เรื่องทำเอง หนูทำได้
เรื่องทำเอง หนูทำได้
พอข้ามพ้นวัยแบเบาะ เจ้าหนูตัวน้อยก็คันพบความสามารถหลายอย่างในตัวเอง และเริ่มสนุกกับสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต ฉะนั้นเรื่องจะทำอะไรด้วยตัวเองน่ะ ชอบนักแหละ คุณพ่อคุณแม่รีบฉวยโอกาสดีๆอย่างนี้ฝึกเจ้าลูกคนเก่งให้รู้จัก ช่วยเหลือตัวเองกันเถอะค่ะ
เรื่องที่จะฝึกให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร เป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันนี่ล่ะ ถึงวัยนี้เรียกได้ว่าลูกพร้อมรับการฝึกแล้วค่ะ เพราะพัฒนาการทางกายที่พัฒนามาจนช่ำชองกว่าเมื่อก่อนเยอะ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมือและข้อมือที่สามารถทำงานเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น มือและนิ้วมือทำงานประสานกันได้ดี และสามารถขยับใช้นิ้วแต่ละนิ้วได้ ลูกจึงสามารถหยิบจับสิ่งของต่างๆได้มั่นคงขึ้น บวกกับพัฒนาการด้านอื่นๆ ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้แกรู้สึกสนุกกับการหยิบจับ ทำอะไรด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องการให้พ่อแม่เข้ามาช่วยเหลือเหมือนอย่างแต่ก่อน
นี่เองคือจังหวะทองที่จะเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้ และฝึกฝนปฏิบัติกิจวัตร ประจำวันของตัวเอง โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องลดบทบาทหน้าที่ จากที่เคยเป็น ฝ่ายทำให้ก็เปลี่ยน ไปเป็นผู้ฝึกหัด เตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและ เป็นกองหนุนสำคัญให้ลูกค่ะ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่นักจัดการที่ชอบจัดแจงทำทุกอย่างให้ลูก ไม่ว่าจะด้วย เหตุผลอะไรก็ตาม ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านั้น เพื่อมองไปถึงสิ่งดีๆในวันข้างหน้าที่จะเกิดกับลูก เมื่อแกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง สิ่งดีๆที่ว่านั้นก็คือ
* ความรู้สึกพึงพอใจในตัวเองที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่แกรู้ถึงความสามารถ ของตัวเอง ซึ่งถือเป็นพลังใจสำคัญที่ทำให้ลูกพร้อมที่จะเรียนรู้ ทดลองทำสิ่งอื่นๆ
* มีทัศนคติที่ดีต่อการช่วยเหลือตัวเองในด้านอื่นๆต่อไป อีกทั้งความมั่นใจก ็จะเพิ่มมาอีกเป็นกอง * เมื่อถึงคราวต้องก้าวเข้าสู่ชีวิตนักเรียนตัวน้อย เรื่องปรับตัวในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่ไม่มีพ่อแม่คอยช่วยเหลือ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร และนี่คือกิจวัตรประจำวันที่ควรเริ่มฝึกให้กับลูก หม่ำเอง เรื่องให้ลูกกินอาหารเองเป็นงานใหญ่ที่เลอะเทอะและแสนยาวนาน นั่นเป็นเรื่องจริง ที่คุณแม่ทุกคนรู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นการให้ลูกได้กินอาหารด้วยตัวเองก็เป็นสิ่งที่คุณคว รส่งเสริม โดยเริ่มฝึกให้แกใช้ช้อนตักอาหารกินเอง และดื่มน้ำจากแก้วแทนขวดอย่าง ที่เคยทำ และที่สำคัญให้แกเข้าร่วมโต๊ะอาหารกับทุกคนในบ้านด้วย จะทำให้ลูกมี ความสุขใน การกินและรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว อีกอย่างแกจะได้เห็นและทำตามอย่างทุกคนบนโต๊ะด้วย เรื่องเลอะเทอะไม่ต้องห่วงเจอแน่อยู่แล้วค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็นอย่าเพิ่งรีบเข้าไป ป้อนให้เสียก่อนล่ะ ให้แกทำเองไปก่อนจนกว่าจะร้องขอให้ช่วยดีกว่า การที่ลูกได้ทำ เองบ่อยๆจะทำให้แกเกิดความชำนาญ แล้วภาพเลอะเทอะบนโต๊ะอาหารก็จะค่อยๆหายไปค่ะมีเทคนิคกันหน่อย
* หาจาน ชามที่ไม่แตกประเภทเมลามีน แก้วน้ำชนิดมีหูจับ และช้อนที่ลูกสามารถจับถนัดมือเตรียมไว้ให้ * การดื่มน้ำจากแก้ว อาจเริ่มด้วยการใช้หลอดดูดช่วยก่อนก็ได้ ถ้าลูกปฏิเสธจะยกดื่มจากแก้วโดยตรง
* จัดอาหารเมนูโปรดเตรียมไว้ให้ และคุณแม่ต้องสวมวิญญาณนักดัดแปลงอาหาร อย่าให้เมนูซ้ำบ่อยๆ อาหารจานโปรดและอาหารแปลกใหม่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกอยากกิน อาหารมากขึ้น
* ให้อิสระและเวลาในการกินกับลูกให้มากหน่อย อย่าคะยั้นคะยอให้แกกินเร็วๆหรือ กินมากๆ เพราะลูกจะยิ่งต่อต้าน
* ก่อนมื้ออาหารอย่าให้ลูกกินของจุบจิบ เพราะเมื่อไม่อยากทานอาหารแล้วมือที่ได้จับช้อนก็จะละเลงอาหารเป็นของเล่นเลยล่ะทีนี้ อาบเอง การฝึกให้อาบน้ำ ล้างไม้ล้างมือก่อนรับประทานอาหารเป็นเรื่องไม่ยากเย็นอะไรนัก เพราะน้ำกับลูกวัยนี้ถูกกันนักเชียว ช่วงแรกของการฝึกคุณพ่อคุณแม่คงต้องอยู่ใกล้ๆคอย ช่วยเหลือ สอนให้ลูกรู้จักฟอกสบู่ ขัดถูส่วนต่างๆ และการล้างตัวให้สะอาด ที่สำคัญเพื่อป้องกันเหตุอันตรายจากการลื่นหกล้ม และสำหรับบ้านที่มีอ่างอาบน้ำอย่าปล่อยให้ลูกนอนเล่น น้ำตามลำพังเชียวนะคะ แม้จะชอบเล่นน้ำ แต่หนูวัยนี้น้อยคนนักที่จะชอบล้างหน้า ควรพยายามให้ลูกวักน้ำล้าง หน้าเอง เริ่มแรกอาจให้วักน้ำมาที่แก้ม แล้วคุณแม่ค่อยช่วยลูบทำความสะอาดส่วนอื่น พอเริ่มชินทีนี้จากที่ไม่ชอบล้างหน้า ขี้คร้านจะวักน้ำใส่หน้าจนเปียกปอนไปทั้งตัวเลยล่ะค่ะ ส่วนเรื่องผมจะให้สระเองดูจะยากไปสักนิด คุณพ่อคุณแม่ยังต้องเป็นผู้ช่วย ให้เจ้าหนูได้ สนุกกับการขยี้ฟองบนศีรษะและรู้จักก้มหรือเงยหน้าเพื่อไม่ให้แชมพูเข้าตาก็ถือเป็นการฝึก แล้วล่ะค่ะ อีกหนึ่งกิจกรรมคือการแปรงฟัน ซึ่งควรเริ่มฝึกให้แกชินกับแปรงสีฟันตั้งแต่เริ่ม มีฟันซี่แรก และเมื่อถึงวัยนี้แกก็จะขยับแปรงปัดถูได้แต่ไม่สะอาดนัก คุณพ่อคุณแม่ต้องคอย ช่วย เหลือบ้าง นอกจากนี้ก็ฝึกการแปรงฟันที่ถูกวิธี และการรู้จักแปรงฟันหลังตื่นนอน และทานอาหาร รวมทั้งก่อนเข้านอนให้ด้วยค่ะ มีเทคนิคกันหน่อย
* สบู่ก้อนอาจไม่ถนัดสำหรับมือน้อยๆ คุณแม่อาจหาสบู่เหลวมีจุกปั๊มมาให้แทน แต่ต้องหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าลูกรู้ว่าเจ้าน้ำสีสวยๆกลิ่นหอมๆของสบู่เหลวมันกินไม่ได้
* วางอุปกรณ์ สบู่ แก้วน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟันไว้ในที่ๆลูกหยิบใช้ได้สะดวก
