|
สิ่งสำคัญ
แสงแฟลชสว่างวูบวาบจนสายตาพร่ามัวปรากฏเพียงดวงไฟสว่างกลมๆค้างอยู่ในดวงตานับสิบดวง ฉันพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้กลับมาสู่สภาวะดังที่มันควรจะเป็น เพื่อนสาวที่มาด้วยกันผละออกไปหลังจากแสงแฟลชครั้งที่สามดับลง ฉันกำลังจะก้าวออกจากบริเวณนั้นเช่นกัน หากไม่มีมือแข็งแรงมายื้อเอาไว้ใต้ข้อศอก "ขอบคุณเรื่องการ์ดนะครับ เดี๋ยวอย่าลืมมาถ่ายรูปด้วยกันอีกรอบก่อนกลับล่ะ"
ฉันไม่ได้พยักหน้าหรือส่ายศรีษะสักครั้ง เพียงแต่รอยยิ้มเดิมๆเท่านั้น สุภาพอย่างนี้แหละ เพื่อนของฉันคนนี้
สุภาพอย่างนี้กับฉันเท่านั้น ไม่ใช่กับทุกคนที่เขาเรียกว่า "เพื่อน" ตั้งแต่วันแรกที่ฉันรู้สึกว่าความสนิทสนมกำลังค่อยๆก่อตัว จนกระทั่งวันนี้ ฉันหยุดตัวเองไว้เพียงประตูทางเข้างาน อดไม่ได้ที่จะลอบมองเขาจากตรงนี้อีกสักครั้ง การ์ดสีครีมไข่ไก่ประดับด้วยตัวหนังสือนูนไม่กี่ตัว ไร้สีทองหรือเงินแวววาวอย่างที่คนนิยมกันกระชับแน่นในมือขวา ฉันรู้ว่าแบบเรียบง่าย ทว่าเรียบร้อยสมบูรณ์แบบจึงจะเหมาะกับคนอย่างเขา ระยะเวลาเกือบเจ็ดปี เพียงพอให้ฉันรู้จักเขาพอที่จะวาดภาพการ์ดแต่งงานสักใบในหัวใจได้เองโดยไม่ต้องผ่านการปรึกษากับเจ้าของงานแม้แต่น้อย ก้มลงสำรวจตัวเอง...
ผ้าลูกไม้สีขาวอมเทาที่ฉันบรรจงเลือกด้วยตนเองประดับไว้เฉพาะช่วงข้อมือ คอเสื้อแบบจีน และชายกระโปรง ส่วนที่เหลือของกระโปรงชุดติดกันบนร่างกายชุดนี้ ตั้งแต่ใต้ปกเสื้อลงมาถึงช่วงไหล่ไล่ไปจนถึงเกือบสุดความยาวกระโปรง ล้วนเป็นผ้าพื้นสีขาวอมเทาเข้ากันกับผ้าลูกไม้ เรียบง่าย ทว่าเรียบร้อย แม้ไม่สมบูรณ์แบบสักเท่าไร เศร้าหรือ?..... ไม่มีวันจะเป็นเช่นนั้น ฉันรู้ดี กลัวไหม?...... ไม่มีอะไรหรือเหตุผลใดสำหรับความกลัว ห่วงใย...... คงเป็นความรู้สึกห่วงใยเหมือนอย่างที่เคยเป็นมามากกว่าอะไรอื่น เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของแขกเหรื่อในงานเลี้ยงเพิ่มและลดระดับไปตามกิจกรรมที่ดำเนินอยู่ภายในห้องจัดเลี้ยงหรูหรา ฉันเองยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นพร้อมๆกับทุกๆคน ณ ที่นั้น เมื่อผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเสมือนบิดาของฝ่ายชาย - เพื่อนของฉัน กล่าวคำอวยพรจบลง..... ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ยกแก้วขึ้นแสดงความยินดีกับงานฉลอง สายตาพลันเหลือบไปเห็นหญิงสาวรูปร่างคุ้นตาคนหนึ่ง ผิวขาวจนเรียกได้ว่าซีดตัดกับชุดสีม่วงอ่อนหวานที่เธอสวมอยู่ไม่น้อย บอบบางไม่เคยเปลี่ยน มือทั้งสองของเธอคนนั้นว่างเปล่า... จะมีก็เพียงประกายสะท้อนแสงจากอัญมณีเล็กๆบนนิ้วนางของมือซ้ายที่กำลังสั่นน้อยๆข้างนั้น ภาพเธอที่อยู่เคียงข้างเขาในวันหนึ่งวูบขึ้นมาในความทรงจำจางๆของฉัน ณ วินาทีนั้นเอง
