ไดอารี่ยามว่างงานของ yoyofarm
Group Blog
 
All Blogs
 

Kose Sekkisei Recovery Essence Excellent ฉบับนอกใจ Estee Advancedฯ และ Idealist

สวัสดีค่ะ ^^

มา review เทใจให้ซีรั่มที่เอาชนะใจแฟนเหนียวแน่นของ Estee อย่างเราได้ค่ะ เดิมภักดีกับ Idealist มานานมาก ตอนหลังเปลี่ยนมาใช้ Advanced ตามแรงโฆษณา แต่อยู่มาวันหนึ่ง ซื้อคสอ.ทางเน็ตแล้วเพิ่มตังค์อีกนิดก็จะได้ส่งฟรี เลยซื้อ tester ของตัวนี้ให้ยอดมันครบๆ ค่ะแล้วโยนให้คุณสามีใช้ หลอดมันเท่านิ้วก้อยเองค่ะ

แต่ความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฝ่ามือของคุณสามีทำให้เราชักสงสัย ก็เลยลองค้นคว้าดูหน่อยซิว่ามันคืออะไร


บรรดาของที่จะพูดถึงวันนี้ก่อนค่ะ

Kose Sekkisei Recovery Essence Excellent [50ml/3,700บ.]
La Mer the Lifting Face Serum [30ml/9,900บ.]
Estee Lauder Advanced Night Repair Whitening Recovery Complex [50ml/3,500บ.]
Estee Lauder Idealist Pore Minimizing Skin Refinisher Repair Serum [50ml/3,400บ.]

ปัญหาแรกสุดคือ line Sekkisei เพื่อผิวกระจ่างใส มีชื่อคล้ายกันเยอะมากจนงง เอาเป็นว่าดูชื่อที่กะว่างงแน่ๆ ก่อนนะคะ


Sekkisei Lotion Excellent >> ฟังดูเหมือนเป็น toner ใช้หยดใส่สำลีตบหลังทำความสะอาดผิวหน้า คุณสมบัติใกล้เคียงกับ Sekkisei Lotion (น้ำโสม) แต่ไม่เคยใช้ค่ะ ไม่ทราบต่างกันยังไง

Sekkisei Emultion Excellent >> เหมือนว่า emultion ของญี่ปุ่นจะ = lotion บ้านเรา คือให้ความชุ่มชื้นน่ะค่ะ ไว้สำหรับทาตัวสุดท้าย ส่วน lotion ของญี่ปุ่นจะ = toner ของบ้านเรา งงมั้ยเนี่ย

Sekkisei Essence Excellent >> เป็นตระกูกซีรั่มเมือน Recovery Essence Excellent (ไม่มีคำว่า Recovery) ใช้เป็นตัวแรกหลังตบ Lotion (toner)

เท่าที่จับใจความได้จากการอ่านคุณสมบัติ ตระกูลที่มีคำว่า Excellent งอกขึ้นมาเขาใส่คุณสมบัติ Whitening เพิ่มขึ้นค่ะ ซึ่งจากเดิมแม้ช่วยเรื่องความ "กระจ่างใส" แต่ไม่ได้กล่าวถึงผลต่อเมลานินซึ่งพบในสกินแคร์กลุ่มไวเทนนิ่ง อันนี้เดาจากที่อ่านในเวบไซท์ Kose ภาษาไทยนะคะ จริงเท็จไม่ชัวร์เพราะไม่ได้ลองเองทุกตัว (แพ้น้ำโสมง่ะ)

ส่วน Recovery Essence Excellent ที่จะพูดถึงวันนี้เนื่องจากมีคำว่า Recovery งอกขึ้นมาจึงโดดเด่นเรื่องการฟื้นฟูผิว คือเน้นซ่อมเฉพาะบริเวณที่เป็นปัญหาค่ะ ตรงไหนดีแล้วไม่ต้องทาก็ยังได้ หรือทาจนดีแล้วอยากหยุดดูเหมือนเขาก็จะไม่ขัดศรัทธา

โม้ทฤษฎีพอหอมปากหอมคอ มาว่าที่ประสบการณ์ดีกว่าค่ะ


ครั้งแรกที่ให้คุณสามีแล้วเราสังเกตได้ชัดเจนคือ

1. ผิวผู้ชายที่เคยใช้แต่ Olay Moisturizer อายุ 37 ไม่เคยบำรุงมาก่อน กลับดูเนียนขึ้น เปล่งปลั่ง ภาษาชาวบ้านคือหน้าขาวผุดผาดน่ะค่ะ
2. รูขุมขนของผู้ชายขนดกที่ต้องโกนหนวดทุกวัน ไม่งั้นโจร กลายเป็นกระชับอย่างชัดเจน รูขุมขนแทบมองไม่เห็น
3. แก้มแดงอย่างกับคนเมาเหล้าค่อยๆ จางลงค่ะ ยังแดงอยู่แต่ไม่ได้แดงมันๆ เหมือนคนเมาอย่างแต่ก่อน แต่ชัดเจนว่าจางลงมาก สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
4. คุณสามีมีฝ้าเพราะตีกอล์ฟตากแดดบ่อย ทากันแดดแต่ก็ใช้มั่งไม่ใช้มั่ง หน้าตกกระเหมือนเด็กฝรั่ง แถมดูหมองๆ ซึ่งทีแรกคิดว่าเพราะฝ้า แต่ทาแล้วปรากฏว่ามองเห็นกระชัดขึ้นค่ะ ที่ชัดเพราะผิวแก้มที่ดำเป็นปื้นมันจางลงเลยตัดจนเห็นเม็ดกระชัด น่ารักเชียว กลายเป็นเด็กฝรั่งไปเลย ฝ้าจางลงแต่ยังไม่หมดค่ะ กระไม่จางนะคะ
5. ผิวนุ่มขึ้น คืนไหนเบี้ยวทาจะรู้เลย เพราะหน้าแห้งๆ และไม่นุ่ม จิ้มปุ๊บรู้ปั๊บ
6. ทาแป้งตอนเช้าแล้วหน้าใสขึ้น เดาว่าเพราะเมื่อผิวได้รับการซ่อมแซม มันจึงสามารถดูดซึม moisturizer ได้เต็มคุณสมบัติมากกว่าเก่า หน้าชุ่มชื้นขึ้นจึงทาแป้งแล้วไม่เป็นคราบ ดูใสปิ๊ง (หมั่นไส้นิดหน่อย ใสกว่าเรา)
7. ไม่ยอมเลิกใช้ 555 ^^ คือเขาใช้แล้วรู้เลยค่ะว่าดีมาจากตัวนี้ แต่ไม่กล้าบอกว่าใกล้หมดแล้ว (หลอดมันเท่านิ้วก้อยเอง) เลยเอามาแต้มๆ แค่บางจุด จนเราถามว่าทำไมใช้ทนไม่หมดซักที ถึงได้ยอมบอกว่าใช้แบบประหยัดเพราะกลัวหมดแต่ไม่กล้าบอกค่า 5555 ^^

