ถ้านี่หรือคือเรื่องยากของคนในยุคนี้ละก็งี่เง่าสิ้นดี
Group Blog
 
All Blogs
 
มิลินทปัญหา วรรคที่ ๗ ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ถ้าจิตผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ จริงหรือ ?

วรรคที่ ๗ ปัญหาที่ ๒

ถามว่า ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไป
สุคคติ จะไปได้จริงหรือ
(เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
"ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"
พระนาคเสนทูลตอบว่า
"ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"
" ไม่ได้ "
" ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "
" ก็ได้สิเธอ "
" ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน "
" สมเหตุสมผลละ "
.................................................................................................ขอแทรกความเห็นส่วนตัวนะครับ

จากการตอบคำถามของรพระนาคเสน ทำให้เข้าใจได้ว่า เหตุการทั้งหมด สามารถเกิดขึ้นได้ในลักษณะตรงกันข้าม เช่น
ผู้ที่ทำดีมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย จิตไม่ผ่องใสก็ไป ทุคติ ได้เช่นกันแน่เลย
ดังนั้น สำหรับเรื่องนี้ ที่สำคัญ คือการมีสติ สติ คือการระลึกขึ้นได้ เมื่อมีสติ เราจะนึกขึ้นได้ว่าสิ่งได้ ที่ควรจะเอา จิตไปพัวพันด้วยแล้วสิ่งใดที่จิตไม่ควรเข้าใกล้ มนุษย์มีร่างกายและอวัยวะที่ บอบบางเป็นสมบัติ และสามารถตายได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน บางที ไม่กี่นาทีข้างหน้า เราอาจจะไม่อยู่ที่โลกนี้แล้วก็ได้ , ดำรงสติให้เหมือน กับที่ ดำรงความอยาก..กันจนเป็นปกติ
(ปกติที่เราไม่เคยเชื่อว่าความอยากมันไม่ดี) เหมือนในปัจจุบันเถอะ


Create Date : 15 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2551 13:55:29 น. 2 comments
Counter : 444 Pageviews.

 
ผมเข้าใจความหมายของนิทานคำสอนนี้ว่า ไม่มีคำว่าสายที่จะสำนึกดี ครับ

เรื่องในอดีตเรากลับไปแก้ไม่ได้ แต่เมื่อสำนึกแล้ว พาจิตเข้าสู่ระดับแห่งการสำนึกดี ก็จะพ้นบาปเอง

ผมเองเป็นคริสเตียน ก็มีการสารภาพบาปเหมือนกัน แต่ไม่ได้สารภาพในตู้กับหลวงพ่อเหมือนในหนัง เป็นการสารภาพหน้ากางเขน หน้าผู้คนที่มานมัสการ เป็นการสัญญาว่าจะไม่ทำความผิดบาปอีก

แค่นี้ไครที่กล้าพูด ก็คงไม่กล้าทำผิดอีกแน่นอน

ผมเห็นด้วยในการที่จะให้คนที่สำนึกแล้วกลับตัวครับ


โดย: Tangible วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:28:45 น.  

 
หลังจากเราตายไปเราเหลืออะไร ?

คนบนโลกนี้ที่เหลือแต่ร่างกาย ขยับ เขยื้อนไม่ได้ คิดไม่ได้ รวมๆเราเรียกเค้าว่าคนตาย และเราเรียกมันว่า ศพหรือผี เช่นเมื่อไหร่จะเผาผี
ส่วนอะไรๆที่ใครบางคนบอกว่ามันคือ ร่างกายใสๆ ลอยไปลอยมา เดินทะลุกำแพงได้ และออกมาจากร่างกายที่ตายแล้ว เราเรียกเค้าว่าผี เช่นเดียวกัน
ถ้าผีเป็นอะไรที่ไม่ใช่แบบนี้ล่ะ คนที่ไม่สามารถคิดได้ ไม่สามารถควบคุมร่างกายนี้ได้อีก คือคนตาย ซึ่งอะไรล่ะที่แตกต่างกับคนเป็น จิตที่มีอยู่และจิตที่ไม่มีอยู่ (คือ ไม่อยู่ในร่างกายนี้แล้ว) แล้วถ้าจิตไม่อยู่ในร่างกายนี้แล้ว จิตมันไปอยู่ที่ไหน (ลองคิดดูล่ะกัน) ที่ชอบไง .....

สำหรับผมเรื่องนี้ไม่ใช่นิทาน
เพราะเรือของผม (ในโลกความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน) สามารถบรรทุกของที่หนักขนาดนั้นได้ ผมไม่สามารถอ้างอิงอะไรที่มนุษย์นึกคิดกันเอาเองว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้หรอก




โดย: greengazebo วันที่: 15 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:15:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

greengazebo
Location :
ประจวบคีรีขันธ์ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add greengazebo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.