บอกเล่าเรื่องเที่ยวไอร์แลนด์เหนือ Belfast-Titanic









คลิกก่อนหน้านี้ Giant's Causeway-The Dark Hedges


วันนี้เรายังอยู่ในเมือง Belfast จะไปชมพิพิธภัณฑ์ไททานิค



Belfast (เบลฟาสต์)เป็นเมืองหลวงของไอร์แลนด์เหนือ ในอดีตเคยเป็นอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ  ปัจจุบันผลิต ผ้าคอตตอน ผ้าลินิน ส่งออกมันฝรั่ง



ในอดีตเกิดเหตุการณ์หลายอย่างทีเมืองนี้เช่นเหตุการณ์เรือไททานิค ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมต่อเรือต้องล่มสลาย รวมไปถึงเหตุการณ์มันฝรั่งที่ทำให้ประชากรตายเป็นล้านๆคน และสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ที่เกณฑ์ผู้ชายไปออกรบ Belfast พึ่งจะฟื้นตัวเมื่อ 15 ปีนี้เอง ปัจจุบันกำลังจะพัฒนาด้านการท่องเที่ยว





เราชมบรรยากาศเมือง Belfast ก่อนเดิทางเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ไททานิค

ไอร์แลนด์อาคารในศตวรรษที่ 18 เป็นสี brick  อิฐสีน้ำตาลแดงสไตล์วิคตอเรียนโกธิค



Albert Memorial Clock เป็นหอนาฬิกาที่ตั้งอยู่กลางเมือง แถวๆ Queen's Square



ไททานิคเริ่มประกอบปี 1909 จากบริษัท white star Line เจ้าของเป็นนายธนาคารต้องการสร้างเรือเดินสมุทรจากยุโรปไปอเมริกา มีการทุ่มทุนสร้าง ลำใหญ่สุด ดีสุด จึงจ้างบริษัท Harland and Wolff ประกอบเรือเดินสมุทรลำนี้ และมีความเชื่อว่าเรือลำนี้จะไม่มีวันจน





อาคารจำลองเป็นธารน้ำแข็งที่เรือไปแฉลบชน



ด้านหน้าอาคารจะนำเหล็กมาตัดฉลุเป็นชื่อของเรือ



ตัวเข้าชมพิพิธภัณฑ์เป็นตั๋วจำลองจากตั๋วโดยสารเรือไททานิคเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว

วันนี้ตรงกับวันที่เรือไททานิคล่มพอดี 14 เมษายน



ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แบ่งมีเป็นห้องๆ

ห้องแรกที่เจอจะเป็นห้องที่บอกเกี่ยวกับ Belfast แสดงความรุ่งเรืองในช่วงก่อนและปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นมาแบบไหน













ห้องต่อมาก็เป็นที่มาของที่มา White star line บริษัทต้นคิดที่จะทำเรือไททานิคและบริษัท Harland and Wolff





การสร้างเรือไททานิคเริ่มสร้างตั้งแต่ปีค.ศ. 1909 มีการปล่อยระวางเรือตั้งแต่ปี 1911 นำล่องไปจดทะเบียนที่เมืองลิเวอร์พลูและเริ่มมีการขายตั๋ว ในยุคนั้นใครๆก็อยากออกไปหาโลกใหม่ซึ่งก็คือเมริกา ชนชั้นแรงงานในทั้งในไอร์แลนด์และอังกฤษอยากจะโอกาสในชีวิตในการขุดทอง ใครๆก็บอกว่าเรือลำนี้ไม่มีวันจม ฉะนั้นราคาตั๋วก็แพงขึ้นเรื่อยๆ และมีการขายตั๋วต่อๆกันจนราคาสูงมาก ดังนั้นพวกที่เดินทางไปกับเรือจึงเป็นพวกเศรษฐีซะส่วนมากเรือไททานิคออกเดินทางจากเมืองเซาท์แทมป์ตันเมื่อวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912  และล่มเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1912 หลังจากออกสู่ทะเลได้ 3 วัน



การเดินทางในครั้งนี้มีผู้โดยสารรวมทั้งหมด 2,223คน มีผู้เสียชีวิตถึง 1,514 ศพเนื่องจากมีเรือชูชีพไม่ครบตามจำนวนคน เรือชูชีพมีเพียง 20 ลำเท่านั้นทั้งๆที่เรือถูกออกแบบให้มีเรือชูชีพถึง32 ลำ ทำให้ช่วยชีวิตได้เพียง 1 ใน 3  ของผู้โดยสารทั้งหมด



หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้มีการขึ้นศาลทั้งของอเมริกาและไอร์แลนด์เหนือ เพือที่จะเอาผิดกับ white star line





เนื่องจากการเดินทางในครั้งนี้มีเศรษฐีขึ้นเรือจำนวนมาก เจ้าของบริษัทเดินเรือจึงต้องการทำเซอรไพร์ ให้แก่ลูกเรือโดยให้ทุกอย่างเร็วที่สุดและดีที่สุด และต้องการเอาชนะคู่แข่งที่ผลิตเรือเหมือนกัน จึงเร่งเรือให้เร็วขึ้น ประกอบกับ เรือได้รับโทรเลขจากเรือก่อนหนน้าที่ใช้เส้นทางแอตแลนติกไปสู่นิวยอร์คว่ามีภูเขาน้ำแข็งอยู่แต่ไม่มีใครสนใจเลยและคืนวันนั้นหมอกลงจัดทำให้เด็กสังเกตการณ์ไม่สามารถเห็นภเขาน้ำแข็งกว่าจะเห็นก็ใกล้มากแล้ว แถมยังเร่งความเร็วอีก กว่าจะเห็นภูเขาน้ำแข็ง ก็ถอนสมอไม่ทันเรือทำให้กราบขวาเรือกระแทกภูเขาส่งผลให้คนตายจำนวนมาก ผู้โดยสารที่รอดส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิงกว่า 80%เพราะการพวกเขาจะเสียสละให้เด็กและผู้หญิงก่อน





เราเดินขึ้นลิฟท์ไปยังห้องต่อไปเพื่อจะนั่งรถชมว่าเขาขึ้นคานเรือกันอย่างไร สมัยก่อนเขาประกอบเรือยากลำบากขนาดไหน เหล็กทุกเส้นและหมุดทุกตัวต้องผ่านความร้อน  ฉะนั้นเรือไททานิคจึงเป็นเรือที่ประกอบด้วยมือ ลำใหญ่ที่สุดในโลกและจมลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ไม่ได้เกิดจากสงคราม









มองผ่านกระจก จะเห็น line ของเรือ 2 ลำที่สร้างขึ้นมาพร้อมกัน คือไททานิคและโอลิมปิค พอต่อเรือเสร็จก็แล่นสู่ เมืองลิเวอร์พลู