* ยาสีฟันกลิ่นผลไม้สำหรับเด็กและแปรงสีฟันสีสันสดใส หรือมีเสียงที่ด้ามจับก็ช่วยให้ลูกสนุกกับการแปรงฟันได้ดีทีเดียว แล้วอย่าลืมด้วยว่าแปรงสีฟันของลูกต้องเล็กพอที่ จะซอกซอนได้ทั่วทั้งปาก และขนแปรง ต้องอ่อนนุ่ม เพื่อไม่ให้การแปรงฟันเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับลูก
* ชวนลูกแปรงฟันไปพร้อมกัน อาจกำหนดเป็นจังหวะปัดขึ้นปัดลง ลูกจะได้เห็นวิธ ีที่ถูกต้อง แถมยังสนุกที่ได้ทำตามคุณอีกด้วย แต่งเอง การถอดเสื้อผ้าดูจะง่ายกว่าสวมเสื้อผ้าเป็นไหนๆ ฉะนั้นจึงควรเริ่มจากเรื่องง่ายๆนี้ก่อน รวมไปถึงการเช็ดตัว ทาแป้ง หวีผม และการบอกให้ลูกรู้จักเอาเสื้อผ้าที่ถอดแล้วใส่ลงตะกร้าเป็นการเริ่มต้นระเบียบวินัยเล็กๆ ให้ลูกค่ะ และการสวมเสื้อ ใส่กางเกงจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับลูก ถ้าเสื้อผ้าที่คุณเตรียมไว้เป็นเสื้อผ้า ที่สวมใส่ง่าย เช่น เสื้อยืดสวมหัวคอกว้าง เสื้อกระดุมเม็ดโต กางเกงขาสั้นเอวยืด ส่วนประเภทมีกระดุมเยอะจนลายตา ซิปรูดยากๆ หรือมีสายให้มัดยุ่งยากไม่เหมาะในช่วงเริ่มต้นของการฝึกค่ะ มีเทคนิคกันหน่อย
* ให้ลูกได้มีโอกาสเลือกชุดเก่งด้วยตัวเอง โดยคุณอาจเสนอตัวเลือกให้สัก 3 ชุด เพื่อไม่ให้การเลือกเสื้อผ้ายืดเยื้อเกินไป
* การสวมเสื้อถ้าเป็นเสื้อสวมหัวให้ลูกเริ่มสวมหัวก่อนแล้วสอดแขนเข้าไปทีละข้าง เช่นเดียวกับเสื้อแบบมีกระดุมที่ให้สวมแขนทีละข้าง แล้วจึงกลัดกระดุม คุณแม่อาจใช้ เกมหาทางออกหรือเกมจ๊ะเอ๋ ช่วยทำให้การสวมเสื้อเป็นเรื่องสนุกขึ้นค่ะ
* สอนให้ลูกกลัดกระดุมจากเม็ดล่างขึ้นมาเม็ดบน โอกาสสลับช่องจะน้อยลง
* การสวมกางเกงเริ่มแรกให้ลูกหัดจากการนั่งแล้วสวมขาเข้าไปทีละข้าง แล้วค่อยขยับยืนขึ้นหาที่จับยืนแล้วสวม
* ที่ด้านหลังเสื้อและกางเกง ลายการ์ตูนที่ด้านหน้าเสื้อ หรือกระเป๋ากางเกงเป็นจุดสังเกตอย่างดีที่คุณจะบอกให้ลูกสังเกตก่อนสวมเสื้อผ้า เข้าห้องน้ำเอง การฝึกลูกใช้ส้วมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและขึ้นอยู่กับความพร้อมของลูก โดยส่วนใหญ่เริ่มฝึกกันได้ตั้งแต่วัยนี้ แต่ก็มีน้องหนูบางคนที่ยังไม่พร้อมรับการฝึก คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเข้าใจ อดทนและใจเย็นให้มากๆ อย่าบังคับฝืนใจแกมากเกินไป ควรเริ่มต้นจากการเปลี่ยนที่นั่งกระโถนเข้ามาในห้องน้ำ เพื่อให้ลูกคุ้นกับการขับถ่ายใน ห้องน้ำ ส่วนการทำความสะอาดหลังการขับถ่ายคงต้องให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยอยู่ เพราะ ถึงแกจะทำได้ก็คงไม่สะอาดนัก ที่สำคัญต้องฝึกให้ล้างมือหลังการขับถ่ายทุกครั้ง มีเทคนิคกันหน่อย
* สำหรับบ้านที่ใช้ส้วมแบบชักโครก ควรหาเบาะรองชักโครกมาวางเพื่อให้ลูกนั่งได ้ถนัดขึ้น และหาเก้าอี้ตัวเตี้ยให้ลูกเหยียบขึ้นนั่งชักโครกได้สะดวก * ถ้าลูกกลัวการอยู่ในห้องน้ำคุณคงต้องอยู่กับลูกด้วยในช่วงแรก หรือเปิดประตูห้องน้ำไว้ให้ลูกเห็นว่าคุณอยู่ไม่ไกล สิ่งสำคัญต้อง...
* ปฏิบัติเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นเสมอ
* พยายามกระตุ้น จูงใจลูกให้ลองทำกิจกรรมเหล่านี้ด้วยตัวเองอย่าใช้วิธีบังคับฝืนใจ
* มีความสม่ำเสมอในการฝึก เพราะสิ่งที่คุณต้องการไม่ใช่แค่ลูกปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ได้ แต่คือการปฏิบัติจนเป็นนิสัยต่างหาก
* ให้โอกาสกับลูก แม้สิ่งที่คุณเห็นจะเป็นความเลอะเทอะ ผิดพลาด ล่าช้า คุณก็ไม่ควรด่วนตัดสินใจเข้าช่วยเหลือลูกเร็วเกินไป หรือตำหนิให้แกเสียกำลังใจ หมดความเชื่อมั่น
* ชมเชยแสดงความยินดีเมื่อเห็นลูกทำได้และเมื่อพยายามที่จะทำด้วยตัวแกเอง
* ไม่ตั้งมาตรฐานว่าลูกต้องทำได้ตามที่คุณฝึกทุกอย่าง เพราะเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการความพร้อมที่ต่างกัน เตรียมพร้อมกันอย่างนี้ นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะได้วางใจว่าลูกสามารถช่วยเหลือ ตัวเองได้แล้ว คุณลูกยังได้ความภูมิใจในตัวเองไปอีกกองโต แล้วเรื่องเข้าโรงเรียนที่ใครๆห่วงนักห่วงหนา ก็จะไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจสำหรับ คุณหนูบ้านนี้ค่ะ
ข้อมูลจาก : นิตยสาร modern mom ฉบับที่ 64 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2544
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2552 | | |
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2553 2:16:40 น. |
Counter : 512 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นิทานกับคุณค่าที่คาดไม่ถึง
เราทราบกันดีว่า3 ขวบปีแรกขนาดสองของเด็กเป็น 80% ของสมองผู้ใหญ่ ช่วงนี้จึงถือเป็น "โอกาสทองของชีวิต" ที่จะพัฒนาเด็กในเรื่องราวต่างๆ และเชื่อหรือไม่ว่านิทานเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยพัฒนาลูกได้อย่างที่เราอาจคิดไม่ถึงทีเดียว
มีรายงานการวิจัยมากมายจากนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก ที่ต่างยืนยันว่านอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินและสนุกสนานให้กลับเด็กๆแล้ว นิทานยังสามารถกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และเสริมสร้างจินตนาการอันบรรเจิดอย่างไม่จำกัด
เด็กที่ได้ฟังนิทานตั้งแต่วัยทารกจะมีพัฒนาการทักษะการฟังการพูดที่ดี เพราะเขาจะได้ยินคำใหม่ๆ และท่วงทำนองการสนทนาแบบต่างๆ เสมอ เพราะสมองเด็กๆ กำลังซึมซับทุกสิ่งทุกอย่าง นิทานจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยปลูกฝังคุณธรรมความดีและความงดงามละเอียดอ่อนให้กับหัวใจดวงน้อยของลูก โดยคุณแม่อาจดัดแปลงนิทานเรื่องหนึ่งให้กลายเป็นหลายเรื่อง เพื่อให้เหมาะกับสิ่งที่อยากปลูกฝัง หรืออยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูก เช่น เมื่อลูกดื้อ ชอบอมข้าว นิทานเรื่องกระต่ายน้อย ก็อาจจะเป็นกระต่ายน้อยผอมเพราะชอบอมข้าว กระต่ายน้อยฟันผุ หรือกระต่ายน้อยตัวเหม็นเพราะไม่ชอบอาบน้ำ ไม่มีใครเล่นด้วยเป็นต้น
