Greenlandic Viking
เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ในยุคที่นักอุตุนิยมวิทยา เรียกว่า Medieval Warm Period โลกอบอุ่นกว่าในปัจจุบันมาก ในปี คศ. 986 Erik the Red คนนอกกฏหมาย ได้พาชาวเหนือจากเกาะไอซแลนด์ผู้ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของกษัตริย์จากแผ่นดินใหญ่ ลงเรือยาวแบบไวกิ้ง 24 ลำ ออกไปค้นหาแผ่นดินใหม่ เขาพบเกาะแห่งหนึ่งที่มีฟยอร์คที่อบอุ่น ปลอดจากน้ำแข็งในฤดูร้อน มีทุ่งหญ้าเขียวขจี ชาวอาณานิคม ตั้งชื่อเกาะว่า Gruntland หรือ Greenland ในปัจจุบันชาวเหนือตั้งถิ่นฐานในฟยอร์คสามแห่ง ที่ชายฝั่งตะวันตกใกล้กับเมือง Nuuk เรียกว่าถิ่นฐานตะวันตก (Western settlement) และตอนใต้สุดของเกาะ ที่ Brattahlid และ Herjolfsnes เรียกว่าถิ่นฐานตะวันออก (Eastern settlement)ชุมชนชาวเหนือแห่งเกาะกรีนแลนด์ เลี้ยงแกะ แพะ และวัว ทำฟาร์มเพาะปลูกในฤดูร้อน ล่ากวางคาริบูและแมวน้ำเป็นอาหารเสริมในฤดูหนาว พวกเขาค้าขายหนังสัตว์และงาของตัววอลลัส ที่เป็นที่ต้องการสูงของพ่อค้าจากแผ่นดินใหญ่ยุโรป แลกกับเครื่องเหล็กที่เป็นของจำเป็น Leif Erikson ลูกชายของ Erik เป็นผู้นำชาว Greenlandic ออกสำรวจแผ่นดินไกลออกไปทางตะวันตก และพบแผ่นดินที่เขาตั้งชื่อว่า Vinland ซึ่งเชื่อว่าคือบางแห่งบนทวีปอเมริกาเหนือ ก่อนการค้นพบของโคลัมบัส ประวัติศาสตร์ของชาวเหนือบันทึกเรื่องราวการสำรวจ Vinland หลายครั้ง มีความพยายามจะตั้งอาณานิคมที่นั่น แต่ประสบอุปสรรคจากชนพื้นเมืองจนต้องเลิกล้มในที่สุดอาณานิคมของชาวเหนือ ดำรงอยู่ที่เกาะกรีนแลนด์อย่างน้อยสี่ร้อยปี ในช่วงรุ่งเรืองที่สุด มีประชากรราว 5,000-6,000 คน อาณานิคมแห่งกรีนแลนด์ เข้าร่วมในสหพันธรัฐ Kalmar (นอร์เวย์-สวีเดน-เดนมาร์ก) มีการสถาปนาเขตปกครอง มีสภา ศาลากลาง มีแม้แต่ตำแหน่ง บิชอบแห่งกรีนแลนด์ ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากวาติกัน แต่พอถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบสี่ อาณานิคมแห่งเกาะกรีนแลนด์ ก็ค่อยๆเสื่อมลง พอถึง คศ. 1408 ทั้งหมดก็หายสาบสูญ สิ่งที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อารยะธรรมของชาวเหนือแห่งเกาะกรีนแลนด์ล่มสลายคือ ภูมิอากาศโลกเกิดพลิกกลับไปสู่ความหนาวเย็นที่ผิดปกตินานสี่ร้อยปี ที่นักอุตุนิยมวิทยาเรียกว่า Little Ice Age (LIA)LIA ประกอบด้วยคลื่นความหนาวสี่ระลอก (ดูรายละเอียดใน blog ภูมิอากาศในยุคโบราณ) ถิ่นฐานตะวันตกล่มสลายลงในคลื่นความหนาวระลอกแรก ส่วนถิ่นฐานตะวันออกยังคงอยู่ต่อมาจนสาบสูญไปในคลื่นความหนาวระลอกที่สองที่รุนแรงกว่า คลื่นความหนาวระลอกที่สามคือ Maunder minimum ที่รุนแรงที่สุด เกือบจะล้มล้างถิ่นฐานของมนุษย์บนเกาะไอซแลนด์ และมีผลกระทบทั่วยุโรปและทั่วโลกอย่างกว้างขวาง ส่วนระลอกที่สี่ Dalton minimum เป็นระลอกสุดท้ายมีความรุนแรงน้อยลงก่อนที่ทฤษฎีโลกร้อนเพราะการกระทำของมนุษย์ จะถูกประชาสัมพันธ์อย่างแพร่หลาย นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า ภูมิอากาศของโลกมีการเปลี่ยนแปลง ร้อนขึ้น แล้วก็เย็นลง เป็นวัฏจักร เรียกว่า Late Holocene Neoglacial Fluctuation ที่มีระยะเวลาอบอุ่นและหนาวเย็นสลับกัน ช่วงละหลายร้อยปี ด้วยพลังทางธรรมชาติที่ยังไม่แน่ชัด แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเกิดจากความผันแปรของพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่ไม่คงที่หลักฐานทางโบราณคดีบอกว่า ภูมิอากาศของโลกค่อนข้างเย็นในช่วงต้นยุคโรมัน (Roman cool period) และอุ่นขึ้นในปลายยุคโรมัน (Roman warm period) แล้วกลับเย็นลงในต้นคริสต์กาล (Dark Age cool period) และอุ่นขึ้นอีกครั้งตอนกลางคริสตกาล (Medieval Warm Period) แล้วก็กลับเย็นลงอีกในศตวรรษที่สิบสี่ (Little Ice Age) ก่อนที่จะกลับอุ่นขึ้นในศตวรรษที่สิบเก้าจนถึงปัจจุบัน (Recent Warm)นักอุตุนิยมวิทยาส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าโลกกำลังฟื้นตัวจากความหนาวเย็นของยุค Little Ice Age ด้วยพลังทางธรรมชาติ ตามวัฏจักรที่ปรากฏมาก่อน โลกอาจจะกำลังกลับคืนสู่ช่วงที่อบอุ่น ที่เทียบเท่ากับยุค Medieval Warm ที่ชาวเหนือเข้าไปตั้งถิ่นฐานบนเกาะกรีนแลนด์อีกครั้ง ในหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ตั้งทฤษฎีว่าโลกที่กำลังร้อนขึ้นในขณะนี้ เป็นเพราะกาซเรือนกระจก และอ้างว่าขณะนี้โลกกำลังร้อนที่สุดในรอบพันปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ตรงกับความจริง เพราะทุกวันนี้มนุษย์ที่มีเทคโนโลยีพร้อมยังอาศัยอยู่บนเกาะกรีนแลนด์อย่างยากลำบาก มนุษย์ในยุคพันปีก่อนย่อมไม่มีทางตั้งถิ่นฐานและทำฟาร์มบนเกาะกรีนแลนด์ได้เลย นอกเสียจากภูมิอากาศในอดีตจะอบอุ่นกว่าปัจจุบันควรเชื่อได้ว่าสภาวะโลกร้อนในปัจจุบันยังห่างไกลจาก Medieval Warm Period อยู่มากพอควร สิ่งที่ควรนึกถึงคือเมื่อพันปีก่อน ระดับกาซเรือนกระจกทุกชนิดยังคงต่ำอยู่ แล้วอะไรเล่าคือสาเหตุที่ทำให้โลกร้อน สิ่งนั้นน่าจะเป็นวัฎจักรทางธรรมชาติ ที่ทำให้โลกร้อนและหนาวสลับกันช่วงละหลายร้อยปี ที่เรียกว่า Late Holocene Neoglacial Fluctuation เนื่องจากการตั้งถิ่นฐานของไวกิ้งบนเกาะกรีนแลนด์ เป็นข้อเท็จจริงยิ่งยวด (ultimate fact) ไม่มีทางผิดพลาด ดังนั้นผลงานวิจัยของกลุ่มใดๆก็ตามที่ได้ข้อสรุปที่ค้านกับข้อเท็จจริงยิ่งยวดนี้ ย่อมเชื่อถือไม่ได้มี link โบราณคดีที่น่าสนใจ ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน น่าจะลองดูสักครั้ง เพราะให้ข้อมูลที่บ่งบอกสภาพความอบอุ่นของเกาะกรีนแลนด์เมื่อพันปีก่อนอันน่าทึ่ง.. นักโบราณคดีน่าจะถือได้ว่าเป็นกลาง เพราะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับนักวิทยาศาสตร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง น่าจะลองอ่านแล้วเปรียบเทียบว่า ที่บอกเล่ากันอย่างแพร่หลายในตอนนี้ ว่าโลกกำลังร้อนที่สุดในรอบพันปีนั้น เป็นเรื่องจริงแค่ไหนViking farm under the sand in Greenland//www.expressnews.ualberta.ca/article.cfm?id=776Greenlandic Viking//www.rudyfoto.com/grl/greenlandvikings.htmlFate of Greenland Viking//www.archaeology.org/online/features/greenland/The rise and fall of the Viking//www2.sunysuffolk.edu/mandias/lia/index.htmlThe Greenland Viking Mystery//web.missouri.edu/~chemrg/bruice/chapter10/A0761.html Story of Viking Colonies 'Icy Pompeii'//www.nytimes.com/2001/05/08/science/08VIKI.html?ex=1197608400&en=25dc3880e2b0738b&ei=5070The norse settler in Greenland//www.greenland-guide.gl/leif2000/history.htmGreenland Tourism Information Center//www.greenland.com/content/english/tourist/culture/the_history_of_greenland/the_viking_periodภาพบางส่วนจาก Linkลักษณะของป่าแคระในเขตหนาว (boreal forest) ที่ชาวเหนือน่าจะพบเห็น ตอนมาถึงเกาะกรีนแลนด์ เมื่อหนึ่งพันปีก่อนซากต้นไม้ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันจำลองบ้านไวกิ้งบนเกาะกรีนแลนด์ ก่อสร้างโดยใช้ก้อนหินเรียงเป็นรากฐาน และใช้ก้อน peat เรียงซ้อนเป็นกำแพง เป็นฉนวนกันความร้อนภูมิประเทศในปัจจุบัน และซากอาคารที่เหลืออยู่ ปัจจุบันค้นพบแล้วประมาณ 300 แห่ง โบสถ์ 12 แห่ง และร่องรอยของการทำฟาร์ม 450 แห่งซากอาคารที่อาจจะเป็นเคยเป็นศาลากลางซากโบราณสถานที่ Igalikuซากโบสถ์ Hvalseys Church ที่ Brattahlidหลุมศพชาวไวกิ้งหลุมฝังศพที่เชื่อว่าเป็นบิชอบแห่งกรีนแลนด์ซากดักแด้แมลงวันยุโรปที่พบในหลุมขยะ ปัจจุบันสูญพันธ์ไปจากกรีนแลนแลนด์แล้ว แมลงวันชนิดนี้จะขยายพันธ์ได้ อากาศจัต้องอบอุ่นกว่ากรีนแลนด์ในปัจจุบัน