ชั้นห้องเครื่อง มี 16 ห้อง หม้อน้ำรวม 29 ชุด ส่งเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ 3 ตัว เครื่องยนต์ 3 ตัว หมุนใบจักร 3 ใบ รวม 50000 แรงม้า เร่งความเร็วเรือได้สูงสุด 23 น็อต (42.596 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ความเร็วมาตรฐาน 21 น็อต (38.892 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เรือไททานิคเป็นเรือที่ทันสมัยมากในยุคนั้นเพราะมีรีโมทคอนโทรล เป็นประตูกลซึ่งจะปิดลงมาทุกบานทั่วลำเรือเมื่อพบเหตุผิดปกติที่ห้องเครื่องใดห้องเครื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าหากไม่เกิดรอยรั่วในหลายห้องเครื่องจนเกินไป ตามหลักการลอยตัวแล้ว เรือจะไม่จม ถึงแม้หัวเรือจะมีรอยแตก ก็ยังรับรอยแตกได้ถึง 4 ห้องเครื่องติดกันโดยไม่จม แต่โชคร้ายที่วันนั้น ห้องที่ท่วมมีถึง 6 ห้องนั่นเอง







เรือไททานิคเป็นเรือเดินสมุทรในยุค 100 ปีที่แล้วที่หรูหรามาก มีทุกสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องสมุทร บาร์ ห้องอาหาร



ห้องพักบนเรือไททานิคแบ่งเป็น first class second class และ third class ดังนั้นไม่ว่าแต่เศรษฐีที่ไปได้แต่ก็ยังมีชนชั้นแรงงานก็สามารถไปได้ด้วย



เราเดินไปดูแบบจำลองห้องพักซึ่งแบ่งเป็น first class หรูหราคล้ายมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน  มีห้องนอน ห้องน้ำในตัว ห้องรับรอง มีระเบียงออกสู่ทะเลราคาประมาณ 3 ล้านบาทในปัจจุบัน  second class มีห้องน้ำในตัว









ห้องต่อไปเป็นห้องนั่งชมภาพยนตร์เกี่ยวกับกล่าวถึงการส่งเรือดำน้ำไปสำรวจซากของเรือและนำบางส่วนขึ้นมา ใช้เวลาทั้งหมด 73 ปีกว่าจะเจอซากเรือไททานิก



จะเห็นกระเป๋าเดินทางของคนในยุคนั้น ที่ใช้ Louis Vuttion และภายในของกระเป๋าไม่เปียกน้ำเลยแสดงว่าคุณภาพของกระเป๋าเขาดีมาก ทำให้มีชื่อเสียงมากจนทุกวันนี้







ออกจากพิพิธภัณฑ์เราก็เดินมาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อชมเรือ Nomadic ที่ขนย้ายผู้โดยสารก่อนจะขึ้นเรือไททานิค



เรือลำนี้สร้างโดยบริษัท white star line  เริ่มสร้างใน 22 ธันวาคม 1910 สร้างเสร็จใน 27 พฤษภาคม 1911  มีอายุ 107 ปี ภายในยังคงสภาพเดิม





บนดาษฟ้าเรือมองเห็นพิพิธภัณฑ์ไททานิค



มุมนี้เป็นมุมที่ถ่ายอาคารพิพิธภัณฑ์ได้สวยมาก



ดอกดารารัตน์หรือดอกแดฟโฟดิล(Daffodil) เป็นดอกที่บ่งบอกถึงฤดูใบไม้ผผลิที่กำลังมา  เมื่อครั้นที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงประทับอยู่ ณ ประเทศฝรั่งเศส พระองค์โปรดที่จะทรงมอบดอกไม้ชนิดนี้ แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชินีนาถ ณ ขณะที่ยังทรงเป็น ม.ร.ว.หญิงสิริกิติ์ กิติยากรอยู่เป็นประจำเมื่อครั้งก่อนราชาภิเษกสมรส





เราไปต่อยัง The Peace Wall เป็นศิลปะกำแพงที่แสดงออกเชิงสัญญลักษณ์ของชาวไอรีส เห็นต่าง คิดต่างและอยู่ร่วมกันได้





หลังจากเกิดเหตุการณ์ไททานิคและ สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ไอร์แลนด์ได้ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งทางศาสนา ชาวไอร์แลนด์เหนือนับถือศาสนาคริสนิกายคาทอลิกแต่ในขณะที่อังกฤษ นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ และชาวไอริสรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากประเทศอังกฤษ  ทำให้ชาวไอร์แลนด์เหนืออยากแยกตัวเป็นส่วนหนึ่งของไอร์แลนด์  จึงเกิดความขัดแย้งขึ้น และพวกเขาไม่อยากอยู่ภายใต้การปกครองของควีน อีกต่อไปจึงเกิดเหตุการณ์วางระเบิด เกิดกลุ่ม IRA ซึ่งอยากแยกประเทศ



ในช่วงปี 1970 เกิดเหตุการณ์  the trouble มีการยิงกัน และเกิดเหตุการณ์เรื่อยๆคล้ายกับ 3 ชายแดนภาคใต้ จึงเกิดกลุ่ม Unionist กลุ่มที่ต้องการรวมตัวกับอังกฤษและ Nationalist กลุ่มที่ต้องการแยกตัวออกจากอังกฤษและไปอยู่ไอร์แลนด์



รัฐบาลทั้งของอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ พยายามทำทุกอย่างเพื่อความประณีประนอมและทำทุกอย่างให้ความขัดแย้งลดลงให้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้  มีการแก้ปัญหาในหลายๆอย่างมีการแสดงออกซึ่งสัญญลักษณ์และความคิดเห็นจากหลายทางทำให้มองเห็นว่าการแก้ปัญหาไม่ต้องใช้ ความรุนแรงในปัจจุบันไม่มีใครพูดถึงความรุนแรงอีก เพราะพวกเขาคิดว่าทุกคนก็เป็นญาติพี่น้องกันไม่อยากให้เกิดการเสียเลือดเนื้อกัอีก





แนวกำแพงเป็นตัวกั้นชุมชนระหว่างโปรแตสแตนท์และแคทอลิก เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง และมีประตูเปิดปิด ตอนเช้าก็จะเปิดประตู ส่วนในตอนเย็ก็จะปิดประตู เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน



หลากหลายรูปภาพบนกำแพง









จากนั้นพวกเราก็นั่งรถไปเที่ยวขมเมือง







รถส่งเราที่ City Hall  ตั้งอยู่บริเวณDonegall Square เป็นแหล่ง  shopping





ด้านหน้าประดับด้วยรูปปูนปั้นควีนวิคตอเรีย( Queen Victoria)

ควีนวิคตอเรียขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนม์ 19 ปี เป็นราชินีที่ครองราชย์ยาวนานถึง63พรรษ ในช่วงทีพระองค์เริ่มรับตำแหน่ง ใครๆก็มองกันว่าเหมือเอาเด็กมาล่นขายของ และพระองค์ทรงทำผลงานให้กับประเทศมากมาย ทรงอภิเษกเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซ็ค-โคบูร์กและโกธาเซึ่งเป็นรักแรกของพระองค์ พระองค์ทรงครองคู่กับพระสวามีเพียง 20 ปี เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเสียชีวิตด้วยโรคไทฟอยด์เมื่อพระชม์ 42 ปี สร้างความโศกเศร้าให้กับพระนางมากพระองค์คิดว่าทรงไม่ได้ใส่พระทัยเท่าที่ควร จึงใส่ชุดดำตลอดชีวิต







วันนี้เขาก็มีการชุมนุมกันหน้า City hall ของกลุ่มที่ต้องการอยู่กับอังกฤษ เพราะเขาถือธงอังกฤษด้วย



ฝั่งตรงข้าม city hall เป็นถนน shopping ทั้งสาย มีร้านค้ามากมาย เช่น  kate kidston , Radley, North face, Zara, M&S และ ร้านรองเท้า  ,ร้านชุดกีฬา





ร้านเยอะมากเวลาเดินเล่น 2 ชั่วโมงแทบไม่พอ



หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับลอนดอนด้วยสายการบิน Aer Lingus ใช้เวลาเดินทาง1.20 ชั่วโมง



ลงจากเครื่องก็ไปทานอาหารเย็นที่ร้าน Four Seasns



อร่อยสมคำร่ำรือจริงๆ



ใกล้ๆร้านมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ทั้ง 2 ข้างทาง มีทั้งพวงกุญแจ แม่เหล็ก London ,tower  ราคาไม่แพง



คืนนี้นอนพักที่โรงแรม Park Plaza Riverbank Hotel เป็นโรงแรมติดแม่น้ำเทมส์ เราพักที่นี่ 2 คืน ดังนั้นกลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินชมวิวแม่น้ำ







 

Create Date : 29 มกราคม 2562    
Last Update : 4 กันยายน 2562 23:52:16 น.
Counter : 1828 Pageviews.  

บอกเล่าเรื่องเที่ยวไอร์แลนด์เหนือ Giant's Causeway-The Dark  Hedges









คลิกก่อนหน้านี้ ไอร์แลนด์เหนือ Carrick-a-Rope


หลังจากเที่ยวชม Carrik -a Rode แล้วพวกเราก็ย้อนกลับไปยังหมู่บ้าน Bush Mill Village เพื่อไปรับประทานอาหารเที่ยง



เราทานอาหารกลางวันที่ ร้าน Tartine Distillers Arm ร้านนี้ไอศครีมอร่อยมาก



อาหารพื้นเมืองประเทศอังกฤษจะมีมันฝรั่งประกอบอาหารจานหลักเกือบทุกมื้อ เพราะว่ามันฝรั่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นนพืชหลักทางการเกษตรของประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ..

มีเรื่องเกี่ยวกับมันฝรั่ง ใน พ.ศ. 2384 ประเทศไอร์แลนด์ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวไร่ไอริชทียากจนถึงแม้จะไปทำงานในบ้านเศรษฐีก็ยังไม่พอกิน พวกเขาจึงต้องกินนมันฝรั่งที่ปลูกในไร่ตนเองกินทุกมื้อ ภาวะยากลำบากนี้ดำเนินไปจนกระทั่ง พ.ศ. 2388  ไร่มันฝรั่งในไอร์แลนด์ก็ถูกโรคเหี่ยวแห้ง (blight) คุกคาม การบริโภคมันฝรั่งที่เน่าเสียทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากจนสัปเหร่อฝังศพไม่ทัน ศพจึงถูกหนูและสุนัขแทะเกลื่อนกลาด ชาวไอริชที่เหลือจำนวนมากล้มป่วยด้วยโรคไข้รากสาด โรคท้องร่วง เหตุการณ์นี้ทำให้คนไอริชเสียชีวิตไปประมาณ 1.5 ล้านคน และอีก 1 ล้านคน ต้องอพยพครอบครัวหนีตายไปอเมริกา 





หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน พวกเราก็เรานั่งรถไปเที่ยว Giant's Causeway อยู่ห่างจากหมู่บ้าน Bush Mill ประมาณ 4 กิโลเมตร







Giant's Causeway ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 2526  เป็นสถานที่ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ชายหาดมี หินบะซอลต์ (basalt)40,000 กว่าก้อนขึ้นเรียงรายอยู่ ดินแดนแถบนี้เมื่อ 60 ล้านปีก่อนเป็นภูเขาไฟ  โดยหลักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ลาวาเมื่อเจอกับอากาศที่เย็นเฉียบพลัน แล้วเกิดการดันของหินเป็นล้านๆปี หินจึงแตกไล่ลงมาจึงเป็นก้อนหินเรียงกันเป็นแท่งๆ คนที่ไอร์แลนด์เหนือถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก



บริเวณนี้เป็นประตูสู่ทางเข้า Giant's Causeway



มีตำนานเล่าว่า ยักษ์ฝั่งไอร์แลนด์เหนือชื่อ Finn MacCool ต้องการข้ามไปต่อสู้กับยักษ์สก็อตแลนด์ Benandonner ซึ่งตัวใหญกว่ามาก เจ้ายักษ์ Finn MacCool จึงตอกเสาทำทางข้ามยาวไปจนถึงสก็อตแลนด์ พอไปเห็นยักษ์อีกฝั่งตัวใหญ่กว่ามากจึงรีบวิ่งหนีกลับบ้าน แล้วรีบกลับมาบอกภรรยาว่ามียักษ์ตัวใหญ่ตามมา ภรรยาก็ออกอุบายให้ใส่ชุดเด็กเล็ก แล้วไปนอนในเตียงลูก  เมื่อยักษ์สก็อตแลนด์วิ่งตามมาถามว่าเห็นยักษ์ตัวนั้นไหม แต่พอมองไปที่เตียงเด็ก .....ก็ตกใจว่าได้ว่าขนาดลูกยังตัวโตขนาดนี้แล้วพ่อจะขนาดไหน.... จากนั้นก็กลับสก็อตแลนด์พร้อมถอนเสาไปจนหมด