คุณค่าสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ ถ้าคนเล่าเป็นคุณพ่อคุณแม่ด้วยแล้ว นิทานจะช่วยสร้างความผูกพันใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพ่อแม่ลูก ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะการที่ลูกมีคุณพ่อคุณแม่เอาใจใส่อยู่ใกล้ๆ มีเวลาพูดคุยเล่าเรื่องที่ลูกชอบ การที่ลูกได้ฟังเสียง ท่วงทำนองที่มีจังหวะจะโคนจากปากของคนที่มีความหมายกับลูกมากที่สุด จะทำให้เขาอบอุ่น สบายใจ และมีความสุข
นิทานสำหรับเด็กปฐมวัย ควรเป็นเรื่องสั้นๆ ง่ายๆ และไม่ซับซ้อน มีจุดเด่นของเรื่องจุดเดียว เด็ดดูภาพหรือฟังเรื่องราวเข้าใจได้และสนุกสนาน มีเนื้อเรื่องที่ชัดเจนชวนติดตาม เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเด็ก ไม่มีการบรรยายเนื้อเรื่อง ควรมีบทสนทนาเป็นการโต้ตอบระหว่างตัวละคร ใช้ภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจของเด็ก ตัวอักษรมีขนาดใหญ่ ใช้สีเข้มอ่านได้อย่างชัดเจน มีภาพประกอบที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง เป็นภาพที่มีสีสันสวยงามมีชีวิตชีวา
วัย 1 ขวบ ลักษณะหนังสือควรเป็นหนังสือภาพเหมือน รูปสัตว์ ผัก ผลไม้ สิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และเขียนเหมือนภาพของจริง มีสีสันสวยงาม ขนาดใหญ่ชัดเจน เป็นภาพเดี่ยวๆที่มีชีวิตชีวา ไม่ควรมีภาพหลัง หรือส่วนประกอบภาพที่รกรุงรัง รูปเล่มอาจทำด้วยผ้าหรือพลาสติก หนานุ่มให้เด็กหยิบเล่นได้
วัย 2-3 ขวบ เป็นหนังสือนิทาน หรือหนังสือภาพที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน สัตว์ สิ่งของ เรียบเรียงเป็นบทกลอนสั้นๆ หรือคำคล้องจอง ใช้ภาษาง่ายๆ เด็กวัยนี้ มีประสาทสัมผัสทางหูดีมาก หากมีประสบการณ์ด้านภาษา และการแยกแยะเสียงที่ดี เด็กจะสามารถพัฒนาศักยภาพด้านภาษาและดนตรีได้ดี
ข้อมูลจาก Enfa Smart System
Create Date : 27 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 27 มกราคม 2552 13:21:29 น. |
Counter : 546 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
รู้มั้ย...ทำไมหนูขี้กลัว
เด็กวัย 2 ขวบเขามักจะกลัวอะไรที่สุดแสนจะไม่คาดคิดเชียวล่ะ เช่น เจ้าด่างข้างบ้าน
ฟ้าร้อง สัตว์ประหลาด ตัวตลก ซากไดโนเสาร์ในพิพิธภัณฑ์ ทราย น้ำ แต่การที่
เด็กวัยนี้จะกลัวอะไรสักอย่างโดยไม่มีเหตุผล ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรเพราะ...
