Review : The Lion King 3D (2011)
"ฮาคูนา มาทาท่า" !!!! เรื่องร้ายไม่เคยมี ท่องไว้ดีๆ "ฮาคูนา มาทาท่า"

หากตอนนี้คนไทยใช้ Motto นี้ของเจ้าพุมบ้า และทีโมน มาเป็นส่วนหนึ่งของคติประจำใจก็คงดี ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังย่ำแย่เพราะวิกฤติการณ์แบบนี้ บางทีเราอาจจะต้องเผื่อใจยอมรับ หรืออย่าไปเครียด กังวลกับมันมาก ทุกปัญหามีทางออก และทุกทางออกมีปัญหา เสมออออ... (ตึงงง !!!!) ....

กับหนังฟีลกู้ดเรื่องนี้ ที่ไม่ว่าจะดูกี่ทีกี่ครั้ง ตั้งแต่สมัยลูกเด็กเล็กแดง กระทั่งโตจนนมแตกพาน หรือวัยทำงานผลาญเงินเดือน...ก็ยังฟีลกู้ดอยู่เสมอ การได้กลับมานั่งดู สิงโตเจ้าป่ากับคุณอาจอมโฉด เรื่องนี้ในโรงอีกครั้ง ก็เหมือนการได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าที่พลัดพรากกันไปนาน แต่เป็นเพื่อนสนิทที่ทำให้เรามีความสุขได้ทุกเมื่เวลาที่เจอ...

จริงๆแล้ว ก็ไม่นานเท่าไหร่ เพราะเหมือนจะดูแล้วดูอีกอยู่เสมอ ตั้งแต่เวอร์ชั่นโรงตอนเข้าใหม่ๆ ที่ต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีที่แล้ว (อ๊ากกกก แก่เวอร์!) หรือจะเวอร์ชั่นวีดีโอ, วีซีดี, ดีวีดี ทั้งหลาย, เคเบิ้ล ฟรีทีวี ก็เอามาฉายบ่อยครั้ง แต่ดูแล้วก็ไม่เคยเบื่อ ดูได้เรื่อยๆ และยังประทับใจได้อยู่เสมอต้นเสมอปลาย

ครั้งนี้กับการมาฟีทเจอริ่งคนดูในแบบที่ต้องสวมแว่นสามมิติดู ตัวผมเองก็ไม่ได้ดูเพื่อติดตามเอาความกับเนื้อเรื่องแล้ว แต่จะเป็นในแง่ของการมาซึบซับความรู้สึกเก่าๆ และความประทับใจเก่าๆ รวมถึงประสบการณ์ใหม่ในรูปแบบ 3D ซะมากกว่า ซึ่งเจ้าสิงโตก็ตอบสนองเราได้เป็นอย่างดี ณ จุดนั้น ในแบบที่เกินความคาดหมายไปเลย

ในฉากแรกที่โลโก้ดิสนี่ย์ขึ้น ใจมันเต้น...คึกคึก คักคัก อยากจะมีรักให้มันคึกคึก ตลอดเว....ก่อนที่จะมีโลโก้ดิสนี่ย์คลาสสิค ที่เป็นเจ้ามิกกี้เมาส์มาร้องเพลงเต้นระบำ ซึ่งผมไม่ได้เห็นอะไรทำนองนี้ในโรงมานานมากแล้วววว ทำให้รู้สึกเหมือนได้มาเจอเพื่อนเก่า เท่านั้นแหละครับ พอท่อนแรกของเพลง Circle of Life ขึ้น ..."Nants ingonyama bagithi Baba" พร้อมกับภาพสาดแสงของดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ ...นั่นแหละ น้ำตาแทบไหล ไม่น่าเชื่อว่าจะ 17 ปีมาแล้วที่เราดูในโรงครั้งแรก ...!!! และกลับมาครั้งนี้ แคแรกเตอร์ที่เคยอยู่ในใจเรา ได้กลับมาดูในโรงอีกครั้ง ไม่ได้เวอร์นะ แต่รู้สึกว่ามันผูกพันแบบบอกไม่ถูก มันคือหนังที่เราโตมาด้วยกัน ดูแล้วดูอีก ดูอีกดูแล้ว พอได้มาดูในอีกรูปแบบนึง มันก็ทำให้เราอดคิดถึงอดีตเก่าๆไม่ได้ แม้จะรู้เรื่องราวของหนังทั้งหมดแล้ว แต่การได้ร่วมผจญภัยกับตัวละคร สิงโต สัตว์ป่าน้อยใหญ่ไปอีกครั้ง มันก็ทำให้เรามีความสุข อิ่มเอมขึ้นมาอีกภายในบัดดล !!! อาเมน - -

