นอนชิล..ชิล ที่ Phant Huahin Resort ที่พักหลักร้อยน้องใหม่ในหัวหิน
วันนี้มีที่พักหลักร้อย น้องใหม่ ในหัวหิน มานำเสนอค่า

นั่นก็คือ.... แฟ๊นต์ หัวหิน รีสอร์ท (Phant Huahin Resort)

เราค้นพบที่นี่ด้วยความบังเอิญ เนื่องจากเรามีทริปจะไปหัวหิน เลยลอง search หาข้อมูลที่พักจาก agoda ตามความเคยชิน search เจอที่พักในหัวหินที่ราคาไม่แพงหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่ถูกใจเท่าไหร่ จนมาเจอกับที่นี่เข้า

ด้วยทั้งการตกแต่ง และสไตล์ อีกทั้งมีสระว่ายน้ำอีกด้วย และราคาก็ไม่ถึงพันบาท ตรงนี้แหล่ะถูกใจเรามากๆ เราเลยตัดสินใจจองเข้าพักที่นี่ 1 คืนอย่างรวดเร็ว และเฝ้ารอที่จะได้ไปเที่ยวหัวหินอีกครั้งอย่าใจจดในจ่อ อิอิ




Create Date : 17 กรกฎาคม 2555
Last Update : 17 กรกฎาคม 2555 18:06:07 น.
Counter : 2967 Pageviews.

2 comment
เสพงานศิลป์ เยือนถิ่นอุบล ยลงานประติมากรรมเทียน # ตอนจบ
เข้าสู่เช้าวันเข้าพรรษา 2554 ณ เมืองอุบลกันต่อเลยค่ะ
ตื่นเช้ามาเราก็ไปไหนไม่ไกล มาเดินเล่นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานีกันอีกแล้วค่ะ
จะว่าไปก็เป็นสถานที่หลักของเทศกาลแห่เทียนในครั้งนี้ก็ว่าได้ ถ้าจะไปงานเทียนแล้วไม่ีรู้จะไปที่ีไหน ให้มาเริ่มต้นที่นี่หรือนัดหมายกันที่นี่ก็ได้นะคะ


อีกกิจกรรมหนึ่ง ที่เพื่อนๆัยังสามารถเข้าร่วมได้จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาเลยก็คือ "Passport เส้นทางธรรม เส้นทางเทียน" ให้สะสมตราประทับตามคุ้มวัด 9 วัดในตัวเมืองอุบล และเมื่อครบแล้วก็นำมาแลกรับของรางวัลต่างๆจาก ททท. ได้เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Tag ติดกระเป๋า, สมุดโน๊ต หรือเสื้องานประติมากรรมเทียน 2011 ค่ะ

กิจกรรมนี้หมดเขตสิ้นเดือนกรกฎาคมนะคะ แลกรับของที่ระลึกได้ที่ ซุ้มททท. ในลานประติมากรรมเทียน ในพิพิธภัณฑ์อุบลฯ เลยจ้า (ปล.เราไปแลกมาแล้วล่ะ อิอิ)


กำหนดการขบวนแห่เทียน จะเริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 8โมงเช้าเป็นต้นไป ตามถนนอุปราชบริเวณหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ขึ้นไปทางทิศเหนือเป็นระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร จากนั้นรถขบวนเทียนจะไปหยุดจอดที่สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมขบวนเทียนพรรษากันไปตลอดทั้งวันค่ะ


เหล่านักแสดง กำลังเตรียมการแสดงกันอยู่


อลังการจริงๆ


ขบวนรถเทียนจะถูกลากจูงด้วยรถไถคูโบต้าแบบนี้ทุกคันเลยค่ะ ดูเป็นไทยๆดีเนอะ ^^


การแสดงพื้นบ้าน จากน้องนักเรียนโรงเรีัยนต่างๆในเมืองอุบล


ขบวนแห่เทียนต่างๆ


ขบวนแห่เทียนต่างๆ ชอบม้าอ่ะ ทำได้อลังการมากๆ


ขบวนแห่เทียนต่างๆ อันนี้ก็สวยดี ชอบๆ


ผลงานน้องกระต่ายอันนี้ทำได้เก๋มากๆ เกิดจากการสานไม้ไผ่ทำเป็นโครง จากนั้นหลอมเทียนแล้วใส่สี แล้วก็เอาเทียนชุบสีมาสาดและทา ก็จะออกมาได้เป็นกระต่ายยักษ์สีชมพูสวยสดใสแบบนี้ ^^


ป้ายหลักกิโล ถ้าจังหวัดไหนไม่มีถือว่าเชยมากนะเราว่า ^^


และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราชอบ เป็นการละเลงสีลงบนพื้น ทางททท.จะให้สีชอรืค วางไว้บนพื้น นักท่องเที่ยวคนไหนเดินผ่านไปผ่านมา ก็สามารถที่จะเขียนระบายความในใจ ละเลงสีกันได้ตามใจชอบเลย ^^


นักท่องเที่ยวต่างชาติก็สนใจไม่แพ้กัน ^^


น้องๆในชุดการแสดงก็ยังมานั่งเขียน น่ารักจังคนอุบล ^^


กิจกรรมนี้สามารถทำได้ตลอดทั้งวัน เพราะสามารถละเลงสีพื้นได้ทั่วลานประติมากรรมเทียนเลย


ชอบคำนี้มาก ประทับใจๆ ^^


ไปๆมาๆก็เย็นย่ำหมดวันซะแล้ว 3วัน 2คืนนี่ผ่านไปเร็วจริงๆ แต่งานเทียนอุบลปีนี้ก็ทำให้เราประทับใจได้อย่างมากเลย เสีัยดายเวลาน้อย เอาไว้มีโอกาส ปีหน้าจะมาอีกแน่นอน ^^

และสำหรับเพื่อนๆที่ยังไม่รู้จะไปไหน งานประติมากรรมเทียน ยังจัดแสดงอยู่จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนะคะ พาลูกหลานไปร่วมเสพงานศิลป์ ทำกิจกรรมสนุกๆกันได้เลย โดยเฉพาะศูกร์ เสาร์ อาทิตย์ มีการแสดง และตลาดนัดขายของด้วย น่าสนใจเป็นที่สุด อิอิ

เราขึ้นนกแอร์กลับ ไฟต์ดึกสุดคือ 19.50 น. ประมาณ 19.00 ก็มาสแตนบายรอขึ้นเครื่องแ้ล้ว ลาแล้วค่ะ บ๊ายบายอุบล~ แล้วเจอกันใหม่นะ ^^





Create Date : 23 กรกฎาคม 2554
Last Update : 23 กรกฎาคม 2554 13:28:38 น.
Counter : 1404 Pageviews.

2 comment
เสพงานศิลป์ เยือนถิ่นอุบล ยลงานประติมากรรมเทียน #ตอนแรก
ทริปนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ มีเวลาไปอุบลแค่ 3วัน 2คืนเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็รู้สึกสนุกมากๆ ^^ อาจเพราะเป็นการไปเยือนอุบลครั้งแรก อะไรๆก็เลยดูตื่นเต้น แปลกใหม่ถูกใจไปหมด

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้ไปเที่ยวอีสานที่ไกลกว่าโคราชบ้านเอ็ง การที่จะได้ไปดูขบวนแห่เทียนนอกจากโคราชแล้วเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก และได้ไปเที่ยวจังหวัดที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามอีกด้วย น่าตื่นเต้นมั้ยล่ะ อีกทั้งนอกจากจะได้ชมขบวนแห่เทียนแล้วยังได้มีโอกาสได้เที่ยว งานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ที่ปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 อีกด้วย

งานประติมากรรมเทียนนานาชาติ หรือ Thailand International Wax Sculpture จะเป็นงานจัดแสดงผลงานการแกะสลักเทียนโดยช่างฝีมือชาวต่างชาติ เห็นว่าปีนี้มีถึง 8 ชาติด้วยกันที่ได้มาแสดงฝีมือให้เราได้ดู และผลงานของพวกเค้าเหล่านี้ยังจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมพร้อมทั้งยังมีกิจกรรมดีๆ ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมทำมือ Sound Art ตลาดศิลปะถิ่นอุบล ตลาดแลงพาเพลิน ที่สามารถเดินเที่ยวชมเลือกซื้อของกิ๊บเก๋แฮนด์เมคได้ในราคาถูกอีกด้วย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ยังมีให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้เลยนะคะ ใครพลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกหลายวัน แวะไปเที่ยวอุบล เสพงานศิลป์กันได้นะคะ ^^

ปกติที่ผ่านมาเคยเห็นแต่ขบวนแห่เทียนและฝีมือแกะสลักเทียนจากช่างฝีมือชาวไทย ปีนี้จะได้เห็นฝีมือแกะสลักเทียนจากชาวต่างชาติด้วย จะเป็นยังไงน๊อ~ ชักตื่นเต้นแล้วสิ ป่ะ ไปเที่ยวอุบลกันเลยดีกว่า




