Group Blog
 
All blogs
 

ซูชิสำหรับฉัน ผู้ไม่กินปลาดิบ




น้อยคนนักที่มาญี่ปุ่นแล้วจะไม่กินปลาดิบ แต่หนึ่งในนั้นก็มีฉันคนนึงหล่ะ ที่ไม่กล้ากินปลาดิบเอาเสียเลยทั้งๆ ที่ก่อนมาญี่ปุ่น ได้อ่านการตูนเรื่อง "ไอ้หนูซูชิ" ซึ่งบรรยายความอร่อยของซูชิ จนฉันอ่านไปน้ำลายไหลไป ตั้งใจไว้ว่าเมื่อมาถึงญี่ปุ่นจะลองชิมดู (ไม่กล้ากินที่เมืองไทยเพราะเค้าว่าทำไม่ค่อยสด)

แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่กล้ากินซะทีอาจจะเป็นเพราะความกลัวโรคพยาธิใบไม้ในตับมาตั้งแต่เด็กๆ เลยฝังใจมาจนป่านนี้
รวมทั้งการได้เห็นรูปจาก forward mail ที่เกี่ยวกับคนกินปลาดิบหลายครั้งจนฉันสยอง

แม้จะมีคนเคยบอกว่าปลาทะเลไม่มีพยาธิ ฉันเคยถามพี่ๆ ที่เรียนแพทย์หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด แต่ที่ฉันเห็นอย่างหนึ่งคือ พี่ที่มาเรียนหมอที่นี่ เค้าก็กินปลาดิบกัน

บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเสียโอกาสในการลิ้มลองของดีๆ อย่างไรอยู่ เช่น เมื่อตอนที่ฉันมีโอกาสไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ เมืองโทยามะ เมืองประมงแท้ๆ ที่อยู่ติดทะเลฝั่งนิฮงไค (ทะเลญี่ปุ่นซึ่งอยู่คนละด้านกับฝากโตเกียว) เจ้าภาพเลี้ยงพวกเราอย่างดีด้วยอาหารเลิศรสหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็เป็นซาชิมิ(ปลาดิบ) ซึ่งฉันก็ได้แต่มองและรับฟังเพื่อนๆ บรรยายถึงความอร่อยของมันให้ฟัง



"อร่อยกว่าที่โตเกียวอีกนะเก๋ ไม่ลองเหรอ"

"เอาเหอะพี่ หนูไม่กินปลาดิบ อยู่โตเกียวหนูก็ไม่กินอ่ะ"

หรือเมื่อครั้งฉันได้ไปเยือนฮอกไกโด ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อว่าเกาะนี้อาหารทะเลสดและอร่อยมากๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ลอง

การไม่กินปลาดิบของฉันค่อนข้างจะเป็นอุปสรรคเล็กน้อยในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่รวมเป็นกลุ่มกะเพื่อน เมื่อต้องเลือกร้านอาหารเพื่อที่จะไปกินข้าวด้วยกัน ต้องตัดร้านซูชิออกทุกครั้ง ในเมื่อมีฉันหนึ่งคนที่ไม่กินปลาดิบ(รู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ย )

เพื่อนๆ ก็พยายาชักจูงให้ฉันกินปลาดิบเสียเหลือกัน ด้วยหวังว่าฉันจะได้ลิ้มลองรสชาติสุดอร่อยของปลาดิบเหมือนที่พวกเขาได้กินกัน

จนกระทั่งเมื่อหลังวันเกิดของฉันหนึ่งวัน(วันเกิดจริงๆ กินข้าวไข่เจียวอยู่ที่หอ) หลังจากที่ทุกๆ ฉลองให้ฉันโดยพาไปกินอาหารอิตาเลี่ยนไปแล้ว ทุกๆ คนก็พร้อมใจกันพาฉันเข้าร้านซูชิ (ใจร้ายยจิงๆ)
ตกลงว่าวันนั้นฉันกินแต่ซูชิหน้ากุ้งต้ม เพื่อนๆ ก็ถามว่าเป็นไงมั่ง