เพื่อนของฉันกลุ่มหนึ่งแถวๆที่เธอยืนอยู่เริ่มประซิบกระซาบกันเบาๆ... คงแปลกใจที่เธอมา สำหรับฉันแล้ว.... ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด "ขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน..... " เขาเริ่มคำปราศรัย (ฉันอยากจะเรียกมันว่าอย่างนั้น) ของค่ำคืนสำคัญ ฉันเดินห่างออกมาจากเวที ไม่คิดจะฟังคำพูดที่น่าจะถือแทนคำสัญญาระหว่างคนรักกันในงานเลี้ยงครั้งนี้สักเท่าไร
"คำสัญญา" - จะเป็นระหว่างคนรัก ระหว่างคู่แต่งงาน ระหว่างใคร สำหรับฉันมันจะมีความหมายและน่ายึดมั่นยิ่งกว่าคำพูดที่พร่างพรูออกมาจากปากของเขาอย่างแน่นอน พิธีสมรส เป็น พิธีการสำคัญสำหรับการเริ่มต้นครอบครัวใหม่ครอบครัวหนึ่ง สำหรับคนบางคน แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่.... มันน่าจะเป็นเพียงงานเลี้ยงกินข้าวเพื่อบอกข่าวข่าวหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนข่าวนั้นจะสำคัญหรือไม่ มีความจริงปนอยู่มากน้อยเพียงใด ระยะเวลาจะพิสูจน์มันเอง แก้วหลากหลายชนิดส่งเสี้ยงกรุ๊งกริ๊งกระทบกันไพเราะเสมือนคำอวยพรแก่คู่บ่าวสาว พิธีการบนเวทีคงเสร็จสิ้นลงแล้ว ฉันส่งยิ้มให้ผู้หญิงบอบบางในชุดสีม่วงอ่อน เดาจากความรู้สึกว่าฉันก็คงเป็นคนหนึ่งที่คุ้นตาเธอเช่นกัน ในเมื่อช่วงเวลานั้น ฉันนับได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งของเขา เรานัดพบกันบ่อยครั้ง มีบางคราวเธอมากับเขา ฉันสาวเท้าก้าวยาวๆไปยังประตูที่ต้อนรับฉันเข้ามา กำลังมองหาเพื่อนที่มาด้วยกัน แสงแฟลชสว่างวาบจนสายตาพร่ามัว ปรากฏเป็นดวงไฟกลมๆในสำนึกของดวงตาอีกครั้ง
"บอกให้รอถ่ายรูปอีกครั้งหนึ่งไง เอ้า... ถ่ายเลยครับ" เสียงทุ้มๆทักท้วงฉัน พร้อมกับที่สายตาทั้งคู่กำลังค่อยๆชัดเจนขึ้น เจ้าของกระโปรงยาวสีขาวลากพื้นสะท้อนแสงไฟของสปอทไลท์เบื้องหลังเขา ยื่นมือสอดเข้าคล้องแขนของชายหนุ่มอย่างหวงแหน สายตาแม้เพียงชายมามองก็ยังท่วมท้นไปด้วยความสุขสมหวัง - ฉันอยากจะเรียกมันว่าเต็มไปด้วยแววแห่งชัยชนะมากกว่า "ขอบคุณที่มานะคะ ดีใจจัง" เปล่า.... เจ้าสาวในชุดขาวไม่ได้พูดกับฉัน
เธอปรายตาและส่งเสียงตามสายตาไปหาหญิงสาวในชุดสีม่วงอ่อนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ฉันสังเกตเห็นใบหน้าขาวซีดนั้น เผือดลงไปอีกอย่างน่าสงสาร หากเป็นไปได้ในตอนนี้เธอคงอธิษฐานให้สีขาวของร่างกายซีดจางลงไป จนเหือดหายกลายเป็นไร้สีสัน ล่องหน ไม่หลงเหลือยืนเป็นตัวเป็นตนอยู่ตรงนี้ เธอพยักหน้าน้อยๆ เค้นคั้นเอายิ้มที่แสนแห้งแล้งออกมาจนได้
ฉันหันไปสบตาเจ้าบ่าว อยากจะค้นหาแววตาหวั่นไหวสักวูบหนึ่งในนั้น เมื่อไม่พบสิ่งที่มองหา ฉันจึงเสคว้ามือหญิงสาวหน้าซีดคนนั้น เอ่ยคำอำลาสั้นๆแล้วจูงมือเธอออกมา ลืมเพื่อนที่ติดสอยห้อยตามกันมาเสียสนิท ร่างบางๆค่อยๆเล็กลงๆจนหายไปจากสายตาในทุกก้าวที่เธอเดินห่างออกไป ฉันดูมีขนาดใหญ่โต เมื่อได้พบกับเธอในคืนนี้ แสงของอัญมณีขนาดเล็กๆส่องประกายสะดุดตาฉัน มันส่องสว่างมาจากนิ้วนางข้างซ้ายของตัวฉันเอง....