นี่คือ tester ไม่มีขายที่เคานท์เตอร์นะคะ อย่าไปขอซื้อค่ะ เดี๋ยวคุณ BA จะงง



มาที่เราเองบ้าง ผิวอายุ 31 หน้าแห้ง รูขุมขนแถวแก้มกว้าง ปีกจมูกลอกแดง จมูกและหัวคิ้วมัน มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นจ้ำๆ จากอะไรก็ไม่ทราบ แต่แต่งหน้าแบบธรรมชาติแล้วขัดใจสุดๆ เพราะมันทำให้บลัชปัดแก้มสีออกมาไม่เท่ากันเลยค่ะ หน้าหมองๆ ไม่ได้ไบรท์กระจ่างเหมือนเด็กสาวๆ

ครั้งแรกแย่งคุณสามีใช้ (ตอนกลางคืน) เพราะเห็นหน้าดี๊ดี >> ไม่รู้สึกแตกต่างจากจาก Estee Advanced และ Idealist เท่าไหร่ค่ะ แต่เพราะเรายังหาจุดสังเกตคุณสมบัติไม่ได้ก็เลยไม่ได้สังเกตด้วย แต่ก็ไม่ได้ใช้ต่อ

ครั้งที่ 2 เดือนนึงผ่านไป ใช้เพราะคุณสามีใช้ tester หมดไป 2 หลอดนิ้วก้อย เห็นว่าไม่ยอมเลิกแน่เลยซื้อกระปุก 50ml มาให้ใช้ต่อค่ะ แบบว่าขอไปกดใช้มั่ง (ตอนเช้า) >> ผิดสังเกตว่าแต่งหน้าเนียนขึ้นมาก เดิมรูขุมขนตรงแก้มเราจะกว้าง ผลคือเบสมันตกรูเห็นเป็นจุดขาวๆ ใต้รองพื้น น่ากลัวมาก (เราใช้รองพื้นน้ำบางมากๆ) แต่พอใช้ Sekkisei ตัวนี้ รูขุมขนมันหดชัดค่ะ เบสไม่ตกรูแล้ว รองพื้นเลยเนียนสวย

ทากลางคืน >> รู้สึกว่า moisturizer ทำงานดีขึ้นค่ะ ตื่นเช้ามาหน้าชุ่มชื้นและนิ่มกว่าปกติ ยังกับเพิ่งมาสค์หน้าผลัดผิวใหม่ยังไงยังงั้น

ข้อเสียที่ไม่ชอบ
>> มันตึงหน้าค่ะ ทากลางคืนแล้วรำคาญความตึงของมัน และตอนเช้าถ้าใช้ moisturizer ไม่ชุ่มชื้นพอ รองพื้นจะไถยากหน่อยค่ะ ถ้าเป็นรองพื้นแห้งง่ายล่ะขึ้นคราบชัวร์


ความแตกต่างเมื่อเทียบกับ Advanced Night Repair whitening พบว่า Sekkisei Recovery Essence Excellent...

1. รูขุมขนกระชับว่าแน่นอน
2. ให้ผลเรื่อง whitening ชัดเจนกว่ามากค่ะ เราว่าชัดจริงๆ ระดับสีผิวขาวขึ้นจริงๆ แฮะ (สำหรับคนขาวอยู่แล้วแต่หม่นเพราะเหตุผลอื่นๆ นะคะ ผิวเข้มจะให้ขาวเหมือนทาปรอทคงไม่ได้)
3. หน้ากระชับเด้งเหมือนหน้ายกขึ้นหลังทา ซึ่ง advanced ไม่มี
4. ไม่มีซิลิโคนหลุดเป็นก้อนๆ หลังทา moisturizer ให้รำคาญใจ
5. ผิวกระจ่าง นิ่ม เรียบเนียนกว่า
6. คุมความมันมากกว่า (ซึ่งตรงนี้เราไม่ค่อยถูกใจ เพราะต้องเปลี่ยนไปใช้ moisturizer ที่ทำให้หน้ามันขึ้นอีกนิด ไม่งั้นรองพื้นจะเป็นคราบ แต่พอเปลี่ยน moistฯ ให้ชุ่มชื้นขึ้นก็ไม่เป็นปัญหาในการแต่งหน้า)
7. เห็นผลเร็วกว่า เหมาะสำหรับคนใจร้อน


ความแตกต่างเมื่อเทียบกับ Idealist พบว่า Sekkisei Recovery Essence Excellent...

1. กระชับรูขุมขนได้พอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ Sekkiseiฯ เห็นผลเร็วกว่ามาก
2. เรื่องยกกระชับหน้า Sekkisei เห็นผลเร็วกว่าค่ะ แต่ออกแนวตึงๆ นะคะ
3. ซิลิโคนของ Idealist ชอบหลุดเป็นก้อนตอนทา moistฯ ยังเป็นปัญหาที่เรารำคาญใจ
4. ขาวกระจ่าง >> Idealist ไม่มีคุณสมบัตินี้
5. คุมความมันดีกว่า Idealist


เมื่อเทียบกับ La Mer the Lifting Face Serum (เราใช้แค่ 2 สัปดาห์เลิกนะคะ และผิวหน้าเราอายุ 31 บำรุงมามากค่ะ อ้างอิงเทียบกับคนอายุเยอะหรือน้อยกว่านี้และไม่เคยบำรุงไม่ได้ค่ะ)

1. ความตึง, กระชับรูขุมขน, ยกผิวเด้ง ใกล้เคียงกันมาก ให้ La Mer มากกว่านิดนึง แต่เอาเข้าจริงหลับตาทาแล้วจับหน้าอาจจะแยกไม่ออกค่ะ (ผลในระยะสั้นหลังทาทันทีนะคะ ระยะยาวไม่ทราบ)
2. ทำให้ดูดซึม moisturizer ดีขึ้นพอๆ กัน แต่ดีกว่า Estee ทั้งสองตัว
3. สำหรับเรา La Mer ทำให้แต่งหน้ายากขึ้นจากความตึงและเหนียวๆ ของมัน รองพื้นเป็นคราบ พอใช้ Moistฯ ที่ชุ่มๆ เพื่อไม่ให้รองพื้นเหนียวเกิน ปรากฏว่าหน้ามันค่ะ ซึ่ง Sekkisei ไม่พบปัญหานี้
4. ไม่เห็นผลเรื่องหน้าขาวกระจ่างเท่า Sekkisei
5. ราคาทารุณกว่ามาก อาจอดตายได้เลยทีเดียว