"กินกุ้งต้มกะข้าวเปล่า อร่อยตรงไหนอ่ะ" ฉันตอบ

เพื่อนๆ ก็ยังคงชวนฉันไปกินซูชิต่อไป จนเมื่อไม่นานมานี้ ฉันถูกชวน (แกมบังคับ) ให้ไปกินซูชิที่ร้าน คัปปะซูชิ จริงๆ ร้านนี้อยู่ตรงกันข้ามกับหอพักของฉันเลย แต่ฉันไม่เคยคิดจะเข้าไปซะที จนเมื่อเพื่อนๆบอกฉันว่า ร้านนี้มีซูชิ หน้าไม่ดิบเยอะเลย มีฮัมบากุ, ไก่ย่าง, หน้าเทมปุระ, หน้าปลาหมึกชุปแป้งทอด ที่สำคัญ มีเค้ก แคนตาลูป พุดดิ้ง กะขนมหวานอื่นๆ ด้วยจานละร้อยเยนเอง ฉันจึงตกลงไป


ซูชิหน้าไข่หวาน


ซูชิหน้าเทมปุระปลาหมึก


ซูชิหน้าไข่เทมปุระกุ้ง


ซูชิหน้าหมูทอด(ทงคัททสึ)


ซูชิหน้าหมูย่าง


ซูชิหน้าไก่ย่างซ๊อสหวาน


ซูชิหน้าฮัมบากุ


เดี๋ยวนี้ฉันเดินเข้าออกร้านซูชิบ่อยขึ้น ด้วยเพราะมีเมนูต่างๆข้างบนนี่แหละ

Website ร้านคัปปะซูชิ






 

Create Date : 28 สิงหาคม 2548    
Last Update : 28 สิงหาคม 2548 16:54:06 น.
Counter : 3751 Pageviews.  

ร้านเค้กสุดเลิฟฟฟฟฟ


อีกหนึ่งเดือนเท่านั้นฉันจะต้องกลับเมืองไทยแล้ว ถ้าจะถามว่าฉันเสียดายอะไรบ้างเมื่อต้องกลับเมืองไทย อย่างแรกคือภาษาญี่ปุ่น ฉันอยากเก่งภาษาญี่ปุ่นมากกว่านี้ และนึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา ที่ไม่ยอมเคี่ยวเข็นตัวเอง ทั้งๆ ที่มาอยู่ญี่ปุ่นแท้ๆ อย่างที่สองคือ สกี ฉันหลงรักการเล่นสกีเอามากๆ ถึงแม้จะยังเล่นไม่เก่งถึงขั้นโปร แต่ฉันก็อยากจะมีโอกาสไปอีกหลายๆ ครั้ง ส่วนอย่างสุดท้าย(ที่นึกได้ตอนนี้) คือ ฉันเสียดายที่จะไม่ได้กินน้องเค้กสุดอร่อยอีกแล้ว

ถึงแม้ว่าเค้กจะเป็นศัตรูอันร้ายกาจในการลดความอ้วนของฉัน แต่ฉันก็ยอมแลกมาเพื่อให้ได้ความสุขเพียงไม่กี่นาทีที่ได้ละเลียดน้องเค้กสุดอาหย่อยยย ( แล้วก็กลับมานั่งกลุ้มใจว่าเอาอีกแล้ว ตูทำลงไป ใจไม่แข็งพอซะที งี้เมื่อไหร่จะผอมฟะเนี่ย )