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2549 | | |
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2549 0:32:11 น. |
Counter : 474 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
บนนั้น
สายลมเอื่อยพัดรวยรินผ่านร่องไม้ห่างไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เขาปล่อยมือที่จับจูงกันมาตั้งแต่ต้นทาง จวบจนกระทั่งจวนถึงจุดหมาย ฉันอดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับไปมองดูทางที่เราสองคนป่ายปีนขึ้นมา ระยะทางที่สายตาเห็นคงไม่ต่ำกว่าสี่สิบกิโลเมตร....ไกลโขสำหรับฉัน "ไม่ไกลเท่าไรนะ...ว่าไหม" เขาถามคำถามแรกหลังจากร่างกายเริ่มหยุดพักจากอาการหอบหายใจ "อืม" ฉันพยักหน้าเบาๆ คร้านจะปฏิเสธ หอบหายใจถี่ๆ แสงสุดท้ายของวันกำลังค่อยๆละลายลงปกคลุมเทือกเขารอบๆตัว สีส้มอมชมพูกลับกลายเป็นเส้นสีแดงสดเรืองรองไล้รูปขอบของเส้นขอบฟ้า ฉันหย่อนตัวลงพักเหนื่อยบนไหล่เนินใกล้ๆ ทางลาดที่ไม่ชันเท่าที่เคยผ่านทอดตัวอยู่เบื้องหน้า แต่ฉันไม่เหลือเรี่ยวแรงจะก้าวต่อ ทั้งที่รู้ว่าจุดหมายอยู่ห่างไปเพียงกลั้นหายใจ แต่อุณภูมิกับลมอ่อนๆในความสูงระดับนี้ เพียงพอจะทำให้ฉันสดชื่น รู้สึกคล้ายกับนั่งอยู่ ณ จุดหมาย ห่างอีกกี่ก้าวฉันไม่รู้ แต่มันอาจไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วเมื่อเทียบกับความเหนื่อยอ่อน "พักกันก่อ...น..."
"ผมจะขึ้นไปดูหน่อย"
เขาพูด ขณะที่ฉันใกล้จะจบคำชักชวน กลิ่นดินชื้นๆล่องลอยปะปนขึ้นมากับกลิ่นสีเขียวของธรรมชาติ ฉันหลับตาลง ดื่มด่ำกับบรรยากาศและสายลมเย็นๆที่โชยมาปะทะใบหน้าเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ลมหายใจในตอนนี้เริ่มกลับสู่จังหวะเข้า-ออกเดิมของมันช้าๆ "ข้างล่างไม่ค่อยมีลม ขึ้นมาตรงนี้สิ!" เขาตะโกนลงมาให้ฉันได้ยิน "ไม่เอาหรอก ฉันกลัวหนาว" เสื้อผ้าร่มที่เราสองคนสวมใส่คงบางเกินไป "ขึ้นมาเถอะ จะนั่งอยู่ตรงนั้นทำไม ข้างบนเย็นดีมากเลยนะ ขึ้นมาๆ" เขาตะโกนย้ำลงมาอีกครั้ง ไม่ได้ตอบอะไร แต่ฉันเลื่อนซิบขึ้นมาจนสุดทางแล้วยกปกเสื้อขึ้นมาคลุมไว้ถึงปลายจมูก เขายังตะโกนลงมาอีกหลายครั้ง....ฉันเงียบ...รอคอยจนเขาเงียบเสียงไปเอง
ไม่ค่อยมีลมอย่างนั้นหรือ ฉันสงสัย แล้วใบไม้ใบเล็กๆหลายใบที่หมุนวนอยู่ตรงหน้าฉันนี้เรียกว่าลมไหม? ข้างบนเย็นดีอย่างนั้นจริงหรือ ในเมื่อไร้ซึ่งต้นไม้หนาแน่นอย่างตรงที่ฉันกำลังนั่งอยู่ ขณะที่ฉันกำลังสะกดฟันบนและล่างไม่ให้กระทบกันดังกึกกัก... อย่างนั้นเรียกว่าเย็นดี หรือ หนาวเกินไป ฉันสับสน ใกล้...หรือไกลกันแน่นะ สถานที่แห่งนี้ - จุดหมายปลายทางเดียวที่เรามีร่วมกัน
ไม่นานนัก... เขาก้าวยาวๆกลับลงมายังที่ซึ่งฉันคอยอยู่ ทิ้งตัวลงข้างๆฉันแล้วยิ้ม ฉันยิ้มตอบ พร้อมกับเสียงกึกกักของฟันที่เริ่มกระทบกัน เขาถอดเสื้อผ้าร่มของตัวเอง คลุมลงบนบ่าฉัน ก่อนจะเอื้อมสองแขนมาโอบรอบตัวฉันเบาๆ
"หนาว?" "ข้างบนเย็นสบายจริงๆนะ ตรงนี้ร้อนไปหน่อยหนึ่ง"
