สวัสดีคะ ยินดีต้อนรับเพื่อนๆทุกท่านคะ
ขอบคุณสำหรับการเยี่ยมชมบล็อก ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินในบล็อกนี้และหวังว่าคุณจะมีรอยยิ้มหลังออกจากบล็อกนี้นะคะ

พ่อแม่จ๋า หนูรู้จักความรักแล้วนะ

คุณอ่านไม่ผิดหรอกค่ะ เด็กวัยขวบปีแรกนี่แหละรู้จักความรักแล้ว...ค่ะ
แม้จะยังพูดไม่ได้ และอาจฟังคำบอกรักของคุณแบบไม่เข้าใจภาษา แต่ลูกก็รู้จักความรัก ผ่านกายสัมผัสที่อบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ เพราะสมองของลูกพร้อมเรียนรู้และตอบสนองแล้ว และการที่คุณพ่อคุณแม่ตอบสนองลูกบ่อยๆ ก็จะช่วยให้เซลล์สมองของลูกพัฒนายิ่งขึ้นค่ะ

สายตาสื่อรัก
คำพูดที่ว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ คงไม่ผิดค่ะ เพราะเด็กเบบี๋สามารถสัมผัสถึงสายตาคู่นี้ของคุณได้อย่างดีเช่นกัน เวลาที่คุณมองลูกด้วยความรักและเอ็นดู ถ้าคุณสังเกตก็จะเห็น แววตาที่ลูกมองกลับมานั้น แสดงถึงความรักที่มีต่อคุณเช่นกัน
นอกจากนี้ ใบหน้าของคุณยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านการมองเห็นของลูกด้วย เนื่องจากสีสันที่ตัดกันของอวัยวะบนใบหน้า ไม่ว่าจะดวงตา ซึ่งมีมีสีขาว-ดำ เคลื่อนไหวไปมา ริมฝีปากสีชพูตัดกับฟันขาว - อ้าปากหุบปากเวลาที่เราพูด ลูกก็ได้เรียนรู้ได้ขยับดวงตา และริมฝีปากตามเราไปด้วยค่ะ


หอม สัมผัสแห่งรัก
จมูกเอาไว้รับรู้กลิ่นค่ะ ทุกครั้งที่หอมลูกเบาๆ สัมผัสจากจมูกเราที่แตะตัวลูก เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกรู้ว่า เราสัมผัสเขาด้วยความรู้สึกทะนุถนอม ในขณะเดียวกันลูกก็จะรับกลิ่นของคุณเข้าไปด้วย เด็กเบบี๋จะรู้ว่านี่คือกลิ่นของคุณแม่ กลิ่นของคนที่เลี้ยงเขา กลิ่นที่เขาคุ้นเคย
เวลาที่เราหอมลูก จะเห็นว่าลูกจะยิ้มน้อยๆ หรือขณะที่ลูกกำลังโมโหอยู่ก็จะค่อยๆ หาย ก็ด้วยสัมผัสที่อ่อนโยนจากคุณแม่นี่เองค่ะ

เสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคย
ไม่ว่าลูกจะร้องไห้ ยิ้ม หัวเราะ อ้อน เสียงของเรามีอิทธิพลต่อลูกเสมอค่ะ แม้เขาจะยังไม่เข้าใจภาษา แต่สามารถรับรู้ในโทนเสียงอ่อนโยน ที่คอยปลอบประโลม จึงทำให้เจ้าตัวน้อยสงบลงได้
ขณะที่คุณพูดคุย เล่นกับลูก เขาจะตอบสนองกับเสียงเหล่านั้นของคุณ คุณหัวเราะ ลูกก็หัวเราะ เวลาไหนที่คุณโมโห หรือพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ เขาก็รับรู้เช่นกัน อาจจะทำหน้างงๆ หรือบางคนก็ร้องไห้จ้าเลยทีเดียวค่ะ นั่นเป็นเพราะหนูน้อยเรียนรู้เรื่องโทนเสียงผ่านคุณแม่หรือคนที่เลี้ยงเขาด้วยน่ะสิคะ