เอาเป็นว่ามารู้จักร้านเค้กสุดเลิฟของฉันกันเถอะ

cozy corner

หรือ โคชี่ คอน่าร์ ตามสำเนียงญี่ปุ่น ร้านนี้มีเฟรนไชส์อยู่ทั่วโตเกียว (ไม่แน่ใจว่าจะทั่วญี่ปุ่นหรือเปล่า) ต้นกำเนิดของร้านนี้คงอยู่ที่ย่านกินซ่า ร้านนี้มีเค้กหลายหลายมาก แต่เค้กที่ฉันชอบที่สุด คือ เค้กฟักทอง ซึ่งเป็นเค้กตามฤดูกาล และ เค้กช็อกโกแลตที่ชื่อว่า การ์โต้ ช๊อคโกลา เป็นเค้กช็อคโกแลตเนื้อนุ่มเนียน มีอัลมอนต์สับปนอยู่ในเนื้อเค้กด้วย ฉันมักจะซื้อมาเป็นก้อนใหญ่ๆ ทุกครั้ง และไม่เคยเหลือไว้เพื่อกินในวันต่อๆไปเลย



ร้านโคซี่ คอนเนอร์เป็นร้านเค้กที่มีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับร้านทั่วไป สำหรับเรื่องความอร่อยแล้วอันนี้คงต้องเปรียบเทียบเป็นแต่ละประเภทไป แต่ถ้าเป็นเค้กฟักทองหล่ะก็ขอบอกว่าร้านนี้ชนะเลิศ
เข้าไปดูน้องเค้กที่น่ารักของฉันได้ที่ เวปไซด์ร้าน โคซี่ คอนเนอร์

ฟูจิยะ

สัญลักษณ์ของร้านนี้คือ peko chan เด็กผู้หญิงหน้าตา ยิ้มแย้มผูกแกละ ร้านนี้เป็นเฟรนไชส์ เช่นเดียวกับร้านโคซี่ คอเนอร์ข้างบน เห็นว่าต้นกำเนิดก็มาจากย่านกินซ่าเหมือนกันอีก
เค้กที่ฉันประทับใจ ของร้านนี้ก็คือ นี่เลยยยยย



บลูเบอรี่ทาร์ต นอกจากนี้ยังมี ชูไอส์ (chou ice) คือ ชูครีมแต่เป็นไส้ไอติมค่ะ โดยเฉพาะรถไอติมชาเขียวอาหย่อยมั่กๆ
เวปไซด์ร้านฟูจิยะ

Pastel

ร้านนี้ก็มีอยู่มีทั่วโตเกียวเช่นกัน จริงๆ แล้วร้านนี้เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยน ขายพวก สลัด สปาเกตตี้ พิซซ่า ประมาณนั้น แล้วก็ยังขายพวกของหวานเช่น เค้ก กะพุดดิ้งอีกด้วย
พุดดิ้ง(ภาษาญี่ปุ่นเรียก พุลิง) โดยเฉพาะ มัตจะพุลิง(พุดดิ้งชาเชียว) ของร้านนี้อร่อยมาก รสไม่หวานเลี่ยน ครีมนุ่มละมุน จนพี่ๆ ที่เรียนจบจากที่นี่แม้จะกลับไปอยู่เมืองไทยแล้วมักจะขอร้องแกมบังคับให้ฉันหิ้วขึ้นเครื่องกลับไปฝากทุกที นอกจากนี้ร้านพาสเทล ยังเปิดบูธขายเฉพาะขนมตามซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ อีกด้วย


ร้านพาสเทลยังมีการให้บริการบัตรสะสมแต้ม (point card) ด้วย เมื่อสะสมจนครบตามราคาที่กำหนดสามารถเอาแต้มเหล่านั้นมาแลกขนมที่ร้านได้
เวปร้านพาสเทล

Sunday Brunch

ร้านนี้ขายเค้ก และ กาแฟ รวมทั้งเครื่องดื่มผลไม้แบบต่างๆ ร้านตั้งอยู่ที่ตึก Lumine 1 ที่ชินจูกุ ชั้น B1 ชั้นเดียวกับร้านอาหารไทยแก้วใจนั่นแหละ สำหรับร้านนี้เค้กที่ฉันติดใจเป็นเค้กผลไม้สดๆ รสชาติของผลไม้ลงตัวอย่างดีกับเนื้อเค้กและครีม อ่ะโหยย ยิ่งเขียนยิ่งน้ำลายไหยยยย