เด็กสองขวบยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง แกสามารถวิ่งได้อย่างแข็งขัน ช่างจ้อ
มากขึ้น ทำให้แกสามารถทำอะไรตามใจปรารถนาตัวเองได้ รู้สึกเป็นอิสระจากการ
ถูกควบคุมมากขึ้น เพราะพ่อแม่ยอมปล่อยให้แกวิ่งไปทางโน้นที ทางนี้ที อีกใจ
หนึ่งก็รู้สึกไม่ปลอดภัยและมั่นคงสักเท่าไหร่ ตรงที่ถูกสอนให้เริ่มรู้จักระมัดระวัง
สิ่งแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น เริ่มจะต้องแยกจากพ่อแม่ ตัวก็ยังเล็กจนต้องแหงนคอ
ตั้งบ่าเพื่อคุยกับผู้ใหญ่ น้องหนูจึงต้องคอยระวังตัวด้วยว่าจะถูกคุกคามจากสิ่งต่างๆ
รอบกายหรือไม่ และเพื่อทดแทนความรู้สึกไม่มั่นใจนี้ เจ้าวัยซนจึงอยากให้ทุก
สิ่งรอบกายอยู่ในอำนาจของแก (To feel in control) จะได้เดาว่าอีกไม่กี่อึดใจ
ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นการแสดงความกลัว เพื่อหยุดสิ่งแวดล้อมให้
ห่างจากตัวเอง จะทำให้แกรู้สึกว่าควบคุมได้ แต่ถ้าตัวตลกหรือหุ่นยนต์โผล่พรวดมา
ทักทายแบบประชิดตัว หวังจะให้เป็นเรื่องสนุก ก็อาจทำให้น้องหนูร้องไห้จ้าขึ้นมาได้ ความกลัวจึงเป็นพัฒนาการอีกขั้นของเด็กวัยนี้ ถ้าปีที่แล้วคุณเห็นลูกเล่นน้ำทะเลอย่าง
สนุกสนาน แต่มาปีนี้ไม่ยอมให้เท้าแตะผืนทรายเลย ก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ
รอให้ถึง 3 ขวบ แล้วค่อยมาดูกันอีกที แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องของพัฒนาการตามวัย
คุณต้องช่วยลูกหาสาเหตุก่อนแก้ไขแล้วล่ะค่ะ กลัวจาก
ความกังวล เช่น พอย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ ลูกกลัวแมวข้างบ้านขึ้นมาเฉยๆ ทั้งที่
ก่อนหน้านี้ไม่กลัว แสดงว่าน้องหนูไม่ไว้ใจสิ่งแวดล้อมใหม่เอาเสียเลย กลัวตาม
พ่อแม่ ถ้าพ่อแม่กลัวอะไร ลูกมักจะกลัวสิ่งนั้นด้วย เพราะแกค่อยๆ ซึมซับโดยไม่รู้ตัว
กลัวแบบฝังใจ เช่น ลงโทษด้วยการจับขังไว้ในห้องมืด ห้องที่เฉอะแฉะ ปราบตัว " ขี้กลัว "
* ยอมรับความกลัวของลูก และหาสาเหตุว่าลูกกลัวเพราะอะไรกันแน่
* หาหนังสือภาพเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกกลัวมาอ่านกับลูก เพื่อจะได้รู้อีกแง่มุมหนึ่งว่าเจ้าตัวนี้น่ารักมากกว่าน่ากลัวเสียอีก เช่น หมา ลูกเจี๊ยบ เต่า
* เล่านิทานที่จบลงด้วย พระเอกสามารถปราบผู้ร้าย(สิ่งที่ลูกลัว) ได้อย่างไร เช่น ...แล้วปีเตอร์แพนก็ร่ายคาถา "เราเป็นเด็กดี" ทันใดนั้น ร่างของเจ้าปีศาจก็หายไป...
