<< ไปปักกิ่งกันมั้ยพวกเรา >> (6) จบแล้ว
พุธที่ 18 เมษายน 2550ทานข้าวเช้าเสร็จก็รอเช็คเอาท์ แต่กว่าจะเรียบร้อยใช้เวลานานมาก สืบไปสืบมาได้ความว่า แขกกรุ๊ปเราบางห้องมีปัญหา ไกด์ต้องมาช่วยเคลียร์ - พี่ผู้ชายคนนึงเค้านอนแล้วเลือดกำเดาไหลเปื้อนหมอน ทางโรงแรมคิดเงิน 35 หยวน ทั้งๆ ที่เปื้อนไม่มากเลย - ส่วนพี่ผู้หญิงคนหนึ่งโดนเก็บค่าหมึกเปื้อนผ้าในราคา 45 หยวน พี่คนนี้บอกว่าเค้าเห็นแต่แรกแล้ว เป็นหมึกปากกาลูกลื่น เปื้อนที่ผ้าเช็ดตัวยาวไม่ถึงเซน เค้าก็ไม่ได้ใช้ผ้านั่นเช็ดตัว เอามาเช็ดมือแทน ไม่คิดว่าจะต้องมาเสียเงินแบบนี้ พูดยังไงก็ไม่ยอม หาว่าพี่คนนี้เป็นคนทำ - อีกห้องนึงเป็นครอบครัว ทางโรงแรมบอกว่าทำฝาชักโครกเค้าเป็นรู บวกกับแกะซองที่โกนหนวดออกมาใช้คิดเงิน 120 หยวน น้องที่อยู่ห้องนี้บอกว่าเห็นแล้วยังเรียกให้พี่ชายมาดูเลย ส่วนที่โกนหนวดเค้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษไว้ว่าอันนี้ไม่ฟรี แต่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น คงนึกว่าฟรีเหมือนพวกหวี แปรงสีฟัน สบู่ ต่อรองยังไงก็ไม่ยอมท่าเดียว สรุปเพื่อตัดความรำคาญก็เลยต้องจ่ายไป โหดมากๆ เลยโรงแรมนี้ (Tim bo Hotel)พวกเราก็ตำหนิไกด์กับหัวหน้าทัวร์ไปว่าน่าจะบอกกันก่อนว่าโรงแรมนี้เข้มงวด จะได้สำรวจของใช้ก่อนในคืนแรก ไกด์ก็ได้แต่ขอโทษ ส่วนหัวหน้าทัวร์คนไทยที่มาด้วยบอกว่าไม่เคยมาพักโรงแรมนี้มาก่อน นี่มาครั้งแรกเลยไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้9.00 น. ไกด์พาเรามาที่ประตูชัย ไม่มีในโปรแกรมสงสัยจะขายอะไรอีก แล้วก็จริงๆ ด้วย เขาขายผี่เซี๊ยะที่ทำจากหยกแท้ ที่เค้าขายเป็นพันเป็นหมื่น ฟังเค้าอธิบายประมาณนึง ก็เดินออกมาถ่ายรูป แล้วก็เข้าห้องน้ำกัน10.30 น. ออกเดินทางไปเก็บตกสวนสัตว์ดูหมีแพนด้า ที่นี่มีแต่หมีแพนด้าหรือไงไม่รู้ เห็นอยู่ 6 ตัวๆ ละกรง (ถ้านับไม่ผิด) หมีปักกิ่งสงสัยไม่อาบน้ำขนที่ควรจะขาวกลับเป็นสีน้ำตาล แบบว่าไม่ได้อาบน้ำน่ะ วนดูหมีครบทุกกรงแล้วไกด์บอกว่าเดี๋ยวจะไปต่อ หลายคนงงว่า เรามาดูแต่หมีแพนด้าอย่างเดียวจริงๆ หรือ.. ระหว่างรอเข้าห้องน้ำ บุ๋มบอกให้ดูเด็กคนนึงนุ่งกางเกงผ่าก้นด้วย สังเกตหลายคนแล้วว่าทำไมเด็กปักกิ่งกางเกงก้นขาดทุกคนเลย ที่แท้เค้าเอาไว้แหวกเวลาเด็กจะอึหรือฉี่นี่เอง ดูแล้วเท่ดี (ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงสำหรับที่นี่ รวมฉี่ด้วยนะ)เที่ยงกว่าๆ รถจอดที่ตลาดรัสเซียใหม่ ที่เราเคยมา 2 ครั้งแล้ว นึกว่าจะให้มาเดินที่นี่อีก ปรากฏว่าร้านอาหารที่จะไปกินไม่มีที่จอดรถ เลยมาจอดที่นี่แล้วเดินลอดอุโมงค์ไปกินข้าว 1. ขาหมูซอส (อร่อยดี) 2. นกหรือเป็ดย่าง (ไม่อร่อย เหม็นๆ) 3.ปลาซีอี๊ว (อร่อยดี) 4. ผัดผักกาดขาว 5. ผัดผักเขียว 6. ไข่เจียว 7. ผัดเห็ดเละๆ 8. น้ำแกง มื้อนี้หัวหน้าทัวร์บอกว่าไม่มีน้ำปลาพริกให้แล้วนะ เพราะพริกเน่าหมดแล้วมื้อนี้ถ้าใครกินอิ่มเร็วก็จะได้ไปเดินเล่นแถวๆ นั้นต่อ บางคนก็กลับไปตลาดรัสเซียอีกครั้ง ส่วนกลุ่มเราไปเดินห้าง ตื่นตาตื่นใจกับมาม่าเมืองจีน ห่อละ 1.5 หยวนบ้าง 1.9,2.6,3 หยวนบ้าง บุ๋มซื้อมา 10 กว่าห่อ หลายๆ แบบ แล้วก็ซื้อขนมกินเล่นอีกนิดหน่อย13.45 น. ออกจากจุดจอดรถตลาดรัสเซียใหม่ มุ่งหน้าตลาดรัสเซียเก่าให้ช้อปปิ้งกันอีก บุ๋มได้เป้เล็กราคา 40 หยวน เดินไปอีกหน่อยเจอรองเท้าสวยดี เรากับบุ๋มได้รองเท้าของก๊อปมา ต่อได้ 2 คู่ 170 หยวน ทีแรกนึกว่าได้ถูก แต่คิดไปคิดมา เหมือนซื้อที่เมืองไทยเลย ส่วนจิ๋ม ได้เสื้อเชิ้ตไปฝากป๊า 2 ตัว บุ๋มเดินมาดูเสื้อแจ๊คเก็ตยีนส์ ราคาเหมือนที่มาบุญครองเลยไม่ซื้อดีกว่า