Cafe comme ca

นี่เป็นร้านเค้กร้านโปรดอีกร้านของฉันเลยทีเดียว ร้านนี้ตั้งอยู่ชั้นล่างของห้าง loft สาขา Shibuya ร้านนี้ส่วนใหญ่จะทำเค้กเป็นถาดๆ แล้วตัดขายชิ้นละห้าร้อยเยน และส่วนมากจะเป็นเค้กผลไม้ แต่ความพิเศษของเค้กร้านนี้คือ เป็นเค้กที่มีพุดดิ้งอยู่ข้างใน
โดยเฉพาะเค้กที่ฉันชอบมากที่สุดคือเค้กหน้าบลูเบอรี่ โปะด้วยครีมหวานละมุน สอดไส้ด้วยพุดดิ้งชาเขียววว และมีเค้กช๊อกโกแลตเนื้อนุ่มเป็นชั้นสุดท้าย
ฉันไม่ได้ถ่ายรูปเค้กร้านนี้เก็บไว้ ด้วยหมดกินหมดก่อนซะทุกครั้ง จึงหาก๊อปปี้จากอินเตอร์เนตมาภาพเลยไม่ค่อยชัดค่ะ

>


ร้านไรมะรู้จำชื่อมะได้

อยู่ชั้น 1 ห้าง pacro สาขา Shibuya ร้านนี้เป็นร้านอาหารเช่นกัน แต่ขายเค้กด้วย เค้กร้านนี้แม้เนื้อเค้กจะค่อนข้างธรรมดาแต่ว่าครีมอร่อยมากๆ ยิ่งกินกับ มัตจะลาเต้ ด้วยแล้ว อืมมมมม...



Henri Charpentier

เป็นร้านเค้กที่ค่อนข้างหรูหราร้านหนึ่งค่ะ ราคาจะแพงกว่าร้านเค้กทั่วๆ ราวๆ 100-200 เยน สงสัยจะแพงเพราะค่าฝีมือในการตกแต่งเค้ก เค้กร้านนี้จะมีการตกแต่งที่หรูมาก มีรูปแบบหลากหลาย ไม่ค่อยซ้ำกะร้านอื่นๆ แต่เค้กที่ฉันชอบที่สุดในร้านคือ บลูเบอรี่แรชีสเค้ก



เวปร้าน Henri Charpentier

ปกติเวลาซื้อเค้กที่ญี่ปุ่น คนขายจะถามด้วยว่า จากร้านไปถึงตู้เย็นใช้เวลาเท่าไหร่คะ แล้วเค้าจะจัดน้ำแข็งแห้งใส่ลงไปให้ รู้สึกว่าจะขอได้มากที่สุด 3 ชั่วโมงค่ะ เพราะฉันเคยซื้อกลับเมืองไทย พนักงานบอกว่าต้องซื้อถุงเก็บความเย็นพิเศษ(ซื้อจากร้านแหละค่ะ) ถึงจะเก็บความเย็นได้นานกว่าสามชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม กลับไปนี่ฉันแพลนไว้แล้วว่าถึงจะไม่ได้กินเค้กสุดอร่อยอย่างนี้อีก แต่ฉันก็จะหา ขนมชั้น ข้าวเหนียวมะม่วง โรตีสายไหม กินแทน แม้จะไม่เหมือนกัน แต่ก็อร่อยมากๆ เช่นเดียวกัน




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2548    
Last Update : 25 สิงหาคม 2548 23:22:12 น.
Counter : 1931 Pageviews.  

