สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของเสียงจากบ้านนา ขอบคุณคนน่ารักทุกคนที่เม้นท์ให้นะคะ ก้มลงกราบงามๆพร้อมโปรยยิ้มหวาน^_^

Group Blog
 
All blogs
 

ชีวิตมันดี งานมันเยี่ยมมาก !

*บทความนี้โกเก้ขอใช้ภาษาแบบเพื่อนคุยกันนะคะ อาจไม่สุภาพนัก แต่อยากให้ได้อรรถรสในการอ่าน *



ไอ้เก้ งานแกมันเยี่ยมมากเลยว่ะ น่าอิจฉา


เราก็จะตอบ ช่ายย มันเจ๋งมาก  ^^


แต่พวกแกเคยสงสัยมั้ย? ว่าทำไมเวลาเราคุยกัน


แกถึงมองว่างานชั้น ชีวิตชั้นมันเยี่ยมจัง



นั่นเพราะอะไร? ลองมาอ่านกันดู




ทุกครั้งที่เพื่อนถามว่าชีวิตเป็นยังไง งานชั้นโอเคมั้ย


ชั้นมักจะตอบว่าชีวิตตอนนี้ดีมาก งานชั้นสนุกสุดๆ



นั่นไม่ได้หมายความว่าโดยเนื้องานทั้งหมดมันมีแต่เรื่องสนุก


แต่ชั้นมักจะมองเห็นสิ่งที่ดี และความสนุกในงานเสมอ


ทุกครั้งที่เจออุปสรรคบางครั้งมันทำให้จิตตก


ชั้นก็จะมองข้ามมันไป ...



ในหนึ่งวันชั้นมักจะหาความสุขเวลาทำงานได้เสมอ


ชั้นชอบการมาทำงานเช้าๆดื่มกาแฟสักแก้วแล้วเปิดอินเตอร์เน็ตอ่านข่าว


ความเงียบก่อนที่เพื่อนร่วมงานจะมาถึง มันคือความสุขของชั้น



แล้วพวกแกล่ะว่าไง ทุกครั้งที่ชั้นได้ยินเพื่อนบอกว่าชีวิตมันแย่ งานมันน่าเบื่อ


ชั้นมักจะเกิดคำถามว่า งานมันน่าเบื่อจริงหรือพวกนายไม่เคยหาความสุขกับการทำงาน



ลูกผัวไม่ดี ผัวมีเมียน้อย ลูกดื้อลูกซน ชีวิตมันแย่


ชั้นก็คิดอีกว่า จริงหรือชีวิตของแกมันแย่


หรือเพราะแกไม่เคยมองหาด้านดีในชีวิต


แกคอยมองแต่เรื่องร้ายๆ เก็บรายละเอียดแย่ๆทุกอย่าง


แล้วพอเจอหน้าไอ้เก้ ก็สบโอกาสพูดให้มันฟังเพราะคิดว่ามันฟังได้


ชีวิตของไอ้เก้มันมีความสุขจะตาย


มันจะได้ฟังเรื่องทุกข์ของชั้น มันเป็นที่ระบายของชั้น


พวกแกคิดแบบนี้รึเปล่า



เวลามานัดเจอกัน บางทีชั้นเกิดคำถามว่าพวกแกชวนชั้นมาทำไม


เอามานั่งปรับทุกข์เนี่ยเหรอ มีบ้างไหมที่จะเจอหน้าเพื่อนแล้วพูดถึงแต่สิ่งดีๆให้เพื่อนสบายใจ?



ชั้นอยากบอกว่าการดำเนินชีวิตทัศนคติของคนเรามันเป็นสิ่งสำคัญ


ถ้าเรามองแต่ด้านแย่ ก็จะเจอแต่สิ่งที่แย่เสมอ เหมือนผ้าขาวผืนหนึ่ง


มันขาวสะอาดดีแต่มีรอยเปื้อนฝุ่นนิดนึง คนทัศนคติลบก็จะมองเห็นแต่ความเปื้อน


อุ้ยผ้ามันเปื้อนหนิ มันไม่ดีแล้ว -*-


แต่คนทัศนคติบวกก็จะมองเห็นผ้าสีขาวๆที่มีรอยเปื้อนแค่นิดเดียวเอง ช่างมันเถอะ



ชีวิตเรามันสั้นนิดเดียวเอง พวกแกว่ามั้ย 


มองโลกให้สดใส เจอหน้าใครก็ให้เขาจดจำว่าเราคือคนนำความสุข


เรามีแต่สิ่งที่ดีไปให้เขานะจ้ะ




*รักทุกคนที่เข้ามาในนี้^^*


02/04/09












 

Create Date : 03 เมษายน 2552    
Last Update : 3 เมษายน 2552 16:23:04 น.
Counter : 607 Pageviews.  

นั่งมองเพื่อนรัก หายใจ ในโรงพยาบาล

วันนี้ 30 กรกฎาคม 2551


โทรศัพท์ดังขึ้นปลายสายโชว์เบอร์บอกว่าเป็นของไอ้นิดหน่อย
ฮัลโหลว.......นิดหน่อย ว่าไงจ้ะ  ( เช้าอันเบิกบานเสียงแจ่มใสมาก )

นิดหน่อย : เอ่อนี่เก้ ไอ้โบว์มันโทรหาแกบ้างมั้ยวะช่วงนี้
เรา : ก็มันโทรหาชั้นเมื่อซักสองอาทิตย์ที่แล้วว่ะ บอกว่ามันป่วยอยู่โรงพยาบาลจุฬา
นิดหน่อย : เอ่อ แต่ตอนนี้มันอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ว่ะไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เรา : เฮ้ยมันเป็นไงบ้างล่ะแก
นิดหน่อย : ตอนนี้มันต้องใส่สายออกซิเจนช่วยหายใจอยู่ว่ะ  ตอนนี้มันแย่มากแล้ว เดี๋ยวหมอกำลังทำเรื่องย้ายมันไปห้องไอซียู
เรา : มันอยู่ตึกไหนห้องไหนวะเดี๋ยวชั้นจะรีบไปเยี่ยมมันตอนเที่ยง (เริ่มจะตกใจ)
นิดหน่อย : ตึก....... ห้อง.......
เรา : ขอบใจนะแล้วชั้นจะรีบไป







นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้สำหรับเพื่อนป่วยคนนี้ที่โกเก้ วิ่งเข้าวิ่งออกเยี่ยมไข้เพื่อนในโรงพยาบาล

โบว์ ในความรู้สึกชั้น แกคือสัญลักษณ์ของเพื่อนที่ป่วยเสมอ

ทุกครั้งที่โทรมา โบว์ มักจะบอกว่าป่วย

ส่วนโกเก้เองก็จะรับสายแบบอารมณ์ขอไปทีว่า แกป่วยอีกแล้วเหรอ เป็นไรล่ะ ฯล










จากเพื่อนถึงเพื่อนบนเตียงนอนในโรงพยาบาล



โบว์แกรู้มั้ย ชั้นเชื่อเสมอว่าแกไม่ป่วยเท่าไหร่ แกแค่อ่อนแอและต้องการให้เพื่อนใส่ใจใช่มั้ย

ในครั้งนี้ชั้นก็เชื่อว่าแกคงเป็นแบบเดิมๆคือ แกต้องการให้ชั้นใส่ใจแกอีกแล้ว

เที่ยงกว่าชั้นโทรบอกพี่ชายให้พาชั้นไปโรงพยาบาล ไปหาแกไง

แต่ครั้งนี้ชั้นไม่รู้เลยว่าแกอยู่ห้องไหน ชั้นไปแบบงงๆด้วยอารมณ์เดิมๆคือแกป่วย นอนบนเตียง ยิ้มแฉ่ง รอชั้นไปเยี่ยม

ชั้นกำลังจะไปไงโบว์

พอไปถึงชั้นได้แต่วิ่งวุ่น หาเตียงที่แกนอนอยู่  ไม่เห็น ไปชั้นไหนก็ไม่เห็นแกเลย ชื่อแกก็ไม่มีอยู่ตรงตารางชื่อผู้ป่วยของแต่ละห้อง

ชั้นวิ่งหาแกบนตึก 8 ชั้น จนเริ่มเหนื่อย โทรหานิดหน่อย ก็โทรไม่ติด เลยไปกินข้าว





ชามบะหมี่หอมกรุ่นวางลงบนโต๊ะ ชั้นลงมือทานไป ตอนนั้นยอมรับว่าเกิดความกังวลกับคำพูดนิดหน่อย ที่ว่าแกไม่ดีเท่าไหร่ ทำให้บะหมี่ที่กินชามนั้นมันจืดชืดไปเลยรู้มั้ย ชั้นกังวล ใจยังอยู่ที่โรงพยาบาล ยังอยากค้นหาเพื่อนให้เจอ

ทานข้าวเสร็จชั้นมานั่งในรถ โทรกลับหานิดหน่อยอีกครั้ง คราวนี้โทรติดแล้วชั้นต่อว่ามันเสียยกใหญ่ และถามไถ่ชื่อ และเตียงที่แกนอนอยู่ให้ได้ใจความอีกครั้ง

พี่ชายกำลังพาชั้นไปส่งที่ทำงาน ชั้นบอกพี่ชายว่า อยากกลับไปโรงพยาบาลอีก ไปเยี่ยมแกให้แล้วใจ ส่วนพี่จะไปทำงานก็ไป ชั้นจะหาเพื่อนให้เจอ เพราะชั้นกลัวไม่ได้เจอแกอีก โบว์แกรู้มั้ย ชั้นหวาดกลัวที่สุด

รถจอดในที่จอดรถโรงพยาบาลอีกครั้ง ชั้นกำข้อมูลที่จดไว้จากนิดหน่อย เฝ้าอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า มุ่งหน้าไปอาคารที่นิดหน่อยบอกว่าแกอยู่ คราวนี้ไม่ลังเลแล้ว เดินดิ่งขึ้นไปชั้นนั้น และเข้าไปในห้องเพื่อนถามพยาบาลว่าแกอยู่ไหน

โบว์ แกรู้มั้ย ใจชั้นมันหล่นลงไปที่ตาตุ่มในครั้งแรกที่เดินผ่านเตียงที่มีผู้ป่วยพึ่งเสียชีวิตใหม่ ชั้นยอมรับว่าชั้นกลัว กลัวการพลัดพรากสูญเสีย แต่ชั้นยังเชื่อว่าไม่ใช่แกหรอก

แล้วมันก็ไม่ใช่จริงๆ ทันทีที่ชั้นเอ่ยปากบอกชื่อแกกับพยาบาลในห้องพักคนไข้รวม

พยาบาลก็ชี้ไปที่เตียงคนป่วย เตียงแรกที่มีถังออกซิเจน โบว์แกนอนอยู่ และเพื่อน แกทำให้น้ำตาชั้นคลอทันที

โบว์ นี่เพื่อนเหรอ เพื่อนไม่นั่งรอชั้นที่เตียงคนป่วยอีก โบว์แกไม่ได้ยิ้มให้ชั้นและทำท่าดีใจที่ชั้นมาเยี่ยม

ไม่มีอะไรหลุดออกมาจากปากแก เพราะเขาใส่สายออกซิเจนลงไปในคอ ทำให้แกนอนอยู่แบบนี้

ชั้นขยับตัวเบาๆส่งสัญญาณบอกพี่ว่า อย่าเสียงดังนะเดี๋ยวแกจะตื่น

แต่เหมือนแกจะรู้  แกค่อยๆลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นชั้น แกพยักหน้า ชั้นจึงเอื้อมไปกุมมือแกไว้