อ้อมกอดอันอบอุ่น
อย่าว่าแต่เด็กเบบี๋เลยค่ะ แม้แต่ผู้ใหญ่อย่างเรา การถูกใครสักคนกอด นอกจากจะทำให้เรารู้สึกไม่เคว้งคว้าง ยังทำให้เรารู้สึกว่า มีคนคนหนึ่งอยู่กับเรา เป็นคนที่เราไว้ใจ และเป็นคนที่รักเรา เด็กเบบี๋ก็รู้สึกไม่ต่างค่ะ การกอด การสัมผัสที่คุณส่งถึงลูกนั้น นอกจากจะแสดงให้รู้ว่าคุณรักเขามากแค่ไหน ยังทำให้เขาเกิดความเชื่อมั่น สร้างรากฐานของความไว้ใจ และยังทำให้รู้จักที่จะแสดงความรักตอบด้วยการกอดด้วยค่ะ
แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังเล็ก แต่เชื่อเถอะค่ะ ไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ต้องการสัมผัสอันอบอุ่นจากพ่อแม่หรือคนเลี้ยง ยิ่งกอดมาก ลูกก็จะรู้ว่าคุณรักเขามากขึ้นเท่านั้น และความรักจะเป็นรากฐานที่ดีของพัฒนาการในทุกด้าน ช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นอย่างมั่นใจ
นอกจากนี้ การดูแลเอาใจใส่ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น การให้นม ป้อนอาหาร เปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ อุ้ม กล่อมนอน สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ลูกรับรู้ได้ถึงความรักที่คุณมีให้ ลูกจะรู้ว่าคุณแม่คุณพ่อตั้งใจที่จะอาบน้ำให้เขา ตั้งใจที่จะเปลี่ยนผ้าอ้อม สีหน้าของคุณมีความสุขเวลาที่ได้ทำอะไรให้ลูก เด็กๆ รับรู้ตรงนี้ได้นะคะ
การที่เด็กหลายๆ คนไม่ติดคุณพ่อคุณแม่ แต่ติดคนเลี้ยงก็เพราะคนเลี้ยงดูแลเขาด้วยความรักและเอาใจใส่นี่ล่ะค่ะ เด็กๆ รับรู้ได้ และรู้สึกอุ่นใจ มีความสุข หรือตื่นเต้น เมื่อคนที่รักเขาโผล่หน้ามาหาเวลาที่เขาตื่น พูดคุยกับเขา
ตรงกันข้าม เมื่อไหร่ที่คนเลี้ยงไม่รักลูกของเรา ทำอะไรแบบขอไปที ลูกร้องไห้ก็ทำเสียงดังเพื่อให้ลูกเงียบ เด็กก็จะมีปฏิกิริยาสนองกลับโดยอาจจะร้องไห้จ้า หรือเบือนหน้าหนี วิตก กลัว เพราะเขารับรู้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเขา ไม่ได้รักเขาเลย
เห็นมั้ยคะ ไม่ว่าคุณจะส่งผ่านความรู้สึกแบบใดไปถึงลูก ลูกสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น และตอบสนองกลับในแบบเดียวกับที่คุณทำ เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า mirror neuron หรือเซลล์กระจกเงา ที่สะท้อนทุกการกระทำของคุณหรือคนเลี้ยงไปยังลูก เซลล์ประสาทนี้จะเรียนรู้และก็อปปี้ทุกๆ การกระทำของคุณเอาไว้ และแสดงออกมาแบบเดียวกัน ทีนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วนะคะว่า ทำไมเด็กตัวน้อยๆ ถึงรับรู้ความรักที่คุณมอบให้และตอบสนองกลับคือได้เช่นกัน


ข้อมูลจากนิตยสาร : ฉบับที่ 301 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2551




 

Create Date : 19 มกราคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2552 0:14:04 น.
Counter : 283 Pageviews.  

เบบี้ก็กลุ้มใจเป็นนะ


แม้เด็กวัยนี้จะใช้เวลานอนเสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า 80 % ของเวลาที่มีอยู่ในหนึ่งวันลูกจะเอาแต่นอนหลับปุ๋ย พอตื่นขึ้นมาเขาจะรู้สึกว่าต้องการให้มีคนที่รักเขาอยู่เคียงข้าง ฉะนั้นถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ได้ว่าทุกครั้งที่ลูกตื่น ลูกจะร้องไห้หาเราเพราะลูกต้องการให้มีคนคอยดูแลเอาใจใส่ และตอบสนองความต้องการเขาอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส การกอด การอุ้ม การปลอบประโลม หรือน้ำเสียงที่พูดอย่างอ่อนโยน
เรื่องปัญหาพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นฉี่ อึ ปวดท้อง หิว ร้องไห้ ถ้าเราสามารถตอบสนองลูกเป็นอย่างดี ลูกจะรู้สึกสบายใจ ไม่เครียด และพัฒนาความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย มองโลกในแง่ดี มีจิตใจคิดดีต่อผู้อื่นเมื่อถึงตอนโตโน้นเลยล่ะค่ะ
เด็กวัย 8-9 เดือนไปจนถึง 1 ปีจะเริ่มกลัวการพรากจากแม่อย่างที่สุด แค่เราเดินไปเข้าห้องน้ำ หรือเดินไปรินน้ำแล้วกลับมาอีกครั้ง ลูกจะเหลียวมองตาม หรือไม่ก็ร้องไห้เพราะกลัวเราหนีห่างไปไหน ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้คือบอกให้ลูกรู้ว่าเราจะไปไหน และจะกลับมาภายในเวลาไม่นาน หรือส่งเสียงโผล่หน้าให้เห็นว่าแม่อยู่ไม่ไกล
ความรู้สึกกลัวของลูกเกิดขึ้นได้จากการแสดงของแม่ ซึ่งมีบทบาทต่อจิตใจลูกมาก คุณแม่ที่มีลักษณะขี้โวยวาย จู้จี้ เข้มงวด กระตุ้นหรือปกป้องลูกมากไป จะทำให้ลูกรู้สึกกังวล รู้สึกถูกทอดทิ้งและต้องการความสนใจ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ล้วนผลักดันให้เด็กเกิดความกลัวได้ค่ะ
พ่อแม่บางคนอาจไม่เข้าใจ คิดไปเองว่าลูกวัยเบบี้อาจกังวลใจไม่เป็น แต่ตราบใดที่ความต้องการพื้นฐานของเขาไม่ได้รับการตอบสนอง ความเครียดจะเกิดขึ้นกับลูกได้โดยที่เราเองก็นึกไม่ถึงค่ะ ฉะนั้นเด็กวัยแบเบาะนี่แหละถ้าเราให้ความรัก และเวลากับเขาอย่างเพียงพอ เขาจะอารมณ์ดี ไม่เครียด หัวเราะง่าย และรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ ซึ่งเมื่อเด็กอารมณ์ดี ไม่เครียดต่อไปเขาจะพัฒนาไปสู่การเรียนรู้ที่มีความสุข และพัฒนาการการเติบโตสมวัยอย่างที่เราต้องการค่ะ
ไม่อยากให้หนูเครียด ต้อง...
ช่วง 3 เดือนแรกถ้าเราตอบสนองลูก สบตาและพูดคุยกับลูกอย่างสม่ำเสมอ ลูกเริ่มมองตาเรา และมองตามเสียงเรียกของเรา เพราะลูกเริ่มรู้จักและคุ้นเคยกับเราแล้ว การตอบสนองลูกอย่างนี้ถือเป็นการให้ของขวัญล้ำค่ากับลูกวัยเบบี้เลยนะคะ เพราะเขาจะรู้ถึงความรัก และความผูกพันที่เรามีให้อย่างเต็มเปี่ยม
ฉะนั้นช่วงเวลาที่ลูกอายุ 0-1 ปีนี่แหละค่ะ ถือเป็นช่วงเวลาทองที่เราจะสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้ลูก เมื่อรู้อย่างนี้แล้วการให้นมลูก กอดลูกไว้ เล่นกับเขา หรือเอานิ้วมือให้เขากุม หรือนวด คุยกับเขาตลอดเวลา ลูกจะค่อยๆ ซึมซับความรักที่เรามีให้เขา และเขาจะเริ่มรู้สึกเป็นสุข และเป็นเด็กไม่เครียดง่าย ซึ่งความทรงจำที่ดีอันนี้จะฝังแน่นในจิตสำนึกของลูกไปจนตลอดชีวิตเลยเชียวค่ะ
พ่อแม่บางคนสามารถหาเกมต่างๆ มาช่วยกระชับความสัมพันธ์กับลูกวัยนี้ได้ โดยเล่นเกมปูไต่กับลูก หรือเล่นจั๊กจี้กับลูก หรือเล่นจ๊ะเอ๋ เล่นหน้ากระจก หรือแม้กระทั่งเวลาอาบน้ำเราสามารถหาตุ๊กตายางตัวเล็กๆ มาอาบเป็นเพื่อนลูกก็ได้อีกเหมือนกันค่ะ
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นค่ะว่า ลูกวัยนี้จะกลัวการพรากจากมาก เพราะเขาคิดว่าเขาคือส่วนหนึ่งของพ่อแม่ ฉะนั้นแค่เราหายไปแม้เพียง 2-3 นาที โลกทั้งโลกสามารถถล่มทลายลงไปต่อหน้าต่อตาได้ ด้วยเหตุนี้ถ้าเราต้องเดินไปไหนอย่างไปห้องน้ำ หรือไปทำกับข้าว หรือแม้แต่ไปทำงาน เราควรพูดลากับลูกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนะคะ ยิ่งถ้าเข้ามาโอบกอดลูก และกล่าวลาอย่างอบอุ่นจะช่วยให้ใจของลูกไม่รู้สึกเครียด หรือกลัวกับการจากลาของเราค่ะ
บางบ้านอาจจำเป็นต้องย้ายบ้านในช่วงลูกแบเบาะ หรืออาจต้องไปนอนค้างอ้างแรมกันในต่างจังหวัด ฉะนั้นการจากลาจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆ จะทำให้ลูกเครียดได้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราสามารถนำตุ๊กตา หรือหมีตัวโปรด หรือผ้าห่มผืนโปรดติดตัวไปด้วยก็ได้ เพราะสิ่งของเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกเชื่อมโยงกับบ้าน และทำให้เขาไม่รู้สึกเคว้งคว้างเกินไปนัก
โดยรวมแล้วเด็กวัยนี้ต้องการให้เราตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การทำความสะอาดให้ยามที่เขาอึ ฉี่ หรือไม่สบายตัว และถ้าเราตอบสนองลูกด้วยความรัก และทนุถนอม สุขภาพใจที่เป็นสุขจะเกิดขึ้นและฝังแน่นไปจนตลอดชีวิตเลยเชียวค่ะ

ข้อมูลจาก : นิตยสาร ฉบับที่ 255 เดือนเมษายน พ.ศ. 2547




 

Create Date : 19 มกราคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2552 0:12:18 น.
Counter : 238 Pageviews.  

บ่ม&เพาะ&ปลูก...นิสัยรักการอ่าน

" หากจะปรับให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา จำเป็นต้องเร่งสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้เป็นวัฒนธรรมของชาติ และทำให้เกิดทั่วแผ่นดิน" คำพูดนี้ของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฏร์อาวุโสคงช่วยตอกย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการอ่าน ซึ่งเป็นประตูที่เปิดไปสู่การเรียนรู้ จินตนาการ และความความคิดสร้างสรรค์ และการจะสร้างนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับลูกได้นั้น ต้องเริ่มกันตั้งแต่เล็กเพื่อให้รากแก้วรักในการอ่านเติบโตอย่างแข็งแรงอยู่ในตัวเด็กๆ ค่ะ ไม่ต้องรีรอคุณสามารถลงมือสร้างหนอนน้อยนักอ่านได้ตั้งแต่วันนี้เลย

Chapter 1: อ่าน...ให้อะไร
การอ่านเป็นกระบวนหนึ่งที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ค่ะ ขณะที่เกิดกระบวนการอ่านทั้งภาพหรือสัญลักษณ์ในหนังสือ สมองได้พัฒนาและเกิดกระบวนการคิด ซึ่งกระบวนการคิดนี้จะสามารถพัฒนาและเชื่อมโยงเป็นการพูด การเขียน การวาดภาพ โดยผลที่แสดงออกมาจากการอ่านจะเห็นชัดตามแต่ละช่วงวัย ทั้งนี้การอ่านมีส่วนช่วยทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เพราะการเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ได้ ต้องมีข้อมูลที่หลากหลายเพื่อสามารถนำมาประมวลและวิเคราะห์สร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้นั่นเอง