* ถ้ากลัวที่สูง ให้หาชุดของเล่นสำหรับเด็กที่ไม่สูงมากนัก เช่น เก้าอี้ ชิงช้า บ้านเด็ก เพื่อลดปัจจัยที่มีผลต่อความรู้สึกกลัวของลูก
* ทำตัวอย่างลูกให้เห็นว่าสิ่งนั้นไม่น่ากลัว แล้วค่อยให้ลูกลองทำตามด้วยความสมัครใจ เช่น ลูบหัวหมา จับมือกับตัวตลก ก่อกองทราย
* สร้างอุปกรณ์วิเศษล่าสัตว์ประหลาด เช่น ไฟฉายพิฆาตมาร เสื้อเกราะปราบอสูร วิธีนี้...ไม่ได้ผล
* อย่าใช้ความกลัวของลูกมาขู่ เพราะอาจยิ่งทำให้แกกลัวแบบฝังใจได้
* อย่าบังคับให้ลูกเลิกกลัวเดี๋ยวนั้น เพราะแกกลับจะรู้สึกกลัวหนักเข้าไปอีก
* อย่าท้าทายเจ้าวัยเตาะแตะด้วยวาจาน่าหดหู่ เช่น "ทำไมลูกขี้ขลาดอย่างนี้" หรือ "อย่างน้องพิมเนี่ย ไม่มีวันทำ.......ได้หรอก" วิธีเหล่านี้เท่ากับคุณหาปมด้อยมาฝากลูกเข้าให้แล้ว ความกลัวใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป ปล่อยให้แกเรียนรู้ตามวัย และใช้ช่วงเวลานี้สอนให้กลัวเรื่องอุบัติเหตุและเรื่องที่ควรกลัวดีกว่าค่ะ
ข้อมูลจาก : นิตยสาร Modern Mom ฉบับที่ 84 เดือนตุลาคม พ.ศ.2545
Create Date : 27 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 27 มกราคม 2552 0:19:10 น. |
Counter : 427 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เล่น เสริม'สมอง'
ความสุข...ความดี...การสร้างสรรค์...การเรียนรู้...ล้วนเกิดขึ้นและเริ่มต้นที่สมองค่ะ แต่จะว่าไปแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้สมองทำงานได้ดีและถือเป็นจุดเริ่มของการเรียนรู้ดีๆ ตามมาคือความสุขนั้งเองค่ะ นอกเหนือไปจากการให้ความรักความอบอุ่นกับลูกที่จะช่วยสร้างให้ลูกเกิดความสุขแล้ว การเล่นที่สนุก ถูกใจ ถูกวัยและเล่นกับคนรู้ใจ ถือว่าเป็นความสุขที่สุดแสนจะท่วมท้นของเด็ก เมื่อความสุขเกิดสิ่งดีก็จะตามมา เช่น ในสมองเด็กจะเกิดสารเคมีที่ช่วยทำให้คนมีความสุข แล้วเมื่อมีความสุขการเรียนรู้ที่ดีก็จะตามมา แล้วขณะที่มีความสุขสมองก็จะหลั่งสารนี้ออกมาอีก เป็นวงจรความสุขที่จะเกิดขึ้นในสมองของลูกน้อยค่ะ
โดปามีนสารแห่งความสุข เมื่อสมองมีความสุขจะหลั่งสารเคมีชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า โดปามีน (Dopamine) เป็นสารสื่อประสาทที่จะหลั่งออกมาเมื่อคนเรามีความสุข ซึ่งเจ้าสารนี้นอกจากจะมีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของสมองซีกซ้าย (ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษา ความคิด ความจำระยะสั้น การคิดแบบนามธรรม การคิดวิเคราะห์) ให้ทำงานได้อย่างดีแล้ว สารเคมีชนิดนี้จะหลั่งเมื่อมนุษย์มีความสุข ดังนั้นโดปามีนจึงถือเป็นสารเคมีที่เป็นส่วนสำคัญในการทำให้คนมีความสุข เรียกว่าเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก รวมไปถึงเรื่องของการเรียนรู้ ความจำและความฉลาดด้วยค่ะ ไม่เฉพาะโดปามีนเท่านั้นที่เป็นสารเคมีแห่งความสุข แต่ยังมีสารเคมีชนิดอื่นอีกที่สมองจะหลั่งเมื่อคนเรามีความสุข เซโรโทนิน (Seretonin) สารเคมีในสมองที่มีผลต่อต้านความเครียด