เวลาน้ำลดจะเห็นชัดเลยว่าเป็นทางยักษ์เดินไปถึงสก็อตแลนด์ได้เลย





เสาหินมีลักษณะเป็นแท่งแท่ง ความหนาความกว้างจะเท่ากัน ความสูงไม่เท่ากันสูงทีสุด 12 เมตร



Giant 's Boot s ก้อนหินคล้ายรองเท้าบู้ท ซึ่งจุดนี้คนมาถ่ายรูปกันเยอะมาก



ข้างบนก็เป็นหินบะซอลต์แต่มีต้นไม้ปกคลุม มองขึ้นไปมีลักษณะคล้ายถ้ำ





หินทุกแท่งมีความสมมาตร ปริมาตรหน้าตัดที่เท่ากัน มีตั้งแต่ 5,6,7,8 เหลี่ยม ขนาดหน้าตัก 20-30 ตารางเซ็นติเมตร





เป็นชายหาดที่แปลกจริงๆที่มีหินลักษณะแบบนี้เรียงรายไปหมด ยาวถึง 6 กิโลเมตร





เราเดินถ่ายรูปที่นี่ประมาณ 1.30 ชั่วโมง ก็เดินทางไปยัง The Dark  Hedges  ที่ถนน Bregagh ใกล้กับเมือง Armoy ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์ เรื่อง Game of Thrones





เป็นอุโมงค์ต้นบีช (beech tree)หรือต้นมะเดื่อ  ทั้ง 2 ข้างทางแผ่กิ่งก้านสาขามาบรรจบกัน ทำให้ดูงดงาม แปลกตา ปลูกโดย ตระกูล Stuart ตั้งแต่ค.ศ. 1775 จำนวน 150 ต้น ปัจจุบันเหลือประมาณ 90 ต้น ต้นบีชพวกนี้ปลูกเพื่อใช้สำหรับประดับทางเข้า เพื่อสร้างความประทับใจแก่แขกผู้มาเยือนเจ้าของบ้าน





วันที่เรามาที่นี่โชคดีมาก ไม่มีใครมาแย่งถ่ายรูปเลย มีแต่กลุ่มเราเท่านั้น..



เราเดินไปไม่ถึงด้านในเพราะเขามีพิธีจัดงานแต่งงานกันอยู่



จากนั้นพวกเราก็แวะไปเที่ยว Carrickfergus Castle

ปราสาทคาริคเฟอร์กัส (Carrickfergus Castle) ซึ่งตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก   สร้างขึ้นเมื่อปี 1178 โดย John de Courcy  แต่เดิมเป็นชัยภูมิเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูที่จะมาทางเรือ ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านชาวประมงอีกแห่งหนึ่ง





ปัจจุบันเหลือแต่ซากของกำแพงป้อมปราการ





บนปราสาทมีปืนใหญ่และหุ่นรูปทหาร





รูปปั้นของกษัตริย์วิลเลียมที่ 3 (William III)  แห่งอังกฤษ ท่านทรงเป็นเจ้าชายของเนเธอร์แลนด์และอภิเสกสมรสกับธิดาของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งราชวงษ์สจ้วด สร้างขึ้นหลังจากท่านพำนักที่นี่ในปี 1690





วันนี้เขามีงานคานิวัลที่หน้าปราสาท มีเครื่องเล่นมากมาย..



ด้านหลังเป็นท่าเรือ และอู่จอดเรือ



มื้อเย็นนี้รับประทานอาหารไทยที่ Thai Village อาหารอร่อยมาก..



จากนั้นพวกเราก็กลับโรงแรม..เตรียมจัดกระเป๋าเพื่อที่จะนั่งเครื่องบินไปลอนดอนพรุ่งนี้ช่วงบ่าย



ตอนต่อไป Belfast-Titanic






 

Create Date : 25 มกราคม 2562    
Last Update : 29 มกราคม 2562 1:24:47 น.
Counter : 600 Pageviews.  

บอกเล่าเรื่องเที่ยวไอร์แลนด์เหนือ Carrick-a-Rope









คลิกก่อนหน้านี้ ปราสาทเอดินเบิร์ก-คาลตันฮิลล์


เกาะ“Ireland” ประกอบไปด้วย 2 ประเทศ คือ ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ประเทศอังกฤษ และ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ (Republic of Ireland)  คนนิยมเรียกสั้นๆ ว่า ‘ไอร์แลนด์’ เป็นเอกราชไม่ได้ขึ้นกับประเทศอังกฤษ ในช่วงปี ค.ศ.1802 ถึงปี ค.ศ.1922  ‘Ireland’ ทั้งเกาะเคยเป็นส่วนหนึ่งของ ประเทศอังกฤษ





ประเทศไอร์แลนด์เหนือ มีเมืองหลวงชื่อ Belfast มีพื้นที่ 13,843 ตารางกิโลเมตร  มีพื้นที่ทั้งหมด 6 มณฑล เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากในด้านอู่ต่อเรือ และเรือที่เรารู้จักคือไททานนิค และ มีสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจหลากหลาย



วันนี้เราจะไปเที่ยวมณฑลแอนทริม (County Antrim) มีสถานที่สำคัญคือ  Carrick-a-Rede Rope Bridge และ Giant's Causeway และ Carrick -a-Rope   เป็นสถานที่ที่แรกที่เราจะไปชมกันวันนี้





นั่งรถไปชมวิวไปก็เห็นทุ่งหญ้า...เลี้ยงแกะเยอะไปหมด..

ไอร์แลนด์เหนือ ปลูกหญ้าเพื่อทำปศุสัตว์ และข้าวบาเลย์เพื่อทำอาหารหรือผลิตวิสกี้ นอกจากนี้ มีการเลี้ยงแกะเพื่อนำขนมาทำผ้าขนสัตว์





ใกล้ถึงแล้ว ธรรมชาติงดงามมาก



Carrick -a-Rede Rope Bridgeเป็นสะพานเชือกช้ามระหว่างหุบเขา  ตั้งอยู่ใหมู่บ้าน Bush Mill   ชื่อเดียวกับ Bush Mill Whiskey  วิสกี้ชื่อดังของไอร์แลนด์เหือ







รถมาส่งบริเวณนี้



ได้ตั๋วมาแล้วคะ



ระยะทางเดินไป ถึงสะพานเชือก 1 กิโลเมตร เท่านั้นเอง ออกกำลังกายนิดหน่่อย





ทางที่เราเดินไปหน้าผาก็ยังมีการเลี้ยงแกะเต็มไปหมด











เราเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางนี้



การจะเดินข้ามสะพานต้องให่เขาตรวจตั๋วก่อน โดยเจ้าหน้าที่จะให้คิว ทยอยกันเดินทีละคน