ดูแล้วไม่รู้จะซื้ออะไรของก็เหมือนๆ ที่เมืองไทย แล้วเราต่อราคาไม่เก่งซะด้วย15.45 ทุกคนพร้อมที่รถ ไกด์บอกว่าวันนี้เรากินข้าวเย็นกันเร็วหน่อย ยังอิ่มจากมื้อกลางวันอยู่เลย แต่ก็ต้องกิน กินเสร็จ 16.45 น. แล้วก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางไกด์กับหัวหน้าทัวร์ก็พูดขอบคุณและขออภัยบรรยากาศซึ้งเล็กน้อย ฟังแล้วก็ใจหายนิดๆ นี่เราเริงร่ามา 6 วันแล้วหรอเนี่ย 17.20 น. ถึงสนามบิน โบกมือล่ำลาคุณไว ไกด์ประจำกรุ๊ปเรานิดหน่อย ต่างคนก็ต่างเร่งรีบขนของเข้าด้านในเพื่อรอเช็คอิน เสียเวลาเช็คอินนานมาก เพราะคนเยอะจัด ใครๆ ก็กลับกันวันนี้ บ้างก็นั่งจัดกลุ่มคุยกัน เด็กๆ จับกลุ่มเล่นไพ่ (ที่จีนเล่นไพ่กันได้อย่างเปิดเผย) ป๊าบอกว่าเดี๋ยวจะให้ทิปหัวหน้าทัวร์ซักหน่อยเพราะดูแลดี ประกอบกับสมาชิกทัวร์คนอื่นๆ ก็เห็นเหมือนกัน เลยลงขันกันคนละ 100 บาท รวมได้ 3000 บาทมอบให้คุณปลา หัวหน้าทัวร์ในครั้งนี้เป็นค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ จากพวกเรา (ส่วนของไกด์และคนขับรถจีนเราจ่ายกันไปแล้วคนละ 100 หยวน)เครื่องออก 19.30 น. (เวลาท้องถิ่น ณ กรุงปักกิ่ง) มีอาหารแจกเหมือนตอนขามา ... ประมาณ 23.50 น. (เวลาในประเทศไทย) เครื่องถึงสุวรรณภูมิ จอทีวีในเครื่องบอกอุณหภูมิ 31 องศา กลับสู่ความเป็นจริงเสียทีการไปเที่ยวปักกิ่งคราวนี้ดีกว่าที่คิดไว้มาก เราได้เที่ยวครบ (แถมเกินอีกต่างหาก) ได้เจอลูกทัวร์ที่ดี ทำให้การพักผ่อนในช่วงสงกรานต์ปีนี้น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว--- > เก็บตก
<< ไปปักกิ่งกันมั้ยพวกเรา >> (5)
อังคารที่ 17 เมษายน 2550ไม่ต้องพูดถึงโปรแกรมที่ทัวร์จัดมาแต่แรกแล้ว เพราะคิวเริ่มรวน 8.30 น. รถพาเรามาถึงหอฟ้าเทียนถาน (ที่จริงอยู่วันสุดท้ายนะเนี่ย) เราเดินจากปากทางเข้าไปอีกหลายชั้นกว่าจะถึงหอฟ้าฯ ที่ปักกิ่งคงใช้สโลแกน เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ ค่าเข้าดูเหมือนจะ 35 หยวนระหว่างรอไกด์ไปซื้อตั๋วเห็นว่าด้านนอกมีจักรยานจอดเยอะมาก แสดงว่านอกจากนักท่องเที่ยวแล้วประชาชนชาวปักกิ่งด้านในก็คงจะมีมากด้วยเช่นกันเดินเข้ามาด้านในเห็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน เดินเท่าไหร่ไม่ถึงหอฟ้าซักที ถ่ายรูปกันจนเมื่อยเดินเข้ามาถึงจุดหนึ่ง เป็นจุดให้นักท่องเที่ยวยืนขอพรจากสวรรค์ ต้องทำท่าชูสองแขน มองขึ้นไปบนฟ้าแล้วอธิษฐานขอพร เห็นกรุ๊ปทัวร์ที่มาถึงก่อนหน้าเขาทำกัน กรุ๊ปเราเลยเอาบ้าง เดินตรงเข้าไปอีกจะเห็นเป็นโดมใหญ่ๆ มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปสักการะกันได้ชื่นชมและสักการะกันเป็นที่เรียบร้อยถึงเวลาที่ต้องออกจากที่นี่แล้ว ระหว่างทางเดินร่มรื่นดี มีผู้คนมาออกกำลังกายกันเยอะเลย มีหลายกิจกรรมไม่รู้ที่นี่เรียกว่าอะไร แต่เราเรียกเอง ไม่ว่าจะเป็น เลี้ยงลูกบอลบนไม้แบต, โบกผ้าหลายสี (คล้ายๆยิมนาสติกลีลา), เตะตะกร้อ (ใช้คล้ายๆ ลูกขนไก่แทนตะกร้อ), เต้นรำ, รำกระบอง หลากหลายมากเลย 10.30 น. ออกรถไปชมไข่มุก .. (อีกแล้ว) 5 นาทีก็ถึง คิดแล้วก็แอบเบื่อ ที่ภูเก็ตก็มี ต้องใจแข็งเข้าไว้ ด่านแรกเขาให้ดูหอยมุขเป็นๆ แล้วสุ่มหยิบมาแงะ ให้ทายว่ามีมุขกี่เม็ด แล้วก็อธิบายๆๆๆๆ จากนั้นเดินเข้าไปด้านในพบกลุ่มนกกระจอก เอ๊ยไม่ใช่! พนักงานขายร้องเรียก พี่คนสวยๆเขินเหมือนกันนะเนี่ย แอบหันไปมอง เขาขายพวกครีมประเภทต่างๆ ที่ทำจากไข่มุก (แท้ๆ) อีกด้านก็เป็นพวกเครื่องประดับที่ทำจากมุก สถานที่ไม่กว้างขวางเหมือนโรงงานหยก เลยไม่รู้จะเดินไปไหนได้อีก นอกจากไปมุงดูที่เขาขายครีม ดูไปดูมาชักสนใจ เพราะมันเกี่ยวกับความสวยความงาม คนขายควักครีมจากกระปุกออกมาให้ทา เออ..