เพลงทุกเพลงยังเพราะเสมอ ฉากทุกฉากยังงดงามเสมอ และความสนุกทุกการผจญภัยยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ร่วมไปกับตัวละครอยู่เสมอ เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง นั่งดูกับพ่อแม่ (แต่คราวนี้มากับเพื่อนฝรั่ง ที่เติบโตมากับหนังเช่นเดียวกัน และก็ประทับใจอีกครั้งไม่ต่างกัน) ....มันเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกดีมากถึงมากที่สุด !!!! ตอนเด็กๆเราอาจจะดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบที่มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่มากระโดดโลดเต้น ได้ขยับปากร้องตามเพลง โดยมีพ่อและแม่สอนให้เราร้องตามอยู่ข้างๆ ได้สนุกไปกับฉากและการผจญภัยต่างๆ แต่พอเราโตขึ้น และได้ดูอีก เรากลับได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากหนังที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น ทั้ง Messages และ Motto ต่างๆ ถือว่าเต็มอิ่มกับสารที่หนังมอบให้

ในส่วนของ 3D ก็สร้างความรู้สึกอะเมซิ่งให้กับผมได้พอสมควร ไม่ค่อยได้เห็นหนังการ์ตูนวาดมือที่กลายมาเป็นหนัง 3D แบบนี้สักเท่าไหร่ และพอคอนเวิร์ตใหม่มาเป็นแบบมีตื้นลึกหนาบาง ก็ทำให้เรารู้สึกเข้าถึงตัวหนังมากยิ่งขึ้น ภาพสวยมากขึ้น ทำออกมาได้ดีทีเดียว ติดอยู่ตรงที่ซับไทย ปาเข้าไปสองบรรทัด และบดบังทัศนวิสัยพอสมควร แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ทุกฉากยังทำออกมาได้น่าประทับใจเช่นเคย น้ำตาซึมฉากไหน นั่งไปดูไปก็ยังซึมเหมือนเดิม ....

ใครที่ชอบ The Lion King หรือความคลาสสิคแบบเก่าๆ ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ ทำออกมาได้ลงตัว และประทับใจมากครับ !!!

10/10




Create Date : 25 ตุลาคม 2554
Last Update : 16 มีนาคม 2555 17:54:54 น.
Counter : 893 Pageviews.

0 comment
Review : Melancholia (2011)
ใจคอตา ลาส ฟอน เทรียร์ นี่คิดจะทำแต่หนังที่ไม่ให้ผู้ชมหายใจหายคอกันได้สะดวกโล่งสบายเลยใช่ไหมเนี่ยะ !!! แต่ก็ยังดีที่เรื่องนี้ ถ้าเทียบกับหนังเรื่องก่อนๆในเครดิตอย่าง Antichrist, Dogville และ Dancer In The Dark ถือว่าเป็นอะไรที่ยังมาพร้อมความเบาอยู่มาก ~

กับหนังที่ว่าด้วยเื่รื่องราวของสองพี่น้องในช่วงเวลาก่อนที่ชีวิตจะพบจุดจบกับเหตุการณ์ดาวเคราะห์พุ่งชนโลก ซึ่งดาวเคราะห์ที่ว่านี้ก็คือ เมลันคอเลีย ดาวสีฟ้าที่หลบอยู่หลังดวงอาทิตย์ และกำลังเคลื่อนตัวผ่านโลกไป แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ผ่านไปด้วยดี เพราะมันพร้อมโจมตีโลกอยู่ทุกเมื่อ !!!!