โบว์ทำไมตัวเย็นแบบนี้เพื่อน  เรามองหน้ากัน แกรู้ด้วยสายตา ชั้นรู้โบว์ชั้นรู้ แกต้องหายดีแน่เพื่อน

ชั้นกลั้นใจและกลืนก้อนแข็งๆลงไปในคอ ต้องเข้มแข็ง แกจะไม่เห็นน้ำตาชั้นหรอกโบว์

ชั้นตัดสินใจแล้วโบว์ ว่าจะนั่งอยู่กับแกตรงนี้ บอกพี่ชายให้กลับไปทำงานก่อน ชั้นไม่เป็นไร

โบว์ ชั้นนั่งมองเพื่อนและต้องกลั้นน้ำตาไว้ตลอด แกหายใจลำบากมากชั้นรู้ แกเมื่อยชั้นรู้

แกอึดอัดชั้นรู้เพื่อน  ไม่เป็นไรนะ ชั้นอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนแกอย่าห่วงเลย

ภาพเก่าๆของเราตอนอยู่มหาลัยมันสดใสมากโบว์ ชั้นนั่งคิดไปเรื่อยๆ ร้านน้าหมวยที่เราเคยไปนั่งกินข้าวกัน

ตึกCSC ที่แกไปอยู่ที่นั่นเสมอเวลาว่าง แกชอบพูดถึงพระเจ้า แกชอบโม้ให้ชั้นฟังว่าแกทำอะไรมาบ้าง
แต่ก่อนชั้นเบื่อ แต่ตอนนี้ชั้นอยากฟังมันอีกครั้งว่ะ โบว์เอ้ย ชั้นอยากจะฟังมัน

ไก่เคเอฟซีที่แกชอบ ชั้นจะเลี้ยงแก  ได้ยินมั้ยโบว์

เสียงของพยาบาลคนหนึ่งดึงชั้นกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง มองไปรอบตัว มีแต่คนป่วย ตรงข้ามก็คือคนป่วยหนัก ข้างๆเตียงแกก็เป็นคุณยายคนหนึ่งที่ป่วยเกินกว่าจะลืมตาขึ้นมาดูทุกอย่างในห้องนี้

พยาบาลเดินไปเดินมาเหมือนหุ่นยนต์

โบว์เอ้ย ที่นี่ไม่มีอะไรดีเลยว่ะเพื่อน ลุกขึ้นมาแล้วกลับเถอะ แกจะหายดี กลับมาคุยเล่นกับชั้นเหมือนเดิมไง

คุณหมอเดินมาที่เตียงแกถามชั้นว่า ชั้นเป็นใคร ชั้นบอกเป็นเพื่อนแก คุณหมอก็หมดความสนใจกับชั้นทันที






ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ชั้นนั่งพิจารณาทุกอย่างบนร่างกายแกแล้ว (ขอโทษว่ะชั้นไม่มีอะไรจะมอง ชั้นจึงนั่งมองแต่แกที่นอนอยู่บนเตียง)

ชั้นมองไปที่นิ้วแก โบว์นิ้วแกสวยมาก ชีวิตแกจะไม่ลำบากเลย เพียงแกลุกขึ้นมา และกลับมาเป็นคนเดิม ทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอนเพื่อน พระเจ้าจะช่วยแก

บ่ายสามโมงแล้ว พยาบาลมาบอกชั้นว่าเค้าจะย้ายตัวแกไปห้องไอซียูแล้วนะ แกลืมตานิดนึงและพยักหน้าเบาๆ

ชั้นเดินออกไปข้างนอก ไปนั่งพัก ไม่นานคุณป้าของแกสองคนก็มา ทุกคนตกใจชั้นรู้ เพราะเห็นสีหน้านั้น

ไม่นานสามีแกก็วิ่งขึ้นมา เค้ามายืนข้างเตียงแกและร้องไห้ ไม่เป็นไรนะ ชั้นอยากไปปลอบใจเค้า

ชั้นเชื่อแล้วว่าไอ้กุ๊ยที่ชั้นต่อต้านมาตลอดตั้งแต่แกแต่งการกับผู้ชายคนนี้ เขารักแกมากโบว์ แกสบายใจได้นะ
เขารักแก

ตอนนี้ทั้งป้าและสามีแกต่างร้องไห้

โบว์ชั้นก็อยากร้อง ชั้นรู้สึกอึดอัดตลอด แต่ต้องอดทน เพราะเวลานี้ใครคนหนึ่งต้องอดทนเพื่อปลอบใจคนที่กำลังเสียใจ และคนๆนั้นมันต้องเป็นชั้น โบว์

การย้ายตัวแกเป็นไปอยากรวดเร็ว พยาบาลกวักมือเรียกชั้นไปช่วย ชั้นรีบเข้าไปข้างเตียง และช่วยยกแกขึ้นมา

เพื่อน ตัวแกทั้งเย็นและเบารู้มั้ย

เตียงเคลื่อนไปตามทางเดิน ท่ามกลางสายตาสนใจใคร่รู้ บางคนมาถามชั้นว่าแกเป็นอะไร ชั้นได้แต่บอกว่า แกเพียงแต่มีปัญหาเรื่องการหายใจเท่านั้น

คุณหมอและพยาบาลพาแกเข้าไปพักในห้องไอซียูแล้ว ทุกคนจึงมานั่งรอที่หน้าห้อง เวลานี้ชั้นถึงเวลาที่ต้องกลับแล้วล่ะโบว์ พรุ่งนี้ชั้นจะเยี่ยมแกอีก

เพื่อนแกจะต้องหายดีและแข็งแรง ชั้นยังเชื่อแบบนั้น แกแค่ป่วยนิดเดียวเอง...