ทำน้ำหนัก


ใครเคยน้ำหนักขึ้นพรวดพราด 10 กิโลภายในเวลาหนึ่งปีมั่งคะ

ก่อนมาญี่ปุ่นตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ แต่เพื่อนๆ บอกว่า ไม่มีทางชั้นเดาได้เลยว่ากลับมาเธอจะต้องน้ำหนักขึ้นแน่ๆ

มะมีทาง ฉันบอก ชั้นไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นซะหน่อย

เออๆ จะคอยดู

ระยะแรกๆ ก็ดูดีหรอกค่ะ ไม่รู้เป็นอะไรกินข้าวได้น้อย ไม่เคยกินหมดจานเลย แถมท้องเสียทุกเช้า(มีใครเป็นเหมือนเรามั่งไหมเนี่ย ) กินอะไรก็ไม่อร่อย นึกถึงผัดกระเพราไข่ดาว เป็นที่สุด แต่พอรุ่นพี่พาไปรับน้องที่ร้านอาหารไทยเท่านั้นแหละค่ะ กินข้าวไปสามจานรวด หลังจากนั้นไม่เคยมีปัญหาเรื่องอาหารการกินอีกเลย

แถมน้ำหนักยังขึ้นเอาๆ จนกระทั่งหมดฤดูหนาวฉันก็ตั้งใจไปออกกำลังกายลดความอ้วน

ภายในมหาลัยของฉันมี sport complex ขนาดใหญ่ ภายในมีกิจกรรมให้นักเรียนทำหลายอย่าง ทั้ง ว่ายน้ำ ตีแบต ฟุตบอล ปิงปอง ปีนเข้า มีเครื่องเทรนนิ่ง ฟิตเนสอย่างดี มีซาวน่า ห้องอาบน้ำแยกชาย หญิงในตัวเสร็จสรรพ

นักศึกษาบางคนอยู่ห้องเช่าแบบไม่มีห้องอาบน้ำในตัว ซึ่งห้องแบบนี้จะมีราคาถูก พวกเขาเหล่านั้นก็จะมาอาศัยใช้ห้องอาบน้ำที่ sport complex นี่แหละ นอกจากนี้ถึงแม้ว่าห้องอาบน้ำที่ sport complex จะเป็นแบบ shower แยกเป็นห้องเล็กๆ หลายห้องมีผ้าม่านกั้น แต่ฉันเข้าไปเมื่อไหร่ก็ต้องรู้สึกกระอั่กกระอ่วนทุกครั้งที่เห็นสาวๆ ทั้งหลายแก้ผ้าเดินกันไปมา ยิ่งสาวชาวจีนและเวียดนามด้วยแล้ว เธอมั่นใจกันสุดๆ ต่างจากสาวไทย ที่ไม่มีใครยอมเข้าห้องอาบน้ำพร้อมกัน หรือไม่ก็เข้าห้องอาบน้ำไปทั้งชุดเต็มยศและก็ออกมาสภาพเดิม(คือแต่งตัวในนั้นเสร็จเลย) มีครั้งหนึ่งฉันนั่งกำลังนั่งบนเก้าอี้ และใช้พัดลมตั้งพื้นเป่าผมอยู่ มีสาวชาวเวียดนามคนหนึ่งเธอมาก้มหัวเป่าผมที่พัดลมเครื่องเดียวกับฉัน ด้วยชุดล่อนจ้อนปล่อยให้อะไร ๆ ของเธอโทงเทงอยู่ข้างหน้าฉันนั่นแหละ จนฉันต้องเป็นฝ่ายอายแทนรีบออกจากห้องแต่งตัวอย่างไว และเข้าใจถึงคำเตือนของพี่แดงว่า จะไปโกเต็น(ชื่อย่อของ sport complex โรงเรียนฉัน) ระวัง culture shock นะเธอ

กลับมาเรื่อง sport complex กันต่อ ที่นี่ยังมีมีคลาสเต้นๆ ทั้งหลาย พวก แอโรบิคด๊านส์ ,ฮิบฮอป หรือกระทั่งโยคะ

