการปวดศีรษะที่แย่ลง โดยเกิดขึ้นหลังจากอาการปวดไมเกรนดีขึ้นเมื่อกินยาแล้วภายใน 24 ชั่วโมง) ได้ดีกว่ายา ergotamine และมีผลข้างเคียงจากยาน้อย อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้ยังมีราคาค่อนข้างสูงในปัจจุบัน แพทย์จึงมักพิจารณาให้ในผู้ที่มีการกลับเป็นซ้ำของไมเกรนบ่อยๆ
คำแนะนำสำหรับการใช้ยากลุ่มนี้คือ ควรกินยากลุ่มนี้ทันที เมื่อเริ่มมีอาการปวดไมเกรน เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้อย่างสูงสุด และยากลุ่มนี้ก็มีข้อห้ามใช้เช่นเดียวกันกับยา Ergotamine คะ

กลุ่มที่ใช้เพื่อป้องกันอาการปวดไมเกรน
สำหรับยาที่ใช้เพื่อป้องกันอาการปวดไมเกรนนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ในผู้ที่ปวดไมเกรนทุกราย โดยแพทย์จะพิจารณาให้ในบางรายเท่านั้น เพื่อช่วยให้ความรุนแรงและ/หรือความถี่ของอาการปวดไมเกรนลดน้อยลง กลุ่มผู้ที่ควรได้รับยาป้องกันอาการปวดไมเกรน
- ผู้ที่มีอาการปวดไมเกรนมากกว่า 2 ครั้ง ต่อเดือน
- ผู้ที่มีอาการปวดรุนแรงจนมีผลต่อการดำเนินชีวิต ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง
- ผู้ที่มีแนวโน้มว่าอาการปวดไมเกรนจะรุนแรงมากขึ้น หรือปวดเป็นระยะเวลานานมากขึ้น
ยาที่ใช้เพื่อป้องกันอาการปวดไมเกรนในปัจจุบันนี้มีหลากหลายชนิด โดยควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้เกิดการเลือกชนิดของยาและการปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับแต่ละราย ควรกินยาป้องกันอาการปวดไมเกรนอย่างต่อเนื่องจนอาการปวดสงบลงนาน 6-12 เดือน แพทย์จึงอาจพิจารณาหยุดยา และถ้าอาการปวดไมเกรนกำเริบขึ้นอีกครั้งจึงค่อยเริ่มกินยาป้องกันใหม่

ตัวอย่างกลุ่มยาป้องกันอาการปวดไมเกรน เช่น

- กลุ่มยาต้านเบต้า (Beta-blockers) เช่น propanolol, atenolol, metoprolol, nadolol เป็นต้น

- กลุ่มยาต้านแคลเซียม (Calcium channel blockers) เช่น flunarizine, verapamil เป็นต้น

- ยารักษาโรคซึมเศร้า เช่น amitriptyline, nortriptyline เป็นต้น

- ยากันชักบางชนิด เช่น sodium valproate, topiramate เป็นต้น

การรักษาอาการปวดไมเกรนนั้นไม่ยากอย่างที่คิดนะคะ เพียงแค่ดูแลทั้งสุขภาพกายแลสุขภาพจิตให้ดี หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยกระตุ้นอาการปวด แค่นี้ก็สามารถลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดได้แล้วค่ะ

Tips

- เมื่อคุณจำเป็นต้องเดินออกไปในที่ที่มีอากาศร้อน อาจป้องกันการปวดศีรษะจากไมเกรน ได้โดยการดื่มน้ำเย็นหรืออมน้ำแข็งไปด้วยขณะเดิน ซึ่งจะช่วยคลายความร้อนระหว่างเดินทำให้ไม่ปวดศีรษะ
- เมื่อเริ่มมีอาการไม่ควรชะล่าใจ ให้รีบรับประทานยาบรรเทาปวดเลย เพราะหากปล่อยให้อาการปวดมากขึ้นอาจอาการจะบรรเทาได้ยากขึ้นหรือต้องใช้ยาที่แรงขึ้น
- ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ อาจทำให้ไมเกรนกำเริบขึ้นได้ง่ายและมีอาการรุนแรง เมื่อปวดศีรษะแล้วนอกจากใช้ยาบรรเทาปวด ให้ใช้ก้อนนำแข็งหรือกระเป๋านำแข็งประคบที่ศีรษะ เพื่อช่วยให้เส้นเลือดหดตัวลง ก็จะสามารถช่วยบรรเทาอาการลงได้ แต่บางคนการนอนหลับก็สามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้
- บางคนเมื่อมีอาการปวดขึ้นมาอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาบรรเทาอาการปวดไมเกรน เพียงแค่ใช้การนวด การกดจุด บริเวณเส้นเลือดใหญ่หลังใบหู
- หากอาการปวดไมเกรนไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอื่นต่อไป เพื่อให้เกิดการรักษาได้อย่างทันท่วงทีคะ

นพ.รังสรรค์ อยู่บาง อายุรแพทย์
ภญ.อัมพร อยู่บาง
ที่มา: เฮลล์ทูเดย์




 

Create Date : 15 เมษายน 2553    
Last Update : 15 เมษายน 2553 12:16:33 น.
Counter : 558 Pageviews.  