ชั้นบอกลาทุกคนและเดินจากมา

ชั้นก้าวไปช้าๆและพยายามกลั้นใจสุดชีวิต ชั้นจะไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น

แต่ทำนบน้ำตามันก็แตกแล้วโบว์ ชั้นเดินร้องไห้แบบไม่อายใคร

ชั้นเสียใจที่เห็นเพื่อนอยู่ในสภาพนี้ ไม่นึกว่าแกแย่ขนาดนี้

ชั้นเสียใจที่คิดว่าแกแค่โอเว่อร์แอ็คติ้ง เหมือนทุกครั้งที่แกเป็นมา

ชั้นทำใจไม่ได้หากต้องสูญเสียแก รู้มั้ยโบว์

ความจริงแล้วชั้นก็อ่อนแอ และทุกครั้งมาชั้นพยายามหลอกตัวเองว่าเพื่อนเข้มแข็ง แค่เรียกร้องความสนใจเท่านั้นเอง

เพื่อน ชั้นขอโทษที่ไม่เชื่อแก

จริงๆแล้วชั้นก็รักและผูกพันธ์กับแกมาก เพื่อนสนิทเป็นอะไรไป ชั้นจะทำยังไงดีโบว์

เคยแต่ปลอบใจคนอื่น แต่เมื่อเจอกับตัวเอง ชั้นไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ.....









 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 20:51:55 น.
Counter : 3362 Pageviews.  

จากพี่สาวถึงน้องสาวคนเล็ก




วันนี้อยากเล่าถึงน้องสาวคนเล็กของครอบครัวเสียงจากบ้านนา


บ้านเราแต่ก่อนมีกันอีก 4 คนพ่อ แม่ ลูก


โก้เก้มีพี่ชาย 1 คนซึ่งเราอายุห่างกันแค่ 3 ปีเท่านั้น ทำให้เราสนิทกันมาก


ตอนเล็กก็เป็นคนติดพี่ชาย เขาเล่นอะไรไปไหนก็อยากจะไปด้วย เขาเล่นรุนแรง


ก็ไปเล่นด้วยเพราะอยากให้พี่ชายรัก พี่ใช้ให้ทำอะไรทำหมด ยอมทุกอย่าง


เคยเล่นฟุตบอลกับพี่ ถูกให้เป็นผู้รักษาประตู ปรากฏว่าพี่ชายเตะบอลมา รับไม่เป็นก็ยืนนิ่งให้ลูกบอลลอยมาอัดหน้าร้องไห้ลั่นบ้าน


ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่สั่งห้ามพี่ชายเล่นฟุตบอลกับโกเก้เด็ดขาด 555+


ตอนเด็กคุณแม่เล่าว่า พี่ชายไม่ค่อยชอบหรอก มีน้องสาว เขาอยากได้น้องชายจะได้เล่นต่อสู้กันได้


วีรกรรมสุดยอดที่สุดของพี่ชายวัยเด็กคือ การไปเจรจาลับๆกับเพื่อนเขาว่ามาแลกน้องสาวน้องชายกันเถอะ


บังเอิญเพื่อนพี่ชายเขามีน้องชายและอยากได้น้องสาวพอดี (อ่ะนะ)


เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน เวลานั้นโกเก้ยังอยู่อนุบาลอยู่ จะออกจากห้องเรียนได้ต้องมีคนมาเซ็นชื่อรับกลับ


ก็แปลกเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ไม่ใช่พี่ชาย เป็นเพื่อนของพี่ยิ้มแฉ่งมารับ โกเก้ก็เดินจูงมือเขากลับอย่างงๆแต่ไม่พูดอะไรเพราะยังเด็ก


เรื่องวันนั้นผ่านไปนานกว่า 20 ปี ความลับเปิดเผยว่าวันนั้นมีการแลกเปลี่ยนน้องสาวน้องชายกัน 1 วัน (ร้ายจริงๆ)



ปี 2537


ตอนเย็นบนโต๊ะกินข้าว คุณแม่ประกาศกับทุกคนในบ้านว่า ตอนนี้คุณแม่กำลังตั้งท้อง 3 เดือนแล้วลูกๆ


โกเก้กับพี่ชายช็อค! และอึ้งพูดไม่ออก ใช่ทุกคนตกใจสิ ตอนนั้นโกเก้อายุประมาณ 12 แล้ว และพี่ชายก็อายุ 15 ปี


ทุกคนงงเอาการว่ากำลังมีสมาชิกใหม่มาเพิ่มอีกคนเหรอ แต่ท้ายสุดทุกคนก็แฮ็ปปี้ช่วยกันดูแลคุณแม่


จัดเตรียมการสำหรับน้องคนใหม่ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเขาจะออกมาเป็นผู้หญิงผู้ชาย


เพื่อนของครอบครัวก็พากันมาแสดงความยินดีกับครอบครัวเรากันถ้วนหน้า



วันเวลาผ่านไปราวเดือนที่ 6 บังเอิญว่าช่วงคุณแม่ตั้งท้อง คุณแม่เพื่อนของโกเก้ก็ตั้งท้องเหมือนกันและเขาก็คลอดน้องก่อนคุณแม่


แต่น้องของเพื่อนได้เสียชีวิตตอนคลอดเพราะรกพันคอ และในโรงพยาบาลไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตทารก สร้างความเสียใจให้เพื่อนมาก



เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้คุณพ่อคุณแม่จัดการเปลี่ยนโรงพยาบาลเพื่อคลอดน้องทันที จากที่คิดจะคลอดน้องโรงพยาบาลเดียวกันกับแม่เพื่อน


ก็ย้ายไปโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่เชียงใหม่แทน พ่อแม่บอกว่าจ่ายแพงก็ยอมเพื่อความปลอดภัยของน้องและตัวคุณแม่


ปี 2538


วันที่น้องสาวเกิดจำได้ว่าทุกคนยังต้องไปโรงเรียน แต่คุณพ่อพาคุณแม่ไปที่โรงพยาบาลเชียงใหม่แล้ว