มากประโยชน์จากการอ่าน :
1.สำหรับลูกเล็กจะช่วยพัฒนาระบบประสาทสัมผัส เริ่มต้นจากการมองเห็นภาพ ได้ยินเสียงพ่อแม่พูดหรือเล่า ส่วนการได้สัมผัสกับวัสดุของหนังสือนิทานช่วยให้เด็กรู้จักผิวสัมผัสของวัตถุแต่ละชนิดว่าอย่างไร แข็ง อ่อน นุ่มแล้วยังได้เรียนรู้เรื่องรูปทรงไปในตัวด้วยค่ะ การปูพื้นฐานให้เด็กได้ใกล้ชิดกับหนังสือจะทำให้เขารู้สึกดี คุ้นเคยและกลายเป็นความชอบหนังสือในที่สุด
2.ช่วยกระตุ้นพัฒนาสมองในส่วนที่ของทักษะภาษา ทั้งการฟังและการพูด เพราะอย่างน้อยขั้นแรกที่ลูกฟังเสียงอ่านของคุณพ่อคุณแม่เป็นการเริ่มต้นรู้จักคำศัพท์ต่างๆ และเมื่อพูดได้ลองหัดอ่านออกเสียงเป็นคำๆ ไปพร้อมกับภาพและตัวอักษรในหนังสือ ถึงจะยังไม่รู้ความหมายแต่ก็ถือเป็นการฝึกออกเสียงพูด เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ เรียกว่าเป็นการปูพื้นพัฒนาการด้านภาษากับลูกได้ค่ะ
3.กระตุ้นความคิดและจินตนาการ ใช้หนังสือนิทานเป็นเครื่องมือต่อยอดความคิดและจินตนาการให้กว้างไกล ภาพที่เห็นหรือเนื้อเรื่องที่ลูกฟังจากนิทานที่พ่อแม่อ่านจะช่วยกระตุ้นความคิด ยิ่งฟังบ่อยๆ จะช่วยลูกได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากสิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน สำหรับวัยช่างเรียนรู้สำคัญเชียวที่ควรเรียนรู้อย่างหลากหลาย
4.เป็นของเล่นให้ลูก สำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่ยังไม่ทราบวิธีเล่นกับลูก ลองใช้นิทานเชื่อมโยงไปกับการเล่นกับลูก อาจจะให้ลูกนั่งตักเปิดนิทานเล่าไปพร้อมๆ กัน ชวนลูกเล่นไประหว่างเล่า เพื่อเชื่อมโยงกับนิทานเล่มนั้น อาจะใช้ตุ๊กตาเป็นตัวละครเล่นไปกับลูก ช่วยสร้างสายสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นในครอบครัวได้
5.การอ่านช่วยสร้างสมาธิ กับเด็กเล็กแล้วฟังเสียงแม่เล่าก็ทำให้เด็กมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่เขาฟัง แล้วการมีสมาธินี่ล่ะที่จะช่วยต่อยอดให้ทำกิจกรรมอื่นได้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี
6. พาคนอ่านและคนฟังไปสถานที่ที่ไม่เคยไป เรียกว่าช่วยเปิดโลกและเพิ่มพูนประสบการณ์ให้หลากหลาย ทำให้เด็กเป็นคนที่รอบรู้ รวมถึงมีวิธีคิดและมองโลกที่กว้าง ตลอดจนรู้จักแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างสร้างสรรค์
หน้าที่สำคัญของพ่อแม่คือต้องช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้ลูกคุ้นเคยกับการอ่าน ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการให้ลูกรู้สึกดีกับการอ่านและหนังสือ ซึ่งต้องเข้าใจและกระตุ้นให้เหมาะกับวัยด้วยค่ะ ไม่เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นยัดเยียดซึ่งจะส่งผลร้ายมากกว่าดีนะคะ


Chapter 4: อ่าน ....เพลินกับหลากวิธี
1. เป็นตัวอย่างที่ดีในการอ่านหนังสือ
2. สร้างค่านิยมและวัฒนธรรมการอ่านให้เป็นกิจกรรมประจำบ้าน เช่น กำหนดให้ทุกเย็นก่อนนอนเป็นช่วงเวลาของการเล่านิทาน หรือให้มี1วันช่วงกลางวันทั้งพ่อและแม่จะนั่งอ่านหนังสือ ทำให้เป็นหนึ่งกิจกรรมแทนการเดินช้อปปิ้งทุกวันหยุด
3. ทำให้การอ่านหนังสือเป็นเรื่องสนุกสนาน พ่อแม่เป็นคนสำคัญที่จะทำให้เกิดความรู้สึกนี้ขึ้น เริ่มต้นที่ลีลาท่าทางการเล่านิทาน น้ำเสียงที่เล่าต้องหลากหลายตามเรื่องราว ซึ่งจะช่วยให้นิทานเรื่องธรรมดาสนุกขึ้นมาได้ เมื่อเกิดความสุขและความสนุกสนานขึ้นมาได้รับประกันว่าลูกจะรักนิทานได้ไม่ยากเลยค่ะ
4. จัดมุมใดมุมหนึ่งของบ้านให้เป็นห้องสมุดขนาดเล็ก ไว้เป็นพื้นที่ให้ลูกได้อ่านหนังสือเล่มที่ชอบ
5. พาลูกไปเลือกหนังสือนิทานด้วยกัน
6. ตั้งกฎเหล็กก่อนนอนต้องอ่านนิทาน 1เล่มเสมอ พ่อหรือแม่ควรทำหน้าที่นี้ได้ทั้งคู่นะคะ
ความประทับใจครั้งแรกถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กค่ะ ทำให้ลูกรู้สึกดีกับการอ่านหนังสือเข้าไว้นะคะ จะเป็นการวางพื้นฐานการอ่านที่มั่นคงแข็งแรงให้กับลูก ทำอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นนิสัย แล้วเมื่อวันหนึ่งลูกหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเองถือว่าคุณได้ให้เครื่องมือการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดกับลูกแล้วค่ะ



ข้อมูลจากนิตยสาร : ฉบับที่ 147 เดือนมกราคม พ.ศ.2551




 

Create Date : 19 มกราคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2552 0:10:43 น.
Counter : 301 Pageviews.  