 Rope bridge เป็นสะพานไม้ผูกกับเหล็ก ชาวประมงปลาแซลมอนได้สร้างสะพานขึ้นสู่เกาะมานานกว่า 350 ปีมีความยาว 20 เมตร สูง 30 เมตร สะพานนี้จะปิดให้เข้าชมในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงเดือนมีนาคม ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพอากาศ





การเดินบนสะพานไม่น่ากลัวเท่าไหร่..แต่ที่เสียวคือคนข้างหลังขย่มเชือกนะสิ..ทำเราเดินเซเลย



วิวบนสะพานสวยงามมาก



โชคดีมากที่วันนี้ไม่มีทั้งลมและฝน ทำให้พวกเราไม่หนาวมาก..ถึงแม้อุณหภูมิจะเป็นแค่เลขตัวเดียว





บริเวณนี้น่าจะอุดมสมบูรณ์มีนกเยอะมาก



เราเดินข้ามมาอีกฝั่งของสะพานและขึ้นไปบนเขา..เพื่อเก็บรูปในมุมสูง



สวยงามมาก



ซูมใกล้ๆดูว่าช่วงระยะ  20 เมตรบนสะพานเชือกมันน่าตื่นเต้นแค่ไหน







พวกเราเดินกลับอีก 1 กิโลเมตร..การมาเดินชม carrick-a- rede เป็นระยะทางทั้งหมด 2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเล่นไป 2 ชั่วโมง แต่ไม่เหนื่อยเลย...เพราะความงามของธรรมชาติ







ชมธรรมชาติและดอกไม้..สดชื่นจริง



เดี๋ยวช่วงบ่ายเราไปเที่ยว Giant’s Causeway กันต่อคะ

ตอนต่อไป Giant's Causeway-The Dark Hedges







 

Create Date : 24 มกราคม 2562    
Last Update : 29 มกราคม 2562 1:27:02 น.
Counter : 1215 Pageviews.  

บอกเล่าเรื่องเที่ยวสก็อตแลนด์ ปราสาทเอดินเบิร์ก-คาลตันฮิลล์









คลิกก่อนหน้านี้ ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์


เช้าวันนี้เราไปชมปราสาทเอดินเบอระ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าไหร่ เรานั่งชมทิวทัศน์ของเมืองก่อนจะถึงปราสาท





Edinburgh เอเดนเบิร์ก แต่ชาวสก็อตแลนด์เรียก เอดินเบอระเป็นเมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของสก๊อตแลนด์ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงอยู่กลางเมือง  เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยกลาง เป็นที่ตั้งของปราสาทเอดินเบอร เป็นทำเลที่ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในสมัยก่อน พื้นที่รอบนอกเป็นคูเมืองเพื่อประโยชน์ทางทหาร ปัจจุบันได้ถมคูเมืองแล้ว





เมืองเอดินเบอระเป็นเมืองศูนย์กลางทางการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหราชอาณาจักรรองจากลอนดอนและใหญ่เป็นอันดับห้าของยุโรป และมีมหาวิทยาลัยชือดังคือ  มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ









Greyfriars Bobby ใครมาสก็อตแลนด์ก็ต้องมาแตะจมูกเจ้าหมาตัวนี้ หมาตัวนี้มีชื่อเสียงในเรื่องรักเจ้านายมาก พอเจ้านายเสียเขาก็มาที่สุสานทุกวัน ซึ่งสุสานเจ้านายก็ฝังอยู่ข้างหลังตึกโดยปกติสุสานเขาไม่อนุญาติให้หมาเข้า แต่มันก็แอบเข้ามา จนลูกของเจ้านาย สงสารน้องหมาจึงสร้างบ้านเล็กๆขึ้นมาให้มันมาเฝ้าได้  และมันก็ยังคงเฝ้าเจ้านายอยู่เรื่อยๆ จนมันมีเจ้านายใหม่เป็นผู้ที่ยิง one o'clock gun บนปราสาทเอดินเบอระ พอเขายิงทุกบ่ายโมง บ้อบบี้ ก็จะออกมาทานขนม และร้านที่อยู่ข้างหลังนี้จะเป็นผู้ให้ขนมเจ้าบ๊อบบี้ จากนั้นทุกคนก็จะมาชม  bobby เพราะถึงแม้เจ้านายเก่าจะจากไปเขาก็ยังมีความภักดี และกับเจ้านายใหม่ เขาก็ติดตามไปดูเขายิง one o'clock gun อยู่





เนื่องจากยังเช้าอยู่พวกเราจึงขึ้นคาลตันฮิลล์ ( calton hill ) มองจากบนนี้จะเห็น รัฐสภาแห่งใหม่ของสกอตแลนด์ (เพิ่งแยกออกมาจากรัฐสภาของสหราชอาณาจักร) ตั้งอยู่บนถนนสายหลักของเอดินเบอระ คือ รอยัลไมล์ (The Royal Mile)ที่เรียกชื่อนี้เพราะ เป็น ระยะทางจากพระราชวังฮอลลีรูด (Holyrood Palace )กับปราสาทเอเดนเบอระ มีระยะทาง 1 ไมล์พอดี จึงเรียกว่าเป็น royal mile เป็นทางสเด็จของกษัตริย์ และมีสวนพฤกษศาสตร์ตั้งอยู่ระหว่างกัน





The National Monument on Calton Hill จำลองมาจากแบบวิหาร Pathenon ของกรีซ เพื่อระลึกถึงทหารที่ทำสงครามกับนโปเลียน แต่ทำสร้้างไม่สำเร็จเพราะมีปัญหาในเรื่องเงินบริจาค







Nelson Monument อนุเสาวรีย์นายพลเนลสัน ในสงครามนโปเลียน ที่ตราฟัลการ์ (Trafalgar ) นายพลเนลสันได้พาอังกฤษไปรบ มีข่าวส่งมาจากลอนดอนให้ยกทัพกลับ แต่นายพลเนลสัน เป็นคนที่ดื้อรั้นมาก แต่ท่านยกกล้องขึ้นมาส่องจากในตาในข้างที่บอดแล้วบอกว่าไม่เห็นอะไรที่มัน่ากลัว และจะต้องเอาชนะนโปเลียนให้ได้ สุดท้ายท่านก็จบชีวิตโดยโดนกระสุนยิงตัดขั้วหัวใจ และคนอังกฤษก็สดุดีในความกล้าหาญของท่าน จึงสร้างอนุเสาวรีย์ให้ท่านเป็นรูปคล้ายกล้องส่องทางไกลที่ท่านใช้ส่อง