ช่วงที่ไปเที่ยวคือวันที่ 14-16 ก.ค. 54 ซึ่งจะตรงกับวันอาสาฒหบูชาและวันเข้าพรรษาพอดี นับว่าโชคดีมากๆในวันที่เราเดินทางคือบ่ายๆวันที่ 14 รถไม่ติดเลย แล่นฉิวมาตลอด 8-9 ชม.จนมาถึงตัวเมืองอุบล ในเวลาค่ำๆ ฝนก็เริ่มจะลงเม็ดปรอยๆแ้ล้ว เราได้เข้าที่พักกันก่อน นั่นคือ "โรงแรมราชธานี"



หน้าตาภายในห้องพักเป็นแบบนี้.....
รู้สึกว่า โรงแรมจะเพิ่งได้รับการ Renovate แหล่มมากๆ แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายตรงล๊อบบี้ไว้เลย เพราะมีนักท่องเที่ยวเต็มตลอดเวลา อาจะเป็นเพราะช่วงเทศกาลด้วย

แต่ขอตินิดนึงเรื่องห้องน้ำ- ห้องน้ำเล็กมากๆๆๆๆๆ ไม่เหมาะสำหรับคนตัวใหญ่ (เช่นเราเป็นต้น ) น้ำก็ไหลไม่ค่อยแรง ไม่ค่อยอุ่นอีกต่างหาก อาบแล้วไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ ...แฮ่

และเรื่องประตูห้องพัก - เป็นเพียงแค่การไขกุญแจห้องดอกเดียวเท่านั้น ค่อนข้างหละหลวมมากๆ ความปลอดภัยในทรัพย์สินแทบจะไม่ค่อยมีเลย ถ้าไปพักแนะนำว่าอย่าเก็บของมีค่าไว้ภายในห้อง ไม่งั้นอาจจะไม่คุ้มกันค่ะ



เมื่อเก็บของเข้าที่พักแล้ว เราก็เริ่มรู้สึกจะถูก "ความหิว" เข้าครอบงำ มาอุบลทั้งทีต้องหาอะไรแซ่บๆมาสุยซะหน่อยแล้ว

และโชคดีมากๆ ที่หน้าโรงแรมเป็น "ตลาดโต้รุ่งทุ่งศรีเมือง" ของกินละลานตาไปหมด

เอาล่ะซิ!! ได้เวลาสุยแล้วววว ลุยๆๆๆๆ



เดินเล็งอยู่นาน สุดท้ายก็มาลงเอยที่ร้านส้มตำป้ามุก!!
จานแรก... "ตำปูไม่เผ็ด พริก 2 เม็ด ตำเฉียดๆ"



ตามมาแซ่บกันต่อ!! กับจานนี้่...
"ตำปูปลาร้า" จ้า
~ไม่ต้องบรรยายใดๆ ให้มันลึกซึ้ง~ เพราะน้ำลายไหยย้อยกันถ้วนหน้าแน่ๆ อิอิ



และนี่คือเมนูที่เรา"พาสุย" กันคืนนั้น
มื้อนี้ 120 บาทจ้า อิ่มสุดๆ แซ่บๆนัวๆ


ตัดฉากมาเป็นเช้าวันใหม่ เช้าวันอาสาฬหบูชา....
ราได้มีโอกาสไปเที่ยว "อุทยานแห่งชาติผาแต้ม" ด้วยล่ะ

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ตั้งอยู่ที่ อ.โขงเจียมห่างจากอ.เมืองอุบล ประมาณ 98 กม. ขับรถราวๆ 1 ชม.เศษๆ ก็มาถึงแล้ว

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจภายนอุทยาน แห่งแรกที่พบเจอก็คือ "เสาเฉลียง"
เป็นเสาหินธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลมนับล้านปี มีลักษณะคล้ายดอกเห็ดเรียงรายกันอยู่มากมาย ชาวบ้านบริเวณนี้เรียกเสาหินที่คล้ายดอกเห็ดนี้ว่า “เสาเฉลียง” ซึ่งแผลงมาจากคำว่า “สะเลียง” ที่หมายถึง “เสาหิน”



พาน้องสุขใจมาเที่ยวเสาเฉลียงด้วยเหมืิอนกันนะ




จากบริเวณเสาเฉลียงจะเดินไปจุดชมวิวและลานหินแตก จะเจอก้อนหินถูกนำมาเรียงรายแบบนี้ตลอดทาง....

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ก็สวยดีนะ


ทางขึ้นจุดชมวิว - ลานหินแตก


ถึงแล้ว "ลานหินแตก"
เห็นว่าร่ิองรอยแตกของหินเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ค่อนข้างลึกพอสมควร คนกลัวความสูงอย่างเราก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน ตอนชะโงกหน้าลงไปดู



น้องสุขใจก็มาเที่ยวลานหินแตกนะ

และจากตรงเสาเฉลียงและลานหินอตก ห่างกันประมาณ 300 เมตร ก็จะเจอกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติผาแต้ม

ให้บริการเรื่องข้อมูลอุทยานฯ ของที่ระลึก ห้องน้ำ สวัสดิการต่างๆ


เดินผ่านศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก็จะเจอจุดชมวิวแบบนี้
แต่จุดนี้อยู่ทางทิศตะวันตก เลยไปจุดชมพระอาทิตย์ตกก่อนใครในสยาม ^^


จากนั้นเดินไปอีกสักพักจะเจอกับจุดชมวิว "ผาแต้ม" ไฮไลท์ของอุทยานเลย ^^
ฝั่งตรงข้ามที่เห็นลิบๆนั่นก็ประเทศเพื่อนบ้านของเรา ประเทศลาวนั่นเอง และแม่น้ำที่เห็นขุ่นๆอยู่นั่นก็คือแม่น้ำโขง
วันที่ไปแดดไม่มีและฝนกำลังจะตก ฟ้าเลยไม่เปิด เลยได้รูปมาแบบหม่นๆแบบนี้



นี่คือวิวประเทศเพื่อนบ้านที่เห็นอยู่เบื้องหน้า อากาศดีๆแดดไม่เปรี้ยงมาก กำลังดีเลยค่ะ


จุดชมวิวตรงนี้จะเป็นหน้าผาตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรกั้น ไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวความสูง(แบบเรา) แต่ดูเพื่อนเราสิ ไม่บอกก็ไม่รู้ว่า ชอบมากกกกกกก 5555+


จากจุดชมวิวผาแต้ม บริเวณด้านล่างจะมีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ เราจะลงไปดูกันค่ะ เดินเท้าไปไกลพอสมควร


วันที่ไปอากาศครึ้มๆ มีฝนเล็กน้อย ทางเดินแคบพอเดินสวนกันได้ แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก


ระหว่างทางพบเจอป้ายหินแกะสลักนี้ด้วย


ระหว่างทางก็จะได้เจอกับมุมหนึ่งของหิน ที่ถูกกัดเซาะตามธรรมชาติ
ลองทายกันดูเล่นๆนะคะว่าเหมือนอะไร??
คำตอบคือ "หัวราชสีห์" ค่ะ เหมือนมั้ยเอ่ย?
และขอบอกว่ามุมนี้ถ้ามองด้วยตาเปล่า มองผ่านๆจะดูไม่ออก
ต้องถ่ายรูปออกมา จึงจะเห็นชัดเจน


จากนั้นก็เดินต่อไปๆ เพื่อมุ่งหน้าไปดูภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ ไม่ไกลแล้วค่ะ อีกนิดเดียว ตามมาๆ


ถึงแล้วค่ะ จุดที่พบภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์จุดแรก หลังจากที่เดินกันมาได้ประมา๊ณ 500 เมตร
จุดนี้จะยังไม่เห็นลวดลายอะไรมากค่ะ พูดง่ายๆคือ เป็นออร์เดิฟ ^^


ดูออกมั้ยคะว่าเป็นรูปอะไร ...... ?