คุณแม่คลอดน้องด้วยวิธีผ่าท้อง เพราะอายุมากกลัวจะไม่มีแรงพอที่จะคลอดธรรมชาติ


เย็นวันนั้นคุณพ่อกลับมาบ้านพร้อมกับข่าวดี บอกว่าน้องเป็นผู้หญิงแข็งแรงและน่ารัก


ทุกคนตื่นเต้นสุดๆ แม้ลึกๆโกเก้จะอยากได้น้องชาย แต่เมื่อเป็นน้องสาวก็คิดว่าดี เขาคงน่ารักเหมือนกัน


วันต่อมาโรงเรียนหยุดก็นั่งรถไปหาคุณแม่และน้องที่โรงพยาบาล ไปน้องเฝ้าคุณแม่อยู่ราว 2 คืน


ใจก็นึกเหมือนกันตอนนั้น เราเป็นพี่สาวแล้วนะ ไม่ใช่ลูกคนเล็กของบ้านเหมือนเมื่อก่อน



ความรับผิดชอบต่างๆมันคงมากขึ้น ชีวิตโกเก้เปลี่ยนไป และความรู้สึกนึกคิดมันเปลี่ยนไปเยอะมาก





ช่วงที่คุณแม่นำน้องสาวกลับมา โกเก้ก็ตื่นเต้น มาช่วยเลี้ยงน้อง


เขาตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม เขาทำอะไรก็น่ารักไปหมด


จะได้ว่าเขากลัวสำลี พอมีคนเอาสำลีมาตรงหน้า เค้าจะสั่นๆและส่ายหัวไม่เอา ไม่เอ๊า


ตอนฟันเค้าขึ้นใหม่ๆ โกเก้กับพี่ก็ชอบเอานิ้วไปให้เค้ากัดเล่น เขาจะใช้เหงือกกัดๆเพราะเค้าคันเหงือก


เวลาเขาขัดใจ จะชอบตีหัวตัวเอง ทุกคนจะหัวเราะ 555+คุณแม่ก็จะบอกตีเลยๆ แม่ไม่ตามใจหนูหรอก


น้องก็จะอาละวาดตีหัวตัวเอง จนเจ็บและเลิกเอง


เพื่อนของครอบครัว แต่ละคนเห่อไม่แพ้กัน เพราะไม่คิดว่าอย่าคุณพ่อคุณแม่อายุขนาดนี้จะมีน้องได้อีก


ทุกคนหอบของมาเยี่ยมเป็นลังๆ ชนิดที่พร้อมทุกอย่างแทบไม่ต้องซื้อหาอะไรมาเพิ่มเลย





น้องเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวมีเงิน สมบูรณ์ทุกอย่างจริงๆ



โกเก้ก็เฝ้ามองเขาอยู่ตรงนี้ เขาเริ่มยืน เขาเริ่มเดิน จนเมื่อเขาเติบโตเข้าโรงเรียนอนุบาล


ความรู้สึกมันไม่ต่างจากแม่เลยนะ เพราะเราอายุห่างกันขนาดนี้ ตอนที่โกเก้วัยรุ่นโตเป็นสาว พี่ชายก็โตเป็นหนุ่ม


เวลาไปไหนโกเก้จะอุ้มน้องและพี่ชายจะเดินข้างๆ คุณพ่อคุณแม่บางครั้งก็เดินนำหน้าหรือตามหลัง


คนจะมอง โอ้สามีภรรยาคู่นี้เด็กเนอะ ดูสิมีลูกน้อยแล้ว และคนแก่ที่เดินนำหน้านั่นคือตายายแน่ๆ 555+


ตอนนั้นแทบไม่กล้าอุ้มน้องเลย ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น ห่วงภาพลักษณ์ กลัวคนจะมองว่าเป็นแม่ของน้อง ก็เลยไม่ค่อยอุ้มเค้าในที่สาธารณะ






เมื่อน้องสาวเป็นวัยรุ่น


ด้วยวัยที่มันห่างกัน มันทำให้บ้างครั้งพี่สาวคนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติยังไงกับน้องเหมือนกัน


บางครั้งก็ไม่รู้ว่าใจเขาคิดอะไร ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี น้องจากถามว่าเรียนเป็นยังไง เพื่อนเป็นยังไงบ้าง


คำถามสั้นๆ...




ในขณะที่โกเก้กับพี่ชายวัยเราใกล้กันกว่า มันทำให้เรามีเรื่องคุยกันมากมาย


ทำให้วันหนึ่ง คุณแม่เดินมาบอกโกเก้กับพี่ชายว่า น้องสาวเริ่มคิดว่าเขาคือส่วนเกิน


คำพูดนี้ของคุณแม่ทำให้โกเก้สะอึกนะ วันนั้นก็เรียกน้องสาวมาคุยกัน 3 พี่น้อง พูดให้เคลียร์


ไม่รู้ว่ามันเคลียร์จริงรึเปล่า เพราะความรู้สึกโกเก้มันยังตื้อตันอยู่เลย ว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงกับน้องดี






ตอนที่เขาเป็นเด็ก เขาทำอะไรไม่เป็นเลย โกเก้ยังคิดว่าเขาเป็นเด็ก ตัวเล็ก เขาไม่ทำอะไรคงไม่แปลกหรอก โกเก้ทำเองก็ได้


แต่เมื่อเขาโตขึ้น เขาไม่ทำอะไรสักอย่าง อยู่บ้านเฉยๆ มันก็มีบ้างที่โกเก้พี่สาวคนนี้ เริ่มจะหงุดหงิดใจ เกิดการเปรียบเทียบว่า


สมัยอายุเท่ากันฉันทำหลายอย่างเป็นแล้ว ทำไมน้องสาวฉันยังทำไมได้ บอกตรงๆว่าบางทีก็เริ่มเหนื่อยใจ


พี่ชายคอนพร่ำบอกว่า เขาเป็นน้องคนเล็ก เธอเมตตาน้องนะ เขาไม่ทำ เธอก็ทำสิ


สุดท้ายโกเก้ก็ทำ ไม่พูดอะไรอีกเลย เพราะรู้ว่าพูดไปไม่มีประโยชน์ พูดไปก็เจอแต่ปัญหาทุกครั้งที่พูด