Arthur Seat เป็นหน้าผาทรงแบน เหมือนพระที่นังพระเจ้าอาเธอร์ แห่งอังกฤษ



เมืองสก็อตแลนด์แบ่งเป็นส่วนของ Old Town เมืองเก่าและ New  Town เมืองใหม่ (New Town) ที่สร้างขึ้นในภายหลังเพื่อรองรับประชากรที่ขยายตัวมากขึ้น





ข้างบนมีปืนใหญ่ด้วย







 Dugald Stewart Monument เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงนักวิชาการ นักปรัชญา คนหนึ่งในศตวรรษที่ 18-19








พวกเราลงจาก Calton Hill และเดินทางไปยังปราสาทเอดินเบอระ



ปราสาทแห่งเอดินเเบอระ (Edinburgh Castle)ตั้งอยู่บนเขาหินภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นเมื่อประมาณ 350 ล้านปีที่ผ่านมา บนแผ่นหินที่เรียกว่า Castle Rock ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเอดินเบิร์ก สร้างขึ้นโดยเดวิด ที่ 1 เมือ่ศตวรรษที่ 12 เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์สก็อตหลายต่อหลายพระองค์ เคยถูกทำลายลงหลายครั้งแต่ทุกครั้งก็ได้รับการบูรณะและสร้างใหม่ให้กลับคืนสู่ความสง่างามดังเดิม ปราสาทเอดินเบอระ ยังใช้เป็นสถานที่เปิดตัวของหนังสือเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ เนื่องจากมีลักษณะใกล้เคียงฉากเมืองแม่มดในท้องเรื่อง









ด้านหน้าปราสาทมีรูปปั้นสองวีรบุรุษผู้ปกป้องแผ่นดินสก็อตแลนด์เป็นผู้เฝ้าประตูอยู่ ชื่อพวกเขาคือ William Wallace (ขวา) และ Robert Bruce  (ซ้าย )พวกเขาทั้งสองต่างต่อสู้กับการรุกรานของชาวอังกฤษและการต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชของชนชาติสก็อตเอาไว้  เขาถูกพระเจ้าเอ็ดเวิ์ดที่ 1 กลาวหาว่าเป็นกบฐต่ออังกฤษ เขาตัดหัวและแบ่งตัวเป็น4 ส่วนและนำไปเสียบประจานแยกเป็นส่วนๆ และมีส่วนหนึ่งนำศีรษะไปเสียบไว้ที่สะพานลอนดอน เพื่อเป็นตัวอย่างเพื่อไม่ให้ใครแยกตัวออกจากอังกฤษอีกต่อไป



แต่ความตายของวอลเลซได้จุดประกายความกล้าในหมู่ชาวสก็อตและนำไปสู่การลุกฮืออีกครั้งและอีก 9 ปีต่อมา โรเบิร์ต เดอะ บรูซ ได้นำทัพชาวสก็อตเข้ารบกับทัพอังกฤษที่แบนนอคเบิร์นและได้รับชัยชนะ ทำให้สก็อตแลนด์ได้เป็นเอกราช จากนั้นโรเบิร์ต บรูซได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งสก็อตแลนด์


และนำได้นำประวัติของ William Wallace นำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เรื่อง brave heart  โดยเมล กิ๊บสัน รับบทเป็น William Wallace





การเดินผ่านประตูปราสาท จะมีทั้งหมด 7 ประตู ทางเดินปราสาทจะเป็นวงกลม เดินไม่ยาก



จากประตูปราสาทมองเห็น Scott Monument







ตัวปราสาทและกำแพงเป็นหิน...เขาบอกว่าหลังสงครามนโปเลียนมีการนำเชลยสงครามชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ที่เรียงหินเหล่านี้





Scottish National War Memorial เป็นห้องที่เก็บ Coat of arms เป็ที่เก็บตราสัญญลักษณ์ของอัศวิน ที่ร่วมรบในสงครามนโปเลียนกับฝรั่งเศส เขาห้ามถ่ายรูปด้านใน





ด้านหน้าประตูทางเข้ามีรูปปั้นหินสิงโตและยูนิคอน

สิงโตเป็นตัวแทนของกษัตริย์อังกฤษ ส่วนตัวยูนิคอนคือสก็อตแลนด์ถือว่าเป็นสัตว์ของเทพเจ้า





ถัดออกมาอีกอาคาร Royal Hall เป็นที่เก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อาคารนี้เขาห้ามถ่ายรูปด้านใน



ภายในมีห้องต่างๆ เช่นห้องเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ห้องประสูติของกษัตริย์เจมส์ที่ 1 ของอังกฤษและกษัตริย์เจมส์ที่ 6 ของสก็อตในยุคนั้นเรียก  The Union of the Crowns  มีกษัตริย์องค์เดียวครอง 2 ประเทศ ซึ่งพระองค์เป็นพระโอรสในเฮนรี่ สจ้วดลอร์ดแห่งดานเลย์ และสมเด็จพระราชินีนาถแมรี่ที่ 1 ของสก็อตแลนด์ (Mary Stuart) ซึ่งเป็นห้องเล็กๆในอาคารหลังนี้





บนอาคารมีป้ายติดสัญญลักษณ์ของเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และตัวอักษร ER

  E มาจาก ควีน Elizabeth  R มาจาก  Regina มาจากภาษาลาติน แปลว่าราชินี เราจะเห็นสัญญลักษณ์ ER จากหลายๆที่





ชาวสก็อตแลนด์มีความภาคภูมิใจมากที่เก็บซ่อน เครื่องราชกกุธภัณฑ์ 3 สิ่งได้แก่ ดาบ คทา มงกุฎ ซึ่งเป็นของที่เก่าแก่ที่สุดจากโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ( Oliver Cromwell ) ผู้ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองของอังกฤษเป็นแบบสาธารณรัฐ และเครื่องราชราชกกุธภัณฑ์ 3 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ใช้ประกอบพิธีราชาภิเษก



นอกจากเเครื่องราชราชกกุธภัณฑ์ 3 สิ่งแล้วจะเห็น stone of destiny  ก้อนหินนี้ ถ้าเกิดอังกฤษมีการขึ้นครองราชของกษัตริย์องค์ใหม่ จะต้องเอาก้อนหินนี้ไปวางที่ใต้บังลังก์ ของกษัตริย์องค์ใหม่นั่ง เพื่อจะย้ำเตือนว่าสก็อตแลนด์ยังเป็นของอังกฤษต่อไป







