ช่วงฤดูเก็บเกี่ยว คมเคียวในกำมือหยาบกร้านของพ่อแม่และพี่ ๆ คนโตจะเริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่เช้าตรู่ ท่ามกลางความหนาวเหน็บ และชุ่มน้ำค้าง เพื่อไล่ต้อนเก็บเกี่ยวผลผลิตของข้าวนาปีที่ต้นเนนเอนเรียงตามแรงไม้นาบ ตลอดผืนนาทั้ง 30 ไร่ หากเห็นว่าเก็บเกี่ยวไม่ทัน พ่อก็นัดหมายเพื่อลงแขกเกี่ยวข้าว โดยระดมแรงจากเพื่อนบ้านมาช่วย
ในระหว่างชีวิตช่วงอกอ้อมของสายลมหนาว ผมมักมีความทรงจำดี ๆ เกิดขึ้นมากมาย
กระต๊อบกองฟางคืออาณาจักรแห่งความอิสระน้อย ๆ ที่อบอุ่นและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม และระคายฟาง
พุดทรา รสชาดฝาดหวาน คือผลไม้ยืนต้น ที่ดกเหลืองแดงพราวผลเต็มต้นให้ลิงตัวน้อยได้ขึ้นขย่มเขย่า แล้วใส่ถุงกลับมาแบ่งกันกินในบ้าน
ว่าวปักเป้าหางยาว เริงร่า เผ่นโผน เหนือท้องฟ้ากว้าง เรียกรอยยิ้มได้หลังเหนื่อยหอบขณะวิ่งปล่อยสายป่านไปตามเส้นคันนา
ข้าวเม่าคลุกมะพร้าวกับน้ำตาลแดง ของว่างของหวานอันโอชะขณะฟันเคี้ยวบดสัมผัสรส นุ่ม มัน หวาน เค็ม หอม ให้ติดใจไม่รู้ลืม
ค่ำคืนไหนที่บ้านเรามีการตำข้าวเม่า จะเป็นค่ำคืนที่สนุกสนานสำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่ต้องออกแรงตำอย่างพวกเรา
ขณะเสียงจังหวะสากตำลงครกคลายเปลือกเม็ดข้าวคั่วเกลือ หอมกรุ่นจากกระทะของแม่ โดยเรี่ยวแรงของพ่อ ของพี่ชายและพี่สาวคนโต
เสียงเฮฮาหยอกล้อวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ภายใต้แสงตะเกียงเจ้าพายุ ที่แขวนสูง ก็ไม่ขาดห้วงไปจากพวกเรา 4 พี่น้องคนเล็ก ที่ไม่มีหน้าที่ต้องทำอะไร ขณะเดียวกันบางครั้งเสียงหัวเราะก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงร่ำไห้ และคำฟ้อง ยามที่ต้องหยอกล้อกันเกินแรงกว่าการเล่นธรรมดา จนคนทำผิดคนใดคนหนึ่งถูกแรงเควี้ยวขวับด้วยไม้เรียวใกล้มือให้ต้องร้องไห้ไปตามกัน อีกสักพัก ช่วงเวลาไม่นานนัก เสียงหัวเราะก็จะยังคงกลับมา
ก็เราคือพี่น้องกัน โกรธเคืองกันไม่เกิน 10 นาที แผล็บเดียวความโกรธและเสียงร้องไห้ ก็ถูกลืมและหลอมละลายกลับกลายเป็นเสียงหัวเราะดังเดิม
ดังนั้นครอบครัวของเราจึงมีแต่เสียงหัวเราะเริงร่ามากกว่าเสียงร้องไห้
นั่นยังไม่นับรวมเรื่องเล่าของพ่อในคืนวันหนึ่ง หลังอิ่มหนำ กับอร่อยมื้อของข้าวเม่าคลุกมะพร้าวน้ำตาลสีลำ
ภายใต้ร่มแสงของตะเกียงเจ้าพายุ ที่ตีวงกว้างออกไป สากถูกวางพาดเรียงล้อมรอบปากครกขนาดใหญ่ เปลือกและกะลามะพร้าวที่เพิ่งปอกและขูดกองวางอยู่เคียงข้างเตาคั่วข้าว ที่เริ่มมอดไฟ กระด้งใบใหญ่กลม เสร็จภาระหน้าที่ใช้สอยถูกวางทิ้งไว้บนกองฟางข้าวใหม่ที่เพิ่งผ่านการหลุดร่วงเมล็ดจากแรงเท้านวด
ริมกองไฟ มีจานข้าววางซ้อน หลังมื้อข้าวเม่าอิ่มเอม
รอบกองไฟ หนึ่งครอบครัวใหญ่ รวมพ่อแม่พี่น้องแล้ว 9 ชีวิต นั่งอยู่พร้อมหน้า เชื้อไฟใช้ฟางโยนใส่เป็นระยะ ๆ
พ่อบอกว่าเรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าก่อนนอน
เนื้อเรื่องถูกดำเนินเดินไปอย่างเนิบช้า
โดยคำอ้างเริ่มต้นของพ่อ พ่อบอกว่าเรื่องเล่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่าบอกต่อ ๆ กันมา
เรื่องมีอยู่ว่า...