ดื่มน้ำอัดลมหวานๆประจำอาจเสี่ยงกับ มะเร็งของตับอ่อน


วารสารวิชาการ "การระบาดวิทยา ตัววัดความเสี่ยงและการป้องกันมะเร็ง" ของสมาคมวิจัยมะเร็งแห่งอเมริกา


รายงานว่า มีการศึกษาพบว่า การดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีรสหวาน จะทำให้เสี่ยงกับการเกิดเป็นมะเร็งของตับอ่อน อันเป็นมะเร็งที่ทำให้ถึงตายได้มากที่สุดชนิดหนึ่ง อย่างน่าหวาดหวั่น

รายงานผลการศึกษาส่อว่า เพียงแค่ดื่มอาทิตย์ละเพียง 2 หน ก็ทำให้โอกาสที่จะเป็นโรคเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า

ผู้ช่วยศาสตราจารย์มาร์ค พีไรนา ของโรงเรียนสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา ผู้เขียนรายงานอาวุโส กล่าวว่า "ระดับน้ำตาลในเครื่องดื่มที่สูง อาจจะไปหนุนระดับอินซูลินในร่างกายให้สูงขึ้น ซึ่งคิดว่ามีส่วนช่วยเป็นปุ๋ยให้เซลล์มะเร็งตับอ่อนเติบโตขึ้น"

ผลการศึกษาแจ้งต่อไปว่า "ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมอาทิตย์ละ 2 หนขึ้นไป จะมีอัตราเสี่ยงกับโรคสูงขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ถึงร้อยละ 87 ซึ่งไม่พบลักษณะแบบเดียวกัน เกิดในหมู่ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้น".


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ




 

Create Date : 01 มีนาคม 2553    
Last Update : 1 มีนาคม 2553 19:17:07 น.
Counter : 484 Pageviews.  

โรคของผิวที่เสื่อมเพราะแสง


ความเสื่อมสะสมของผิวจากการถูกแสงแดดที่แรงร้อนบ่อยครั้ง ทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณ เช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส

ยิ่งในช่วงหน้าร้อน ซึ่งพื้นที่ของโลกบริเวณบ้านเราหันเข้าหาดวงอาทิตย์รับแสงยูวีเต็ม ๆ กันอย่างนี้ หากคุณผู้อ่านไม่ดูแลผิวพรรณเสียบ้าง ระวังจะเกิดปัญหาข้างต้น โดยสามารถแยกแยะออกเป็น

‘มะเร็งผิวหนัง’ นับว่าเป็นปัญหาผิวที่อันตรายที่สุด และจำเป็นต้องได้รับการรักษาเนื่องจากเป็นเนื้อร้าย หากปล่อยไว้มีแต่จะลุกลามไปสู่ผิวหนังบริเวณอื่น ๆ แต่ก็ยังเป็นโชคดีของคนเอเชียที่มีผิวพรรณไม่ค่อยขาวเท่าไหร่ ลักษณะของผิวจึงแข็งแรงพอ ไม่เหมือนกับผิวขาว ๆ ของคนเอเชียบางชาติ อย่าง จีน ญี่ปุ่น ที่ใกล้เคียงกับชาวยุโรป เจ้าของผิวขาวบอบบางไวต่อแสงจึงมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่า

นอกจากนี้ยังมีปัญหา ‘กระเนื้อ’ มักจะพบในผู้สูงอายุ ผิวที่เป็นกระเนื้อจะมีลักษณะดำและนูน แต่ไม่ใช่เนื้อร้าย ไม่รักษาก็ไม่ก่อให้เกิดอันตราย เพียงแต่ดูไม่สวยงาม

ส่วนปัญหาฝ้า กระแดด ที่มีลักษณะเป็นปื้นหรือเป็นจุดสีน้ำตาล และรอยเหี่ยวย่น ก็นับรวมเป็นปัญหาผิวจากการถูกแสงแดด

โดยทั้งหมดสามารถแบ่งวิธีการรักษากว้าง ๆ ได้ 3 แบบ คือ

การใช้ยารักษา ไม่ว่าจะเป็นยากินหรือยาทา

การทำพีลลิ่ง (Peeling) ลอกผิวด้วยสารเคมีหรือวิตามิน โดย 2 แบบแรก เหมาะกับการรักษาปัญหาผิวที่เกิดขึ้นกับชั้นผิวส่วนบน