สรุปรวมๆ ความเห็นส่วนตัว >> ถ้าจะซื้อ Serum ขวดใหม่คิดว่าจะซื้อ Sekkisei Recovery Essence Excellent ค่ะ แต่ติดที่เราต้องซื้อ moistฯ ใหม่ที่ชุ่มชื้นขึ้นด้วย Estee Hydra Complete เอาไม่อยู่ค่ะ ต้อง Sisley Hydra global anti-aging ไม่ก็ Ecological compound ที่เนื้อหนักๆ ชุ่มชื้นมากๆ หน่อยถึงจะไม่รำคาญความตึงหน้าของมัน (คนผิวมันอาจไม่ต้องใช้ moistฯ ชุ่มชื้นขนาดนี้ก็ได้ค่ะ)

ดังนั้นตอนนี้ก็ใช้ Estee เหมือนเดิม แต้ม Sekkisei เฉพาะจุดที่ต้องการแก้ไขปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ (เช่น แก้ม หน้าผาก) แบบว่าประหยัด ซื้อ Estee มาแล้วก็ใช้ให้หมดไม่ทิ้งขว้างค่ะ

แต่คิดว่า...อิอิ...พรุ่งนี้อาจจะขอแลกเอา Sekkisei มาใช้แล้วเอา Advancedฯ ไปให้คุณสามีแทน (แอบชั่ว) ก็แหม...ทาแล้วรองพื้นสวยดีนี่นา คุณสามีไม่ต้องรองพื้นก็หยวนๆ แล้วกัน ^^

จบรีวิวกระชากกระเป๋าตังค์ค่า ^^




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2551    
Last Update : 16 มิถุนายน 2551 20:42:38 น.
Counter : 7752 Pageviews.  

Sisley Eye and Lip Contour Balm บาล์มเทพเสกปากให้ชุ่มชื้นแดงเด้งเหมือนสโนไวท์

กลับมีอีกแล้ว งวดนี้เป็น review เชิงสรรเสริญนิดๆ สำหรับคนที่รู้สึกว่าทั้งใบหน้าเนี่ย มี "ปาก" เป็นอวัยวะเดียวที่ดับอนาถที่สุด ไม่มั่นใจเอาเสียเลย

เนื่องจากเดิมปากเราแพ้กระจุยจึงทำให้ไม่สามารถใช้ลิปสติกสวยๆ ได้แบบชาวบ้านเขา รูปปากเรารึก็ไม่ได้เซ็กซี่ สีปากไม่สม่ำเสมอ หนักไปทางซีดเลยล่ะค่ะ และปากแห้งลอกเป็นประจำ ทาลิปมันเท่าไรก็ไม่ดีขึ้น แค่ช่วยให้ความชุ่มชื้นชั่วคราวเท่านั้น แม้ Suqqu จะเป็นลิปสติกที่ช่วยชีวิตไว้ได้เพราะพรางปากลอกๆ ไว้เกือบมิด แต่สังขารที่แท้จริงของปากก็ไม่เปลี่ยนไปอยู่ดี

แต่เราเจอแล้วค่ะ!! ตัวที่ทำให้ปากดีขึ้น คือนอกจากชุ่มชื้นขึ้นแบบเสกได้ ระยะยาวปากยังสุขภาพดีขึ้นด้วย!! โอ้..แม่เจ้า!


มันคือ Sisley Eye and Lip Contour Balm ซึ่งทีแรกกะซื้อมาพอกตา แต่ดันลอง La Mer อยู่เลยพอกปากแทน อันนี้เป็นหลอด tester ซื้อมาลองค่ะ (ทาครั้งเดียววันรุ่งขึ้นสั่งมาอีก 2 หลอด...เทพจัด!)

เนื้อจะเป็น gel balm ใสๆ กลิ่นเหมือนขนมผิง รสขมหน่อยค่ะ (แต่ทนได้ ของมันดี) ทาปุ๊บ (คือแค่แตะเบาๆ นะคะ ไม่ต้องทาถูๆ เลย แตะลงไปจริงๆ) สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมีดังนี้

ผลที่เกิดขึ้นทันที
>> ปากจะชุ่มชื้นเหมือนสาดน้ำเข้าไปใต้ผิว "ทันที" ค่ะ ทันทีคือทาปุ๊บซาบซ่านเลย ปากที่แห้งลอกหายไปเหมือนเสก
>> ขณะที่ทา บาล์มจะช่วยปรับสภาพผิวปากเลยค่ะ ไม่ใช่แค่เคลือบหรือชุ่มชื้นไปงั้นๆ เอง มันปรับใต้ผิวจริงๆ ค่ะ
>> สำหรับหนุ่มๆ ที่อยากปากแดงเหมือนดาราญี่ปุ่นเกาหลี เราภูมิใจเสนอว่า "ปากแดงขึ้นมาก!!" มันเพิ่ม circulation คือเรียกเลือดให้มาเลี้ยงใต้ผิวมากขึ้นค่ะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของ eye cream ตระกูลลดแพนด้าใต้ตาเช่นกัน ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่มันจะทาได้ทั้งตาและปาก

ถ้าอยากปากแดงแบบสุขภาพดีแบบไม่ต้องทากลอสให้แดง ไอ้นี้ล่ะค่ะที่หามานาน ยืนยันว่าไม่ใช่เพราะเอามือถูบาล์มแรงๆ ถึงแดงนะคะ แตะเบาๆ นี่ล่ะค่ะ แดงได้จริงๆ แบบสโนไวท์เลยค่ะ

ผลเมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์
>> ชัดเจนค่ะว่าปากชุ่มชื้นขึ้นมาก ทาลิปสติกแล้วสวยขึ้น ไม่ตกร่อง เดิมต้องทาบาล์มเพิ่มทุกชั่วโมง แต่หลังใช้มาอาทิตย์นึง ซัก 2-3 ช.ม.ค่อยเติมก็ยังได้ค่ะ และมีแววว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ต้องลองใช้ต่อไปก่อนค่ะ

ข้อควรระวัง
>> สำหรับคนที่ปากสภาพแย่มากอย่างเราและเพิ่งใช้ไม่กี่ครั้ง เวทย์มนต์นี้จะหายไปใน 1 ช.ม.ค่ะ ต้องทาซ้ำอีกก็จะกลับมาแดงอีกนะคะ ไม่ใช่ครั้งเดียวดีเทพ
>> แนะนำให้ทาตอนปากสะอาด คือไม่มีลิปมันหรืออะไรอยู่บนปาก เพื่อให้บาล์มซึมเข้าได้เต็มที่ค่ะ
>> สำหรับคนที่ปากสวยและชุ่มชื้นอยู่แล้ว อย่าใช้เลยค่ะ มันแพงเวอร์ถ้าจะเสียเงินหลายๆ พันเพื่อให้ปากชุ่มชื้น แต่เราใช้เพราะปากชวนเสียความมั่นใจจริงๆ ค่ะ

ความจริงแอบเขิน ^/////^ แต่เพื่อให้เห็นว่าปากมันดีขึ้นจริง จะทาให้ชมค่ะ (อายปากตัวเองวุ้ย!)