แน่ใจรึ...ว่าลูกได้สารอาหารครบ !

แน่ใจแล้วหรือคะ ว่าเจ้าตัวน้อยของคุณได้รับสารอาหารครบถ้วนดี หากคุณยังไม่แน่ใจกับคำถามนี้ ต้องอ่านเรื่องนี้แล้วค่ะ
ถึงแม้ 2-3 ปีที่ผ่านมา ภาวะโรคขาดสารอาหารในเด็กไทยจะลดลงเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าชะล่าใจไปนะคะ เพราะใครจะรู้ว่าพฤติกรรมการกินของลูกเราที่เป็นอยู่นั้น อาจเสี่ยงต่อการเป็นเด็กขาดสารอาหารได้ ซึ่งหากเป็นโรคนี้แล้วก็ต้องใช้เวลารักษากันนานเป็น 5-10 ปีเชียวค่ะ กว่าสารอาหารที่ขาดหายไปจะกลับมามีปริมาณมากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ทำไมลูกขาดสารอาหาร
โรคขาดสารอาหารในเด็ก ส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น ลูกไม่ได้กินนมแม่อย่างเพียงพอในวัย 6 เดือนแรก เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าในนมแม่นั้นเป็นศูนย์รวมของสารอาหารนานาชนิดเลยล่ะค่ะ หรือเมื่อเข้าสู่วัยที่ลูกควรจะได้รับอาหารเสริมแล้วไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามที่ควรจะเป็น ก็ทำให้ขาดสารอาหารได้เช่นกันนะคะ

แบบนี้...สารอาหารไม่เพียงพอ
เบื้องต้น คุณพ่อคุณแม่สามารถจะรู้ได้ว่าลูกของเรากำลังขาดสารอาหารอยู่หรือไม่ โดยการสังเกตดูจากลักษณะต่อไปนี้ค่ะ
ร่างกาย ร่างกายลูกแคระแกรน ตัวเล็ก น้ำหนักตัวน้อย
ผิว เด็กที่ขาดสารอาหารผิวจะมีลักษณะแห้ง ไม่สดใส
ผม ผมของลูกร่วง บาง ผมเปลี่ยนสี หรือแตกปลาย
ตา ตาแห้ง ไม่ค่อยมีน้ำหล่อเลี้ยงกลิ้งกลอกไปมา
ลิ้น ปกติพื้นผิวของลิ้นเด็กจะเป็นตุ่มๆ แต่ถ้าลิ้นของลูกดูเรียบไม่มีตุ่มเลย ก็อาจจะสันนิษฐานได้ว่าลูกอาจมีภาวะขาดธาตุเหล็ก สังกะสี หรือวิตามินบีอยู่ก็ได้
แต่การที่จะทราบได้แน่ชัดว่าลูกขาดสารอาหารหรือไม่ ก็ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ โดยแพทย์จะตรวจจากประวัติการกินของลูก และดูกราฟการเจริญเติบโต หากน้ำหนักที่เทียบกับอายุขณะนั้นน้อยกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 3 ถือว่าเป็นภาวะขาดอาหารขั้นรุนแรง (คุณหมอประจำตัวของลูกจะช่วยดูให้เมื่อพาลูกไปรับวัคซีนค่ะ) ซึ่งต้องรักษากันต่อไปค่ะ

4 เหตุทำลูกขาดอาหาร
ส่วนใหญ่เด็กเล็กๆ ใน 3 ปีแรกที่มีปัญหาน้ำหนักตัวน้อยและขาดสารอาหาร พบว่า 90% เกิดจากพฤติกรรมการกิน ซึ่งคนที่มีบทบาทต่อการกินของลูกก็คือพ่อแม่นั่นเองค่ะ
เน้นปริมาณ พ่อแม่บางคนเห็นว่าลูกตัวเล็ก กินข้าวน้อย ดังนั้นลูกอยากกินอะไรก็จะปล่อยให้กิน ไม่ว่าจะเป็นขนมทั้งหลายที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย เรียกว่าเอาปริมาณเข้าว่า เห็นลูกกินได้ก็สบายใจ ดังนั้น แม้ลูกจะน้ำหนักตัวมากแต่ก็มีโอกาสขาดสารอาหารได้เช่นกันนะคะ
กินไปเล่นไปบางคนเดินป้อนข้าวลูกกันทั่วบ้านนานเป็นชั่วโมง หรือเปิดทีวีไปด้วย 2-3 ชั่วโมงต่อมื้อ จริงๆ แล้วระยะเวลาครึ่งชั่วโมง คือช่วงที่ดีสำหรับการกินอาหารของเด็ก รวมถึงหากอาหารทิ้งไว้นานกว่าครึ่งชั่วโมงก็จะเย็นชืด ทำให้ลูกก็จะเบื่อและไม่อยากกินแล้วค่ะ
ไม่ได้เลี้ยงลูกเอง พ่อแม่บางคนไม่ได้ดูแลลูกด้วยตัวเอง อาจจะมอบหน้าที่ให้ยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัด ยายจึงต้องให้เด็กกินนมยูเอชทีของผู้ใหญ่แทนนมแม่ ซึ่งไม่มีวิตามินและกลือแร่เหมือนนมแม่ ทำให้เด็กขาดสารอาหารได้