ไกด์บอกว่า เป็นรูปปลาค่ะ เป็นปลา 2 ตัว แต่บางคนก็ว่าใบไม้ ก็ว่ากันไปเนาะ... ^^


ถัดมากจากจุดแรกประมาณ 150 เมตร เป็นจุดที่สอง ที่ค้นพบภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์
จุดนี้ค้นพบภาพเขียนสีหลายแบบมากๆ สันนิษฐานว่าเป็นรูป สัตว์ ลายเลขาคณิต คนทำนา เครื่องมือจับปลาของชาวประมง หรือ ตุ้ม แต่เราดูบางมุมมันก็เหมือนมะนาวต่างดุ๊ด~ มนุษย์ต่างดาวเลยอ่ะ อิอิ


เราเดินชมภาพเขียนสีพอหอมปากหอมคอ กระเพาะก็เริ่มอาละวาดร้องออกมาด้วยความหิว อีกทั้งตอนนั้นได้เวลาอาหารกลางวันพอดี เลยต้องโบกมือบ๊ายบายผาแต้มแต่เพียงเท่านี้

จากผาแต้มกลับมาที่ตัวเมืองโขงเจียม ร้านอาหารแพอารยา เป็นสถานที่ที่เราจะพาสุยในวันนี้
โดยเมนูวันนี้ก็ตามรูปเลยค่ะ ด้วยบรรยากาศแล้วแพอาหารเจ้านี้วิวดีมากๆ แต่ก็ด้วยความหิว เราก็สุยๆ แบบไม่ยั้ง เลยแทบไม่ได้กินบรรยากาศเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ


เมื่ออิ่มหมีพีมันแล้ว จุดหมายต่อไปของเราก็คือ "บ้านทียนหอมเดชอุดม" มาเมืองแห่งเทียนทั้งที ก็ต้องตามไปดูผลิตภัณฑ์งานฝีมือของเค้าให้ถึงถิ่นกันหน่อย ^^


เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน นี่คือบริเวณหน้าบ้าน
เจ้าของคือคุณชาลิดา พูลทรัพย์ เป็นทั้งผู้จัดการ และศิลปินผู้ออกแบบผลงานทั้งหมด
ที่อยู่: 209/2 หมู่ 8, ถนน สนามม้า อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี
โทร. 045 361 712
//www.mutitacandle.com
ใครสนใจก็ลองโทรสอบถามข้อมูลตามที่ให้ไว้ได้เลยนะคะ


ชอบอันนี้อ่ะ เก๋~เก้ดี ^^


ภายในบ้านมีส่วนจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกให้เลือกซื้อเต็มไปหมด กิ๊บเก๋ น่ารักๆทั้งน้าน ที่สำคัญราคาไม่แพง มีตั้งแต่ราคา 30 บาทจนถึง 3000 บาท ตามความยากง่ายและสวยงามของชิ้นงาน

อีกทั้งยังมีการทำเทียนให้ดูกันเห็นๆ ตั้งแต่ขั้นตอนทำกลีบดอกไม้ ชุบสี ฯลฯ


นี่คือเทียนที่ชุบสีแล้วเพื่อทำเป็นกลีบกุหลาบต่อไป...


แกะเทียนกันเห็นๆ ลวดลายสีสันสวยดีอ่ะ ชอบๆ


นี่คือผลงานที่แกะเสร็จแล้ว พร้อมขาย ^^


จากบ้านเทียนเดชอุดม ก็มุ่งกลับเข้าตัวเมืองอุบลราชธานี ใช้เวลาราว 1 ชม.เศษ
เพื่อจะไปยังบริเวณที่จัดงานแสดงประติมากรรมเีทียนนานาชาติ ที่บริเวณลานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี


เข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์ แอบเห็นผลงานเทียน แกะสลักจากศิลปินต่างชาติแล้ว


มาดูกันให้ชัดๆเลยดีกว่า ว่าผลงานทั้ง 8 ชิ้นนั้นมีอะไรบ้าง
ผลงานชิ้นนี้ชื่อว่า "Vertical Knot - ปมแนวดิ่ง " จากลัตเวีย


ผลงานนี้ชื่อว่า "Sustain my Heart.. Sustain my World - ใจยั่งยืน โลกยั่งยืน" โดยเบลเยี่ยม


ผลงานนี้ชื่อว่า "Infinity - อนันตภาพ" จากเนปาล


ผลงานนี้ชื่อว่า "Heart - หัวใจ" จากญี่ปุ่น


ผลงานนี้ชื่อว่า "Sunrise Energy - พลังแสงตะัวัน" จากฝรั่งเศส


ผลงานนี้ชื่อว่า "Song of my heart - บทเพลงแห่งใจ" จากยูเครน


ผลงานนี้ชื่อว่า "Wrapper - ผู้ปกป้อง" โดยบราิซิล


และผลงานนี้ชื่อว่า "Light of Dhama - แสงแห่งธรรม" จากประเทศไทย
โดยอาจารย์พฤติพงษ์ ได้แชมป์ 2 ปีซ้อน ในการแข่งขันแกะสลักหิมะ ที่เมืองฮาร์บิ้น ประเทศจีน
สวดยวดเลยค่ะ "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" จิงๆ


หลังจากเดินชมผลงานการแกะสลักเทียนจากศิลปินชาวต่างชาติทั้ง 8 คนจนครบแล้ว ไฮไลต์ของวันนี้เลยก็คือ.... ธรรมะดิลิเวอรี่โดย "พระมหาสมปอง" สรุปแว่ เอ๊ย! สรุปว่า ท่านเทศน์ได้สนุกสนาน ลึกซึ้งกินใจ อิ่มบุญอิ่มใจกันไปตามๆกัน


หลังจากอิ่มบุญอิ่มใจจากธรรมมะเดลิเวอรี่แล้ว ก็สามารถเดินเที่ยว "ตลาดแลงพาเพลิน" ซึ่งอยู่ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์ฯ เช่นกัน


จะมีการโชว์ผลงานของศิลปินไทย จาก ม.ลาดกระบัง


กิจกรรม Art Film เป็นการเก็บภาพและรายละเอียดการแกะสลัก ทำเทียน จากช่างฝีมือทั้ง 9 คุ้มวัดในเมืองอุบล ออกมาในรูปแบบหนังสั้นและการถ่ายภาพศิลปะโดย ม.ลาดกระบัง

ใครสนใจอยากรู้ว่า เทียนพรรษาสวยๆนั้นมีที่มาอย่างไร ต้องไม่พลาดชมซุ้มนี้ ^^


มุมนี้่เด็กๆต้องชอบ และผู้ใหญ่บางคนก็แอบสนใจอยู่นะ ^^


กิจกรรม Interactive Art เล่นศิลปะร่วมสนุกกับกำแพงเคลื่อนไหว ได้นำเทคนิกฉายภาพด้วยเลเซอร์ ให้ผู้เล่นขยับร่างกายให้จุดที่ปรากฎเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ทำโดยนศ.จาก ม.ลาดกระบัง


มามุมช้อปปิ้งกันบ้าง ^^


บรรยากาศตลาดพาแลงช่วงเย็นๆ ผู้คนเริ่มทยอยมาเดิน มาทำกิจกรรมงานศิลปะกัน ^^


ชอบมุมนี้มากๆเลย Kid Art Village (สวนศิลป์เด็ก) เป็นกิจกรรมเด็กทำมือ หล่อเทียนเจลเอง รู้สึกว่ามีเด็กๆให้ความสนใจกัเยอะน่าดู เทียนเจลที่ใช้ก็สีสวยๆทั้นั้น ภาพพิมพ์หล่อก็น่ารัก อยากจะร่วมละเลงด้วยจริงๆ


ผลงานที่เสร็จแล้วจะออกมาเป็นแบบนี้


น้องๆสามารถอวดผลงานกันได้เลยที่มุมนี้ หรือจะนำกลับบ้านก็ได้ ชอบจัง ^^


มุมนี้เป็นโปสการ์ดทำมือ โดยชาวอุบลแท้ๆเด้อ ราคากันเอ๊งกันเอง ชอบก็เลือกซื้อเลือกหากันได้เลยจ้า


อีกกิจกรรมที่น่าสนใจ เป็นการหล่อเทียนเพื่อนำไปจุดประดับตกแต่งร่วมกับผลงานแกะสลักเทียนจากศิลปินชาวต่างชาติทั้ง 8 ผลงาน


เทียนที่หล่อเสร็จแล้วจะได้ออกมาเป็นแบบนี้


จากลานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี ช่วงเวลาหัวค่ำเศษๆ เราก็ได้ไปร่วมกิจกรรมทำบุญมหาเวียนเทียนที่วัดศรีอุบลรัตนาราม

ระหว่างทางที่เดินไปวัดจะเป็นเส้นทางที่จะต้องมีขบวนแห่เทียนผ่าน รอบๆเส้นทางถูกเรียงรายไปด้วยการจุดเทียนให้สว่างไสว สวยงามมากๆ ทำให้เราประทับใจมากๆเลยอ่ะ


เมื่อเวียนเทียนครบ 3 รอบโบสถ์วัดดศรีอุบลรัตนาราม เราก็สังเกตว่านอกจากชาวไทยแล้วก็ยังมีชาวต่างชาติมาร่วมทำบุญเวียนเทียนกันด้วย และยังมีผู้ใหญ่พาเด็กๆมาด้วยหลายครอบครัวเหมือนกัน เห็นแล้วก็ชื่นใจ


เมื่อเดินออกมาจากวัดดศรีอุบลรัตนาราม ได้พบเจอชาวบ้านกำลังปล่อยโคมพอดี แหมเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปไกลถึงเมืองเหนือ คนอีสานเค้าก็ปล่อยโคมเหมือนกันแฮะ


จากวัดดศรีอุบลรัตนารามเราเดินกลับโรงแรมราชธานีได้ไม่ไกลค่ะ สะดวกมากๆ ตอนแรกกะว่าจะแวะดูขบวนแห่เทียนพรรษาซะหน่อย แต่ไม่ไหวค่ะ ไม่สามารถสู้คลื่นมหาชนได้ จึงได้เดินกลับโรงแรม ระหว่างทางโชคดีได้มีโอกาสถ่ายรูปขบวนเทียนพรรษามาให้ดูบางส่วนด้วย ^^