อุปกรณ์สำหรับการทดลองครั้งนี้ค่ะ
1. Sisley Eye and Lip Contour Balm พระเอกของเรา [30ml/ 3,800บ.] เพื่อซัดความชุ่มชื้นเข้าผิวปาก
2. Vaseline เจ้าเก่า เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและรองก่อนทาลิปสติก
3. Lancome Juicy tubes กลอสหนึบสีเหลือบชมพู สร้างความเงางาม
4. Suqqu creamy lipstick #22 สีนู้ดนมชมพูที่ปากแพ้หรือเฮงซวยแค่ไหนก็ทาแล้วสวยได้ (ถ้าทาถูกวิธี)


สภาพปากดั้งเดิมของเราค่ะ (เขินวุ้ย!)
อันนี้กล้องใจดีปรับ contrast อัตโนมัติ แต่ความจริงสีซีดกว่าแก้มมากเลยค่ะ สังเกตจากสีริมฝีปากล่างจะซีดกว่าบนนะคะ ของจริงซีดเป็นไก่ต้มเชียวค่ะ ริมฝีปากล่างเห็นร่องชัดเจนและแห้งผาก ยิ้มไม่ได้นะคะเพราะปากจะแตกเลยล่ะ ทุกทีก่อนยิ้มต้องควักวาสลีนมาทา ในห้องทำงานก็มีวาสลีนอยู่บนโต๊ะทำงานด้วย คนที่ทำงานส่วนใหญ่จึงคิดว่าเราดุและยิ้มยาก...ความจริงเปล่า ยิ้มแล้วปากชอบแตกตะหากเลยไม่อยากยิ้ม


คราวนี้ทาบาล์มเทพลงไปค่ะ ผลก็คือฝั่งซ้ายคือปากปกติ เห็นชัดเจนว่ายิ้มแล้วปากแทบปริค่ะ ผิวมันแห้งมาก สะท้อนแสงเป็นร่องชัดเจน แต่ฝั่งขวาทาลงไปแล้ว ปากชุ่มชื้นทันทีค่ะ ไม่สะท้อนแสง ที่สำคัญ...ยิ้มแล้วปากไม่เลือดอาบค่า!!
ถ่ายสะท้อนกระจกเลยมัวค่ะ ขออภัยด้วย


ทาหมดทั้งปาก จะเห็นว่าตรงแห้งๆ หายไปค่ะ สีถ่ายมาไม่ชัดแต่จะบอกว่าปากแดงขึ้นมากๆ!!


ต่อด้วยลิปสติกราคาแพงที่ไม่ได้แพงเกินราคาคุยค่ะ Suqqu เม็ดสีเอี้ยดมาก ทาแล้วสีไม่ค่อยเพี้ยนเลยค่ะ ยี่ห้อนี้มีแต่สีนู้ดสวยๆ ทั้งนั้นเลย ข้างๆ คือจุยซี่ทิวบ์รุ่นทดลองที่ใช้ทั้งชาติก็ไม่ทราบจะหมดหรือเปล่า ถูกและดีค่ะ


ถ่ายมืดอีกละ ตอนนี้ละเลง Suqqu ลงไปก่อนค่ะ คะเห็นว่าความที่เม็ดสีแน่นและละเอียด มันจะเคลือบร่องริมฝีปากไว้ได้ดี ไม่ตกร่องเป็นก้อนให้ช้ำใจค่ะ เป็นลิปสติกที่ทาแล้วดูเนียนบางสวยมากๆ ไม่ได้เป็นครีมเลอะหนาเตอะค่ะ


ท๊าด๊ามมม!! ทากลอสลงไปทับค่ะ...โถ่ถัง ถ่ายผ่านกระจกออกมาเฮงซวยจริงเรา จะได้สีชมพูสวยที่ไม่กระโดดออกจากปาก แบบที่เรียกนู้ดนมชมพูน่ะค่ะ ปากไม่เหลือสภาพความแห้งกร้านแม้แต่น้อย


เขินสังขารป้าแก่ของตัวเองจริงๆ T/////T แต่อันนี้ถ่ายแบบหันกล้องเข้าตัวให้เห็นสีชัดๆ ค่ะ ปากที่ไร้ความแห้งมันทาออกมาเรียบสวยแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนค่ะ ฮึก..อยากจะร้องไห้ นึกว่าต้องเกิดใหม่ถึงจะมีปากดีๆ ซะแล้ว

ส่วนผิวที่แลดูเด็กเด้งก็อิทธิฤทธิ์รองพื้น Sisley เช่นกันค่ะ (ที่จริงผิวแห้งเหมือนป้าแก่ละ) จมูกพรางรูสตรอเบอร์รี่ด้วยเบสคิสและรองพื้น แก้มปัด Shu Pink 33e ผสม Armani #10 สีสุภาพหน่อยเพื่อให้ไม่แบ๊วเวอร์จนเด็กที่ทำงานนินทาว่าสังขารไม่เจียม เอิ้กๆๆๆๆ ^^ ถึงแก่แต่อยากใส ช่วยไม่ได้ฮ่ะ ^^

จบรีวิวสรรเสริญ Balm พร้อมผลการทาลิปสติกหลังใช้บาล์มไว้เท่านี้ค่ะ ^//////^ (เขินไม่หาย)




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2551 14:05:08 น.
Counter : 6450 Pageviews.  

Gel de La Mer และ Estee Hydra Complete Gel แพงกว่า 3 เท่าแล้วดีกว่า 3 เท่าจริงหรือเปล่า

สวัสดีค่ะ ^^

ที่ตัดสินใจรีวิวผลิตภัณฑ์ 3 ระดับที่ราคาต่างกัน 3 และ 100 เท่าก็เนื่องด้วยไปอ่านรีวิว La Mer ที่ดีมากๆ ของท่านหนึ่งเข้า ทำให้กลับมาเจริญสติว่า เออนะ...ราคาก็แพงกว่ากันขนาดนี้ ถ้ามันไม่ได้มีส่วนผสมดีเลิศสมราคาที่แพงกว่าถึง 3 เท่า แล้วทำไมคนจึงยังซื้ออยู่อีก เพราะโฆษณามันแรงเหรอ หรือเพราะมันบวกค่า brand image เข้าไปกันแน่

ก็เลยขอนำเสนอความเห็นส่วนตัวในฐานะ “ผู้ใช้” นะคะ เอาแบบใช้แล้วรู้สึกยังไงน่ะค่ะ ความรู้อะไรวิชาการไม่มี๊!!