มีไอ้หนุ่มคนหนึ่ง ได้ไปแอบชอบพอกับลูกสาวต่างหมู่บ้าน ด้วยความชอบพอและผูกพันรวมไปถึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องไปสู่ขอในเร็ววัน ไอ้หนุ่มคนนี้ก็เทียวไปมาหาสู่สาวบ้านนี้อยู่มิขาด จนพ่อแม่ฝ่ายสาวก็ชอบพอ และก็ตั้งใจจะได้ไว้เป็นลูกเขยของบ้าน
เหตุแห่งความบังเอิญ ของไอ้หนุ่มระหว่างเดินทางไปสู่บ้านหญิงสาวของเขาในช่วงใกล้ค่ำวันหนึ่ง ไอ้หนุ่มคนี้เกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างกระทันหัน จึงต้องรีบแวะเข้าป่าละเมาะกลางทาง ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าศึกประชิดหน้าด่าน จนไม่มีเวลาดูทิศดูทาง จึงรีบปลดกางเกงแล้วนั่งปลดทุกข์หนักทันทีที่กางเกงพ้นก้นแก้ม โดยหารู้ไม่ว่า เบื้องล่างรับการพรั่งพรูของขบวนทองเหลวของเขานั้นมีเต่าสี่ตีน แอบซ่อนเร้นอยู่ตัวหนึ่ง หลังเสร็จภารกิจ ขณะกำลังควานมือหาไม้เพื่อเช็ดปาดป้าย (บ้านผมเรียกไม้เช็ดขี้) อุจจาระบางส่วนที่ยังเกาะติดตรงนุ่มเนื้อ
พลันสายตาไอ้หนุ่ม ก็มองไปเห็นกองอุจาจาระของตนบนหลังเต่ากำลังขับเคลื่อนตัวออกไปต้วยความเร็ว 0.00006 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ถือว่าช้ามาก)
ไอ้หนุ่มรู้สึกตกใจ แต่ที่ทะลักล้นเข้ามากลับเป็นความดีใจที่เบียดแทรกเข้าแทนที่ เมื่อเกิดอาการสำคัญตนคิดว่าเขากำลังจะกลายเป็นคนวิเศษ ซึ่งเขาคิดไปไกลถึงขนาดการเหาะเหิรเดินอากาศได้ในที่สุด
เขาจึงคิดว่า อาการขี้เดินได้นี้คือจุดเริ่มต้นของคนวิเศษ ส่วนอาการวิเศษต่อ ๆ ไปคงจะตามมาในไม่ช้า
อารามดีใจเขารีบดิ่งตรงไปยังบ้านของหญิงสาวทันที
แต่เขายังไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในใครฟัง เพราะเรื่องขี้ ๆ ยังไม่ใช่เรื่องราวที่จะน่าเล่าให้ใครฟังนัก
ค่ำคืนวันนั้นที่บ้านหญิงสาวของเขามีการตำข้าวเม่ากินกัน หลังกินข้าวเม่าจนเต็มอิ่ม และนั่งคุยกับหญิงสาวจนดึกดื่น ชายหนุ่มจึงตัดสินใจนอนค้างคืนที่บ้านของหญิงสาวตามคำเชิญชวนของพ่อแม่และหญิงสาว
ในช่วงดึกคืนนั้น อาจเป็นเพราะรสมันหวานหอมของข้าวเม่า ที่สวาปามจนมากเกินหรือไรไม่ทราบ ข้าศึกกองพลที่สอง ก็ออกมาตั้งทัพอยู่หน้าหน้ารูทวารของชายหนุ่มอีกครั้ง ถ้าเป็นช่วงกลางวันก็ไม่มีปัญหา แต่นี่เป็นช่วงค่ำคืน ซ้ำยังเป็นบ้านสถานที่ที่ไม่คุ้นชิน รวมไปถึงจะลงจากบ้านก็กลัวหมาจะเห่ากัด ไอ้ครั้นจะไปปลุกหญิงสาวก็ไม่กล้า กึ่งอาย กึ่งเกรงใจเจ้าของบ้าน
อย่ากระนั้นเลย เมื่อข้าศึกมาท้าทายถึงหน้าประตู ก็ต้องปล่อยให้ออกมาเจอกัน
แต่จะปล่อยที่ไหนดีล่ะ
พลันไอ้หนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ ว่าอันตัวเราคือผู้วิเศษนี่นา ข้าก็ขี้มันเสียกลางบ้านนี่แหละ ขี้เสร็จ ขี้มันจะเดินไปไหนก็แล้วแต่ขี้มัน
คิดได้ดังนั้น ไอ้หนุ่มก็ปลดกางเกงปล่อยทุกข์เท่าที่มีออกมาทั้งหมด โดยมิได้กักเก็บและคิดกังวลในเรื่องเช็ดล้างแต่อย่างใดทั้งสิ้น