สำหรับเพื่อนๆที่ยังไ่ม่เคยไปงานแห่เทียนอุบลมาก่อน (เหมือนเรา :P)
ในช่วงกลางคืนของวันอาสาฬหบูชา ก่อนวันเข้าพรรษ 1 วันของทุกปี) จะมีขบวนแห่เทียนภาคกลางคืน ที่หน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม และการแสดงประกอบแสงเสียงด้วย

และเช้าวันเข้าพรรษา ตั้งแต่เวลา 8.00 น.เป็นต้นไป ชมขบวนแห่เทียนพรรษาประกอบขบวนฟ้อนรำอันยิ่งใหญ่ของชาวอุบลฯ พร้อมถ่ายทอดทางอินเตอร์เน็ต ตามเส้นทางถนนอุปราชบริเวณหน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม ขึ้นไปทางทิศเหนือเป็นระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตรค่ะ

ถ้าใครมีโอกาสได้ไปชมงานเทียนอุบลก็อย่าพลาดทั้ง 2 วันเลยนะคะ


ดูผลงานเทียนนี้สิ!! ม้าเกือบทั้งตัว!! ลอยอยู่ได้ยังไง แถมลวดลายแกะสลักยังอลังการมากๆ ละเอียดสุดๆ ชอบอ่ะ >___<


ระหว่างทางก่อนถึงโรงแรม เราก็ได้เจอกับรถเข็นขนมปังปาเต สูตรเวียดนาม จะไม่ให้เราหยุดแวะสุยได้ยังไง สังเกตขนมปังสิคะ! ชิ้นมหึมาขนาดนั้น แต่ราคาแค่ 20 บาท!!

อย่างงี้ต้องลอง!!! น่าเสียดายไม่มีภาพขนมปังที่ีทำเสร็จแล้ว แบบใส่ใส้มาให้ดูกัน แต่ขอบอกว่าอร่อยมากกกกกก และอิ่มสุดๆๆ แทนข้าวได้มื้อนึงเลยค่ะ


และใกล้ๆกับโรงแรมราชธานี ก็มีร้านของฝากกิ๊บเก๋จากเมืองอุบลให้ได้เสียตังค์กันค่ะ
"ชื่อร้านระหว่างทาง" ดูสิคะ จะไม่ให้แวะได้ยังไง ของแต่ละอย่าง เก๋เก้ทั้งน้าน
ราคาก็รับได้พอๆกับที่เที่ยวทั่วๆไป เพราะงานขายไอเดียแบบนี้ ชอบค่ะ ต้องอุดหนุนๆ


ขออำลาคืนแรกด้วยการช้อปปิ้งซื้อของฝากที่ร้านระหว่างทางไปก่อนนะคะ
แล้วพบกันใหม่ "เสพงานศิลป์ เยือนถิ่นอุบล ยลงานประติมากรรมเทียน ตอนจบ" เร็วๆนี้ค่้ะ



Create Date : 21 กรกฎาคม 2554
Last Update : 23 กรกฎาคม 2554 12:54:51 น.
Counter : 3460 Pageviews.

3 comment
ทริปที่พักสุดหรู.. กินอยู่อย่างประหยัด ณ ปราณบุรี
ทริปนี้เป็นการไปปราณบุรี อย่างเป็นทางการครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาแอบเที่ยวปราณผ่านบีพีตลอด (ตามรีวิวเพื่อนนี่แหล่ะ โฮะๆ) รถก็ไม่มีขับไปเอง เงินก็ไม่ค่อยจะมีเพราะใกล้สิ้นเดือน (เหมือนสิ้นใจ) แต่ทำไงได้ คนมันรักที่จะ (หนีงาน) ไปเที่ยวนี่เนอะ^^

ก็ลองมาดูกันว่า "3วัน 2คืน เที่ยวใกล้กรุง แบบไม่มีรถเก๋งคันงามให้ขับไป แต่ได้พักผ่อนในที่พักสุดหรู แล้วยังกินข้าวแต่ละมื้อราคาเหมือนอยู่ร้านแถวบ้าน แต่ความอร่อยสุดยอด!! ทำไปได้ยังไงเนี่ย!!!"

เอาล่ะ ทริปนี้เน้นกลิ้งเล่น นอนเล่น เดินเล่น ขี่จักรยานเล่น และถ่ายรูปเล่นๆ รูปเลยอาจจะออกมาไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เต็มใจจะนำเสนอให้เพื่อนๆได้ชมกันค่า

มามะ ไปเที่ยวปราณบุรี กันดีกว่า.....ตามมาเลยค่า



เมื่อเราไม่มีรถขับไปเอง.... ก็นี่เลยค่ะ "รถตู้" ช่วยคุณได้!!

แนะนำเลยค่ะ "รถตู้อนุสาวรีย์ชัยฯ-ปราณบุรี" ส่งตรงถึงรีสอร์ทต่างๆปราณบุรี ในราคาคนละ 250 บาท (ถ้าซื้อตั๋วไป-กลับ มีส่วนลดอีกต่างหาก!!) ขากลับก็มารับคุณถึงหน้ารีสอร์ทด้วย!!

วินนี้ถูกกฎหมายนะคะ จะไม่รับผู้โดยสารกลางทางและออกรถตรงเวลาทุกต้นชั่วโมง ไม่รอคนเต็มด้วย ..อย่างวันที่เราไปก็มีแค่ 6 คนในรถเท่านั้น สบ๊ายสบาย



รถที่ใช้ก็เป็นรถใหม่ค่ะ นั่งสบาย ไม่อึดอัด

วินนี้จะวิ่งสายนอกค่ะ ผ่านเพชรบุรี ไม่เข้าชะอำ-หัวหิน ตรงยาวถึงปราณบุรีเลยค่ะ ใช้เวลาแค่ 3 ชม.เท่านั้นเอง

เวลารถออกจากกทม. 4.00 - 19.00 น.
เวลารถออกจากปราณบุรี 4.00 - 20.00 น.

edit; เบอร์รถตู้ค่ะ
กรุงเทพฯ : 089 171 4844, 085 403 6113
ปราณบุรี : 089 170 4340, 086 764 1559
((คิวรถที่ปราณบุรี จะอยู่ข้างๆโลตัสปราณนะคะ))



และแล้วก็ถึงแล้วค่าาาาาาาาา

"อลีนตา รีสอร์ท" ณ ปราณบุรี (Aleenta Resort Pranburi)

หน้ารีสอร์ทมีที่จอดรถเล็กๆไว้สำหรับรับ-ส่งชั่วคราวเท่านั้นค่ะ
ถ้าเพื่อนๆที่เอารถไปเอง สามารถนำรถไปจอดที่ ที่จอดรถของอลีนตาที่อยู่ใกล้ๆได้ค่ะ แล้วทางรีสอร์ทจะมีรถกอล์ฟพามาส่งที่อลีนตาอีกที

(เราเล็งจักรยานคันนี้ไว้ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงเลยล่ะ หุหุ)



เข้ามาปุ๊บก็จะเจอส่วน lobby เลย ดูอบอุ่นจัง



นั่งรถมาเหนื่อยๆ ก็มี welcome drink มาต้อนรับให้ชื่นใจด้วยล่ะ

เป็นชามะนาวกลิ่นมินท์ รสชาดบอกไม่ถูก ...

แต่พูดได้เลยว่า ซึโก้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย




ห้องที่เราจองไว้จะเป็น Ocean View Suit มีทั้งหมด 4 type (หน้าตาตามรูปเลยค่ะ) ไม่นับชั้น 3 ห้องบนสุดนะคะ เพราะเป็นห้อง Penthouse ค่ะ

Ocean View Suit จะแบ่งออกเป็น;
ชั้นล่าง 2 ห้อง
- Cumin : มีสระว่ายน้ำเล็กๆ เตียง Queen size
- Cannelle : มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ เตียง King size
ชั้นบน 2 ห้อง
- Nutmeg : มีระเบียงใหญ่ sea view เตียง King size
- Vanilla : มีระเบียงใหญ่ sea view เตียงเดี่ยว 2 เตียง

ห้องที่เราพักคือ "Cumin" ขวามือ ด้านล่างค่ะ



ตอนแรกที่โทรจอง ทางเซลล์ก็บอกว่า เดือนตุลาห้อง ocean view suite จะเต็มเกือบหมดแล้ว เหลือว่างแค่ 2 ช่วง ซึ่งอีกช่วงนึงเราลาไม่ได้จิงๆ เลยเลือกที่จะมาช่วง 21-23 ต.ค. แทน แถมยังได้ห้อง "Cumin" อีกต่างหาก!!

เซลล์บอกเหลือห้องเดียว เป็นไปได้ยังไงเนี่ย!!



หน้าห้อง Cumin : Ocean view suite type

ไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนไปถึง แล้วเห็นสระหน้าบ้าน เราแอบกรี๊ดดดดดด อยู่ในใจด้วยล่ะ ไม่รู้พนักงานที่พาไปที่ห้องจะสังเกตเห็นบ้างรึเปล่า 555+



อีกซักรูปละกัน ^^ ... ปลื้ม....