ว่ากันที่ 3 ตัวซึ่งเราจะพูดถึงคือ

- Gel de La Mer [60ml/ 9,000บ. ตก 150 บ./ml]
- Estee Lauder Hydra Complete Multilevel moisture gel creme [50ml/ 2,200บ. ตก 44 บ./ml]
- Olay Moisturizing lotion [150ml/ 234 บ. ตก 1.56 บ./ml]

เป็น 3 ตัวที่กล่าวว่า “ให้ความชุ่มชื้น” ทั้งหมด สนนราคาต่างกันตามน้ำหนัก 3 และ 100 เท่า การที่บางท่านต้องทนใช้โอเลย์และไม่สามารถใช้ลาแมร์ได้อาจคิดว่าเพราะเราจน!!...จริงเร้อ...มาว่ากันทีละตัวค่ะ

บอกสภาพผิวนิดนึงค่ะ ผิวคนอายุ 31 ปีที่ใช้ Estee Idealist มาประมาณ 7-8 ปีติดต่อกันค่ะ ตัวให้ความชุ่มชื้นใช้บ้างไม่ใช่บ้างแล้วแต่ความยาจกขณะนั้น แต่งหน้าแบบใช้แค่รองพื้นกับแป้งฝุ่นมาตลอด เพิ่งใช้พวก make-up color ที่ต้องล้างรุนแรงมาแค่ 5 เดือนค่ะ ดังนั้นผิวจะโดนคุกคามมากๆ เพิ่ง 5 เดือนเท่านั้น ริ้วรอยมาบ้างแต่พยายามไม่ใส่ใจมาก



Gel de La Mer
อันนี้เป็นกระปุก tester เอามาลองค่ะ ซื้อกระปุกใหญ่ก็ใจไม่ถึง ด้วยราคาขนาดนี้ ส่วนตัวคาดหวังว่าควรเห็นผลชุ่มชื้น “ทันที” (หรือใน 48 ช.ม.ไม่เกินนั้น) ผลก็คือ

ความชุ่มชื้น >> เออแฮะ...มันมาทันทีค่ะ เนื้อเจลไม่หนักหน้า ไม่ก่อสิวอุดตัน ใช้สบายหน้าทั้งกลางวันกลางคืน รู้สึกหนืดนิดๆ เมื่อเทียบกับ Estee ให้ความชุ่มชื้นมากกว่า Estee แบบจิ๊ดเดียวจริงๆ ถ้าไม่ได้สังเกตมากเราว่าไม่ต่างกันด้วยซ้ำค่ะ (ย้ำว่าผิว 31 ปีนะคะ ถ้าผิวอายุมากกว่านี้อาจแจ่มกว่าก็ได้ ใครจะรู้ ^^)

ข้อเสีย >> ไถรองพื้นยากกว่าตอนทา Estee หน่อยจากความหนืดของมัน แต่กลับรู้สึกรองพื้นเกาะหน้าดีกว่าค่ะ

เหมาะกับ >> ผิวอายุซักสี่สิบขึ้นค่ะ ผิว 30 ที่ไม่ได้โหมแต่งหน้าอย่างเรารู้สึกว่ายังไม่ต้องการของดีขนาดนี้

เทียบกับ Estee >> ด้วยปริมาณที่เท่ากับกับ Estee > เราคิดว่า La Mer ให้ความชุ่มชื้นมากกว่าค่ะ Estee ต้องควักเยอะกว่าหน่อยจึงจะรู้สึกชุ่มชื้นพอกัน ดังนั้น La Mer อาจไม่ได้ดีกว่า 3 เท่า แต่ต้องบอกว่าดีเท่ากันเมื่อใช้ปริมาณน้อยกว่า 3 เท่าแทนค่ะ

เทียบกับ Olay >> เตะกันคนละลีค พรีเมียร์กะดิวิชั่นสอง อย่าไปเทียบกันเลยค่ะ

ความคุ้มราคา >> ถ้าเราอายุซัก 40 ที่โปะเอสเต้แล้วผิวยังดูดไม่เข้า หรือแห้งผากแบบอยู่ยุโรป ก็น่าจะคุ้มค่ะ สำหรับเราอายุเพิ่ง 30 นิดๆ คิดว่าจะไม่ซื้อกระปุกเต็มราคามาใช้ต่อในตอนนี้



Estee Lauder Hydra Complete Multilevel moisture gel creme
เป็นมอยซเจอร์ตัวที่สองของเอสเต้ที่ลองใช้ค่ะ (ตัวแรกคือ Resilience lift extreme แต่แพงจัด สู้ไม่ไหว) คาดหวังว่าควรเห็นผลชุ่มชื้น “ทันที” แต่หน้าดีกว่าเดิม เราให้ 7 วันเลย ถ้าอาทิตย์นึงไม่เด้งขึ้นล่ะมีบ่น

ความชุ่มชื้น >>
ทาปุ้บชุ่มชื้นปั๊บค่ะ ต้องควักมากกว่า La Mer หน่อย แต่มันไม่ได้เด้งหวือหวาอะไรนัก หน้าจะดีถึงขีดสุดในไม่กี่วันหลังทาแล้วอยู่ตัวค่ะ ถึงขีดจำกัดของผลิตภัณฑ์แล้วน่ะค่ะ (แต่ถ้าหยุดก็จะแย่ลง)

ข้อเสีย >> รู้สึกว่าตบๆ เอาจะดีกว่าทาเพราะทาแล้วซิลิโคนใน Advanced night repair ชั้นล่างจับเป็นก้อนเลยค่ะ และเนื่องจากมันค่อนข้างบาง เลยไม่มีผลช่วยให้ดูเนียนจากเนื้อครีมแต่อย่างใด

เหมาะกับ >> เราว่าผิว 25-35 ปียังใช้ได้ค่ะ แต่ถ้าแต่งหน้าหนักหน่วงหรือผิวเริ่มมีริ้วรอยชัดเจน ตัวนี้จะไม่ตอบปัญหาความต้องการแล้วค่ะ เหมาะกับคนที่ริ้วรอยยังไม่มาและอยากให้หน้าดูไม่แห้งผากเท่านั้นเอง

เทียบกับ La Mer >> วินาทีนี้ต้องบอกว่าชอบ Estee มากกว่าด้วยเหตุผลด้านราคาเทียบกับความพึงพอใจด้านชุ่มชื้น แต่คิดว่าหมดกระปุกจะเปลี่ยนเป็นตัวที่ชุ่มชื้นและลดริ้วรอยมากกว่านี้หน่อย เริ่มมีริ้วรอยมาแล้วน่ะค่ะ