จะช่วยให้เรารู้สึกอารมณ์ดี นอนหลับง่าย ส่วนสารเคมีอีกชนิดที่รู้จักกันดีคือ เอนโดรฟีน (Endrophine) จะช่วยให้มีเกิดความสุขและส่งผลให้อารมณ์ดี และยังทำให้ร่างกายตื่นตัว กระตือรือร้น ไม่เฉื่อยชา แล้วเมื่อคนเรามีความสุข ก็พร้อมจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตรงกันข้ามหากขาดสารชนิดนี้จะทำให้รู้สึกไม่มีความสุข เฉื่อยชา ซึมเซาและ ไม่กระตือรือร้น ซึ่งอาการเหล่านี้ล่ะค่ะทึ่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ
เล่นสนุก มีความสุข พัฒนาสมอง ขณะเดียวกันหากสมองขาดโดปามีนก็จะให้ผลตรงกันข้าม อาจจะทำให้ความจำไม่ดี ขี้หลงขี้ลืม ความคิดไม่แล่น ซึ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการเรียนรู้กับเด็ก ดังนั้นการกระตุ้นให้สมองหลั่งโดปามีน ก็ต้องเน้นของเล่นหรือกิจกรรมที่ลูกทำแล้วเกิดความสุข แล้วการเล่นนั้นยังหวังผลให้ช่วยพัฒนาสมองด้านอื่นได้ด้วย * เล่นจ๊ะเอ๋ ,ไม้บล็อก , ตุ๊กตาที่มีกระดิ่งอยู่ด้านใน การเล่นแบบนี้จะช่วยกระตุ้นสมองส่วนหน้า (Frontal Lope) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคิดและแก้ปัญหา * ผ้าปูกระตุ้นพัฒนาการ ช่วยกระตุ้นสมองตอนบน (Parietal Lope) ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการรับความรู้สึกจากการสัมผัสทางผิว รับรู้เรื่องมิติสัมพันธ์ * ของเล่นกุ้งกิ้งมีเสียง สีสันสดใส ช่วยกระตุ้นสมองด้านหลัง (Occipital Lope) เป็นส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นและการรับรู้ * คืบคลานไปหยิบของเล่น พลิกคว่ำ พลิกหงาย หรือปล่อยให้ลูกได้เกาะยืน ตั้งไข่ด้วยตัวเอง ช่วยกระตุ้นและพัฒนาสมองส่วนซีรีเบลลัม (Cerebellum) เพราะสมองส่วนนี้เป็นส่วนที่ควบคุมเรื่องการทรงตัว * เล่นเกมหรือใช้ของเล่นที่มีเสียงเพื่อนกระตุ้นการได้ยินของลูก หรือชวนลูกคุยเพื่อให้กระตุ้นให้ลูกพูดเร็ว ช่วยกระตุ้นสมองด้านข้าง (Temporal Lope) ส่วนนี้ควบคุมการได้ยิน พัฒนาการด้านภาษา ความจำ การได้กลิ่น อารมณ์และจิตใจ จริงๆ แล้วความสุขของเด็กในช่วงขวบปีแรกอยู่ที่พ่อแม่ ไม่ใช่ของเล่นราคาแพงที่คุณพ่อคุณแม่สรรหามาให้เลยนะคะ รู้แบบนี้แล้วชวนลูกเล่นสนุกเร่งสร้างสุขให้เกิดขึ้นเพื่อช่วยพัฒนาสมองของลูกกันค่ะ
ข้อมูลจากนิตยสาร : Modern Mom ฉบับที่ 150 เดือนเมษายน พ.ศ.2551
Create Date : 25 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 25 มกราคม 2552 23:42:13 น. |
Counter : 308 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เพื่อนสำคัญเสมอ ฉันจะรักษามิตรภาพระหว่าง เพื่อนให้ดีที่สุด และคุณคือเพื่อนของฉันในตอนนี้
เกี่ยวกับฉัน..ฉันชอบอ่านหนังสือ ท่องเที่ยว ท่องโลกอินเตอร์เน็ต แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเปิดโลกทรรศในมุมมอง 360 องศา เมื่อใดที่ฉันว่างเว้นสิ่งอื่นใด ก็จะเข้าสู่สภากาแฟฯ แห่งนี้ บ้างอ่าน บ้างแสดงความคิดเห็น แล้วแต่ โอกาสจะอำนวยคะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|