เปิดประตูเข้าไปจะเจอกับโซฟานั่งเล่น และตู้เย็นพร้อมมินิบาร์



มินิบาร์ละลานตามากๆ .....

และที่ประทับใจด้วยอย่างนึงคือ ตอนกลางคืนจะมีน้ำแข็งใส่ไว้ให้ในถังจนเต็มเลย รู้ใจจริงๆๆๆๆๆ




เอาล่ะ มาดูที่ที่เอาไว้กลิ้งเล่นถึง 2 คืนกันบ้าง >_<



เตียงนอน พร้อม greeting card และส่วนลดต่างๆจากทางรีสอร์ท ประทับใจมากๆ

ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีอาหารเช้า (T_T) แต่เราก็มี Welcome Touch บริการนวดบ่าและศรีษะฟรี 10 นาที ถ้าติดใจมีส่วนลดให้อีก 20% ที่ Spa One

ที่สำคัญมี therapist มานวดให้ถึงห้องเลยด้วย



พอช่วงค่ำๆ หลังจากกลับจากทานข้าวเย็น กลับมาห้องก็จะพบเตียงนอนเรากลายเป็นแบบนี้ โอ้วแม่เจ้า!! มันน่านอนมากๆเลยอ่ะ

แถมยังจุดเทียนหอม อ่อนๆให้ในห้องด้วย กลิ่นชวนนอนมากกกกกกก



ขอกลับมาช่วงกลางวันกันต่อ!
หลังจากที่ดื่ม welcome drink คลายร้อนไปแล้ว ก็มี welcome fruite ให้ทานเล่นด้วยล่ะ

ตอนแรกเรานึกว่าจะมีผลไม้ทานแค่วันเดียว ที่ไหนได้ที่อลีนตา พอช่วงบ่ายๆของอีกวันก็มีพนักงานเอาผลไม้มาให้ทางเล่นอีกด้วย แต่จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นแทน อีกวันเราได้ส้ม-ชมพู่-ฝรั่ง ^^

นอกจากผลไม้ที่มีให้ทานแล้ว ช่วงเย็นๆ ประมาณ 4 โมงก็จะมีอาหารว่างมาให้ทานอีกด้วย!! วันแรกได้เป็นโรล... (อะไรสักอย่าง) จำชื่อไม่ได้อ่ะ คล้ายๆปอเปี๊ยะ ส่วนวันต่อมาได้เป็นเกี๊ยวทอด ^^

และน้ำดื่มก็ยังมาเติมให้ตลอดด้วย (เราเป็นคนกินน้ำซะเยอะด้วย)



และนี่เลย ipod เสียงเพลงที่กล่อมเราทุกคืน มีแต่เพลงเพราะๆ สไตล์ jazz, blue, bossanova สลับกันไป ฟังเพลินดีค่ะ

อ้อ! ตอนเปิดเข้าไปในห้องทางรีสอร์ท เปิด ipod คลอเพลงเบาๆไว้ในห้องรอเราอยู่แล้วล่ะ ประทับใจอีกแล้วง่า



ภาพรวมๆ กับ facility ที่ทางรีสอร์ทมีไว้ให้



ถัดมาจะมีตู้เสื้อผ้าไม้คลาสสิคค่ะ ข้างๆกันเป็นร่มค่ะ มี 2 อัน และรองเท้าฟองน้ำใส่เข้าห้องน้ำอีก 2 คู่

ขออนุญาตเปิดด้านในให้ชมกันนะคะ
ภายในตู้ที่เห็นกลมๆนั่นคือ มุ้งค่ะ ที่ทางรีสอร์ทจะมากางให้ช่วงค่ำ แล้วก็มีชุดคลุมอาบน้ำ 2 ชุด / ชุดนอน 2 ชุด / รองเท้าสลีปเปอร์ใส่ในห้อง 2 คู่ / เบาะไว้เล่นโยคะ / กระเป๋าสานสีเหลืองไว้ใส่ของไปเดินเที่ยว และ ตู้เซฟ ค่ะ



เอาล่ะ มาดูห้องน้ำกันบ้าง...

ห้องน้ำแบ่งออกเป็น 3 ส่วนย่อยค่ะ เปิดเข้าไปจะเจอส่วนอาบน้ำ เป็น rain shower น้ำเย็นไม่ค่อยแรงมาก แต่น้ำอุ่นนี่แรงสะใจดีค่ะ

ส่วนต่อมาจะเป็นอ่างล้างหน้า ถัดไปเป็นที่ปลดปล่อยความเครียดค่ะ เสียดายไม่มีสายชำระ

อ้อ! ตรงส่วนอ่างล้างหน้ามี สบู่ล้างมือ (ก้อนกลมๆเหมือนดราก้อนบอลนั่นแหล่ะค่ะ), คัตตอนบัด, แปรงสีฟัน, หมวกคลุมอาบน้ำ, ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก-ใหญ่อย่างละ 2 ผืนไว้ให้ด้วยค่ะ แล้วก็ไดร์เป่าผมจะอยู่ในลิ้นชักซ้ายมือนะคะ (เราเกือบหาไม่เจอแน่ะ!!~)



ถ่ายจากเตียงมองออกไปหน้าห้องค่ะ



เปิดประตูปลายเตียงออกไป จะเจอกับสระน้ำ ขวัญใจของเรา



พอตกกลางคืน เพื่อความเป็นส่วนตัวก็เอาม่านลงค่ะ ในอ่างเป็นน้ำอุ่นค่ะ สบายตัวมากๆ
คราวนี้แหล่ะ เต็มที่เลย สระจากุชชี่ของช้านนนนนนน



อีกซักรูป จากุชชี่ มายเลิฟ

แต่ระบบของห้องนี้ถ้าเปิดประตูทิ้งไว้เกิน 2 นาทีแอร์จะตัดค่ะ เราเลยไม่สามารถเปิดประตูทิ้งไว้ได้ ขณะเล่นน้ำ แต่ก็ดีค่ะ กันยุงด้วย



พอเล่นน้ำจนหนำใจแล้ว ก็ปิดระบบทำน้ำอุ่นและไฟ เพื่อลดโลกร้อนค่ะ
(มีปุ่มบังคับอยู่ในห้องค่ะ ถ้าต้องการจะใช้สระอีกก็กดใหม่ได้)

ปุ่มใช้งานง่ายค่ะ สะดวกดีค่ะ อยากมีอย่างงี้ที่บ้านซักสระ-สองสระ เหอเหอ..... (เพ้ออีกแล้วเรา 555+)

ที่ไหนได้หันไปเจอโอ่งมังกรตั้งไว้หลาเลยค่า ตักอาบๆ สะใจกว่าเนอะ!! 555~



มาดูนอกห้องกันบ้าง หลังจากที่เอาม่านลงแล้ว



วิวจากหน้าห้อง ... แอบเห็นทะเลด้วย sea view เล็กๆ แต่กล้องกะโหลกกะลาของเราถ่ายออกมาแล้วไม่เห็นอ่ะค่ะ

ส่วนห้อง type อื่นๆทุกห้องจะเป็น sea view แบบเต็มๆเลยนะคะ อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้รึเปล่าที่ ocean view suite type ถึงราคาถูกที่สุดเลย....



และอีกหนึ่งบริการจากอลีนตา ทุกเช้าจะมีข่าวสารมาส่งให้ถึงห้อง อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่มีโทรทัศน์ รึเปล่าหว่า ?!?!

แต่ขอบอกว่าที่อลีนตา wifi แรงและเริ่ดมากค่ะ ดูละครหลังข่าวได้ไม่มีสะดุด 5555+ ใครจะเอา note book ไปแนะนำเลยค่า



ชุดที่ทางรีสอร์ทมีให้เปลี่ยนค่ะ เอามาใส่นอน สบายมากๆเลย



เอาล่ะ สำรวจนอกห้องกันบ้างดีกว่า...
ทางเดินหน้าห้อง ไปล้อบบี้จ้า... ตอนกลางคืนมีตะเกียงมาวางไว้ตามทางเดินด้วย เก๋เก้มากๆ



ชั้น 2 ของล้อบบี้ จะเป็นส่วนของห้องอาหารและบาร์ ....

จริงๆทางอลีนตา มี vocher : buy 1 get 1 drink ด้วยค่ะ แต่เราไม่ได้ไปใช้บริการ เพราะเป็นช่วงที่เราไม่อยู่รีสอร์ทน่ะค่ะ (16.00 - 19.00 น.)



ที่นี่มีทั้งอาหารไทยและอินเตอร์เนชั่นแนลให้บริการค่ะ ดูจากเมนูหน้าตาน่าทานทั้งน้านนนน

แต่เบี้ยน้อยค่ะ เราเลยต้องตัดใจไม่ได้ทานที่อลีนตาซักมื้อเลย สัญญาเลยว่าคราวหน้าจะต้องไปลองให้ได้ค่ะ!!