เทียบกับ Olay >> ถ้าเคยใช้โอเลย์แล้วดีมาก่อน > Estee ตัวนี้ทำให้รู้สึกดีขึ้นแค่ “เบาหน้า” และ “ผิวนุ่มขึ้นหน่อย” เท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้ชุ่มชื้นกว่ากันแบบพลิกฝ่ามือเหมือนครีมเทพอย่างนั้น

ความคุ้มราคา >> ถ้าเงินเดือนประมาณ 1-2 หมื่นก็น่าซื้อค่ะ เหมาะกับหน้าร้อนเมืองไทยด้วย เพราะมันสดชื่น แต่ใจเราคิดว่าอายุเกิน 30 ตัวนี้ก็ถือว่าไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้วค่ะ ต้องอายุวัยเด็กมหาลัยกำลังดี



Olay Moisturizing lotion
หากยังขอตังค์คุณพ่อคุณแม่อยู่ หรือเป็นหนุ่มๆ วัยรุ่นที่ไม่เคยบำรุงอะไรมาก่อนเลยในชีวิต มอยซ์เจอร์ไรเซอร์โคตรจะธรรมดาตัวนี้อาจดีอย่างคาดไม่ถึงค่ะ ทุกวันนี้คุณสามีใช้อยู่ค่ะ (38 ขวบ) กลางคืนพ่อคุณใช้ Sekkisei แพงกว่า Estee ทั้งชุดของเราอีก แต่ตอนเช้าเขาขี้เกียจทาเยอะ ทาตัวนี้ตามด้วยจอห์นสันเพียวก็ใสแบบธรรมชาติแล้วค่ะ

ความชุ่มชื้น >> อยู่ในเกณฑ์ “งั้นๆ” ถ้าไม่เคยใช้อะไรเลยจะรู้สึกหน้าดีขึ้นในสัปดาห์นึงค่ะ ใช้เวลาหน่อย และใช้ปริมาณมากกว่าสองตัวบนค่ะ ยิ่งแก่ยิ่งไม่ซึมเข้าผิว ดังนั้นอายุเกิน 30 ทาไปอาจดีขึ้นแค่ช่วงแรกนิดหน่อยเท่านั้นค่ะ...แล้วก็จะเริ่มคิดว่าอยากทาตัวให้มันหมดเร็วๆ จะได้เปลี่ยนยี่ห้อ

ข้อเสีย >> ถ้าทาเยอะไปมันจะดูดไม่หมดและเหลือบนผิว นอกจากเกาะแป้งฝุ่นให้เนียนเด้งดี ตกบ่ายมันจะเกาะมลภาวะทำให้หน้าหมองด้วย อาจต้องล้างหน้าตอนเที่ยงแล้วทาใหม่ค่ะ

เหมาะกับ >> ผิวเด็กหรือวัยรุ่นที่ไม่เคยบำรุงอะไรเลย หรือน้องๆ วัยมัธยมที่อยากหาอะไรทาก่อนลงแป้งไม่ผสมรองพื้นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและเนียน มันไม่สะเทือนกระเป๋าเงินมากนักค่ะ

เทียบกับ La Mer >> มวยคนละรุ่น ชกไปก็ดิสควอลิฟาย ไม่ควรเทียบกัน

เทียบกับ Estee >> ให้ความชุ่มชื้นไม่เท่า ดูดซึมแย่กว่ามาก

ความคุ้มราคา >> ถ้าผิววัยมัธยมใสๆ หรือมหาลัยแบบไม่โหมแต่งหน้า มันก็คุ้มในแง่ช่วยเคลือบผิวและตบแป้งฝุ่นเนียนเท่านั้นค่ะ อย่าไปคาดหวังอิทธิฤทธิ์ชุ่มชื้นเลยค่ะ อากาศเมืองไทยไม่ได้แห้งขนาดทาแล้วเห็นผลชัดเจน แต่ถ้าคนไม่เคยใช้อะไรมาก่อนเลย เริ่มแค่ตัวนี้ก็ดีนะคะ สบายกระเป๋าตังค์กว่าเยอะ



สรุป (เอาเอง) ว่าของถูกและดีมีจริงในโลกค่ะ แต่ขึ้นกับวัตถุประสงค์การใช้ของเรา และสังขารของเราว่าเหมาะกับผลิตภัณฑ์ระดับไหน ของแพงและไม่ดีไม่มีจริงในโลก มีแต่เราเองที่ใช้ไม่เหมาะกับตัว/ความต้องการ/การเงิน ก็เลยคิดว่าไม่ดีค่ะ

เราค่อนข้างคิดต่างในแง่การวิเคราะห์ส่วนผสมที่ว่าถ้ามีของดีเหมือนกันก็น่าจะออกฤทธิ์เท่ากัน >> มันไม่ใช่ค่ะ ด้วยเหตุผลเดียวกับว่าเหตุใด Tylenol จึงราคาแพงกว่าพาราเซตฯ พื้นบ้านทั่วไปหลายเท่าทั้งมันก็มีอะเซตามิโนเฟน 500mg เท่ากันแท้ๆ

คำตอบคือคุณสมบัติในการดูดซึม การเกิดปฏิกิริยากับสารอื่น การเกิดผลข้างเคียง การตกค้างในร่างกาย ความรวดเร็วในการเสื่อม ฯลฯ พวกนี้คือของที่เขาทำวิจัยมาให้เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ที่สักแต่ใส่ส่วนผสมลงไปให้เท่าๆ กับของแพงๆ น่ะค่ะ

ดังนั้นสำหรับตัวเราเอง เงินที่เสียมากกว่าสำหรับบางผลิตภัณฑ์ที่แพงกว่าไม่เคยสูญเปล่าค่ะ เราเชื่อเสมอว่ามันต้องมีดีอะไรซักอย่างแน่เพียงแต่เรายังใช้ไม่ถูกจุดเท่านั้นเอง หรืออย่างน้อยซื้อมาแล้วก็คิดว่าเอาน่า...ได้เรียนรู้ (คำพูดเชิงบวกของโดนหลอก) 5555 ก็จะสบายใจค่ะ ^^

จบแล้วค่า อ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญาณนะคะ ^^




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 19:25:58 น.
Counter : 5919 Pageviews.  