..... ฉันยิ้ม
สองประโยคในเครื่องหมายคำพูดข้างบนนั้นเป็นของเขา
ประโยคแรก คือ จุดที่ฉันยืน ประโยคที่สอง คือ จุดยืนของตัวเขาเอง ฉันยิ้มอีกครั้ง.... ให้กับจุดสองจุดที่ใกล้จนเกยกัน และความรู้สึกนึกคิดที่ห่าง แต่ไม่ไกลจนเกินทำความเข้าใจ
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2549 | | |
Last Update : 26 มกราคม 2551 10:11:16 น. |
Counter : 384 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กระจกเงา
เศษกระจกสาดกระจาย.... เศษแก้วละเอียดโรยตัวไปทั่วพื้นกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม เจ้าของมือหยาบกร้าน ซึ่งขณะนี้ทุกวินาทีสั่นเทา กวาดมือลงบนพื้นอย่างรีบร้อน ทุรนทุราย ความรู้สึกสับสน ไร้ค่า ประดังเข้ามาเหมือนฝายกั้นน้ำที่กำลังพังทลายลง ชิ้นแก้วแหลกละเอียดขูดข่วนไปกับอุ้งมือที่กวาดไปมาอย่างไม่ปราณี ทิ้งร่องรอย บ้างลึกจนผิวหนังถูกกรีดเป็นทางยาว บ้างฝากรอยข่วนบางๆ ทว่าหยดน้ำจากร่างกายสีแดงสดยังสามารถซึมผ่าน พื้นกระเบื้องสีน้ำตาลเข้มทำให้เศษกระจกที่แตกกระจายสังเกตได้ยากยิ่ง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของมือที่น่าจะเจ็บปวดไม่น้อยกับแผลเชือดเฉือนของแก้วใส ที่ค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้น...บาดลึกขึ้นนั้น ไม่ได้ใส่ใจกับบาดแผลเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นสักนิด... เจ็บปวดอย่างนั้นหรือ.... สำหรับเธอ....ความรู้สึกเจ็บปวด.... ไม่สิ....ความรู้สึกทั้งหมดที่มนุษย์สักตนหนึ่งพึงมี....มันสลายไปจนหมดหัวใจของเธอแล้ว กระจกเสี้ยวใหญ่พอดีฝ่ามือถูกวางลงข้างๆอ่างล้างหน้าด้วยมือนั้น อันไม่มั่นคงนัก เธอวักน้ำประปาจากสายน้ำเอื่อยๆที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนกระจกห้องน้ำจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ขึ้นสาดใบหน้าที่กำลังนองไปด้วยน้ำตาแรงๆหนึ่งครั้ง แค่นหัวเราะให้กับโชคชะตาของตัวเอง... ภาพความทรงจำทั้งดีและเลวไหลบ่ามาสู่ห้วงคำนึง.... คำว่า "รัก" ผุดขึ้นมาในสมองที่สั่งการสับสนในขณะนี้เพียงชั่วลมหายใจสั้นๆเท่านั้น เธอรวบรวมพลังแขนที่มี กดมุมหนึ่งของเศษแก้วชิ้นใหญ่ลงบนข้อมือข้างซ้าย ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักมือ กดลงไปบนชิ้นกระจกนั้นอีกครั้ง ให้แผลที่ข้อมือเปิดกว้างเป็นทางยาวไปตามแนวข้อมือ ตั้งใจปาดผ่านเส้นเลือดใหญ่ที่ปูดโปน เห็นได้ชัดเจนจากข้อมือแข็งเกร็ง คมแก้วบาดลึกเข้าไปในเนื้อ ตัดผ่านเส้นเลือดเส้นนั้นพอดิบพอดี จนสายน้ำในอ่างล้างหน้าไหลวนเป็นสีแดงฉาน... เศษกระจกเปื้อนเลือดชิ้นใหญ่ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปกระทบผนัง กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ให้สาสมกับชีวิตแหลกๆ กับหัวใจที่ไม่เหลือเป็นชิ้นเป็นอัน.... เสียงสะอื้นหรือเสียงหัวเราะเยาะของพระเจ้า.....เธอไม่อาจรับรู้ ไม่เจ็บอะไรที่ไหนเลยสักนิด....