ทาแล้วมันนุ่มมือดีแฮะ เขาบอกว่าใช้แล้วหน้าขาว แก้สิวฝ้าอีกต่างหาก ตรงคอนเซปต์สาววัยเราเลยทีเดียว อย่างนี้ต้องโดน...เปิดราคามาแพงใช้ได้อยู่ เขามีเทคนิคอยู่ที่ถ้าซื้อหลายกระปุกจะถูก น้องคนนึงในกรุ๊ปทัวร์เริ่มหาแนวร่วมเพื่อต่อรองราคา สรุปที่กระปุกละ 90 หยวน นอกจากน้องคนนั้นกับแม่เขาแล้ว กลุ่มเรามี เรา บุ๋ม หม่าม้า อาอี๊ ซื้อกันคนละ 2 กระปุก คนขายบอกว่ามีทากลางวันกับกลางคืน เรื่องอื่นเสียไม่ได้มาเสียเรื่องความสวยความงามนี่แหละ ส่วนป๊า เดินเลือกซื้อจี้มุกพร้อมสร้อย ให้ป๋ออี่ลูกสาวคนเล็ก (ไม่ได้มาด้วยเพราะไปหาประสบการณ์ที่ออสเตรเลีย 6 เดือน) ระหว่างดูของเพลินๆ บุ๋มก็ส่งเสียงเรียกเราซะเสียงดังเชียว ปรากฎว่าเจอไอ้ร๊าฟ เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ร๊าฟมากับแฟนและแม่แฟน โลกกลมจริงๆ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก 1 ใบ แต่บุ๋มดันหลับตาซะนี่11.30 น. บ๊ายบายหอยมุกไปกินข้าวกันดีกว่า มื้อนี้น่าจะอร่อย มี 1.ไก่ซีอิ๊ว 2.เป็ดทอด 3. ซี่โครงหมูเต้าซี่ 4. ปลานึ่งน้ำแดง 5. ผัดหมู+พริกหวาน 6. ผัดผักกาดขาว 7. ผัดแตงกวาซีอิ๊ว 8.ชุปเห็ดเข็มทอง 9. ซุปซี่โครงหมู+หัวไชเท้า (เจอร๊าฟมากินข้าวที่นี่ด้วย แต่ไม่ได้ทักกันอีก เพราะตั้งหน้าตั้งตากิน)12.30 น. ออกจากร้านอาหารมาเจอคนขายหมวกมีทั้งหมวกแก๊ปและหมวกขอทานสกรีนว่า Beijing 2008 แล้วมีสัญลักษณ์โอลิมปิกด้วย ตอนแรกบอก 6 ใบ 20 หยวน ต่อไปต่อมาได้ 10 ใบ 20 หยวน คำนวนแล้วตกใบละประมาณ 10 บาท ส่วนหมวกแก๊ปจะแพงกว่านิดนึง เพราะตัวหนังสือกับโลโก้ใช้ปัก ไม่ได้สกรีน ราคา 6 ใบ 20 หยวน อืม..น่าสนๆ ซื้อเป็นของฝากดีกว่ากินข้าวเสร็จโปรแกรมต่อไปคือนั่งสามล้อชมเมืองเก่า ที่เค้าเรียกกันว่า หูถ้ง รถพาเรามาถึงจุดที่ส่งนักท่องเที่ยว เห็นรถสามล้อเรียงรายอยู่เยอะมากๆ พอลงจากรถปุ๊บก็ถูกต้อนให้ขึ้นรถสามล้อ คันละ 2 คนทันที ทัวร์หลายๆ เจ้าก็พามาที่นี่ เลยดูเหมือนเป็นอุตสาหกรรม เหมือนจะดูดีนะที่เค้าบอกว่าจะพามานั่งสามล้อชมเมืองเก่า ใครไม่เข้าหูถ้งเหมือนไม่ได้มาปักกิ่ง แต่เราว่า ไม่เข้าหูถ้งก็ไม่เป็นไร เพราะบรรยากาศมันไม่ค่อยน่ารื่นรมย์ซักเท่าไหร่ มีกลิ่นเหม็นตลอดทางที่เป็นตรอกซอกซอย ทั้งกลิ่นขยะ กลิ่นส้วม (แตก) คือถ้าจะให้ที่นี่เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของปักกิ่งน่าจะจัดระเบียบหรือรักษาความสะอาดให้มากกว่านี้ เอ.. หรือว่าแบบนี้แหละโบราณของแท้เรานั่งสามล้อกันไม่นาน (ความเหม็นติดจมูกยาวนานกว่า) รถก็พาเราไปวัดลามะ ถึงวัดลามะประมาณบ่ายสองโมง บัตรเข้าชมราคา 25 หยวน ทำซะกิ๊บเก๋เชียว ดูเหมือนแผ่นซีดีจิ๋วๆ (กลับเมืองไทยลองเอามาเปิด ดูได้จริงๆ ด้วย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัดลามะความยาว 5 นาที)ที่วัดลามะนอกจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราได้ทำบุญด้วย ตั้ง 5 หยวนแน่ะ ภายในวัดมีพระแกะสลักจากไม้จันทร์องค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะเขาห้ามถ่ายอยู่ที่วัดได้ไม่นาน ได้บุญไปคนละเล็กละน้อย จากนั้นมุ่งหน้าตลาดรัสเซียใหม่ที่มาวันก่อน เราคิดว่าพามาทำไมเนี่ย มาแล้วมาอีก อยากไปตลาดรัสเซียเก่ามากกว่า แต่ก็เอาเถอะมากับทัวร์นี่นาเขาพาไปไหนก็ต้องไป ถึงตลาด 15.10 น. นัดเจอกันที่รถ 16.30 น. เดินวนไปวนมาไม่รู้จะซื้ออะไรดี บุ๋มสนใจเสื้อกันหนาวสีแดงตัวนึงสวยดี เปิดมาที่ราคา 650 หยวน ต่อไปต่อมา ต่างคนต่างชักแม่น้ำทั้งห้าพูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เล่นเอาเหนื่อย ได้มา 50 หยวน ถุงมือก็น่าสน ไปดูที่แพลทตินั่ม คู่ละ 200-350 บาท เจอที่นี่ 80 หยวน ต่อได้ 10 หยวน อีกคู่นึงมีตำหนิเลยได้ 5 หยวนเวลาเหลือเดินหาซื้อของที่ระลึกฝากเพื่อนอีกดีกว่า เห็นผี่เซี๊ยะน่ารักดี มีความหมายดีด้วย ซื้อมา 13 ตัว 26 หยวนนัดที่รถ 16.30 น. แต่กว่าจะมากันครบก็โน่น 5 โมงเย็น ได้เวลากินข้าวเย็นพอดี วันนี้ได้กิน 1. ขาหมู 2.