เรื่องราวของหนังจะแบ่งเป็นสององก์ องก์แรก นำเสนอชีวิตของนางเอกของเรื่อง เคิร์สเตน ดันสต์ ที่บทนี้ทำให้เธอได้คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเมืองคานส์มาเลยทีเดียว ซึ่งก็สมควรแล้วกับรางวัลนี้ที่เธอได้รับ เพราะดันสต์ ได้มอบช่วงเวลาแ่ห่งการแสดงที่เ้ข้าถึงทุกอารมณ์ดราม่าของหนัง ทำให้เราเข้าถึงตัวละครที่มาพร้อมสภาพปัญหาทางด้านจิตใจ, ปัญหาการตัดสินใจ และในที่สุดกับแคแรกเตอร์ที่เข้าใจในชีวิต เธอสร้างพลังออกมาได้ดี ส่งให้ผู้ชมขนหัวลุกไปกับทุกช่วงเวลาของเธอได้อย่างเยี่ยมยอด !!!!

ซึ่วเรื่องราวในองก์แรกนั้นก็จะเป็นเรื่องราวของชีวิตอันแสนเจ็บปวดของจัสติน แคแรกเตอร์ของ เคิร์สเตน ดันส์ต ที่เพิ่งเข้าพิธีวิวาห์ด้วยความชื่นมื่นไปได้ไม่นานเท่าไหร่ หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็ได้พบกับเรื่องราวมากมาย ที่เป็นเหมือนเทปคนละม้วน มันเป็นเหมือนหายนะของชีวิตคู่ข้าวใหม่ปลามัน ที่ใครก็ไม่อาจปฎิเสธได้ มันคือสัจธรรมแห่งชีวิต ที่จัสตินเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่เกิดความกลัวดังกล่าว และไม่สามารถยื้อให้ชีิวิตคู่ ไปได้ถึงฝั่งฝัน

องก์นี้ทรงพลังทางด้่านดราม่า การแสดงอารมณ์ที่แยบคายของตัวละึคร ทำให้เราเข้าถึงสภาพจิตใจที่เกินจะเยียวยาในแต่ละบริบท ถือว่าสุดยอดในซีเควนซ์แห่งการนำเสนอชีวิตทืี่แสนขมขื่น เจ็บปวด และต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน !!!

ในองค์ที่สอง หนังนำเสนอชีวิตของ แคลร์ พี่สาวจัสติน ที่สวมบทบาทโดย ชาร์ลอต เกนสบวร์ก ที่ได้ให้ช่วงเวลาที่น่าทึ่งเช่นเดียวกัน ไม่ค่อยได้ดูผลงานที่เธอคนนี้เล่นสักเท่าไหร่ แต่พอมาเจอเรื่องนี้เข้าไป แทบอยากจะมอบรางวัลสักตัวให้ซะเหลือเกิน สีหน้า ท่าทาง อารมณ์ ความรู้สึก เธอคือพี่สาวของอดีตเจ้าสาวที่อมความทุกข์ ระทมใจไม่แพ้กัน แต่แตกต่างกันที่ต้นเหตุของเรื่องที่สร้างความทุกข์ให้แก่เธอ ไม่ใช่ชีิวิตรักที่เละเฟะ แต่เป็นความกลัวที่เธอมีต่อดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่กำลังจะพุ่งชนโลก

องก์นี้นำเสนอชีวิตของเธอ ในแง่มุมพี่สาวที่แสนดี ที่มีต่อ จัสติน ในช่วงเวลาหลังจากการแต่งงานอันเหลวแหลกได้ผ่านพ้น แคลร์มีสามีและลูกที่ดูรักเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่กับสภาวะทางด้านจิตใจของเธอแล้ว หาใช่เป็นหญิงสาวที่ปกติสุขไม่ เธอมีความกลัวลึกๆในใจเกี่ยวกับดาวเคราะห์เมลัคอเลีย ทีั่เธอปักใจเชื่อว่าในอีกไม่ช้า มันจะพุ่งเข้าชนโลก และชีวิตครอบครัวของเธอก็จะพบกับจุดจบ ในขณะที่สามีของเธอที่มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์กลับพยายามปลอบใจเํธอว่า ยังไงมันก็ไม่ชนแน่ เธอจึงวางใจเชื่อ แต่ลึกๆเธอเองก็มีสภาวะสับขาหลอกให้กับความรู้สึกได้อยู่เสมอ