จวบจนสิ้นสุดกระบวนการขี้ (คงไม่ต้องอธิบายให้ละเอียดนะครับ)
เอ้ากูขี้เอ็งออกมาแล้ว หมดหน้าที่ของข้า ต่อไปก็หน้าที่ของเอ็ง เอ็งจะไปเที่ยวที่ไหนก็ไป อย่ามาอยู่ให้ข้าเห็นหน้า ไอ้หนุ่ม คิดในใจอยู่ในความมืดเงียบ ขณะกำลังนุ่งกางเกงให้เข้าที่เพื่อเตรียมกลับเข้านอน
อนิจจาเอ๋ย ขี้กองใหญ่กองนี้มิได้อยู่บนหลังเต่า ไม่มีเต่าตัวใด อุตริมีความสามารถได่บันไดขึ้นมาบนบ้านนี้ได้แน่
เนิ่นนานพอสมควร ในเงาของความมืดเงียบ ไม่มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายใด ๆ ของเป้าหมายที่ชายหนุ่มกำลังนอนตะแคงเพ่งมอง ขณะในใจก็ส่งถ้อยคำเงียบ ๆ ขับไล่แบบกระชั้นถี่ ว่า ไปซิ ไปซิ
ความกังวลเริ่มแผ่ขยายในใจของไอ้หนุ่ม เหตุไฉนไยจึงไม่เดินดุ่มดั่งเช่นเมื่อตอนเย็นนี้เล่า ขี้จ๋าขี้
พลัน สายตาของไอ้หนุ่ม ก็เหลือบเร้นความมืดไปเห็นกะละมังใส่ข้าวเม่า ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ หัวนอน
หรือเอ็งจะเอาข้าวเม่า ว่าพลางไอ้หนุ่มก็กำข้าวเม่าจากกะละมัง มาหนึ่งกำมือโรยลงไปบนกองขี้
ยังไม่พออีกหรือ เอาอีกก็แล้วกัน ว่าแล้วชายหนุ่มก็กำข้าวเม่าโรยไปอีกหลายกำมือจนท่วมท้นกองขี้
แต่ขี้ของเขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อน อย่างที่ใจเขาอยากให้เป็น
หรือเอ็งจะเอามะพร้าว ว่าแล้วไอ้หนุ่มก็โรยด้วยมะพร้าวทับลงบนข้าวเม่า
หรือเอ็งจะเอาน้ำตาล ฮึว่าแล้วไอ้หนุ่มก็โรยด้วยน้ำตาลสีลำ ทับลงบนมะพร้าวอีกทีพอประมาณ
หลังการโรยน้ำตาล ก็ยังไม่มีปฏิกิริยา ที่จะแสดงถึงการขับเคลื่อนเขยื้อนไหว ใด ๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ถ้อยคำสุดท้ายของไอ้หนุ่มคืนนั้นบนบ้านหญิงสาวที่เขารัก เขาหวัง อาจจะไม่มีใครได้ยิน แต่ถ้าหากคนบนบ้านยังไม่มีใครหลับสนิท ก็อาจจะได้ยินเสียงแผ่วของไอ้หนุ่ม ก็ก้มเกือบแนบชิดกับกองขี้ของเขาแล้วกระซิบเบา ๆ ก่อนไต่บันไดบ้านจากไปอย่างรวดเร็ว ว่า
มึงไม่ไปใช่ไหม ? มึงไม่ไปใช่ไหม ? ถ้ามึงไม่ไป กูไปเองก็ได้ กูไปละน้า..
ช่วงเช้าตรู่ถึงตรู่มาก พ่อของหญิงสาวตื่นเช้าตามปกติ และส่งเสียงเอะโวยวาย ฟังความได้ว่า
ใครเอาข้าวเม่ามากองทิ้งไว้กลางบ้านอย่างนี้ เห็นแล้วเสียดาย หลังคำพูด ขณะคนในบ้านสะดุ้งตื่นก็อาจจะยินเสียงช้อนตักสวบลงที่กองข้าวเม่า ตามด้วยเสียงกรุบเคี้ยว ของชายผู้ยังมีเขี้ยวฟันที่แข็งแรง ......
หลังจากนั้นเรื่องเล่าของพ่อก็จบลง พร้อมกับเสียงหัวเราะของคนในครอบครัว ก็ลั่นระงม ริมกองไฟ ที่เริ่มมอดแสง ....
และทุกคนก็แยกย้ายเข้านอน ขณะเสียงหัวเราะยังคงกระจายลั่นในกระต๊อบกองฟางต่อไปอีกจนดึกดื่น
ผมมักแอบหัวเราะคนเดียวในรถ ขณะย้อนนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็ก คุณละ เคยเป็นแบบผมมั๊ย ?