ส่วนแบบสุดท้าย คือ การรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งมีหลายกลุ่ม มีทั้งชนิดพลังงานต่ำ ที่รักษาแล้วไม่ทิ้งร่องรอย และชนิดพลังงานสูง ที่อาจทำให้เกิดรอยแดง หลังการรักษาสักระยะจึงจางหาย แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังต่ำหรือสูง เลเซอร์ก็สามารถเข้าไปแก้ปัญหาผิวที่อยู่ลึก ๆ ได้ โดยกลไกการรักษา เลเซอร์จะทำให้รอยดำแตกละเอียดเป็นเม็ดเล็ก ๆ จากนั้นเม็ดเลือดขาวก็จะเข้ามากำจัดออกไป


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 01 มีนาคม 2553    
Last Update : 1 มีนาคม 2553 19:16:26 น.
Counter : 485 Pageviews.  

กลไกขจัดสิ่งสกปรกในช่องคลอด



ก่อนรักษาความสะอาดจุดซ่อนเร้นบริเวณช่องคลอดนั้น คุณผู้หญิงทั้งหลายควรรู้ไว้ว่า ช่องคลอดของคุณนั้นมีกลไกการทำความสะอาดขจัดสิ่งสกปรกด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ‘ต่อมบาร์โธลิน’ (Bartholin's glands) มีอยู่เพียง 1 คู่ อยู่ใกล้คอช่องคลอด มีหน้าที่ขับน้ำเมือกออกมาหล่อซึมทั่วผนังช่องคลอดให้มีสภาพชุ่มชื้นและเพื่อฆ่าเชื้อโรค

และในช่วงที่ไข่ตก ระดับฮอร์โมนเพศของคุณผู้หญิงจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สารคัดหลั่งจากช่องคลอดมีปริมาณมากขึ้นตามไปด้วย สารคัดหลั่งนั้นเริ่มเกิดขึ้นที่บริเวณคอมดลูกแล้วเคลื่อนตัวลงไปตามช่องคลอด พร้อมกับการชะล้างเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกมาด้วย ถือเป็นการทำความสะอาดช่องคลอดอีกหนึ่งรูปแบบ

สำหรับสารคัดหลั่งมีมากในช่วงไข่ตก ราว 1-2 ช้อนชาต่อวัน แต่หากไม่ใช่ช่วงไข่ตก สารคัดหลั่งจะมีเพียงครึ่งช้อนชาต่อวันเท่านั้น

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 22 มกราคม 2553    
Last Update : 22 มกราคม 2553 16:13:28 น.
Counter : 717 Pageviews.  

ไขมันสะโพก ให้คุณช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคลงพุงได้



แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมืองน้ำชาเปิดเผยว่า การมีไขมันรอบสะโพกก้นและต้นขาเป็นคุณแก่สุขภาพ ด้วยเหตุที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคลงพุงให้ไขมันแถวสะโพก จะกวาดล้างกรดไขมันที่เป็นอันตรายและมีสารต่อต้านการอักเสบ ซึ่งขัดขวางเส้นเลือดอุดตัน

ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดชื่อดังชี้ให้เห็นว่า ไขมันที่พอกพูนอยู่ทางด้านหลัง ยังดีกว่าแถวรอบเอว ซึ่งไม่ได้มีส่วนช่วยป้องกันอันใดเลย วิทยาศาสตร์ควรจะค้นหาหนทาง ที่จะเพิ่มไขมันที่สะโพกให้มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ เชื่อได้ว่า ต่อไปหมอจะต้องพยายามหาทางย้ายไขมันตามตัวให้ไปอยู่ที่สะโพก เพื่อให้คอยป้องกันโรคหัวใจและโรคลงพุง อันเป็นต้นเหตุทำให้เป็นโรคเบาหวาน

วารสารวิชาการ "โรคอ้วนระหว่างประเทศ" ยังเปิดเผยว่า ตามหลักฐานแสดงว่าไขมันแถวต้นขาและด้านหลัง ย่อยสลายได้ยากกว่าแถวรอบเอวและมันยังสร้างฮอร์โมน ซึ่งช่วยปกป้องหลอดเลือดและส่งเสริมการควบคุมน้ำตาลและการเผาผลาญไขมันด้วย

ดร.คอนสแตนตินอส มาโนดลปูลอส หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า "ไขมันแถวรอบสะโพกและต้นขาเป็นประโยชน์แต่แถวพุงกลับให้โทษ".

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ




 

Create Date : 22 มกราคม 2553    
Last Update : 22 มกราคม 2553 16:12:30 น.
Counter : 864 Pageviews.  

1  2  3  4  

goodforyou
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add goodforyou's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.