หนังมาพร้อมบทเริ่มต้นโหมโรงที่แสนสวยงามกับภาพสโลว์โมชั่นที่มอบความรู้สึกเหมือนกับดูสารคดีที่ถ่ายทำด้วยกล้อง HD สักเรื่อง สวยงามและได้่อารมณ์สุดใจไปเลย กว่า 10 นาที ที่หนังได้นำเสนอช่วงเวลาเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ก่อนหน้าความสูญเสีย จากภาพสโลว์โมชั่น เป็นอะไรที่ไม่ทำให้ผมง่วงหงาวหาวนอนแต่อย่างใด แม้จะอ้อยอิ่ง เรื่อยเฉื่อย แต่มันทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก

ในส่วนบทสรุปของหนัง อย่างที่ทราบกันดี ฟอน เทรียร์ ตั้งใจตีหัวคนดูมาพบกับความสิ้นหวังอยู่แล้ว อย่างที่ได้รับชมตอนต้่นเรื่อง ว่าอย่างไรซะ โลกก็ต้องพบกับจุดจบอยู่แล้ว แต่ในขณะที่โลกกำลังถูกดาวเคราะ์ห์ที่ดูท่าทางเป็นมิตรพุ่งเข้าชน จิตใจคนที่อยู่ในโลกใบนั้น มันแย่ซะิยิ่งกว่านั้นเสียอีก หนังก็สามารถนำเสนอออกมาได้่เข้าถึง นั่นคือชีวิตของปัจเจกบุคคลที่สะท้อนให้เห็นภาพชีวิตที่หมดแล้วซึ่งทุำกอย่าง สุดท้ายความสิ้นหวังก็บังเกิด และกลายเป็นภาพที่จะทำให้ผู้ชมติดตา ฝังใจไปอีกนาน

หนังทำมาได้ดี ในส่วนการทำให้ผู้ชมเข้าถึงฟีลต่างๆ ด้วยดนตรีประกอบ และเสียงเอฟเฟกต์ ที่สร้างความระทึกใจให้กับคนดูได้ทั้งในซีนดราม่า และซีนหายนะต่างๆ ช่วงเวลาสุดท้ายที่ทุกมวลชีวิตกำลังจะพบจุดจบ ผมรู้สึกประหนึ่งเหมือนชีวิตกำลังจะจบสิ้นลงไปด้วย มันทั้งหดหู่้ เศร้าใจ และพูดอะไรไม่ออก ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องดูแบบ 3D แต่ก็ทะลุกระแทกเข้าไปในกลางใจเราได้อย่างง่ายดาย !!!!

ลาส ฟรอน เทรียร์ ยังจัดจ้านกับการขยี้ชีวิตของสตรีเพศที่กำลังพบกับจุดจบ และความสิ้นหวังในต่างบริบท และแน่นอน ยังมอบช่วงเวลาแห่งชีวิตที่สวยงามบนความทุกข์ใจได้อย่างมั่งคง

ใครที่รักผลงานของผู้กำกับคนนี้ ก็ไปรับชมกัีนได้ หนังนานสองชั่วโมงกว่าๆ แต่ไม่มีสักโมเมนท์ที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อเลยสักนิด








Create Date : 23 กันยายน 2554
Last Update : 16 มีนาคม 2555 17:54:42 น.
Counter : 1111 Pageviews.