เกี๊ยวปักกิ่ง 3 ซุป 4. ปลานึ่ง 5. ผัดผักต่างๆ (6 จาน 6 อย่าง)มื้อนี้กิ๊บเก๋ตรงที่ขาหมูจานเด็ด เค้ามีถุงมือพลาสติกให้ทุกคนแล้วก็มีหลอดให้ด้วย เราก็สงสัยกันใหญ่ว่าให้หลอดมาทำไม ตอนแรกนึกว่าให้มาดูดน้ำในซาลาเปา แบบเสี่ยวหลงเปา ที่ไหนได้ พี่คนนึงเคยกินเค้าบอกว่าให้มาดูน้ำที่อยู่ในโพรงกระดูกต่างหาก เราลองดูดแล้วพาลหน้ามืดเปล่าๆ เพราะดูดเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้นวันนี้คิวแน่นเหลือเกิน ออกจากร้านอาหารประมาณ 18.15 น. มุ่งหน้าดูกายกรรมที่จองตั๋วรอบ 19.20 ไว้แล้ว เราถึงที่นั่นตอน 1 ทุ่มพอดี กรุ๊ปเราได้ที่นั่งหลังๆ เลยเซ็งนิดๆ แต่ก็โอเคเพราะโรงละครเค้าไม่ใหญ่เท่าไหร่ การแสดงเจ๋งดี ชอบๆ โชว์จบตอน 20.40 น. ถือว่าคุ้มที่ได้มาดูถึงที่พักประมาณ 3 ทุ่ม ไกด์บอกว่าคืนนี้จะเอาของที่สั่งไว้มาส่งให้ที่ห้อง (ลืมบอกไปว่าเราสั่งของกินที่ไกด์บอกว่าช่วยเพื่อนขายไว้ตั้งแต่ตอนเช้า กลุ่มเราสั่ง บ๊วย กับเม็ดบัวอย่างละ 1 ลัง)พอของมาถึงก็จัดการแบ่งของ จัดกระเป๋า เพราะพรุ่งนี้ต้องเช็คเอาท์แต่เช้า กว่าจะได้นอนปาเข้าไปเที่ยงคืนโน่นป.ล. เสื้อสีแดงที่บุ๋มซื้อที่ตลาดรัสเซีย เอามาลองใส่อีกทีแล้วรู้สึกยังไม่ถูกใจเท่าไหร่ เสื้อตัวนั้นจึงตกเป็นของเราทันที (ซื้อต่อ)(ทนอ่านต่ออีกตอนนึงนะ)
<< ไปปักกิ่งกันมั้ยพวกเรา >> (4)
จันทร์ที่ 16 เมษายน 2550ที่เมืองไทยวันจันทร์คนส่วนใหญ่ใส่เสื้อสีเหลืองกัน ถึงมาเที่ยวปักกิ่งแต่เราก็ยังคงเป็นคนไทยอยู่ ฉะนั้นวันนี้เราจึงเลือกใส่เสื้อสีเหลืองที่เตรียมมาด้วย(ตามโปรแกรมที่ทัวร์ให้มาวันนี้ต้องไปสัตว์โลกใต้น้ำ- วัดลามะ ตลาดรัสเซียใหม่ แต่สรุปแล้วไม่ใช่เลย)เช้านี้เรานั่งรถค่อนข้างนาน ฟังไกด์เล่าโน่นเล่านี่ไปเรื่อยๆ จำได้เลาๆ ว่า คนปักกิ่งที่มีจักรยานก็ต้องจ่ายภาษี ที่นี่ไม่นิยมขี่มอเตอร์ไซค์ เพราะทำให้อากาศเป็นพิษ (แล้วสูบบุหรี่จัดๆ ทั่วทุกหนทุกแห่งนี่อากาศบริสุทธิ์มากเลยนะ) แล้วก็คุยกันเรื่องซื้อของให้ระวังแบงค์ปลอม วิธีดูก็คล้ายๆกับแบงค์ ของไทยนี่แหละ 1.ส่องดูลายน้ำรูปประธานเหมา ในช่องโล่งด้านซ้าย 2. มีเส้นฟอยล์สีเงินแนวตั้ง 3. เลขมูลค่าบนแบงค์ (มุมขวา)รวมถึงตัวหนังสือตรงกลาง ลูบแล้วต้องเป็นตัวนูน ประมาณนี้ ที่นิยมปลอมกันจะเป็นใบละห้าสิบหยวน ระหว่างที่ไกด์บอกแต่ละคนก็หยิบแบงค์ของตัวเองมาดูกันใหญ่ น้องจิ๋ม (ลูกอาอี๊) บอกว่าตัวเองได้แบงค์แปลกๆ มา 1 ใบ รูปคนที่ปรากฏในแบงค์ไม่ใช่ประธานเหมา สรุปว่านั่นเป็นแบงค์เหมา (10 เหมา = 1 หยวน / 10 เฟิน = 1 เหมา) รูปที่เห็นเป็นรูปของชนกลุ่มน้อยในประเทศจีน ถ้าแบงค์รุ่นเก่าจะเป็นแบบนี้ เฮ้อ .. ค่อยสบายใจหน่อย (แบงค์50 หยวนเอามาจากกระทู้ในพันทิพ)แบงค์เหมาน้องจิ๋มได้มา9.20 น. ถึงวัด ... นั่งรถมานาน อากาศก็เย็นปวดฉี่มากๆ แต่พอต่อคิวเข้าห้องน้ำเท่านั้นแหละเป็นอันหมดอารมณ์ มองปราดเข้าไปในส้วมเจออึอย่างน้อย 2 ห้อง หันหน้ากลับแทบไม่ทัน ถ้าซื้อล็อตเตอรี่คงถูกแจ๊คพ็อทแน่ๆเดินเข้ามาภายในวัดดูร่มรื่นดี แต่ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกหลายขั้นเลยนะเนี่ยมีจุดให้ไหว้พระหลายจุด