ฉันเคยหยิบตารางห้องเต้นมาดูซึ่งรายละเอียดเขียนไว้เป็นภาษาญี่ปุ่น มีอยู่คลาสนึงเขียนเป็นตัว คาตาคานะ ฉันกับพี่เบิ้ลรุ่นพี่ที่นี่ช่วยกันอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ เห็นมาซาโกะซัง หนุ่มญี่ปุ่นรูปหล่อแลปพี่เบิ้ลเดินผ่านมาพอดี จึงขอให้ช่วยอ่านให้

"ファト バン คือ Fat burn ทำไมพวกคุณใจคลาสนี้หรือ"



ฤดูร้อนปีแรกฉันพยายามชักจูงเพื่อนๆ ไปออกกำลังกายกันเสมอ ทั้งว่ายน้ำ ตีแบต แล้วก็แอร์โรบิคแด๊นซ์ แต่เชื่อหรือไม่ว่าระหว่างที่ฉันพยายามลดความอ้วนนั้นน้ำหนักของฉันก็เพิ่มขึ้นมาอีก 2 กิโล

เพราะอะไรนะหรือคะ........ ก็หลังจากออกกำลังกายกันเสร็จแล้ว ฉันกับเพื่อนก็จูงมือกันไปร้านราเมงสุดโปรดหน้ามหาลัย ร้านนี้เป็นราเมงที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นสำหรับฉันเลยทีเดียว ฉันติดใจน้ำราเมงข้นๆ ที่ทำมาจากงาขาว รวมทั้งหมูกรอบที่โปะหน้ามา หรือ บางทีก็เป็นปีกไก่ทอดกรอบ
บางวันฉันกับเพื่อนก็เปลี่ยนเมนู เป็นข้าวไก่คาราเกะเกี๊ยวซ่า หรือ ข้าวเนื้อย่าง(ยากินิกุ) ที่ร้านอาหารจีนหน้าโรงเรียน แถมแต่ละครั้งยังสั่งข้าวแบบ โอโมริ (ใหญ่พิเศษ) แล้วงี้จะไม่ให้น้ำหนักขึ้นยังไงไหว

ยังไม่พอ ไหนจะขนมคบเขี้ยว ของหวานที่ฉันกินประจำอีกเล่า โดยเฉพาะเค้ก กับ พุลิง (พุดดิ้ง) นี่ไม่ต้องพูดถึง เจอร้านเมื่อไหร่เป็นซื้อ

ฉันกะจะเขียนถึงร้านเค้กสุดเลิฟของฉันเป็นเรื่องถัดไป








 

Create Date : 23 สิงหาคม 2548    
Last Update : 24 สิงหาคม 2548 15:30:05 น.
Counter : 569 Pageviews.  

ว่าด้วยเรื่องตัดผมที่ญี่ปุ่น ตอน 2


หลังจากที่ให้เราไปนั่งรอที่โซฟาหนานุ่ม สาวสวยที่ร้านก็ให้กรอก ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ (พึ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าทำบัตรสมาชิกให้ ) แล้วเค้าก็มานั่งคุยว่า ตัดกะใครดีคะ ตัดประมาณไหนดี พอบอกรายละเอียดที่เราอยากได้ไป ช่างที่จะตัดผมให้เราก็จะมาบริการเราต่อ

เช่น พาเอากระเป๋าไปเก็บไว้ในล็อกเกอร์ของร้าน (ในล็อกเกอร์จะมีถุงหูรูดเล็ก ๆ เพื่อให้ใส่ โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ และของมีค่าต่างๆ ) เราจะได้ถือติดตัวได้สะดวก

จากนั่นก็พาไปยังโต๊ะที่จะตัด ช่างเค้าจะแนะนำตัวแล้วพูดว่า จากนี้ไปขอความกรุณาด้วย