ตราสัญญลักษณ์สก็อตแลนด์ มีสิงห์โต ม้ายูนิคอน และดอกทิสเทิล (Thistle) ดอกไม้ประจำชาติสก็อตแลนด์ เหมือนดอกสัปปะรด มีเรื่องเล่าว่า ในศตวรรษที่ 13 ชาวไวกิ้งย่องเข้ามายึดครองอังกฤษและสก็อตแลนด์ พอมาถึงฝั่งสก็อตแลนด์ พวกเขาค่อยๆย่องเข้ามาตอนกลางคืน และดอกชนิดนี้ขึ้นตามชายหาด ชาวไวกิ้งจึงเหยียบดอกนี้ซึ่งมันมีหนามแหลมคมมาก ทำให้ชาวสก็อตรู้ว่ามีชาวไวกิ้งบุกมา และดอกทิสเทิลนี้ช่วยให้พวกเขารอดจากการรุกรานของชาวไวกิ้ง ชาวสก็อตแลนด์จึงนำดอกนี้มาเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศ





ห้องรับรองทูตและแขกเมือง หรือ Great Hall

ห้องนี้ใช้จัดงานเลี้ยงและงานพิธีมาจนถึงปัจจุบัน



ด้านในแสดงชุดเกราะ ดาบและอาวุธของอัศวิน



จากนั้นพวกเราก็ขึ้นไปชมปราสาทด้านบน



มองลงมาเห็นฝั่ง New Town







ลงมาข้างล่างถ่ายรูปกับปืนใหญ่บ้าง  ปืนใหญ่่อายุกว่า 200 ปี ทุกบ่ายโมงของทุกวันจะมีการยิง one o' clock gun ยกเว้นวันอาทิตย์









หลังจากชมวิวถ่ายรุปกันประมาณ 1 ชั่วโมง พวกเราก็ออกจากปราสาทกัน



บริเวณลานหน้าปราสาทมีรถขายกาแฟ พวกเราจิบกาแฟร้อนๆคลายความหนาวกัน



Statue of Frederick Duke of York and Albany ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าปราสาท



เดินจนเหนื่อยแล้ว พวกเราก็ไปรับประทาอาหารเที่ยงกัน..ื้อนี้เป็นอาหารจีน



พวกเรามีเวลาเหลือจึงไปเดิน shopping กันที่ถนน Princes Street



จากปราสาท เอดิเบอระ เดินลงมาจะมีสวนสาธารณะ Princes Street Garden





ตรงข้ามสวนสาธารณะจะเป็นถนน Princes Street มีร้านค้ามากมาย มีทั้งZara, North face, Superdry, River Island ,Prima, Mask And Spensor แยะแยะหลากหลายไปหมด





ร้านค้าเยอะจนเวลา 2 ชั่วโมงที่เดินเล่นแทบไม่พอ



เราเดินมาจุดนัดพบบริเวณห้าง Jenners (ห้างเก่าแก่ของเมือง)ก็เห็น Scott Monument ศิลปะสไตล์ Gothic ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Sir Walter Scott นักเขียนที่มีชื่อเสียงของ Scotland  อนุสรณ์สูงเสียดฟ้า ที่เขาสร้างสูงๆเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับพระเจ้า







หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องเดินทางต่อไปยังเมืองแคร์นไรอัน ( Caimryan ) ซึ่งเป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆของสก็อตแลนด์ชายฝั่งตะวันออก เพื่อขึ้นเรือเฟอรี่ ข้ามไปไอร์แลนด์เหนือ ( Northern Island)



ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังเมือง แคร์นไรอัน



เรือล่องสู่เมืองเบลฟาสต์ ( Belfast )ใช้เวลาเดินทาง 2.15 ชั่วโมง



เรารับประทานอาหารบนเรือ เมนูที่ต้องลองทานคือ fish&chip...อร่อยดีคะ



กิจกรรมบนเรือ นอกจากนั่งๆนอนๆแล้วมี เกมส์, โรงภาพยนตร์, และถ้าอยาก shopping ต่อก็มีร้านปลอดภาษีให้ shopping  ด้วยคะ



ตอนต่อไป ไอร์แลนด์เหนือ Carrick-a-Rope







 

Create Date : 22 มกราคม 2562    
Last Update : 24 มกราคม 2562 2:13:23 น.
Counter : 994 Pageviews.  

บอกเล่าเรื่องเที่ยวประเทศอังกฤษ ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์









คลิกก่อนหน้านี้ เบอร์ตัน ออนเดอะวอเตอร์-สแตนฟอร์ด อัพพอน เอวอน


ระยะทางจากแมนเซสเตอร์ไปทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ (Windermere) 130 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง นั่งรถจนเมื่อยและในที่สุดก็เห็นวิวสวยงามของทะเลสาบ








รถมาส่งเราที่ ฺAmbleside เป็นเมืองเล็กๆ  มีร้านอาหาร โรงแรม และท่าเรือที่อยู่ตอเหนือสุดของทะเลสาบ



มื้อกลางวันเรารับประทานอาหารที่เมืองนี้ ร้านอาหารน่านั่งมาก วิวก็ดี มองเห็นทะเลสาบแสนสวย



ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Lake District National Park  เป็นทะเลสาบที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของอังกฤษ และเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 2 ของอังกฤษ



วินเดอร์เมียร์เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ เป็นทะเลสาบที่มีลักษณะยาวรี เหมือนริบบิ้นผูกของขวัญ คนอังกฤษจึงเรียกว่า "ทะเลสาบริบบิ้น" หรือ Ribbon Lake ทะเลสาบยาว 18 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1 กิโลเมตรครึ่ง และส่วนที่ลึกที่สุดประมาณ 67 เมตร น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำที่ละลายจากภูเขาหิมะน้ำในทะเลสาบจึงเย็นตลอดทั้งปี





ที่ทะเลสาบนี้ในช่วงหน้าร้อน ชาวอังกฤษนิยมมาเที่ยว จะมีกิจกรรมเดินเล่น แล่นเรือและล่องเรือชมความงามของทะเลสาบ







ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ เป็นสถานที่ๆทำให้เกิดแรงบันดาลใจของนักเขียนสุภาพสตรีชาวอังกฤษ  เบียทริกซ์ พอตเตอร์ ( Beatrix Peter) ผู้แต่งการ์ตูน Peter Rabbit กระต่ายแสนกล อันโด่งดัง