เราจุดธูปไหว้กันประมาณ 3 จุด รู้สึกอิ่มเอมใจดีจริงๆ10.30 ไหว้พระเสร็จแล้วพี่คนขับรถพาเราไปร้านชิมชา ... สรุปว่ายังไงก็ต้องชิม ไกด์บอกว่าให้ช่วยเค้าหน่อย เพราะเป็นกฎของรัฐบาลว่าไกด์ต้องพานักท่องเที่ยวไปตามจุดที่เขากำหนด แล้วก็ต้องมาลงชื่อทุกครั้ง ถ้าไกด์ไม่พาลูกทัวร์มาถือว่ามีความผิด พูดถึงก็เป็นแนวคิดที่ดีในการสนับสนุนการท่องเที่ยวของเขานะ แต่บางทีเราก็ว่ามันมากไปเจ้าหน้าที่สาวจีนที่พูดไทยได้ อธิบายเรื่องชา และสาธิตการชงชา จากนั้นให้พวกเราลองชิมชา ประมาณ 3 ชนิด จากนั้นก็เข้าสู่สเต็ปการขาย ชาตัวนั้นดีอย่างนั้นอย่างนี้ แก้โรคอะไรต่อมิอะไร ฟังดูก็น่าสน แต่หลายคนเริ่มเงินหมด หาวิธีปลีกตัวออกจากห้องเลคเชอร์มาอย่างเนียนๆ เพราะยังไงซะ ใน 1 กรุ๊ป ต้องมีตัวแทนซื้อเข้าซักรายสิน่า ... ออกจากห้องเชือดมาแล้วเราก็มารอกันอยู่ที่หน้าร้าน บ้างก็เข้าห้องน้ำ บ้างก็ถ่ายรูปมิวายแม่สาวจีนคนเดิมยังตามออกมาขายข้างนอกอีก คราวนี้ลดราคาพิเศษ ซื้อ1 กระปุกใหญ่ แถม 3 กระปุกเล็ก แล้วยังแถมตุ๊กตาชินจังอีก 3 ตัว บลา บลา บลา ... สำเร็จแฮะ พี่คนนึงตอนแรกทำท่าจะไม่เอาตั้งแต่ในห้องแล้ว มาติดกับเอานอกห้องตอนจะกลับนี่เอง สงสารก็แต่คนที่สนใจซื้อในห้อง ได้ราคาเต็มไปเที่ยงแล้วเราไปกินข้าวกันเถอะ อาหารวันนี้มี 1.ปลานึ่งซีอิ๊ว 2. ซี่โครงหมูผัดเต้าซี่ 3. ไข่เจียว 4. ผัดผัก 5. ซุปน้ำนมข้าว 6.ผัดผักรวมมีเห็ด 7. มะเขือยาวผัดหรืออะไรไม่รู้ 8. ไก่ชุปแป้งซอสหวาน ปิดท้ายด้วยแตงโมบ่ายโมงกว่าเราก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปเยี่ยมชมโรงงานผ้าไหม ไฟลท์บังคับอีกแล้วหรือนี่ ที่จริงให้เยี่ยมชมเฉยๆ ก็ได้ความรู้ดีหรอกนะ แต่พอเค้าเชิญชวนให้ซื้อแล้วไม่ซื้อเนี่ย มันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย แบบว่าปล่อยให้เค้าพูดอยู่ตั้งนาน อธิบายตั้งแต่เลี้ยงไหมยันทอไหมเป็นผืน มีการสาธิตให้ดูด้วย สุดท้ายก็จากไปอย่างนั้นหรือ ที่จริงสินค้าเค้าก็ดีนะ แต่ละอย่างก็แพงๆ (ในสายตาเรา) ทั้งนั้น ปล่อยให้ขาช้อปประจำกรุ๊ปซื้อไปดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า จริงๆ นะ มีคุณป้าอยู่คนนึง ซื้อทุกเจ้าเลย ดีเหมือนกันมีคุณป้าคนนี้ไว้อุ่นใจ เป็นหน้าเป็นตาของกรุ๊ปเราด้วยสิระหว่างรอกลุ่มผู้สูงอายุชื่นชมผ้าไหม เราออกมารอที่รถดีกว่า โชคดีมีแผงขายผลไม้อยู่ใกล้ๆ หลายคนซื้อสตรอเบอรี่กินกันให้หนุบหนับ จากคนแรกที่ซื้อแพ็คละ 10 หยวน คนหลังๆ ไปซื้อ ตอไปต่อมาจนจบที่ 7.5 หยวน สงสารพี่คนที่ซื้อคนแรกอีกแล้วบ่ายสองแล้ว ไปดูสัตว์โลกใต้น้ำกันดีกว่า โปรแกรมเยอะนะวันนี่แต่ถ้าเคยไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่บางแสนหรือระยองมาแล้ว ไม่ต้องเสียเงินเข้าไปที่นี่ก็ได้ เพราะดูธรรมดาไปหน่อย มีพี่คนนึงในกรุ๊ปที่มาด้วยกัน เค้าบอกว่าที่ออสเตรเลียดีกว่าหลายเท่า อืมมม กระตุ้นต่อมอยากเที่ยวต่ออีกแล้วประมาณบ่ายสาม ก็เดินออกมาขึ้นรถมุ่งหน้าตลาดรัสเซียใหม่ เย้.. จะได้ช้อปปิ้งแล้ว ระหว่างทางที่เดินออกมามีคนขายมันเผาให้เกลื่อนอีกแล้ว กำลังอยากกินอยู่พอดีเลย ป๊าเลยไปซื้อมาให้ ขึ้นรถมาหอมกลิ่นมันเผาฉุยเลย ใครๆ ก็กินมันเผา ไกด์บอกว่า ที่จริงรัฐบาลไม่ค่อยสนับสนุนให้กินมันเผาแบบนี้นะ เพราะมันไม่ค่อยสะอาด อ้าว.. ทำไมเพิ่งมาบอก แป๊บเดียวถึงตลาดรัสเซียแล้ว ทีแรกเราคิดว่าจะคล้ายๆ สวนลุมไนท์ซะอีก ที่ไหนได้เป็นตึก 4 ชั้น ขายพวก เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หมวก เครื่องประดับ ipot เกมส์ MP3 มีเวลาแค่ 1 ชั่วโมง โห.. จะทันมั้ยเนี่ย รีบเดินกันสุดฤทธิ์ สรุปว่าเราไม่ได้ของอะไรเลย เดินสำรวจอย่างเดียว ที่นี่เค้าบอกว่าให้ต่อ 80% ถึงเวลาแล้วต่อไม่ลงจริงๆ กลัวโดนไล่ออกจากร้าน ส่วนนักช้อปประจำกลุ่มไม่ต้องห่วง ได้กันมาคนละถุงสองถุง มีสามีภรรยาคู่นึง ช้อปจนต้องซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหม่เอาไว้ใส่ของกลับกันเลยทีเดียว แถมกระเป๋าใบใหม่นี้ก็ซื้อมาในราคาไม่แพงอีกด้วย ได้ยินว่าจาก 900 หยวน ต่อเหลือ 100 หยวน คิดดูกระเป๋าเดินทาที่พี่เค้าซื้อมานี่ ที่ประตูน้ำขายกันพันกว่าบาท ถ้าขึ้นห้างจะบวกไปอีกเท่าไหร่? เซียนจริงๆ นัดเจอกันที่รถ 16.30 สรุปว่าต้องรอนักช้อปบางคนที่ยังติดพันอยู่กับการต่อราคา จนเกือบ 5 โมงเย็นโน่นกว่ารถจะได้ออก พี่คนที่มาช้าก็ขอโทษขอโพยไปตามระเบียบ เขาบอกว่าจะออกมาตั้งนานแล้ว แต่คนขายยื้อไว้ เชื่อพี่เค้านะ เพราะคนขายที่นี่เป็นอย่างนี้จริงๆ ไอ้เดินดูน่ะไม่กี่ร้านหรอก แต่พอต่อแล้วเนี่ยสิอย่าหวังจะได้ออกจากร้านง่ายๆ ถ้าคุณไม่ควักเงินซื้อแป๊บเดียวเราก็มาถึงร้านอาหาร มื้อนี้เราจะได้กินเป็ดปักกิ่งของแท้ แต่พอกินแล้วพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า สู้เป็ดไทยม่ายล่าย ที่นี่เค้าเฉือนเป็ดติดมันเยอะเลย กินแล้วเลี่ยนพิลึก แต่รวมๆ แล้วมื้อนี้อาหารโอเค1. เป็ดปักกิ่ง 2. ปลานึ่งซีอิ๊ว 3.เต้าหู้+หมู3ชั้น 4.ไข่เจียว 5. เห็ดหูหนู+แตงกวา 6. แกงจืดผักกาดขาว+เป็ด (ที่เหลือจากแล่หนังแล้ว) 7. ผัดผักกาดขาว18.35 ออกเดินทางมุ่งหน้าตลาด ซีตาน ส่วนใหญ่เป็นพวกซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็มีของขายแบบเดินกิน คราวนี้มีเวลา 1.30 ชั่วโมง นัดว่า สองทุ่มครึ่งให้มาเจอกันที่รถ เราเดินเตร่ดเตร่กันไม่นานนักเพราะเมื่อย กินปลาหมึก 1 ไม้ 6 หยวน กินพุทราเคลือบน้ำตาล 1 ไม้ 2 หยวน อย่างอื่นก็ไม่รู้จะซื้ออะไร เดินดูเอาเพลินกว่าวันนี้เหมือนว่าโปรแกรมจะแน่นเอี้ยด แต่ 3 ทุ่มครึ่งก็ถึงที่พักแล้ว อาบน้ำสระผม นอนประมาณ 5 ทุ่ม ถือว่าทำเวลาได้ดี(ยังมีต่ออีกแน่ะ)
<< ไปปักกิ่งกันมั้ยพวกเรา >> (3)
อาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2550(กำหนดการวันนี้คือ กำแพงเมืองจีน หุ่นขี้ผึ้ง ศูนย์การค้าหวังฟูจิ่ง - สุกี้มองโกเลีย)ตารางของทุกเช้าในการมาเที่ยวครั้งนี้คือ สูตร 6-7-8 หมายถึง ตื่น 6 โมง ทานอาหารเช้า 7 โมง ออกเที่ยว 8 โมง (เรื่องอาหารเช้าเราจะเลิกพูดถึงแล้วนะ เพราะมันไม่น่าประทับใจเลยซักนิด)วันนี้เราเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับไปลุยกำแพงเมืองจีนอย่างเต็มที่ เค้าว่าหนาวและลมแรงกว่าที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ในปักกิ่งซะด้วย เราเลยใส่เสื้อกันหนาวไป 1 ตัว แล้วมีสำรองไว้อีก 1 ตัว ขึ้นรถแล้วไกด์บอกว่าเช้านี้เราจะไปชมโรงงานหยกกันก่อน อ้าว... เพราะไปกำแพงเมืองจีนใช้เวลาเดินทางนาน เกรงว่าจะไปหิวข้าวกลางวันกันที่กำแพงเมืองจีน กลับมาทานกลางวันไม่ทัน เขาจึงเปลี่ยนโปรแกรมนิดหน่อย ระหว่างทางไกด์ก็เล่าโน่นเล่านี้ให้ฟัง จำได้บ้างไม่ได้บ้าง มีเรื่องนึง ไกด์บอกว่า ให้สังเกตดูทำไมไม่ค่อยเห็นหมาเหมือนที่เมืองไทย เพราะว่าเลี้ยงหมา 1 ตัว ต้องจ่ายภาษีหมา 3000-5000 หยวน บ้านไหนเลี้ยงหมาต้องพาหมาไปถ่ายรูปทำบัตรให้หมาด้วย ถ้าเจอตำรวจเรียกตรวจจะได้มีให้ดู ปักกิ่งจึงมีหมาน้อยด้วยประการฉะนี้ .. ไปปักกิ่งคราวนี้เราเห็นหมาหลายตัวเหมือนกัน ทุกตัวล้วนพันธุ์ปักกิ่งทั้งนั้น ไม่เห็นมีพันธุ์อื่นเลย แล้วเขายังบอกอีกว่าคนจีนกินหมาด้วย สงสัยคงจะกินหมาพันธุ์อื่น ไม่กินพันธุ์เดียวกัน 5559 โมงเช้าเรามาถึงโรงงานหยก มันก็ตระการตาดีนะ ทัวร์ทุกคณะมาชุมนุมพร้อมกันที่นี่ เราก็เดินดูไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ซื้ออะไรกับเค้าหรอก ไม่ใช่แนวออกจากโรงงานหยก 10 โมงเช้า แล้วต่อด้วยพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ในนี้ห้ามถ่ายรูป ถ้าจะถ่ายต้องซื้อตั๋วเสียเงินค่าถ่ายรูปด้วย กรุ๊ปเราเลยไม่มีใครถ่ายซักคน ระหว่างเดินชมด้านใน ไกด์ก็จะเป็นคนเล่าเรื่องเราวประวัติศาสตร์ในแต่ละฉากไป ฟังบ้างไม่ฟังบ้างตามสะดวก แต่เราว่าเนื้องานสู้หุ่นขี้ผึ้งบ้านเราไม่ได้ ของเราเหมือนกว่าเยอะ เดินอยู่ในนี้ประมาณ 1 ช.ม. จากนั้นจะได้กินสุกี้มองโกลในมื้อกลางวัน อาหารชุดแรกที่มาลงจะเป็นข้าวสวย ไข่เจียว ผัดผัก 2 อย่าง อีกอย่างคล้ายๆ กะเพราไก่ ส่วนสุกี้มองโกล มีเป็นหม้อส่วนตัวให้เลย โล่งอกที่ไม่ต้องไปใช้หม้อร่วมกับใคร มีเต้าหู้ ผักต่างๆ 2-3 อย่าง เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อแพะอันนี้อร่อยมาก ขอเติมนับครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว ไกด์แนะนำว่าอาหารทุกอย่างอย่ากินหมด ให้เหลือไว้จานละ 1 ชิ้น เอาไว้เป็นตัวอย่างเวลาจะบอกให้พนักงานเอามาเพิ่มจะได้เอามาถูก สุกี้มองโกลมีน้ำซุปเป็นสีขาวขุ่น ส่วนน้ำจิ้มเค้ารสชาติแปลกๆ อธิบายไม่ถูก ดีใจจริงๆ ที่หัวหน้าทัวร์ (คุณปลา) เอาน้ำจิ้มสุกี้มาจากเมืองไทย ไม่งั้นสุกี้มื้อนี้คงไม่อร่อย เรียกได้ว่าถ้าน้ำจิ้มไม่หมดขวดไม่เลิกกินกันแน่ๆ เที่ยงครึ่งรถออกเดินทางจากร้านอาหาร มุ่งหน้ากำแพงเมืองจีนด่านปาต้าหลิง จุดนี้เราจะนั่งกระเช้าขึ้นไป ค่อยยังชั่วหน่อย ระยะทางไกลจริงๆ ด้วย ไกด์ก็เล่าโน่นเล่านี่อีกตามเคย ลูกทัวร์หลับกันเกือบหมด แกก็ยังมีความมานะในการเล่า เราก็หลับๆ ตื่นๆ ได้เกร็ดความรู้มาหน่อยนึงว่า 2 ลี้ = 1 ก.ม. / 1 ชั่ง = ครึ่งกิโล จำได้แค่นี้แหละใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่ง ถึงด่านประมาณเกือบสองโมง ลงจากรถมาอากาศหนาวจริงๆ ด้วย ใส่เสื้อกันหนาวซ้อนกัน 2 ตัวแน่ะ เรานั่งกระเช้ากันไปที่กำแพง หวาดเสียวอยู่เหมือนกันแถมแล่นเร็วซะด้วย ดีใจจัง ได้เหยียบกำแพงเมืองจีนแล้ว ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยจริงๆ เราเดินไปที่จุดชมวิว กว่าจะถึงเหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกัน ระหว่างที่เดินบนกำแพงเมืองจีน มันจะมีตามซอกตามหลืบที่เราต้องเดินผ่าน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนกล้าฉี่ที่กำแพงฯ ด้วย เหม็นมากๆ ยังกะส้วมแตกเราอยู่ที่นี่ถึงประมาณ 15.45 ก็ขึ้นรถกลับ มุ่งหน้าร้านขายบัวหิมะ (นอกโปรแกรมอีกแล้ว) ในระหว่างนี้ไกด์เอาของกินเล่นเช่น มันเผา บ๊วยสด เม็ดบัว พุทราเชื่อม เกาลัด เป็นห่อๆ มาให้ลองชิมสุดท้ายก็บอกว่า เพื่อนให้ช่วยขาย ถ้าอร่อยก็ให้ช่วยเค้าซื้อหน่อย เราก็ว่าน่าสนใจแต่เขาบอกว่าต้องสั่งเป็นลังเช่นมันเผาลังละ 300 หยวน มี 50 ห่อ บ๊วยลังละ 300 หยวน มี 30 ห่อ เป็นต้น อืม.. ขอคิดดูก่อนละกันนะเพราะต้องเอาทั้งลังเลยถึงร้านขายบัวหิมะแล้วพวกเราก็เข้าไปนั่งฟังอย่างนั้นเอง เค้าก็มีการสาธิตเอามือไปลูบเหล็กร้อนแล้วทาด้วยบัวหิมะ เหลือเชื่อมั้ยล่ะ คนก็สนใจสิ แต่แหมกระปุกละตั้งหลายตังค์ ถ้าจำไม่ผิด 2000 หรือ 2500 นี่แหละ ไม่รู้มีใครในกรุ๊ปตกเป็นเหยื่อสินค้าชนิดนี้กันบ้าง แต่รับรองได้ว่าไม่ใช่เราแน่ ว่าแต่ ... ทำไมเราดูงกๆ ขนาดนี้เนี่ย ส่วนตัวแลกเงินมาเที่ยวคราวนี้ ก็แลกมาแค่ 650 หยวน (ประมาณ 3000 ทอน 30 บาท) แต่บุ๋มแลกมาหมึ่นนึงบอกว่าเผื่อไว้ก่อน แลกมากก็ซื้อมาก แลกน้อยเงินหมดก็เลิก ขนาดไม่ซื้ออะไร