0 comment
Review : Abduction (2011) [จากสมาชิก : เดคิซุงิคุงสุดหล่อ]
ตามชื่อเรื่อง “แอบดักฉัน” เอ้ยย Abduction หลายๆคนคงพอจะเดาเนื้อเรื่องได้ว่าต้องเกี่ยวกับการลักพาตัวอะไรยังไงแหงๆ หนังเปิดตัวออกมาแบบหนังวัยรุ่นทั่วไป ที่พระเอกหนีเที่ยวปาร์ตี้ ข้ามคืนแล้วก็ไปเจอกับนางเอกสาวฮอท (ฮอทจริงๆนะ)

ต่อด้วยการปูพื้นเรื่องในครอบครัว ซึ่งตรงนี้อาจจะดูอ่อนไปนิดในความรู้สึก ก่อนที่หนังจะกระโดดเข้าไปในปมของเรื่อง ซึ่งก็รู้สึก หนังเดินไวจริงไรจริง แต่เอ่อ.. ไวไปมั้ยครับ ซึ่งพลอทอะไรแบบนี้ก็น่าจะเป็นที่คุ้นเคยของนักดูหนัง แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกคือ การกำกับภาพและคิวบู๊ออกมาได้ดีพอสมควร

และที่สำคัญที่สุดคือการแสดงออกของพระเอกตาตี่กล้ามโต กับนางเอกสาวสวยสุดฮอทของเรื่อง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่คนส่วนใหญ่มาดูเรื่องนี้ (เพราะตอนไปดูได้ยินเสียงคันหูอ๊างๆ จากผู้ชม (เพศชาย) ด้านหลังตอนพระเอกถอดเสื้อมาเป็นระยะๆ) แต่สำหรับผู้ที่อยากจะมาดูหนังตลกโปกฮา โจวเหวินฟะ ปะทะ เฉินหลง คงไม่ไช่แนวนะครับ เพราะหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะดราม่าอยู่ในระดับนึง






Create Date : 22 กันยายน 2554
Last Update : 16 มีนาคม 2555 17:54:16 น.
Counter : 912 Pageviews.

0 comment
Review : Rise of The Planet of The Apes (2011)
สารภาพว่า่ก่อนหนังเรื่องนี้เข้า ดูจากตัวอย่างและพิจารณาจากชื่อผู้กำกับแล้ว คิดไว้เป็นคำตอบแรกเลยว่า หนังเรื่องนี้ไม่รอดแน่ !!!! แต่ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากนั้น มันเป็นอะไรทีเหนือความคาดหมาย และผมอยากจะโทษสมองอันน้อยนิดของตนเอง ที่ปรามาสหนังเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่ต้น เพราะนี่แหละ คืองานหนังซัมเมอร์ของปีนี้ที่ดีที่สุด ลงตัว และยอดเยี่ยมแบบไม่เคยคาดคิดมาก่อน

พิภพวานร เวอร์ชั่นก่อนๆ พาคนดูไปพบกับโลกมนุษย์ที่ถูกครอบครองไว้โดยมนุษย์วานรทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เคยมีเวอร์ชั่นไหน ที่บอกเล่าให้เราฟังว่า เหตุใดที่โลกถึงได้เปลี่ยนไปถึงจุดนั้น วานรทั้งหลาย มีวิวัฒนาการอย่างไร และมันกลายมาเป็นเจ้าโลกได้อย่างไร !!!

หนังเรื่องนี้นำเสนอได้อย่างตรงไปตรงมา และไม่มีอะไรฉีกกฎเกณฑ์ที่ควรจะเป็น และนั่นแหละคือควาสมเหตุสมผลที่ทำให้หนังดูไ่ม่แฟนตาซีเหนือจริงจนเกินไป ความเป็นดราม่าของหนังที่จัดแจงทุกบริบทได้อย่างซีเรียส จริงจัง และทำให้เราเชื่อถือในตัวละคร ทั้งภาคคนและลิง ทำให้ขนลุกได้ง่ายๆ

เจมส์ ฟรังโก้ แม้จะโดนลิงกลบรัศมีในเรื่องนี้ แต่เขาคือตัวละครที่เป็นหัวใจสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้น