แป้งกุหลาบ DHC สุดยอดภาพลวงตา

ด้วยอิทธิฤทธิ์ของแป้ง DHC ที่คุณสามีอ้าปากชมว่า "วันนี้ดูหน้าใสนะ" เลยต้องขอรีวิวซะหน่อยค่ะ

เนื่องจากแป้งแต่ละอย่างก็มีดีชั่วในตัวมันเอง ดังนั้นจะบอกว่าดีมากดีน้อยแค่ไหน ก็ต้องขออนุญาตยกตลับอื่นที่มีอยู่มาเปรียบเทียบกันนะคะ และผู้ท้าชิงวันนี้ก็มี



1. Lunasol Skinfusing Powder Foundation เบอร์ OC03 ซื้อเทสเตอร์มาใช้ดูก่อน ราคาจริงพร้อมตลับคือ 2,200 บ.

2. DHC Rose Beauty Shimmer Cocktail Q10 สี Pink เขามี 3 สีนะคะ สีนี้ต้องคนขาวหน่อย ราคาตลับเต็มประมาณ 690 บ.

3. Covermark Moisture Veil เบอร์ที่ขาวที่สุดของเขาน่ะค่ะ แป้งกับตลับราคา 1,900 บ.

ส่วนตัวผิวเราขาวเหลืองค่ะ มือขาวกว่าหน้าแต่เดี๋ยวจะลองให้ดูที่มือนะคะ (เขินหน้า) เป็นคนผิวแห้ง ทีโซนมันนิดหน่อย สีผิวไม่สม่ำเสมอบางจุด แต่ก็ไม่มีสิวฝ้าที่ต้องปกปิดนัก ชอบแต่งหน้าแบบธรรมชาติให้ดูเหมือนไม่ได้แต่ง แบบว่าคนแก่ก็อยากเด็กมั่งน่ะค่ะ ^^

เจ้าแป้งกุหลาบ DHC สีชมพูอันนี้เขาออกไปทางแป้งไฮไลท์ค่ะ
คือเป็นเนื้อแป้ง press ผสมกลิตเตอร์ให้วิ้งที่ละเอียดทีเดียว ไม่วิ้งอล่างฉ่าง
แต่ดูผู้ดีเหมือน pearl-like คือวาวแบบไข่มุกน่ะค่ะ เราใช้สีชมพูสำหรับคน
ผิว (มั่นใจว่า) ขาวพอสมควร



คุณสมบัติเด่น>> อณูละเอียดแต่ยึดเกาะกันดีพอควร ทำให้ทาแล้วแม้หนา แต่ดูหลอกตาเหมือนผิวโปร่งบางประดุจผู้ดีน่ะค่ะ เป็นผิวขาวแบบผิวบาง พวกเส้นเลือดเขียวๆ ดันเห็นชัดเลยเหมาะกับการแต่งขาวธรรมชาติค่ะ หน้าสว่างขึ้น เปล่งประกายด้วยกลิตเตอร์วิ้งๆ ผิวจะกระเดียดชมพูนิดๆ เหมือนผิวสาวญี่ปุ่นค่ะ ถ้าทาคอด้วยจะดูขาวเกินห้ามใจ
ข้อดีอีกอย่างคือไม่มันค่ะ!! ไม่ทำให้หน้ามันมากขึ้นกว่าหน้าเดิมของเรา

ควรระวัง
>> ไม่ปกปิดค่ะ ถ้าไม่สิวฝ้าราคีควรลงเบสและคอนซีลเลอร์ซักนิด
เกลี่ยผิวให้สีสม่ำเสมอแล้วค่อยลง DHC ก็จะลวงตาให้ดูขาวกระจ่างบางเบาได้
>> แป้งหลุดง่ายเพราะมันไม่ผสมรองพื้น ต้องพกไว้เติมบ่อยๆ ส่งผลให้
แก้มซีดไปด้วย ต้องเติมแก้มด้วยค่ะ

สำหรับคนผิวสองสี >> อย่าเลือกโทนนี้นะคะ เลือกเบจหรือเหลืองดีกว่าค่ะ

ทาเทียบกัน




DHC >> จะเห็นว่าสีผิวไม่เพี้ยนไปมากแม้ว่าเราจะขาวเหลืองก็ตาม แต่จะมี ความเป็นขาวชมพูมากขึ้นค่ะ เนื้อจะเนียนๆ กระจ่าง ถ้าออกแดดจะวิ้งๆ อยู่ในที่ร่มไม่ได้วิ้งเวอร์มาก ผิวบางเหมือนจะมองทะลุผิวได้
เนียนแต่ไม่หนัก ขาวขึ้นแต่ไม่วอกล่ะค่ะ ประหลาดดี
ตรงวงแดงเราจะรู้สึกเหมือนมองผ่านๆ ก็ไม่ค่อยสังเกตเห็นหลุมค่ะ เหมือน
แป้งมันกระจายแสงได้ดี พรางหลุมได้นิดหน่อย แต่ไม่พรางสีนะคะ
ถ้ามีรอยสิวล่ะเห็นแน่ๆ แต่ถ้าผิวแค่ด่างนิดๆ ก็จะพอพรางให้สม่ำเสมอได้

เหมาะกับ >> แต่งหน้าธรรมชาติ อยากดูหน้าใสแบบสุขภาพดี
ทาแล้วเหมือนไม่ได้แต่งหน้าน่ะค่ะ

Covermark >> เหมือนเข้มกว่ามือเราแต่พอดีกับหน้าค่ะ เป็นแป้งที่เน้น ความชุ่มชื้นสำหรับคนผิวแห้ง กดน้อยๆ แล้วเกลี่ยจะบางและปกปิดดีค่ะ ซ้ำมากเดี๋ยวหนา ระวังเรื่องมันค่ะ แป้บเดียวหน้ามันแน่นอน

เหมาะกับ >> ทาบางๆ สำหรับแต่งแบบธรรมชาติ ถ้าแต่งกลางคืนหรือ
แสงรำไร ให้หนาขึ้นอีกนิดได้ค่ะ หน้าไม่แตกระแหงเพราะชุ่มชื้นมาก
ผิวยังรู้สึกหายใจได้อยู่ ไม่อึดดอัดมากค่ะ

Lunasol >> สีพอดีกับมือแต่ดันหมองเวลาอยู่กับหน้าค่ะ
มันเป็นแป้งที่ดีนะคะ เนียน บาง ทาซ้ำก็ไม่หนาขึ้นมากนัก
แต่สงสัยเลือกสีผิดเลยหมองเร็ว เนื้อจะแห้งกว่า covฯ ก็เลยมันน้อยกว่า
แต่ก็ยังมันอยู่ดีค่ะ

เหมาะกับ >> สถานการณ์เดียวกับ Covฯ น่ะค่ะ

สุดท้ายแล้วค่ะ



เทียบความคุ้มราคา ก็ว่าคุ้มทั้ง 3 แบบนะคะ ขึ้นกับเราพร้อมจ่ายหรือเปล่า

Covermark กับ Lunasol ถึงแพงแต่ใช้ได้นาน เพราะใช้แตะแล้วเกลี่ย
ไม่เปลืองแป้ง เติมไม่บ่อย แต่ต้องลองดีๆ ให้สีเข้ากันจริงๆ ไม่งั้นเจ็บใจตายค่ะ

DHC ถึงราคาจะถูก ใช้แล้วดี๊ดี แต่เราเติมวันละเป็นสิบครั้งค่ะเพราะหลุดง่าย
ดังนั้นถ้าทรัพย์น้อย อยากถอยมาลอง หรือเบื่อง่ายอยากใช้หลายแบบ
DHC ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนอยากขาวสว่างกระจ่างสวยแบบผิวบาง
เหมือนผู้ดีน่ะค่ะ 555 ^^

ชอบตรงที่หน้าดูบางๆ เหมือนเด็กสาวๆ น่ะค่ะ ถูกใจป้าแก่นักแล ^^

จบแล้วค่า ^^




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 18:43:29 น.
Counter : 2362 Pageviews.  