กินอย่างไร...ไม่ให้ขาด
ในวัยขวบปีแรก นมคืออาหารหลักของลูก ส่วนข้าวเป็นอาหารเสริม พออายุ 1 ปีขึ้นไป ข้าวจะกลายเป็นอาหารหลัก ส่วนนมจะเป็นอาหารเสริมแทนแล้วค่ะ ดังนั้นพ่อแม่ก็ต้องเลือกชนิดของอาหารให้เหมาะสมตามโภชนาการของลูกด้วย ซึ่งสารอาหารหลักๆ ที่ลูกควรจะได้รับก็ได้แก่
คาร์โบไฮเดรต นอกจากจะเป็นพลังงานของร่างกายแล้ว ยังเป็นสารอาหารของสมองอีกด้วย เพราะสมองก็ต้องใช้น้ำตาลในการเรียนรู้เช่นกันค่ะ
โปรตีน สำคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและยังมีผลต่อความสูงของเจ้าตัวเล็กด้วย
ไขมัน เป็นส่วนประกอบหลักของสมองลูก ดังนั้นลูกก็ต้องกินไขมันให้เพียงพอ แต่ไขมันที่เด็กควรจะได้รับไม่ใช่ไขมันจากเนื้อสัตว์ มันหมู ข้าวมันไก่ หรือหนังไก่อย่างที่ผู้ใหญ่เราชอบกันนะคะ แต่เป็นไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง หรือไขมันจากรำข้าวค่ะ
นอกจากสารอาหารหลักๆ เหล่านี้แล้ว สารอาหารย่อยๆ เช่น พวกวิตามินจากผักผลไม้ และเกลือแร่ทั้งหลายก็ขาดไม่ได้เช่นกันค่ะ ซึ่งเกลือแร่สำหรับกระดูก ก็คือ แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส พบได้ในนม ตับ และเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง (แต่ต้องแดงจากธรรมชาติด้วยนะคะ)
ที่สำคัญช่วง 0-3 ปี หลังรับนมแม่ไปแล้ว ลูกก็ควรได้รับนมอย่างต่อเนื่องเพีบงพอ เพราะในนมมีทั้งโปรตีนและแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกลูก สำหรับข้าว ลูกควรจะกินให้ได้ในปริมาณครึ่ง - หนึ่งทัพพีต่อมื้อ เนื้อสัตว์อย่างน้อย 4 ช้อนโต๊ะต่อวัน ส่วนผักผลไม้ก็ต้องประมาณ 2 ส่วนต่อวันค่ะ
มีการศึกษาจากต่างประเทศว่า การขาดสารอาหาร มีผลทำให้ไอคิวของเด็กลดลง และอาจจะทำให้เตี้ยได้ ถึงจะแก้ไขกันตอนโตเด็กก็อาจจะสูงไม่ได้เท่าพี่น้องคนอื่นๆ ค่ะ ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรมองข้ามเรื่องอาหารการกินของลูกนะคะ

อ่านต่อได้ในนิตยสารรักลูกเดือน มิถุนายน 2550




 

Create Date : 19 มกราคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2552 0:09:24 น.
Counter : 749 Pageviews.  