ในสายตาของน้องสาว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโกเก้กลายเป็นพี่สาวที่เย็นชา เฉยเมย ไม่พูดอะไรเลย


และความรู้สึกของน้องที่ว่าตัวเขาเป็นส่วนเกินนั้น ทำไมโกเก้จะไม่รู้ว่ามันเกิดจากโกเก้เอง


ที่ไม่รู้ว่าจะทำตัวเองให้อยู่ตรงกลางได้ยังไง ระหว่างพี่ชายที่สนิทกันเพราะอายุใกล้กัน


กับน้องสาวที่เรามองว่าเขาเป็นน้องเล็กๆ เราจะคุยกันด้วยเรื่องอะไรให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น






ใจของพี่สาว อยากเห็นน้องเติบโต เข้มแข็ง และมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นตามวัย


อยากคุยกันได้ อยากพูดในเรื่องเดียวกันเข้าใจ


แต่มันติดตรงที่น้องไม่เข้าใจในเรื่องที่พี่พูดมาเลย






ก่อนหน้านี่โกเก้มีน้องมากมาย ลูกพี่ลูกน้องใกล้ชิดกัน อายุไล่ๆกัน ตอนแรกก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เลยไม่คุย


แต่เมื่อพวกเราโตขึ้น ก็เริ่มมาคุยกัน เริ่มเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่





ตอนนี้โกเก้ พี่สาวคนนี้กำลังรอเวลานั้นของน้องสาวคนเล็กที่รักของบ้านเราเติบโตทางวุฒิภาวะอยู่



คำว่าพี่ไม่รัก มันไม่จริงเลย ไม่มีพี่สาวคนไหนที่ไม่รักน้องหรอก









เลี้ยงเค้ามาเหมือนกับพ่อแม่ ความผูกพันมันมีเกินกว่าอะไร


อยากให้น้องสาวรู้ไว้ ... ไม่มีวันไหนที่พี่ไม่รักน้อง รู้มั้ย...กุนดา








 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 15:44:35 น.
Counter : 1913 Pageviews.  

บทเรียนจากการเปิดเผยตัวตนในบล็อก+ประเด็นนี้อย่าแตะดีกว่า








เริ่มต้นด้วยประโยคนี้ก่อน "ไม่น่าเลยจริงๆชั้น"


เรื่องมันสืบเนื่องจากกระทู้เรื่องเกี่ยวกับประเด็นพฤติกรรมของเพศที่ 3 ที่ตั้งไว้ อาจด้วยถ้อยคำที่ตรงๆและเป็นการกระทบใจใครเข้าไม่รู้ มันเลยเป็นเหตุให้หลายคนมีอารมณ์รุนแรง กระทู้นี้คงอยู่ถึง 2 วัน กับความเห็น 100 กว่ามากๆ โกเก้ก็ไม่รู้ค่ะว่าสุดท้ายแล้วมันถูกลบออกไปตอนไหนเพราะไม่ได้ติดตาม แจ้งลบไปแล้วคือจบ แต่อนิจาไม่จบแค่นั้น สุดท้ายมันกลายเป็นสนามต่อสู้กระทู้เกิดการโต้เถียงในประเด็นของเพศที่ 3 ในเรื่องอื่นๆ


*มาถึงตรงนี้อยากบอกว่าขอโทษจริงๆที่เป็นต้นเหตุ หรือผู้จุดชนวนระเบิดให้คนหลายคนต้องมีเรื่องบาดหมางกัน เพียงเพราะความสงสัยของตัวเองแท้ๆ*


"บทเรียนจากการเปิดเผยตัวตนในบล็อก+ประเด็นนี้อย่าแตะดีกว่า"


กระทู้ที่โกเก้พูดถึงข้างต้น มันทำให้เกิดการโต้ตอบกันระหว่างผู้ตอบกระทู้คนหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยชื่อเค้า) ตอนแรกเราคุยกัน เขาถาม โกเก้ตอบ



อาจด้วยถ้อยคำที่แรง เพราะใช่ ส่วนนึงคือโกรธไง ไม่ปฏิเสธที่รู้สึกแบบนี้ก็ตั้งกระทู้และมีคนแสดงความเห็นในเชิงด่าจะไม่โกรธเหรอ ไม่ใช่โกเก้แล้ว



เขาแรง โกเก้ก็แรงด้วย เราสองคนแรง เอ่ยถึงประเด็นพ่อแม่ เรื่องนั้นไม่ใช่เป็นการด่า (ถ้าตั้งใจด่าน่ะแรงกว่านี้เยอะ แต่การด่าพ่อแม่ผิดบาปมากไม่เคยคิดจะทำค่ะ) ในเนื้อความโกเก้ได้เอ่ยถึงพ่อแม่ตัวเองว่าสอนแบบนี้ ส่วนพ่อแม่เขาอาจสอนแบบนี้แล้วเขาปฏิบัติตาม มันคือเรื่องของเขา โกเก้ไม่รู้นะคะว่าผู้โต้เถียงคนนั้นเข้าใจว่าประโยคนี้มันคือการดูหมิ่นพ่อแม่เขาหรอกเหรอ เป็นเป็นการด่าพ่อแม่เข้าตรงไหน ตอนที่เขาถามย้ำมาก็อยากอธิบายเหมือนกัน อยากเคลียร์กันให้จบเพียงแค่สองคนในกระทู้นั้น



แต่มันก็เฮิร์ทเมื่อประเด็นความเป็นส่วนตัวในบล็อกนี้ ที่โกเก้อุตส่าห์คิดว่ามันคือบล็อกของเรา เราอยากเปิดเผยตัวตนของตัวเองให้ใครๆรู้จัก กลับถูกเขาคนที่เราโต้เถียงกันในกระทู้เข้ามาอ่านและยังเสียมารยาท หยิบเรื่องในบล็อคไปล้อเลียนในกระทู้ไปล้อเล่นอย่างหยาบคาย เพียงเพราะเขาอยากเอาชนะ อยากรู้สึกว่าข่มได้แล้ว โดยเขาก็ไม่ได้คำนึงว่า นี่คือการกระทำที่น่าละอายใจแค่ไหนและเสียมารยาทแค่ไหน



ถ้าเปรียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมฟุตบอล ก็เหมือนอีกฝ่ายเล่นนอกเกม พุ่งล้มในเขตโทษ หรือทำร้ายร่างกายคู่ต่อสู่เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชนะ เรียกว่าไม่มีน้ำใจนักกีฬา (ซึ่งจะว่าบ้าฟุตบอลก็ได้ค่ะ เพราะโกเก้่ก็บอกไว้ในบล็อกแล้วว่าชอบดูบอล) เลยไม่ชอบที่ถูกกระทำแบบนี้ และเขาผู้โต้เถียง พยายามกดดันอยากให้โกเก้อธิบาย ยังต่อว่าเรื่องโกเก้แตะพ่อแม่เขา ว่าจะเอายังไง 1-2-3



แต่...ตอนที่เจออีกฝ่ายทำแบบนี้ ด้วยอารมณ์จริงๆนะ อยากตอบไปตอนนั้นเลยว่า เมื่อเขาเองเล่นไม่ซื่อ ยังจะมาขอให้โกเก้เล่นอย่างซื่อตรงกับเขาได้อีกเหรอ จริงๆก็อยากถามไปแบบนี้ไปเลย แต่คิดดูอีกที ไม่ดีกว่า ยืดเยื้อเพราะเห็นแล้วว่าเรากำลังโต้ตอบกับคนๆหนึ่งที่อยากเอาชนะเราเท่านั้น โกเก้เลยให้เค้ารู้สึกว่าชนะไปเลยดีกว่า จะได้จบ ชัยชนะนั้นเอาไปเลยนะคะดีใจด้วย



ประเด็นของเพศที่ 3 จากกระทู้นั้น ทำให้ได้บทเรียนว่าจะไม่แตะต้องอีกเลยแล้วกัน



แต่อย่างนึงที่เกิดความสงสัยคือ ทำไมถึงคิดว่าคนทุกคนที่ตั้งคำถามกับพวกเขาเหล่านี้ถึงต้องเป็นคนที่แอนตี้ ดูถูกด้วยล่ะ แค่สงสัย สงสัยไม่ได้เลยเหรอ เหมือนคำถามเรื่องของเพศชาย หรือเพศหญิง คิดแบบนี้จริงๆ ตลอดชีวิตโกเก้ได้มีเพื่อนเป็นเพศที่ 3 เยอะแยะ เราดีต่อกัน เราเป็นเพื่อนกันยั่งยืน น่าผิดหวังเหลือเกิน แต่โกเก้ก็ยังเชื่อว่า เพศที่ 3 ก็คือคน ที่มีทั้งคนดีคนไม่ดี คนโง่และคนฉลาด คนมีเหตุผลที่น่าคุยด้วย และคนที่คุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้!



-------------------------------------------------





สุดท้ายอยากบอกทุกคนที่เข้ามาอ่านบล็อกโกเก้ มาอ่านคอมเม้นต์ดีๆ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เก็บเอาทุกเรื่องราวในบล็อกไปพูดในทางที่ดี โกเก้ดีใจมาก ขอบคุณค่ะ



แต่ขอร้องว่ากรุณาอย่าทำกิริยาแย่ๆ และเสียมารยาทด้วยการเข้ามาดูบล็อกและเอาไปล้อเลียน ล้อเล่น ให้หัดนึกถึงใจเขาใจเรา เป็นตัวเองจะชอบมั้ย ที่ถูกคนอื่นมาขโมยเอาข้อมูลในบล็อกไปใช้เป็นเครื่องมือในการแบล็คเมล์



โกเก้ไม่บังอาจจะสอนใครได้ดีในเรื่องศีลธรรม และมารยาทมากมายนักหรอก เพราะคิดว่าตัวเองยังทำเรื่องนี้ได้ไม่ดีพอเลย จะเสนอหน้าบอกใครก่อนก็ละอายแก่ใจอยู่



คุณแม่โกเก้เคยสอนว่า ลูกอย่าได้ไปสั่งสอนใคร ถ้าลูกยังทำสิ่งนั้นได้ไม่ดีพอ โกเก้ยังจำมาได้จนทุกวันนี้ หลายคนในกระทู้นั้นมาสอนมารยาทและการใช้ภาษาของโกเก้ แต่เขาก็คงลืมมองตัวเองไปว่าตนนั้นยังทำไม่ได้เลย



สอนเรื่องมารยาท แต่เขาก็ไม่มีมารยาท



สอนเรื่องความหยาบคาบ แต่เขากลับหยาบคายเสียเอง


-------------------------------------------------


เพราะในโลกอินเตอร์เน็ต เราสามารถหลอกคนอื่นได้ เสแสร้งได้ หลายคนใช้โอกาสตรงนี้อัพเกรดตัวเอง แต่ในที่สุดแม้จะเสแสร้งแกล้งเป็นคนเพอร์เฟคได้นานขนาดไหนกัน วันหนึ่งตัวตนเรามันก็ต้องหลุดออกมา



สู้เป็นตัวเอง เปิดเผยว่าเราเป็นคนยังไง โกเก้คิดแบบนี้ จึงเป็นตัวของตัวเอง ยืนหยัดแม้ถูกจะหาว่าไม่ดี เป็นคนแรง บ้าผู้ชายหล่อ ชอบผู้ชายเพอร์เฟค ชอบไปหื่นในกระทู้ผู้ชายล่ำในเฉลิมไทย (วู้) แต่นั่นคือตัวตน ไม่ปิดบัง ใครไม่ชอบที่โกเก้เป็นคนแบบนี้เราก็ไม่ต้องมารู้จักกันตั้งแต่แรก แต่ถ้าใครรับได้ ก็จะสามารถคุยกันสะดวกใจในวินาทีแรกที่รู้จักกันไปเลย เป็นแบบนี้ดีกว่า เว็บบอร์ดคือสังคม ถ้าเราโกหก เราก็ต้องโกหกตลอดไป สุดท้ายไม่สบายใจ ไม่มีความสุข อย่าทำดีกว่า