ลิปมันเภสัชกร มิตรแท้ที่วางใจได้

พูดถึลิปสติกใหม่แล้วก็มาพูดถึงอันอื่นๆ บ้างค่ะ ธรรมชาติของ ffman ไม่ใช่คนแพ้ง่าย แต่ลิปสติกเนี่ย...ไม่รู้ชาติที่แล้วลืมทำบุญด้วยลิปสติกหรืออย่างไร หายี่ห้อถูกใจไม่ได้เลย ใช้แล้วปากลอกจนเข็ด

ตอนหลังเลยเลี่ยง ไม่ใช้ค่ะ แต่งหน้าโทนธรรมชาติ (จนหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าไม่ได้แต่ง เพราะไม่ใช้ color เลย) ก็เลยคิดว่าไม่ต้องใช้ลิปสติก แต่เราใช้ของพวกนี้แทนค่ะ



ชะเอิงเอย...ที่ใช้บ่อยที่สุดคือวาสลีนล่ะค่ะ นั่งทำงานห้องแอร์ต้องควักป้ายเป็นประจำ ตัวที่ใช้น้อยที่สุดก็คือขวาสุด วิบวับๆ นั่นล่ะค่ะ เดี๋ยวเราจะรู้จักมัน

Juicy Tube ของ Lancome ซื้อมาจากเน็ตราคาย่อมเยาว์ 140 บาท จริงหรือปลอมไม่รู้ รู้แต่ว่าไม่แพ้ตูก็ใช้ค่ะ มันคือ gloss ที่มีคุณสมบัติหลอกตาว่าปากของเราดูฉ่ำค่ะ ตัวมันไม่ได้ทำให้ปากชุ่มฉ่ำเลย แต่คนอื่นดูแล้วจะเห็นแวววาวอิ่มเอิบ สีแดงเรื่อนิดๆ และมีกลิตเตอร์วิ้งๆ ทำให้สะดุดตามากเลยค่ะ ชอบบบบ...

เวลาใช้ให้เอาพู่กันปาดออกมานะคะ อย่าบ้าจี้จิ้มลงไปที่ปากเลย มันหนืดดดดด...มากค่ะ ใช้นิ้วก็พอถูไถ ป้ายไปตรงแนวกึ่งกลางปากแล้วเกลี่ยออกข้าง อย่าทาทั้งปาก จะเหมือนเพิ่งกินข้าวมันไก่มาค่ะ ทากลางจะเด่นน่ารักกว่านะคะ

Vaseline Intensive Care Pitroleum Jelly นี่คือขี้ผึ้งไฮเทคค่ะ!! จำราคาไม่ได้แต่ไม่แพง หาซื้อได้ตามซุเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ใช้หมดไปเป็นกระปุกๆ แล้วค่ะ วิธีใช้คือควักออกมาทาปาก เพื่อให้ชุ่มชื้นและนุ่มขึ้น กักเก็บความชื้นของปากได้ดีค่ะ

แต่ข้อเสียคือ...กระปุกใหญ่อ้ะ พกไม่ได้ เคยแบ่งใส่ตลับเล็กปรากฏว่ากลิ่นมันหืนน้ำมันแปลกๆ เลยเอาไว้วางบนโต๊ะทำงานแล้วหยิบใช้แทนดีกว่า

ลิปมันเภสัชกร ขายตามร้านขายยาทั่วไปนะคะ (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) ราคาประมาณ 15-20 บ. (จำไม่ได้) มันคือขี้ผึ้งทาปากรุ่นแรกๆ ในไทยที่สีชมพูระเรื่อและกลิ่นหอมค่ะ!! พอบอกว่าน้ำหอม หลายคนก็กลัวแพ้ แต่ ffman ไม่แพ้ค่ะ ใช้ดีมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

วิธีใช้ก็แค่เปิดฝาเอานิ้วปาดมาทา สีไม่จัด ไม่มันโอเวอร์ แต่ทำให้ปากชุ่มชื่นได้ดีกว่า Vaseline อีกค่ะ ควักไปควักมาแป๊บเดียวก็หมดเพราะตลับมันเล็ก พกสะดวกนะคะ

Born Lippy Strawberry Lip Balm ของ The Body Shop
เป็น gloss ที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์บำรุงแบบ Vaseline กับลิปมันเภสัชกรค่ะ เขาเป็น gloss ที่ให้ลุคแวววาวฉ่ำหวานแบบ Juicyฯ มากกว่า สีชมพูจัด ทาแล้วเห็นสีด้วยนะคะ เนื้อนิ่มเหลวแทบเป็นเจล ใช้ดี หลุดง่าย และหอมมาก! หอมจนขนาดควักมาทาในรถ คนนั่งข้างได้กลิ่นเลยค่ะ

ข้อเสียคือมันแพงเนี่ยล่ะค่ะ กระปุกนิดเดียว 230 บ. แต่ 10ml ก็ใช้ได้นานพอสมควรนะคะ (เว้นควักเยอะก็หมดเร็ว)

Gloss อะไรซักอย่างของ Red Earth ค่ะ ซื้อเพราะมันลดราคา (แต่ก็เหลือหลายร้อยบาทอยู่) เห็นสีส้มแต่ที่จริงใสค่ะ รุ่นนี้เป็นนวัตกรรมที่ออกมาก่อนพวก gloss เนื้อฉ่ำๆ หยาดเยิ้มจะฮิต วิธีที่เรดเอิร์ธทำให้แวววาวคือใส่กากเพชรลงไปค่ะ! ไม่ใช่กลิตเตอร์ละเอียดๆ นะคะ มันคือกากเพชรเลยค่ะ! ทาทับลิปสติกตอนไปงานกลางคืนล่ะสวยเฉี่ยวเชียว แต่มันก็ out ไปแล้วล่ะนะคะ

งวดหน้าต่อที่ลิปครีมหนึ่งเดียวของอะฮั้น...Estee Lauder ค่ะ




 

Create Date : 04 เมษายน 2551    
Last Update : 4 เมษายน 2551 15:39:26 น.
Counter : 9887 Pageviews.  

1  2  

yoyofarm
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add yoyofarm's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.