นักจ้อ พ.ศ.นี้

พอเปลี่ยนปีย้าย พ.ศ.เข้าขวบที่ 3 ดูเจ้าลูกคนดีช่างพูด ช่างคุยขึ้น กว่าก่อนเยอะ ถึงขั้น "ช่างจ้อ" เชียวล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องพูดเรื่องภาษาของหนูวัยนี้ ก็ยังต้องการการส่งเสริมที่ถูกต้องเหมาะสมจากคุณพ่อคุณแม่อยู่ดี เพื่อไม่ให้ลูกเป็นแค่เด็ก ช่างพูดแต่เป็นเด็กที่พูดเก่งและพูดเป็นค่ะ
เวลาของนักจ้อ
เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงจริงๆค่ะสำหรับลูกขวบปีนี้ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์รวมถึงภาษาที่ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ถึงกับยิ้มหน้าบานไปตามๆกันในความช่างพูด ช่าง เจรจาของลูก มีเรื่องมาซักมาถามได้ไม่เว้นแต่ละวัน โดยเฉพาะเวลาเล่นจะพูดมากเป็น พิเศษและจะโกรธมากเลยถ้าพูดแล้วคุณพ่อคุณแม่หรือใครๆไม่สนใจฟัง
ลูกชอบนักที่จะเลียนเสียง สำเนียงหรือคำพูดของคนที่อยู่รอบๆตัว เรียกว่า สังเกตและเรียนรู้ได้เร็วจนบางครั้งผู้ใหญ่อย่างเราๆถึงกับอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินจากปากลูกเลย ล่ะค่ะ แกสามารถใช้คำได้มากขึ้น คำที่มักจำและพูดถึงอยู่บ่อยๆคือ ชื่อคน สิ่งของ สัตว์ที่ อยู่รอบๆตัว ทั้งการกระทำที่เห็นอยู่เป็นประจำ เช่น กิน เที่ยว อาบน้ำ เป็นต้น รวมทั้งชื่อ ของตัวเองด้วยค่ะ
ส่วนประโยคที่พูดก็เริ่มยาวกว่าเมื่อขวบปีก่อน ประเภทอะไร ทำไม ที่ไหน จะ มีให้ได้ยินได้ฟังกันอยู่บ่อยๆ รวมทั้งประโยคที่เหมือนจะเป็นคำสั่ง เรื่องจะให้รับคำ "ค่ะ" "ครับ" ไม่มีให้ได้ยินกันง่ายๆหรอกค่ะ ถ้าไม่สอนไม่บอกกัน
และเพราะความที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้ คุณพ่อคุณแม่จึงมักได้ยินแกเรียกสิ่งของที่มี ลักษณะคล้ายกันด้วยคำๆเดียวกัน เช่น รู้แหละว่าลูกกลมๆแบบนี้เรียกว่าส้ม พอเห็นอะไรที่ กลมๆก็เหมารวมว่าเป็นส้มไปด้วยเลย ถ้าเห็นอย่างนี้ก็อย่าถือเอาเป็นเรื่องเป็นราวนัก แค่บอกไปว่าสิ่งนั้นคืออะไร เปรียบเทียบความแตกต่างให้เห็น ไม่นานลูกก็จะค่อยๆรู้จัก สังเกตและจดจำไปเอง
เวลาทองของภาษา
ช่วงวัยระหว่าง 2-3 ปีนี้เป็นช่วงเวลาทองของสมองน้อยๆที่สามารถรับเอาคำ ศัพท์ใหม่ๆได้มาก พูดและรู้คำได้ถึง 300 คำ และถ้ามีใครที่ไม่คุ้นเคยมาฟังเจ้าหนูจ้อก็ สามารถเข้าใจในสิ่งที่แกสื่อสารได้อย่างน้อยๆก็ 50 % เชียวค่ะ แล้วพอถึง 3 ขวบ แกก็ สามารถพูดประโยคที่มีคำ 3-4 คำ รวมทั้งเข้าใจประโยคที่ผูกซ้อนกัน 2 ประโยค เช่น เก็บของเล่นแล้วไปล้างมือ และสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนขึ้นได้ เช่น วันนี้หนูไปทำอะไร ที่บ้านคุณย่าบ้าง เช่นเดียวกันถ้ามีใครที่ไม่คุ้นเคยมานั่งฟังเจ้าตัวเล็ก ก็จะเข้าใจอย่าง น้อยๆ 80 %ของสิ่งที่แกพูด ไม่น้อยเลยใช่มั้ยคะ
ยิ่งจ้อนี่สิดี
การที่เจ้าตัวเล็กรู้จักใช้ถ้อยคำและประโยคที่ซับซ้อนขึ้นนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ความจำและการระลึกได้ในใจของแกพัฒนาไปได้มาก เพราะกว่าจะออกมาเป็นคำเป็นประ โยคพูดของลูกได้ แกต้องใช้ความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งที่เคยเห็นเคยได้ยินแล้วตี ความออกมา
ความรุดหน้าทางการพูดนี้ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้การเรียนรู้ของลูกทำ ได้ดีและง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นหนทางให้แกรับรู้ข้อมูลและคำศัพท์ใหม่ๆ เพราะยิ่งพูดยิ่งถามมาก ลูกก็ยิ่งได้ฟังได้รู้มาก แล้วทีนี้การจะสื่อบอกถึงความต้องการของตัวเองก็จะทำได้มากขึ้น ไม่ต้องพึ่งท่าทางหรือเสียงร้องอื๊อ อ๊าๆ ที่คนอื่นยากจะเข้าใจเพียงอย่างเดียวแล้ว เรื่องที่ จะอึดอัดคับข้องใจจนไปแสดงออกด้วยกิริยาต่อต้าน ก้าวร้าวก็จะลดลง
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ด้วยว่าสนใจและตอบสนองสิ่งที่ลูกพูดมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง การที่มีคนใส่ใจ รับฟัง ให้ข้อมูลและแนะนำ จะเป็นแรงจูงใจอย่างดีให้เจ้าตัวเล็กอยากที่ จะเรียนรู้ จดจำ พูด ถามและพัฒนาภาษาของตัวเองให้ถูกต้องเหมาะสมอย่างที่ผู้ใหญ่เขา พูดกันต่อไปค่ะ
เติมคำใส่คลัง (ภาษา)
การเติมคลังคำในสมองน้อยๆของลูก เพื่อเพิ่มคำศัพท์ช่วยการสื่อความของลูกให้ ง่ายและลื่นไหลขึ้นนั้น สามารถทำได้หลายวิธี และเหล่านี้เป็นวิธีที่ช่วยได้ค่ะ
*เจรจาถามตอบ คลายสงสัยได้ข้อมูล พูดคุย ถามตอบเรื่องต่างๆในชีวิตประจำ วันในช่วงที่ทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว สอนงานบ้านหรือเล่นก็ได้ ทั้งนั้น แต่ต้องพูดคุยกันด้วยบรรยากาศที่ดีสนุกสนานและต้องมีเทคนิคกันนิดหน่อยคือ ไม่ต้อง อธิบายอะไรยาวๆ ใช้คำและประโยคง่ายๆก็พอ จะให้ดีก็ทำให้ลูกเห็น ชี้ให้ลูกดูหรือเติมสี หน้าท่าทางของคุณแม่ประกอบด้วยจะช่วยเสริมการสื่อความให้ชัดเจนขึ้นไปอีก และควร เป็นฝ่ายตั้งคำถามกับลูกบ้างไม่ใช่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตอบเพียงอย่างเดียว
* บทเพลงและบทกลอนความคล้องจองที่ลูกชื่นชอบ ท่วงทำนองและลูกเล่นทาง ภาษาดึงดูดและจูงใจให้ลูกพูดและร้องตามอย่างสนุกสนานได้ครั้งละนานๆเชียวล่ะ และไม่กี่ ครั้งลูกก็จะพูดคล่องท่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เพื่อไม่ให้ลูกท่องจำเป็นกแก้วนกขุนทองก็น่า จะมีรูปหรือท่าทางประกอบบทเพลงและบทกลอนให้ลูกได้เห็นด้วย นอกจากเป็นการเพิ่มพูน คำและทักษะทางภาษาแล้วยังช่วยเสริมความคิดให้เฉียบคมขึ้นอีกด้วยนะ
* นิทาน สมุดภาพเรื่องราวแสนสนุกชวนติดตาม นิทานสมุดภาพที่มีรูปเยอะๆ สี สันชัดเจนสวยงาม บวกกับเรื่องราวสนุกและท่าทางการเล่าที่มีชีวิตชีวาของคุณแม่ ก็ทำให้ ลูกติดอกติดใจตามเรื่องคิดตามไปจนจบ และเจ้าตัวเล็กก็ชอบนักชอบหนากับการให้อ่านให้ เล่าเรื่องเดิมหลายๆรอบ ใช้โอกาสนี้ผลัดให้แกเล่า และถามความคิดเห็นจากเรื่องที่เล่า บ้างสิคะ
* สนุกนอกบ้านกับเพื่อนๆ หาโอกาสพาลูกออกไปเล่นนอกบ้านกับเพื่อนๆวัยเดียว กันบ่อยๆ การอยากมีส่วนร่วมเป็นแรงจูงใจที่ดีที่จะให้แกพัฒนาการพูดและการสื่อภาษา และ ยังเป็นการฝึกฝนทักษะทางสังคมให้ลูกไปด้วยในตัว
* เกมอย่างนี้ต้องมีพูดคุย การเล่นบทบาทสมมติเป็นการเล่นอย่างดีที่คุณพ่อคุณ แม่จะได้เข้าไปร่วมส่งภาษา ฝึกให้เจ้าตัวเล็กรู้จักตอบโต้กับบทสทนาที่นอกเหนือไปจาก เรื่องราวในบ้าน เช่น คุณหมอคนเก่ง ข้าวแกงมาแล้วจ้า ฮัลโหลน้องตูนอยู่มั้ย เป็นต้น