เบียทริกซ์ เป็นนผู้หญิงที่เกิดในชนชั้นสูงยุคใหม่  พ่อเป็นทนายความ ส่วนคุณแม่เป็นลูกสาวพ่อค้า  เธอชอบชอบอ่านหนังสือและ วาดรูป ในช่วงวัยเด็กของ Beatrix เธอจะมา ตากอากาศที่ วินเดอร์เมียร์ ในช่วงหน้าร้อน ทำให้เธอมีจินตนาการในการเขียนการ์ตูน จากการที่ได้พบเห็นสิ่งแวดล้อมที่สวยงาม ทำให้เกิดความผูกพันธ์จนเขียนการ์ตูนเพื่อเป็นนิทานของเด็ก Peter Rabbit   เมื่อเธออายุ 30 ปี เธอได้เสนองานเขียนของเธอไปยังสำนักพิมพ์ ซึ่งในยุค 100 ปีที่แล้วยังไม่มีนักเขียบหญิงคนใดได้รับการตีพิมพ์นวนิยายเรื่องใดเลย ถือว่าเป็นผู้หญิงเก่งในยุคนั้น หนังสือการ์ตูนของเธอเป็นที่ชื่นชอบสำหรับเด็กๆ สร้างรายได้ให้กับเธอมากมาย นอกจากนี้เธอยังแต่งนิทานและใช้สัตว์ต่างๆเป็นตัวเอกในนิทานเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ต่อมาเธอได้ซื้อที่ดินที่ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์ และมีบ้านอยู่ที่นี่ รายได้ส่วนหนึ่งจากการขายหนังสือหรือลิขสิทธ์ นำมาเข้ากองทุนอนุรักษ์ทะเลสาบแห่งนี้ด้วย





จุดที่ขึ้นเรือชมวิวมีด้วยกัน3 ท่าได้แก่   ท่าเรือ Ambleside  อยู่ตอนเหนือสุด  ท่าเรือ ฺBowness อยู่ตอนกลางและท่าเรือ Lakeside อยู่ตอนใต้ของเมือง วินเดอร์เมียร์ พวกเราขึ้นเรือที่ท่า Ambleside และไปลงที่ Bowness





ก่อนขึ้นเรือพวกเราชมความงามและถ่ายรูปของทะเลสาบแห่งนี้





เราล่องเรือชมทะเลสาบไปยัง ฺBowness ใช้เวลาประมาณ 30 นาที



เรือที่เราขึ้นชมทะเลสาบเป็นเรือ 2 ชั้น เราอยากดูวิวสวยๆจึงขึ้นไปชั้นบน...นั่งชมวิวได้ไม่นานก็ต้องลงมาข้างล่างเพราะหนาวมากเลย




เรือกำลังแล่นออกจากท่า..


.







ใกล้ถึงท่าเรือBowness แล้ว วิวสวยไม่แพ้กันเลย





ออกมาจากท่าเรือผ่าน สวนสาธารณะมีเครื่องเล่น แทรมโพลีน สำหรับเด็กๆ น่าไปเล่นจังแต่ไม่มีเวลาเลย..ต้องรีบขึ้นรถต่อ





เราเดินทางต่อไปยังเมือง เอดินเบอระ (Edinburgh ) ระยะทาง 230 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง



เส้นทางไปยังเมือง เอดินเบอระ เป็นเส้นทางที่สวยงาม เราเริ่มเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี และเห็นฝูงแกะ..คิดว่ามาเที่ยวนิวซีแลนด์ซะอีก





นั่งรถไปนับแกะไปพลาง





บ้านเมืองเขาสวยจริง



รถพาเรามาแวะเที่ยวชม Grena Green เป็นหมู่บ้านเล็กๆบรรยากาศน่ารักๆ

มีเรื่องเล่ากันมาว่าในศตวรรษที่ 18 อังกฤษมีกฎหมายว่าคนที่อายุต่ำกว่า 21 ปีจะต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ถึงจะแต่งงานได้ แต่พวกเราไม่อยากที่จะรอหรือขออนุญาติ พวกเขาก็จะหนี ตามกันมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ และจะมีคนตระกูลสมิท ( Smith) ทำหน้าที่เป็นบาทหลวง เพราะสก้อตแลนด์ยังไม่มีกฎหมายห้ามคู่รักแต่งงานกันเมื่ออายุยังน้อย  พวกเขาก็จะหนีมาทำพิธีแต่งงานที่หมู่บ้านแห่งนี้ .....ปัจจุบัน หมู่บ้านแห่งนี้ก็ยังคงใช้เป็นที่จัดงานแต่งงานอยู่





ร้านค้าในนี้ขายของที่ระลึก พวงกุญแจ ขนม shortbread แยมชนิดต่างๆ และซุปเปอร์มาเก็ต ชวนให้น่าซื้อทั้งนั้น





หลังจากนั้นเราก็ไปรับประทานอาหารเย็นที่เมืองเอดินเบอระ มาถึงก็เย็นแล้ว ร้านอาหารอยู่ใกล้ปราสาทเอดินเบอระ





เราทานร้านอาหารชื่อ Amber วันนี้ทานอาหารทะเล มีหอยแมงภู่และปลาซอลมอล ขนมหวานอร่อยมาก



สก็อตแลนด์มีชื่อเสียงทางด้านการบ่มวิสกี้   เขาเล่าว่าการหมักวิสกี้จะมีตัวขโมย (steal)  มาจากการกลั่นเขานำข้าวบาร์เล่ย์จุ่มน้ำและจะมีส่วนที่งอกมาหน่อย จากนั้นเอาไปตากให้แห้งและนำมาบด ใส่ยีสต์ เพื่อเปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาล ก็จะได้แอลกอฮอลล์บริสุทธิ์ออกมา จากนั้นเขาจะนำไปกลั่นในถังไม้โอ๊ค ก็จะได้ตัว(steal) ออกมา  วิสกี้จะต้องนอนหลับในถังไม้โอ๊คเป็นเวลา 3 ปี  ระหว่างที่หมัก 3 ปี วิสกี้จะหายไปบางส่วน พวกเขาเชื่อว่าแบ่งปันให้นางฟ้า ( Angle share ) ที่มาดูแลถังไม้โอ๊ค





มาสก็อตแลนด์ทั้งที ก็ต้องมาชมวิสกี้ของที่นี่ ร้านAmber ที่เราไปทาอาหาร มีอาคาร สำหรับจำหน่ายวิสกี้ด้วย และมีหลากหลายให้เลือก ทั้งขวดใหญ่ เล็กและแบบจิ๋ว สำหรับเป็นของที่ระลึก





บรรยากาศเมืองเอดินเบอระยามค่ำคืน



ถึงแม้ร้านอาหารจะอยู่ใกล้ปราสาทเอดินเบอระ แต่เราก็ไม่ได้ไปดูวิวยามค่ำคืน เพราะอากาศหนาวมาก และพรุ่งนี้เช้าเราก็จะไปเยี่ยมชมปราสาทด้วย



ตอนต่อไป ปราสาทเอดินเบิร์ก-คาลตันฮิลล์







 

Create Date : 17 มกราคม 2562    
Last Update : 22 มกราคม 2562 3:51:36 น.
Counter : 667 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

goffymew
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Flag Counter Welcome to Goffymew Blog
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add goffymew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.