เพื่อนๆคนไหนที่ลิ้มรสอาหารที่นี่มาแล้ว เชิญเม้นท์ได้เต็มที่เลยค่า


และในชั้น 2 ยังมีสระว่ายน้ำเล็กๆ sea view น่าลงเล่นมากๆอีกด้วยค่ะ


ชั้นบนสุด ชั้น 3 เป็นห้องนวดตัวค่ะ ....
sea view นะคะ.... แต่กล้องเราถ่ายไม่เห็นสีน้ำทะเลเลย เศร้าจิตจิงๆ



แต่ถ้าถ่ายอีกมุมนึง บนห้องนวดตัว ก็จะได้วิวแบบนี้ค่า


เอาล่ะ... ลงมาเดินเล่นชายหาดกันบ้าง....
ด้านหน้ารีสอร์ทค่ะ

หาดปราณบุรี สวยมากๆเลยนะคะ แม้ว่าทรายจะไม่ขาวเหมือนหัวหิน แต่ก็ได้ความสงบจากบรรยากาศเป็นตัวช่วยได้ดีมากๆค่ะ แถมยังมีวิวจากเขากะโหลกให้ถ่ายรูปไม่รู้เบื่อด้วยค่ะ ^^

หลงรักซะแล้ว ปราณบุรี ....



จากหาดทราย.... มองย้อนกลับไปอลีนตาค่ะ ^^



นี่คือห้อง Pool Suite ที่แสนจะคุ้นตาของหลายๆคนค่ะ เป็นห้องกลมๆอยู่ติดหาดเลย เปลน่านอนจริงๆ



วิวจากเปลหน้าห้อง Pool Suite โอ้ววว ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส...~


แอบถ่ายในห้องเค้ามาด้วย อิอิ ^^
วันที่ไป คืนแรก ocean view suite ที่เราพักเต็มทั้ง 4 ห้องเลยค่ะ แต่ Pool Suite ว่างทุกห้องเลยค่ะ เลยแอ๊บเนียนๆไปถ่ายมา 55+



Pool Suite ก็ต้องมีสระน้ำล่ะนะ
ที่อลีนตาเห็นมีสระน้ำส่วนตัวเกือบทุกห้องเลยนะคะ ยกเว้น ocean view suite นี่แหล่ะที่จะมีแต่ห้องเราห้องเดียว และขนาดสระก็มีแตกต่างกันไป...



แต่ขอเม้าท์ ไม่รู้มั่วรึเปล่า รู้สึกว่าสระห้องเราจะใหญ่กว่าห้องอื่นๆล่ะ โฮะๆๆ
ดูกันชัดๆ กับสระห้อง Pool Suite เค้าล่ะ



กับบรรยากาศหน้าห้อง Pool Suite..... เริ่ดมากๆ สมราคาจิงๆ


sea view กันอีกซักรูป ชอบจริงๆ มุมนี้



มาต่อกันเลยที่ห้อง Beach House มี 2 type คือ Earth และ Sky
ห้องนี้คือ Earth จะอยู่ด้านล่างนั่นเอง


อีกมุมนึงของ Beach House เป็น sea view เต็มๆทั้ง 2 ห้อง
ชั้นบนจะเป็นห้อง Sky ไม่แน่ใจว่ามีสระน้ำด้วยรึเปล่า.... แต่ไม่น่าจะมีนะ เราว่า แต่มีดาดฟ้าไว้ให้สวีทด้วยอ่ะ


และห้องนี่คือห้องพักแบบสุดท้ายของอลีนตา...
"Palm Pool Suite" ค่ะ sea view ทุกห้องอีกเช่นกัน



ชัดๆ กับ "Palm Pool Suite" : มีสระน้ำด้วยทุกห้องเช่นกัน

ความแตกต่างระหว่าง Palm Pool Suite กับ Pool Suite
นอกจากจะเป็นลักษณะห้องที่เป็นเหลี่ยมกับกลมแล้ว น่าจะเป็นที่ Palm Pool Suite ดูจะเป็นส่วนตัวมากกว่านะ เราว่า.... ทั้งๆที่เป็นห้อง sea view เหมือนกัน



มาดูเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันบ้าง....
หันหลังให้ทะเล แล้วมองไปทางซ้าย.... คือ "ปราณ ฮาวาน่า"
(ถัดจาดปราณ ฮาวาน่า จะเป็นหัวปลี เลซี่บีช)



และหันหลังให้ทะเล มองไปทางขวาบ้าง....

ไม่รู้จะเป็นที่พักส่วนตัวหรือรีสอร์ทเปิดใหม่รึเปล่า มิได้บอกกล่าวค่ะ
แต่ก็ดูเก๋เก้ไม่เบา... ที่พักปราณบุรีมีแต่เริ่ดๆ ทั้งนั้น เดินดูได้ไม่เบื่อเลยค่ะ



มองไปทางขวาอีก....
นี่เลย คุ้นเนอะ.... สีสันสะดุดตาบนหาดปราณบุรี รีสอร์ทน้องใหม่ แต่ไฮโซสุดๆ
นามนั้นคือ... วิลล่า มาร็อค ... เจ้าค่ะ ^^
ขอเก็บภาพมาฝากซักรูปละกันเนอะ....



เมื่อรู้จักเพื่อนบ้านกันไปแล้ว
คราวนี้มาดูกันว่า ทำไมทริปนี้ถึงได้กินอยู่อย่างประหยัดกันนัก!!

มาเที่ยวทะเลนะ.... ก็ต้องกินอาหารทะเลสิ จะกินอยู่ยังไงล่ะเนี่ย ดูรีสอร์ทแต่ละที่สิ สวยกันทั้งนั้น ราคาก็สมกับความสวยทั้งนั้นนนนน...

ขั้นแรก... โชคดีมากที่อลีนตา มีจักรยานให้เรายืมขี่เล่นค่ะ
ถึงแม้จะเป็นจักรยานรุ่นคุณป้าขี่ไปจ่ายตลาด แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบนะคะ

การมีจักรยานฟรีให้ขี่ ถือว่าประหยัดไปได้มากๆ เพราะไม่ต้องเอารถไปเอง ก็เที่ยวได้ และเป็นการออกกำลังกายริมทะเลไปในตัวด้วยค่ะ ^^

แต่ถ้าจะเช่ารถมอเตอร์ไซด์ขี่ก็ไม่ว่ากันนะคะ มีค่ะ ราคาอยู่ที่ประมาณ วันละ 200 บาทค่ะ เราว่าไม่แพงเลยนะคะ

แต่เราไม่ค่อยเน้นออกไปเที่ยวเท่าไหร่ เน้นนอนกลิ้งเล่น ถ่ายรูปเล่นอยู่ในรีสอร์ทดีกว่าค่ะ



สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ที่สามารถขี่จักรยานไปได้ .....

นี่เลย... "เขากะโหลก" ค่ะ
จากอลีนตา ระยะห่างน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 กม.ได้ค่ะ
ขี่จักรยานไปเรื่อย ยังไม่ค่อยเรียกเหงื่อได้เท่าไหร่ ก็ถึงแล้วค่า


แล้วก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยว อย่าง "ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศน์ป่าชายเลน สิรินาถราชินี" ด้วยค่ะ
แต่เรารู้เมื่อสายไปแล้วค่ะ จะกลับกันแล้ว เลยอดไปเลย

ก็เลยได้ใช้ประโยชน์จากจักรยานปั่นไปร้านอาหารแทนค่ะ

วันแรก... เลือกร้านอาหารใกล้ๆอลีนตา ก่อนละกัน....
นี่เลย "ร้านต้นโต" ร้านบรรยากาศดีมากๆค่ะ ริมทะเลเลย
อาหารก็อร่อย ที่สำคัญไม่แพงอย่างที่คิดค่ะ!!

ที่เห็นในรูป มื้อใหญ่นั้นราคาทั้งหมด 295 บาทค่ะ เป็นไงคะ สมราคามั้ย

หลังจากติดใจรสชาดอาหารมื้อค่ะ พอกลางวันก็เลยมาฝากท้องที่ต้นโตอีกรอบค่ะ สั่งอาหารจานเดียวกันแทน ข้าวผัดทะเลกับกะเพราะกุ้ง และน้ำ1ขวด ราคา 95 บาทค่ะ!!



แอบถ่ายเมนู ร้านต้นโต มาให้เบิ่งกัน....
เราว่าราคานี้ไม่แพงเลยนะคะ สำหรับอาหารทะเล อยู่ริมทะเล บรรยากาศดีๆ
และที่สำคัญมันอร่อยด้วยนี่สิ!!



แอบถ่ายเมนู ร้านต้นโต มาให้เบิ่งกัน....
เราว่าราคานี้ไม่แพงเลยนะคะ สำหรับอาหารทะเล อยู่ริมทะเล บรรยากาศดีๆ
และที่สำคัญมันอร่อยด้วยนี่สิ!!



พอคืนที่ 2 ไฟแรง..... ปั่นจักรยานไป "ปากน้ำปราณ" ค่ะ
ด้วยความที่ไม่เคยไป และคนที่ไปด้วยบอกว่า " ไม่ไกลหรอก ..อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วเนี่ย..."

ก็เลยโดนหลอกปั่นไป 8 กิโล กลับอีก 8 กิโล O_o!! โอ้ว..แม่เจ้า!!