ใส่ใจกันนิด ระวังกันหน่อย
* เป็นแบบอย่างที่ดี เพราะความช่างจดช่างจำและการเรียนรู้ภาษาของลูกมา จากการเลียนแบบคนรอบข้างเป็นสำคัญ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเป็นแบบอย่างการพูดที่ถูกต้องชัด เจน ไม่จำเป็นต้องแกล้งพูดไม่ชัดเหมือนเด็ก และถ้าอยากให้ลูกพูดเพราะคุณเองก็ต้องพูด จากันด้วยภาษาดอกไม้(แม้ไม่ได้พูดกับแกก็ตาม) เพราะทุกคำพูดของคุณมีสิทธิ์บันทึกอยู่ใน สมองน้อยๆของลูกได้ทั้งนั้น
* มากไปก็ไม่ไดี การกระตุ้นให้ลุกพูดมากๆ อธิบายมากๆก็อาจทำให้ลูกเกิด อาการงงและสับสน ลองนึกภาพเวลาที่คุณโดนป้อนข้อมูลมากๆจนเกินแรงจะรับสิคะ
* เป็นนักฟังที่ดี เปิดโอกาสให้ลูกได้พูดได้เล่า ได้ถามสิ่งที่แกอยากรู้ อย่าเดิน หนีทำท่ารำคาญหงุดหงิดใส่ เพราะนั่นจะทำให้เจ้าตัวเล็กไม่กล้า และขาดความมั่นใจที่จะ ฝึกฝนการพูดของแก และควรฝึกมารยาทในการพูดให้กับลูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ไม่ พูดแทรกขึ้นมากลางวงสนทนา
* เพิ่มความมั่นใจ ใหม่ๆของการหัดพูด แน่นอนเรื่องพูดผิด พูดไม่ชัด หรือพูดติดๆ ขัดๆก็ต้องมีกันบ้างเป็นธรรมดา คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่บอก อย่า ถือเอาเป็นเรื่องน่าต่อว่า ตำหนิหรือขบขันเอาไปล้อเลียนจนลูกเสียความเชื่อมั่น ทำเป็น ไม่ได้ยินสิ่งที่แกพูดไม่ถูกต้องแล้วบอกหรือเพิ่มคำที่ถูกต้องให้เท่านั้นก็พอค่ะ
* เล่นคนเดียวบ่อยไปใช่จะดี อย่าปล่อยให้ลูกเล่นอยู่คนเดียวมากเกินไป หรือ ปล่อยลูกให้อยู่หน้าจอโทรทัศน์คนเดียวครั้งละนานๆและบ่อยๆ การสื่อสารทางเดียวไม่ สามารถทำให้แกเป็นเด็กพูดเป็น พูดเก่งได้หรอกนะคะ
ทั้งฝึก ทั้งสอนและมีตัวอย่างดีๆให้เห็นกันอย่างนี้ มีหรือเจ้าหนูนักจ้ออย่างลูกจะ พูดไม่เก่งพูดไม่เป็น จริงม้า...
ข้อมูลจาก : นิตยสาร ฉบับที่ 67 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2544




 

Create Date : 19 มกราคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2552 0:07:54 น.
Counter : 276 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

zakana7884
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เพื่อนสำคัญเสมอ ฉันจะรักษามิตรภาพระหว่าง
เพื่อนให้ดีที่สุด และคุณคือเพื่อนของฉันในตอนนี้

เกี่ยวกับฉัน..ฉันชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยว
ท่องโลกอินเตอร์เน็ต แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
เพื่อเปิดโลกทรรศในมุมมอง 360 องศา
เมื่อใดที่ฉันว่างเว้นสิ่งอื่นใด ก็จะเข้าสู่สภากาแฟฯ
แห่งนี้ บ้างอ่าน บ้างแสดงความคิดเห็น แล้วแต่
โอกาสจะอำนวยคะ

ขอบคุณโลกออนไลน์ที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกันได้

lozocat
free counters
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add zakana7884's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.