ซีซาร์ หรือแคแรกเตอร์เพอร์ฟอร์มานซ์ แคปเจอร์ที่ถ่ายทอดอารมณ์ ท่าทาง บุคลิก ลักษณะ ทุกโมเลกุลโดย แอนดี้ เซอร์คิส นักแสดงที่เหมือนเป็นเจ้าพ่้อทางการแสดงในแวดวงเทคโนโลยีนี้ สร้างสรรค์ตัวละครลิง ที่เป็นมิติใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ได้อย่างน่าเชื่อถือ อยากจะมอบรางวัลออสการ์ส่วนตัวให้กับเขาสักหน่อย เพราะความเ็ป็นมนุษย์ในตัวซีซาร์ มันทำให้เรารู้สึกอยากจะเอาใจช่วยเขาตลอดเวลา สีหน้า ท่าทาง และอารมณ์ความรู้สึก เขาไม่ใช่แค่ลิง ยิ่งฉากที่ทำให้เราฟินให้หลายๆตอน อาทิ ฉาก Nooo !! หรือแม้แต่ Caesar is Home ก็เป็นอะไรที่จะถูกกล่าวขา่นไปอีกนานนนน

การใช้ซีจีในแบบเดียวกับหนังเรื่อง Avatar ในหนังเื่รื่องนี้ ในการสร้างสรรค์ตัวละครลิงทั้งหลายขึ้นมา ถือว่าถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างลงตัว ฉากกองทัพลิงบุกเมือง เป็นอะไรที่สร้างความตื่นเต้น และพลอยคิดว่า ถ้าเกิดต้องพบเจอเหตุการณ์แบบนี้จริง เราจะทำอย่างไร เราจะยืนอยู่ข้างใด ระหว่างมนุษย์และลิง !!!

ชอบประเด็นที่หนังนำเสนอคือเ็ป็นเส้นตรง ไม่มีอะไรพลิกผัน เดาง่าย แต่ผู้กำกับ รูเพิร์ต ไวแอ็ต เรียงร้องเรื่องราวได้อย่างสนุกสนาน และบางทีก็ทำให้เรารู้สึกใจสั่นไปพร้อมๆกัน เพราะมันเหมือนเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมนุษย์มากที่สุด หากเกิดขึ้นจริง เราจะไม่สามารถต่อต้านอะไรได้เลย ....ดูหนังเรื่องนี้แล้ว แอบก่อกบฎความเป็นมนุษย์ เอาใจช่วยลิงสุดฤทธิ์ !!!

สุดยอดหนังแห่งความบันเทิง ดูหนังตลกๆ มาเยอะแล้ว เปลี่ยนมาจริงจังกับเรื่องราวในแบบนี้ดูบ้าง ชีวิตจะได้มีสีัสัน !!







Create Date : 18 กันยายน 2554
Last Update : 16 มีนาคม 2555 17:55:07 น.
Counter : 512 Pageviews.

0 comment
Review : Final Destination 5 (2011)
หลังจากผิดหวังมากถึงมากที่สุดกับภาค 4 ที่ไม่มีอะไรนอกจากจะขาย 3D และบทหนังกลวงโบ๋ จนไม่สามารถเอานวัตกรรมเสียวทะลุจอมากลบได้มิด ทำให้กลัวๆกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภาคนี้ แต่จริงๆแล้วการดูหนังประเภทนี้ หลังๆมาเราไม่ควรจะหวังอะัำไรมากกับตัวบท อย่างที่บอกว่า หนังจงใจนำเสนอแต่เรื่องราวความเสียวสันหลัง, ปิดตาดู ของฉากการตายต่างๆที่ถูกออกแบบมาได้ไม่ซ้ำซากกับหนังเรื่องอื่นๆ หรือภาคก่อนๆ นั่นถือเป็นจุดขายหลักของเรื่อง เพราะฉะนั้นใครที่คิดจะเข้าไปถามหาความสมเหตุสมผล หรือเรื่องราวที่เป็นไปเป็นมาอย่างครบถ้วน ไม่ควรเข้าไปดูเด็ดขาด เพราะจะเหมือนร่างกายขาดสารอาหารอย่างยิ่ง เน้นดูเพื่อความบันเทิงตอบสนองความซาดิสต์ส่วนตัวล้วนๆ

เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า ความยิ่งใหญ่ในฉากนิมิตเปิดตัว เป็นอะไรที่เทียบเท่าหนังบล็อกบัสเตอร์สักเรื่องได้เลย การออกแบบฉากสะพานถล่ม ทำให้รู้สึกว่า ทีมงาน ศึกษาและทำออกมาได้แนบเนียนสมจริงมาก บางทีทำให้คิดว่านี่เป็น Sequence หนึ่งในหนังเรื่อง 2012 เลยทีเดียว แม้จะเปิดเรื่อง เดินเรื่องเร็ว เหมือนหนังพยายามจะตีหัวผู้ชมเข้าไปสู่บริบทการโกงความตายให้เร็วที่สุด แต่หนังก็ทำให้สนุกได้ตั้งแต่ฉากนิมิตนี่แหละ ลุ้นเสียวเลือดสาด โหดช็อค เซอร์ไพรส์มีครบถ้วนตลอดเวลา

เรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก นำพาคุณผู้ชมไปสู่การนำเสนอเหยื่อแต่ละรายที่ความตายมาทวงชีพ แต่ละรายก็ตายได้แบบ คิดไม่ถึง !!! ที่ว่าคิดไม่ถึงนี่ก็เพราะว่า บางทีเราเหมือนจะโดนสภาพแวดล้อมหลอก เราอาจจะคิดว่าเขาและเธอน่าจะตายในแบบนั้นแบบนี้แน่ๆ แต่จริงๆแล้ว มันไม่ใช่ และนั่นแหละ ก็เป็นความสนุก ที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้เสมอ อาทิเช่น ฉากยิมนาสติก ที่เมื่อการตายดำเนินมาถึงฉากฟิเนเล่ ก็ทำให้เราอึ้งไปได้เป็นนาทีเหมือนกัน หรือจะเป็นฉากสปาฝังเข็ม นั่นก็หลอกล่อเราแล้ว หลอกล่อเราอีก จนเมื่อถึงบทสรุปการตาย ก็อึ้งไม่แพ้กัน

แต่ละฉาก แต่ละ Sequence เรียกว่ามาพร้อมความลุ้นสุดตัว และ็เป็นอีกภาคที่ประสบความสำเร็จในการที่ทำให้เราเอามือขึ้นมาปิดหน้า ด้วยเหตุที่ว่า กลัวจะรับภาพที่กำลังจะเห็นไม่ได้ ซึ่งไม่ีเคยมี Final ภาคไหน ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้มาก่อน

ในส่วนของบท เรื่องนี้ยอมรับว่าไม่ได้ขี้ริ้ว ขี้เหร่ เหมือนภาค 4 แถมยังดีขึ้นมาก ที่ทำให้เราได้เห็นอะไรอย่างอื่น นอกจากการตายของตัวละครที่เรียงกันไปเป็นเส้นตรง เื่รื่องราวการโกงความตายสารพัดวิธีที่ตัวละครบางตัวเลือกใช้ กลายเป็นบริบทการต่อสู้่กันเอง นั่นทำให้หนังดูสนุกขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง

นักแสดงแต่ละคน หน้าใหม่ แต่ก็ทำหน้าที่เป็นของตัวเองได้ดี

เป็นหนังที่ตอบสนองความบันเทิง สำหรับผู้่ที่ชอบอะไรโหดๆ เน้นความซาดิสต์ เห็นเลือด เห็นไส้ แล้วยิ้มร่า อันนี้เหมาะมาก แถม 3D ในเรื่องนี้ก็แอบพุ่งให้เราได้สะดุ้งกันเป็นครั้งเป็นคราวด้วย (แต่ไม่ได้พุ่งตลอดนะ)

แอบนึกว่าถ้าหนังเรื่องนี้เป็น 4D มันคงจะเจ๋งไปน้อย โดยเฉพาะฉากเลซิค ที่อาจจะมีอะไรร้อนผ่าวๆ เจ็บๆแสบๆ เข้าตาเรา 55555+






Create Date : 18 กันยายน 2554
Last Update : 16 มีนาคม 2555 17:56:22 น.
Counter : 559 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

Filmzlap
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Movie Addict, that's all i need to say about MYSELF !!