-----------------------------------------------------



โกเก้ไปแระ ไปทำงาน วันอาทิตย์ยังต้องทำงานอยู่ วันนี้ต้องทำกิจกรรมชมรมเล่านิทาน ทั้งที่ยังเล่าไม่เป็นเรย (กระแดะเสนอหน้าจะเล่าอีก) เอาเหอะ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีจริงมั้ยคะ หุหุ












 

Create Date : 22 มิถุนายน 2551    
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 21:47:34 น.
Counter : 493 Pageviews.  

Mini Series อารมณ์บูด การ์ตูนของเสียงจากบ้านนา


 ** ด้วยความขุ่นเคือง Smileyที่ไม่รู้ตอนจบของซีรี่ย์เรื่อง Supernatural season 3 โกเก้เลยพักยกมาเรื่องการ์ตูนแทนชั่วคราว **


เข้าเรื่อง


Smileyโกเก้ชอบวาดการ์ตูนค่ะ จะวาดได้ดีที่สุดตอนอารมณ์บูดๆ เลยตั้งชื่อเรื่องว่า " Mini series อารมณ์บูด"


ตอนนั่งรออะไรนานๆ ทะเลาะกับใครมา หรือคิดงานไม่ออก สมองตื้อตันเมื่อไหร่ขอให้ได้มีดินสอกับกระดาษอยู่บนโต๊ะ


การที่ได้จับดินสอวาดการ์ตูนลงในกระดาษมันคือการระบายอารมณ์ที่ดีมากSmiley พอวาดเสร็จโกเก้ก็จะอารมณ์ดีตามเดิม


เพราะเป็นคนแบบนี้ไปไหนมาไหนจึงต้องมีสมุดกับดินสอติดตัวไปด้วย


การวาดการ์ตูนตอนอารมณ์บูดของโกเก้ไม่ใช่การวาดมั่วๆ


ไอเดียในการ์วาดออกมาแต่ละครั้ง โกเก้จะหยิบยกเอาเหตุการณ์รอบตัวมาวาดออกมาเป็นการ์ตูน


จับแต่งเป็นเรื่องสั้นเล็กๆจำลองเหตุการณ์ให้มันเป็นเรื่องตลก


ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าทำไมการ์ตูนมันถึงลายเส้นไม่สวย จริงแล้วตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้เป็นการ์ตูนลายเส้นแบบไม่คิดอะไรมาก นึกอยากวาดตอนไหนก็วาด


กระดาษที่ใช้วาดจริงๆเป็นกระดาษ เอ 4 ซึ่งตอนนี้มันสภาพเยินมากเพราะเปียกฝนเมื่อวาน เลยต้องตัดมาจัดวางใหม่ในโฟโต้ช็อปเพื่อความงดงามในการอ่าน Smiley






การ์ตูนบ้านนา เสนอ Mini series อารมณ์บูด 


ตอน หนอนขี้เหล่อารมณ์บูด & ลิ้นจี่เนื้อฉ่ำหวาน กับคนงามที่สุดในจักรวาลนิป้อนิ 1.01







ต้นฉบับมันใหญ่ เลยต้องย่อภาพเพื่อให้ลงบล็อกได้ เวลาจะอ่านก็กดที่ภาพจะขยายขึ้นมาให้อ่านได้นะคะ




ที่มาของเรื่อง Smiley


             คืนวันที่วาดการ์ตูนเรื่องนี้โกเก้ได้ไปที่สถานีวิทยุที่พี่ชายทำงานอยู่ ในระหว่างที่ต้องรอคอยพี่ชายที่น่ารักอัดสปอตวิทยุตัวใหม่อยู่นานแสนนานด้วยความเบื่อหน่าย ก็เดินไปเดินมาและหยุดอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งที่มีพวงลิ้นจี่ฉ่ำๆเน่าๆพวกหนึ่งวางอยู่  ด้วยความที่หงุดหงิดกับการรอคอย ก็ปัดพวงลิ้นจี่ทิ้งและจัดแจงเช็ดโต๊ะเพื่อเคลียร์พื้นที่ตรงนั้นซะ ฉับพลันสายตาเหลือบไปเห็นหนอนขี้เหล่สีดำๆด่างๆดิ้นดุกๆSmileyอยู่บนโต๊ะ เดาว่ามันคงหล่นมาจากพวงลิ้นจี่หวานฉ่ำที่เราปัดมันทิ้งไปมะกี้ ด้วยความสำนึกผิดอะไรของโกเก้ไม่รู้เลยหยิบลิ้นจีมาลูกนึงไปวางไว้ใกล้หนอนตัวนั้นให้มันใต่ขึ้นมากินต่อ


นั่นคือที่มาของเรื่องที่ไม่น่ามีอะไรเลยล่ะ แต่โกเก้ก็ลองใส่อารมณ์ลงไปในหนอนตัวนั้นจนออกมาเป็นการ์ตูนเรื่องนี้ค่ะ




** หากใครหลงเข้ามาอ่านการ์ตูนที่บล็อกนี้ จะเซฟจะเก็บไม่ว่า แต่ยังไงหากจะนำไปเผยแพร่ขอร้องว่าช่วยบอกโกเก้นิดนึงนะคะ ขอบคุณค่ะ **


 จบละ Smiley






 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 26 กันยายน 2551 16:09:36 น.
Counter : 1402 Pageviews.  

1  2  3  

เสียงจากบ้านนา
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]





Free Cursors

Friends' blogs
[Add เสียงจากบ้านนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.