ถึงแล้วปากน้ำปราณ เป้าหมายคือ "ร้านอาหารโอเอ๊กซ์ ซีฟู้ด" ค่ะ
มื้อนี้มีปลาทอดน้ำปลาด้วย เลยแพงหน่อย และที่น่าเสียดายคือเมนูล่างขวาค่ะ

"ทอดมันกุ้ง" แต่หน้าตาเหมือนเอ็นไก่ทอดมากๆ พอกัดไปแล้วไม่มีกุ้งเลยค่ะ เราเลยขอคืน ซึ่งทางร้านก็ดีค่ะ ไม่ว่าอะไร เราก็เลยทานแค่ 2 อย่าง เพราะจะสั่งเพิ่มอย่างอื่นก็ไม่มีค่ะ มื้อนี้หมดไป 460 บาทค่ะ (กับข้าว 2 อย่าง)

ถ้าเทียบกันแล้วเราชอบรสชาดอาหารคืนแรกมากว่าค่ะ ... ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ...



จริงๆอยากจะยั่วน้ำลาย อีกซักมื้อ แต่น่าเสียดายลืมถ่ายรูปไว้ค่ะ
เป็นมื้อสุดท้ายก่อนกลับกทม.

ชื่อร้าน "เจ๊ติ๋ม" ค่ะ อยู่เยื้องๆกับอลีนตาเลย พอดีว่ามันรีบๆเลยไม่ได้หยิบกล้องออกไป อดยั่วน้ำลายกันเลยค่ะ >_<

ร้านเจ๊ติ๋ม... เป็นอีกร้านไม่แพงนะคะ ราคาพอๆกับร้านต้นโตเลย อาหารจานเดียว ราคาอยู่ที่ 40-50 บาท ถ้าพวกกับข้าวก็มีตั้งแต่ราคา 80 - 400 บาทค่ะ
ส้มตำ ลาบ ก็มีนะคะ ^^

....ไม่มีรูปร้านเจ๊ติ๋ม.....

เลยเก็บภาพที่พัก แถวๆอลีนตามาฝากแทนค่ะ
- อนันดาปราณ กับ ต้นโตรีสอร์ทค่ะ



ปิดทริปเรียบร้อยโรงเรียนหมียักษ์แล้วค่า >_<

ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ติดตามรีวิวนี้สดๆนะคะ ขอบคุณที่อยู่เป็นกำลังใจให้ค่า >_<

ขอฝาก "ทริปที่พักสุดหรู.. กินอยู่อย่างประหยัด ณ ปราณบุรี" ไว้ด้วยค่ะ...
- ถ้าหากเพื่อนๆยังไม่รู้จะไปเที่ยวไหน
- มีเวลา 3วัน 2คืน
- ไม่มีรถส่วนตัว
- อยากพักผ่อนสบายๆริมทะเล
- อยากชิลๆ ใกล้กทม.
- ในงบที่สมเหตุสมผล ไม่แพงจนเกินไป

อยากให้นึกถึง "ปราณบุรี" ไว้เป็นอันดับต้นๆค่ะ ไม่ผิดหวังจิงๆ ^^

..............................................................................
ส่งท้ายรีวิว ด้วยรูปนี้ละกันนะคะ..... เจ้าถิ่นปราณบุรีค่ะ ^^
..............................................................................



อ๊ะๆๆ.... ลืมสรุปความประทับใจของทริปนี้ไปได้ยังไงเนี่ยยยย.. >_<

..........................................

ความประทับใจข้อแรกของทริปนี้คือ....
1. ค่าเสียหายอยู่ที่ คนละ 1273 บาทจ้า!!!! *ไม่รวมที่พัก เพราะใช้เช็คช่วยชาติ 2000 บาท อิอิ*

ความประทับใจข้อต่อๆมา คือ...

2. การบริการของ "อลีนตา รีสอร์ท" มี service mind และสุภาพมากๆ
พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายแขกทุกครั้งที่พบหน้า
ไม่ว่าจะถาม พูดคุย หรืออยากได้อะไรก็จัดหามาให้
แถมยังมีบริการพิเศษเทียบเท่ากับนักท่องเที่ยวอื่นๆที่จ่ายราคาปกติอีกต่างหาก
ไม่มีแบ่งแยก ว่าใครจ่ายแพงจ่ายถูก (มากๆ)
....ถ้ามีโอกาสทั้งเวลาและเงินตรา จะกลับไปอีกแน่นอนค่ะ ^^ ....

3. บรรยากาศทะเลปราณ.... เงียบสงบมากๆ ทะเลเป็นทะเล ฟ้าเป็นฟ้า
วิวเขากะโหลกก็เริ่ด แถมยังมีรีสอร์ทเก๋เก้ให้เดินดูเล่นถ่ายรูป ไม่รู้เบื่อ ^^

4. ร้านอาหาร... หาของกินไม่ยากเลย แถมยังราคาไม่แพงอย่างไม่น่าเชื่อ

5. การเดินทาง... แค่ 3 ชม. จากกทม. จ่ายเพียง 500 บาทไป-กลับ
ก็มีคนขับรถมารับ-ส่งคุณถึงรีสอร์ท จะขับรถเองให้เหนื่อยไปทำไม ^^


เมื่อนับข้อดีได้ครบ 5 ข้อแล้ว.... ก็ลองมาเที่ยวปราณบุรี ช่วยชาติกันเหอะ
มาดูซิว่าคุณจะนับข้อดีได้ครบ 5 ข้อรึมากกว่าเรารึเปล่า ^^


ราตรีสวัสดิ์ค่ะ พี่น้องชาว blueplanet




Create Date : 11 กรกฎาคม 2554
Last Update : 11 กรกฎาคม 2554 6:16:53 น.
Counter : 81776 Pageviews.

10 comment
เที่ยวสงกรานต์ใกล้กรุง: สีสันสงกรานต์ราชบุรี และสงกรานต์มอญ สังขละบุรี
ปีนี้โชคดีมาก ได้มีโอกาสไปเที่ยวสงกรานต์ 2 จังหวัดใกล้กรุงฯ เพราะห่างหายจากการเล่นน้ำสงกรานต์มาหลายปี อาจเพราะการงานที่ต้องทำช่วงวันหยุดไม่เหมือนคนอื่นเค้า เลยทำให้มองเทศกาลสงกรานต์เป็นเพียงเทศกาลธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้พิเศษอะไร

แต่ปีนี้ เมื่อรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวสงกรานต์ 2 จังหวัด อันได้แก่ ราชบุรี และกาญจนบุรี โดยเฉพาะกาญจนบุรี ที่มีโอกาสได้ไปถึง สังขละบุรี เป็นเมืองสุดเขตชายแดนที่ใฝ่ฝันว่าสักวันนึง "ฉันต้องไปเยือนให้ได้" และเหมือนฝันที่เป็นจริง... จะได้ไปแล้วสังขละบุรี เลยยิ่งรู้สึกดีใจมาก อยากให้ถึงวันเดินทางอย่างใจจดใจจ่อ และถึงแม้จะเดินทางในช่วงสงกรานต์ก็โชคดีคูณสองที่มีโอกาสได้เดินทางร่วมกับ ททท. สำนักงานภูมิภาคภาคกลาง เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ตลอดทริป ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

เอาล่ะ เตรียมตัวเปียกกันได้แล้วค่ะ



เรามาถึงราชบุรีตอนบ่ายๆ เลยแวะที่ "ดี คุ้นส์" (d Kunst) แกลอรี่แห่งแรกกลางเมืองราชบุรี จัดแสดงเกี่ยวกับงานเซรามิกร่วมสมัย และยังเป็นร้านกาแฟอีกด้วย

หอศิลป์ร่วมสมัย Tao Hong Tai d Kunst
ที่ตั้ง บ้านเลขที่ 323 ถนนวรเดช อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
เปิดบริการทุกวันพุธ - วันอาิทิตย์ เวลา 10.00 - 19.00 น.



เจ้าของแกลอรี่แห่งนี้ คือ เถ้า ฮง ไถ่.. ซึ่งเป็นผู้นำแห่งการปั้นโอ่งมังกรเจ้าแรกของราชบุรี ได้บูรณะจากบ้านไม้เก่า หรือที่เรียกว่า "บ้านไทยทรงมะนิลา" ให้กลายสภาพมาเป็นหอศิลป์ร่วมสมัยเหมือนปัจจุบัน

มุมกาแฟ...



โอ่งมังกรสีสันแปลกตา..