ช่างจะถามเราอีกทีว่าเอาทรงประมาณไหนดี บางคนที่ไม่มีทรงในดวงใจเค้าก็จะหยิบหนังสือแบบผมมาให้เลือก หรือจะบอกให้ช่างออกแบบให้เลยก็ได้ แต่นั่นต้องจ่ายในราคาของช่างอีกระดับนะ (คิดว่า)

แล้วเค้าก็จะถามว่าจะ สระผมหรือเปล่า แต่แม่เจ้า ค่าสระผมต้องเพิ่มอีก ห้าร้อย เยนเฟ้ยย.............................เอาวะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วลองสระผมด้วยเลยก็ดี

ที่นอนสระผมของร้านทันสมัยมาก ปรับระดับได้อัตโนมัติ พอนั่งลงไปเค้าจะมีผ้ามาคลุมขาให้ ก่อนสระก็จะให้เลือกแชมพูซึ่งเป็นกลิ่นแบบ อโรมาเทอราพี

พอสระเสร็จก็จะมีการนวดศรีษะ อีกประมาณ ห้านาที ระหว่างนั้นก็จะมีผ้าอุ่นมารองที่คอให้ด้วย สบายฉุดๆ

ช่างที่สระให้เราเค้าไปดูเรื่อง องค์บาก มา แต่ที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนเป็นอีกชื่อนึง ตอนแรกก็เลยงง ๆ ว่าเค้าพูดถึงอะไร หลัง ๆ ก็เลยคุยกันเพลิน แล้วช่างคนนี้เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ เค้าอยากพูดภาษาอังกฤษ ก็เลย สนทนาภาษาอังกฤษกัน

สระผมเสร็จก็จะเป็นขั้นตอนการตัด ช่างก็จะพาไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม แล้วก็เริ่มการตัด การตัดผมของเค้าก็เหมือน ๆ กับที่บ้านเรา เพียงแต่รู้สึกว่าละเอียดกว่ามาก ๆๆ

ตัดแล้วตัดอีก แต่งแล้วแต่งอีก จนกว่าจะเป็นที่พอใจ แล้วก็เสร็จซะทีทำเอาง่วงไปเยยยยยย


เมื่อตัดเสร็จช่างจะถามว่าจะใส่แวกซ์ไม๊ เราไม่ค่อยชอบก็เลยไม่เอา แล้วก็เอากระจกมาส่องให้ดู ข้างๆ ข้างหลัง ว่าโอเคป่าว

ตอนไปจ่ายเงิน ได้บัตรอะไรต่อมิอะไรมาเยอะมากกทั้งบัตรลด บัตรสมาชิก นามบัตรช่าง บัตรสะสมแต้ม (point card)

แล้วช่างก็จะเดินมาเปิดประตู ให้ พูดขอบคุณ ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ส่งเราออกจากร้านไป

ถ้าเรื่องบริการลูกค้าของชาวญี่ปุ่นต้องยกนิ้วให้เลย

ขอโม้อีกนิด

ว่าด้วยเรื่องบริการเยี่ยมยอดของชาวญี่ปุ่น (กลับไปเมืองไทยเมื่อไหร่ต้องแอบเปรียบเทียบทุกที)


เคยไปซื้อของกะพี่เบิ้ล พอซื้อเสร็จพี่เบิ้ลก็คว้าถุงใส่ของจะออกจากร้านมา(จ่ายตังค์แล้วๆ) พนักงานก็ยื่นมือไปคว้าถุงไว้เช่นกัน ยื้อกันไปยื้อกันมาอยู่สองสามครั้ง พนักงานก็บอกว่า เค้าต้องเป็นคนถือถุงออกไปส่งที่หน้าประตู