กระจกยังแทรกตัวเข้าไปตามหัวเข่าและแข้งขา เมื่อเธอทรุดตัวลงนั่งบนพื้น เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงพอแค่สำหรับลมหายใจเข้าออกรวยริน..... รอยยิ้มขมขื่น ร่วมเย้ยหยันสิ่งที่เธอทำลงไปอย่างเยือกเย็น น้ำสีชมพูเข้มเอ่อล้นขอบอ่างล้างหน้า ไหลรินมาตามร่องปูนรอบขอบอ่างลงมาบนพื้น ชะล้างบ่อโลหิตสีแดงเข้มและข้นที่เธอนั่งจมอยู่ด้วยความสมหวัง.... แล้วไหลเป็นสายไปตามทางผ่านท่อน้ำท่อเดียวในที่นั้น ซึมลงสู่ผืนดินเบื้องล่าง จบสิ้นกันที.... ทั้งทุกข์และทรมาน เธอเคยแอบหวังในหัวใจลึกๆ แม้พยายามปฏิเสธตัวเองสักกี่ครั้ง ว่าหากวันนี้มาถึง หากมีวันสุดท้ายของชีวิตเธอ.... อย่างในวันนี้ เมื่อถึงเวลาที่ลมหายใจสุดท้ายของเธอได้รับการปลดปล่อย... เขาจะมา.... วันอย่างวันนี้อย่างไรเล่า ที่เขาจะเห็นว่าเธอมีความหมาย... ความโง่งมงายในคำพูดแสนไพเราะ... ทำให้เธอหวังลมๆแล้งๆไปอย่างนั้น แต่อาจเพราะความโง่งมได้รับการชะล้างไปพร้อมกับเลือดไร้ค่าจำนวนมากมาย ในยามที่แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกกำลังจะจากร่างกายไปชั่วนิรันดร์ เธอจึงค่อยๆยอมรับความเป็นจริงกับตัวเองได้..... ร่างกายจิตใจ ซึ่งอุ่นไปด้วยหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อุณภูมิร่างกายที่ได้รับการปกป้องรักษาให้อยู่ในระดับที่พอดีของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ข้างในอย่างที่เคยเป็น ยังมิใช่สิ่ง "มีค่า" สำหรับเขา... แล้วจะเป็นไปได้หรือ... ที่ร่างขาวซีดไร้วิญญาณ ไร้เลือดอุ่นหมุนเวียนอย่างในวินาทีต่อจากนี้.... จะมีค่าพอ เสียงน้ำไหลจางหายไปจากโสตประสาทของการรับรู้ ลมหายใจในขณะนี้กำลังเข้า... หรือออกจากร่างกาย เธอเองเริ่มสับสน ภาพท่อนขาที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากคมกระจก...เลือด...และพื้นกระเบื้องที่เธอเห็น กำลังค่อยๆหม่นมัว แล้วลอยหายไป พร้อมๆกับพรากเอาความคิดคำนึงที่เหลืออยู่ไปจากร่าง
ลาก่อน..... หนึ่งชีวิต ที่เคยมี เคยเป็น ลาก่อน..... คนคนหนึ่ง ที่เคยพูดคำว่า "รัก" ให้ได้ยิน
เขาคงไม่เคยรักเธอจริง อย่างปากพูด
และเธอ..... ก็คงไม่เคยได้รู้จักคำว่า "รัก" ที่คู่ควรแก่การเก็บไว้สำหรับตนเองเลยสักครั้ง
Create Date : 26 ตุลาคม 2549 | | |
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2549 3:21:04 น. |
Counter : 387 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คุณแม่มือใหม่ กับลูกสาวตัวน้อยหนึ่งคน ชอบหาซื้อของทำงานฝีมือมากองให้ท่วมห้อง แต่ทำงานฝีมืออะไรไม่ค่อยจะเป็นเรื่องเป็นราว ขณะนี้ผีแกะยางลบกำลังเข้าสิง... จะหลับจะตื่น...ก็แกะๆๆ ไม่เลิก
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ^^"
|
|
CLICK to feed my colorful fish :)
|
|
|
|
|
|
|