จาก ดี คุ้นส์ (d Kunst) แกลอรี่ เดินเลียบแม่น้ำแม่กลองไปตาม ถ.วรเดช ถนนทั้งสายเป็นสถานที่จัดงาน "สีสันสงกรานต์ราชบุรี" ซึ่งปีนี้จัดเป็นปีแรก ระหว่างวันที่ 13 - 17 เมษายน 2554 ที่ผ่านมา



จุดเด่นของ "งานสีสันสงกรานต์ราชบุรี" นั้นคือ การนำวัตถุดิบธรรมชาติพื้นบ้านของจังหวัดราชบุรี มาผสมในน้ำและดินสอพองให้เกิดสีสันต่างๆมากมาย ใช้เป็นแป้งปะหน้า ควบคู่ไปกับการเล่นน้ำสงกรานต์อย่า่งสนุกสนาน



ซึ่งวัีตถุดิบธรรมชาติพื้นบ้านที่นำมาใช้ในการเล่นสงกรานต์ครั้งนี้ ได้แก่ อัญชัญให้สีน้ำเงินม่วง ใบเตยให้สีเขียวอ่อน ใบบัวบกให้สีเขียวเข้ม กระเจี๊ยบแดงให้สีแดงเข้ม และขมิ้นให้สีเหลือง เป็นต้น

โอ่งนี้คือ "ขมิ้นผสมน้ำและดินสอพอง"


นอกจากจะได้ความสนุกสนานแล้ว ก็ยังมีสรรพคุณช่วยเรื่องผิวพรรณ ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ใช้ด้วย




มาดูบรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ ราชบุรี กันบ้างดีกว่า...




พอเวลาประมาณ 16.00 น. ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด ได้มาร่วมพิธีเปิดงาน ""สีสันสงกรานต์ราชบุรี" กันอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง




จากนั้นเราวันรุ่งขึ้น เราจึงได้เดินทางไปยัง อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรีกัน...
ตอนเที่ยง เราได้แวะทานข้าวกันที่ตัวเมืองกาญฯ ก่อน

หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ จึงได้ออกเดินทางไปสังขละบุรีกัน ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล และคดเคี้ยว เราจึงหลับตลอดทาง

ในที่สุด เราก็มาถึงสังขละบุรีตอน 4 โมงเย็น
ในที่สุด เราก็มาถึง "ด่านเจดีย์ 3 องค์" ได้เจอกันซะทีนะ



ด่านเจดีย์สามองค์ เขตสิ้นสุดชายแดนไทยด้านทิศตะวันตก ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองลู พระเจดีย์สามองค์นี้เดิมเรียกว่า "หินสามกอง" เป็นที่สักการะของคนไทยโดยทั่วไปก่อนเดินทางออกจากเขตแดนไทยเข้าสู่เขตแดนพม่า ต่อมาในปี พ.ศ. 2472 พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีได้เป็นผู้นำชาวบ้านก่อสร้างเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์ดังที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ด่านเจดีย์สามองค์ยังเป็นช่องทางเดินทัพที่สำคัญของไทยและพม่าในอดีต บริเวณด่านเจดีย์สามองค์ มีร้านขายสินค้าจากประเทศพม่า



หลังจากทานข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าที่พักในตัวเมืองสังขละบุรี
คืนนี้เราพักกันที่นี่ "สวนแมกไม้ รีสอร์ท"



วันต่อมา... เวลา 6 โมงเช้า ด้วยความที่ที่พักใกล้กับสะพานมอญมากๆ จึงได้นัดกันจะเดินไปถ่ายรูป เก็บบรรยากาศสะพานมอญตอนเช้าๆ ซึ่งไม่ผิดหวังเลยที่ได้ตื่นมาพบกับหมอกยามเช้า เป็นบรรยากาศที่ไม่ได้เจอมานานมาก และไม่คิดว่าจะได้มาเจอที่นี่ ชอบมากๆเลย




แต่น่าเสียดาย "สะพานมอญ" ที่เคยได้ยินมาว่ามันเก่าและเริ่มผุพัง ตอนนี้ได้ถูกบูรณะด้วยไม้ใหม่กิ๊กเพิ่มความแข็งแรงทนทานให้กับสะพานมากยิ่งขึ้น สร้างความปลอดภัยแก่ผู้ใช้สะพานซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี แต่เราก็อดใจหายไม่ได้ที่ความขลังๆของสะพานไม้เก่าได้หมดไป..

สะพานมอญ ที่ได้รับการบูรณะใหม่แล้ว



ขอสร้างความคลาสสิคให้สะพานไม้แห่งนี้นิดนึง ...



บางคนก็เฝ้ารอแสงของวันใหม่.. ทอแสงขึ้นมา




เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น หมอกยามเช้าก็หายไป.. เราจึงได้เิดินกลับที่พัก อาบน้ำ ทานข้า้วเช้า เพราะช่วงสายๆมีโปรแกรมที่จะนั่งเรือไปชม "วัดวังก์วิเวการาม"

แต่ก่อนที่จะไปชมวัดวังก์วิเวการามนั้น เรือได้พาพวกเราแล่นผ่าน "สะพานมอญ" ด้วย รุ้สึกได้ถึงความขลังของสะพานไม้โบราณนี้ก็ตอนนี้แหล่ะ




ทิวทัศน์ระหว่างทางที่ล่องเรือ...




ถึงแล้ว... วัดใต้บาดาล...


ไม่น่าเชื่อว่า ถ้ามาในช่วงน้ำขึ้น (มิ.ย.-ก.พ.) น้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมดเหลือเพียงยอดของโบสถ์ให้เห็นเท่านั้น

แต่เรามาในช่วงเดือนเมษา ที่เป็นช่วงน้ำลด น้ำก็ลดจนเป็นพื้นดิน เป็นเนินหญ้าสามารถเดินได้เลย


จากวัดใต้บาดาล เราได้นั่งเรือกลับไป และเดินทางต่อไปยังวัดหลวงพ่ออุตมะ หรือวัดวังก์วิเวการามในปัจจุบัน... ซึ่งมีจุดเด่นคือ เจดีย์สีทอง เป็นเจดีย์พุทธคยาจำลอง สร้างจำลองแบบจาก "เจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย"



วันที่เราไปคือวันที่ 17 เมษายน 2554 ในวันนั้นจะมีพิธีสรงน้ำพระแบบชาวมอญ ซึ่งมีวิธีการรดน้ำเป็นประเพณีที่แตกต่างจากที่อื่น คือ

ใช้ไม้ไผ่ผ่าเป็นทางยาวต่อกันหลายกิโลเมตร เพื่อทำเป็นรางในการสรงน้ำพระ โดยมีฉากดอกไม้กั้น ซึ่งพระพุทธรูปและภิกษุจะอยู่ด้านหลังฉากดอกไม้ โดยพระพุทธรูปและพระภิกษุจะนั่งรับการสรงน้ำจากชาวบ้านอยู่หลังฉาก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายมอญเพื่อให้ทุกคนได้สรงน้ำพระอย่างทั่วถึง




ชาวบ้านอำเภอสังขละบุรีต่างทยอยกันเข้ามาจับจองที่จะสรงน้ำพระกัน




สิ่งที่น่าประทับใจในเทศกาลสงกรานต์มอญครั้งนี้ก็คือ ชาวบ้านต่างพากันแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมือง แต่งองค์ทรงเครื่องอวดความสวยกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่






สาวๆมอญ สวยๆทั้งนั้น



และเมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคลแล้ว ทางวัดจะนำพระพุทธรูปมารับการสรงน้ำจากชาวบ้านอยู่หลังฉากดอกไม้กั้น โดยจะมีผู้ให้สัญญาณแก่ชาวบ้านว่า "โจ โจ" คล้ายเป็นสัญญาณบอกให้ชาวบ้านทั้งหลายให้สรงน้ำลงบนรางไม้ไผ่โดยพร้อมเพรียงกัน



ส่วนการเดินทางมารับการสรงน้ำของพระสงฆ์ จะทำโดยการเดินเหยียบบนหลังชาวบ้านที่เป็นชายซึ่งนอนราบกับพื้น เรียงกันเป็นแถว ไปจนถึงบริเวณที่สรงน้ำ

ซึ่งจะมีความเชื่อว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตาชีวิตให้กับชาวบ้านที่นอนเรียงแถว หลังจากนั้นชาวบ้านได้ช่วยกันอุ้มพระมหาสุชาติ ไปรอบวัดเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำแล้วเดินไปอันเป็นประเพณีที่มีความ เชื่อว่าเป็นการขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมสรงน้ำพระสงฆ์



หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการสรงน้ำพระเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ชาวบ้านก็ต่างพากันเล่นน้ำสรงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน




จะสังเกตว่าชาวบ้านจะเล่นน้ำกันทั้งชุดพื้นเมืองเลย เป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก รู้สึกได้ถึงประเพณีสงกรานต์อันแท้จริง เป็นประเพณีที่งดงามมากๆ ถึงแม้ว่าสาวมอญบางคนไปเรียนในเมือง แต่ก็ต่างพากันกลับมาบ้านแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองกันอย่างไม่เคอะเขิน ชอบจังเลย ประทับใจมากๆ

ปิดท้ายทริปนี้ด้วย 3 สาวมอญสุดสวยนะคะ แล้วเจอกันใหม่สงกรานต์ปีหน้า สัญญาว่าถ้ามีโอกาสและเวลา จะกลับมาเยือนสังขละบุรีอีกแน่นอน...




Create Date : 31 พฤษภาคม 2554
Last Update : 31 พฤษภาคม 2554 6:00:05 น.
Counter : 4655 Pageviews.

4 comment
1  2  

หมียักษ์ อยากเที่ยว
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]