เคยไปเดินตรงอูเอโนะ เจอสาวน้อยถือป้ายโฆษณา แล้วก็ตะโกนเรียกคนเข้าร้าน ตาลุงญี่ปุ่นท่าทางเป็นซารารี่มังก็เข้าไปคุยด้วยแถมมีจับเนื้อจับตัวนิดหน่อย (จับไหล่อ่ะ)
ตอนที่คุยสาวน้อยก็ท่าทางสุภาพยิ้มสู้อย่างดี แต่พอพวกตาลุงลับหลังไปแล้ว สาวคนนั้นก็ทำท่าปัดๆไหล่ พร้อมกับทำท่าโกรธๆ




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 21 สิงหาคม 2548 16:17:25 น.
Counter : 2081 Pageviews.  

ว่าด้วยการตัดผมที่ญี่ปุ่น ตอน 1


ตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นมาจะสองปี เคยไปตัดผมอยู่สองครั้ง (แต่ช่วงกลับเมืองไทยก็ไปตัดที่เมืองไทยทุกที)

ชอบตัดผมที่นี่มากกว่าเมืองไทยนะ ถ้าไม่ติดว่ามัน แพงโคดๆๆ

ร้านที่ไปตัดครั้งแรก เป็นร้านที่เล็งมานานแล้ว เห็นร้านเค้าสวย ช่างเพียบ ลูกค้าเยอะ (ก็ร้านเค้าเป็นกระจกทั้งร้านอ่ะ มองจากข้างนอกเข้าไปได้) แถมเปิดถึง ห้าทุ่มอีกตะหาก แต่ที่ยังไม่เข้าไปเพราะกลัวว่าจะแพงกว่าร้านที่นักเรียนไทยชอบไปตัดกัน

ด้อมๆ มอง ๆ อยู่นอกร้านตั้งนาน เห็นมีลดราคาสำหรับนักเรียนก็ดีใจ หยิบ โปรชัวร์หน้าร้าน เช็คราคาดูอีกทีให้มั่นใจ

การคำนวณเริ่มเกิดขึ้นในหัว

ราคาตัดผม(เยน)

Stylist cut 4300 student 3700

designer cut 4800 student 4000

top designer cut 5000 student 4500

directer cut 6000 student 5500


อืมมม ถ้าเลือกราคาต่ำสุดก็พอไหว

ที่เมืองไทย กินข้าวประมาณ มื้อละ 30 ค่าตัดผม ประมาณ 120 ต่างกันประมาณ 4 เท่า

ที่นี่กินข้าวประมาณ มื้อละ 700-800 เยน ตัดผม 3700 ก็ประมาณ 4-5 เท่า อืมมม.............................................

..................................................(คิดไปสิบนาที)

พอยอมรับได้! ถึงจะแพงกว่าร้านที่นักเรียนไทยชอบไปตัดกัน แต่ว่าก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แถมร้านนั้นต้องจองอีกตะหาก ตัดมันใกล้ๆ บ้านที่แหละฟะ



แล้วเราก็หยิบโปรชัวร์ที่หน้าร้านค่อยเปิดประตูเดินเข้าไป ช่างในร้านที่อยู่ตรงเค้าท์เตอร์ประมาณ 5คน ก็สงเสียง ยินดีต้อนรับค่ะกันกระหึ่ม (จะว่าไปทุกร้านที่ญี่ปุ่นเข้าก็จะส่งเสียงต้อนรับลูกค้ากันงี้แหละ)

เราเดินไปที่เค้าท์เตอร์ แล้วบอกเค้าว่ามาตัดผมค่ะ คนที่เค้าท์เตอร์ ก็ขอโปรชัวร์ในมือเราไปด้วย ตอนแรกคิดในใจว่ามันจะเอาไปทำไมฟระ ตูจะดู แล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะว่าหลัง โปรชัวร์มีส่วนลดอีก 10% หวานเราเลย อิ อิ




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 21 สิงหาคม 2548 16:15:55 น.
Counter : 1039 Pageviews.  


Georinn
Location :
Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Georinn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.