เงินที่แลกมายังหมดเลยรอกันไปรอกันมานานมากเพราะไกด์ไม่ได้บอกว่าให้มาเจอกันที่รถกี่โมง กว่าจะพร้อมออกจากที่นี่ได้ก็เกือบหกโมงเย็น ไปถึงร้านอาหารประมาณ 18.30 น. มื้อนี้อาหารไม่ค่อยถูกปากซักเท่าไหร่ แล้วก็มีน้อยอย่างด้วย 1. ผัดกะเพราหมู+พริกหวาน 2. กุ้งเสียบ 3. ขาหมูหวาน 4. ปลาราดพริกแปลกๆ 5. ไข่เจียว 6. ไก่น้ำปลา ประมาณนี้ พี่ๆ ผู้ชายบางคนในกรุ๊ปทัวร์บอกว่าไม่อิ่มเสียด้วยซ้ำกินข้าวเสร็จไกด์บอกว่าจะให้ไปชิมชา หลายคนบ่นว่าไม่เอาไม่ชิม โวยวายเรื่องอาหารไม่พอกิน ไม่มีอารมณ์มาชิมชาหรอก ไกด์ก็หน้าจ๋อยไปเหมือนกัน สุดท้ายเราก็ไม่ต้องชิมชา และรถออกจากร้านอาหารประมาณ 19.20 น. มุ่งหน้าตลาดหวังฟู่จิงเรามีจุดนัดพบที่สี่แยกไฟแดง ไกด์แนะนำว่าถ้าจะช้อปปิ้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าแบรนด์เนม ให้ข้ามถนนตรงไป ถ้าอยากกินอาหารปิ้งย่าง ให้ไปทางขวา แล้วกลับมาเจอกันอีกใน 1.30 ชั่วโมงกลุ่มเรายังไม่อิ่ม คิดว่าจะหาของกินเล่นซักหน่อย มองไกลๆ ดูแล้วตระการตาดี แต่พอเดินไปดูใกล้ๆ มันแปลกเกินกว่าที่เราจะกินจริงๆ ดูท่าทางบุ๋มอยากกินหลายอย่าง แต่ไม่มีใครรับปากกว่าจะช่วยกิน เธอเลยตัดใจกินเนื้อแพะย่าง 1 ไม้ ลองชิมดู แต่เราว่ามันเหม็นไปหน่อย ไม่เหมือนเนื้อแพะในสุกี้มองโกล เดินไปสุดถนนท่าทางจะไม่ได้เรื่อง เราเลยเดินกันไปที่ถนนเส้นที่เค้าช้อปปิ้งกัน ดูซิว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง วันนี้อากาศหนาวกว่าปกติ เราใส่เสื้อกันหนาว 2 ตัว ในขณะที่มีป้ายบอกอุณภูมิที่ 13 องศาเซลเซียสเท่านั้นเอง ไม่อยากนึกถ้ามาตอนมีหิมะ จะหนาวขนาดไหน เราเดินไปเรื่อยๆ แต่ไม่ซื้อ มันคือคติพจน์ในการมาเที่ยวของเราหรือนี่ เรากลับมาเสียเงินให้กับค่าเฟรนซ์ฟรายด์ที่แมคโดนัลในกรุงปักกิ่งนี่เอง ราคา 8 หยวน เท่าที่เมืองไทยเลยทำใจได้ ถึงโรงแรมกันสี่ทุ่มกว่าๆ อาบน้ำ สระผม นอนเกือบเที่ยงคืน สำหรับคืนนี้ถือว่าหลับสบายดีจริงๆ(ยังมีต่อ... อีกหรือ)
<< ไปปักกิ่งกันมั้ยพวกเรา >> (2)
เสาร์ 14 เมษา 50ที่จริงเราตั้งนาฬิกาปลุก 6 โมงเช้า แต่หม่าม้าตื่นเต้นหรือไงไม่รู้ โทรมาปลุกเราที่ห้องตอน 05.40 (เวลาไทยคือ 04.40 น.) เช้านี้อาบน้ำแบบไม่ฟอกสบู่ แล้วก็แต่งตัวลงมาทานอาหาร 7 โมงตามนัด มันช่างเป็นอาหารเช้าที่ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์ซักเท่าไหร่ ดีนะที่บุ๋มเอากุนเชียงมาด้วย ก็เลยกินกับข้าวต้ม ถ้าขืนเป็นแบบนี้ทุกวันแย่แน่เลย หัวหน้าทัวร์นัดกรุ๊ปให้พร้อมกันที่รถ 8 โมงเช้า เราจะไปจตุรัสเทียนอันเหมินเป็นที่แรก โดยมีไกด์ชาวจีนชื่อ คุณไว เป็นผู้นำทาง (กำหนดการวันนี้คือ จตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวังกู้กง พระราชวังฤดูร้อน กายกรรมปักกิ่ง)พูดถึงคุณไว เค้าเล่าให้ฟังว่า เพิ่งมาใช้ชื่อ ไว หรือ ไวยกรณ์ เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมานี้เอง (ใครตั้งให้ก็ไม่ทันได้ถาม) เพราะแต่ก่อนชื่อ เสียวเป่า ลูกทัวร์คนไทยชอบล้อ เค้าก็เลยเปลี่ยน (สงสัยพอจะรู้ความหมายอยู่บ้าง) คุณไว เป็นไกด์มา 2 ปีแล้ว ที่เค้าสนใจพูดภาษาไทยเพราะว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีให้เลือกภาษา พม่า ลาว เขมร เวียดนาม ไทย เค้าบอกว่า เมืองไทยเจริญที่สุด เค้าจึงเลือกเรียนภาษาไทย คุณไวเป็นคนจีนที่พูดไทยได้เร็วมาก ด้วยความที่พูดเร็วและไม่ค่อยชัด ทำให้เราต้องแปลไทยเป็นไทยในสมองอีกสเต็ปนึงด้วย ฝ่ารถติดไปพอสมควร พอ 9.00 น. พี่คนขับก็นำรถมาจอดส่งกรุ๊ปทัวร์ลง พวกเราลงเดินมุ่งหน้าไปจัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยมีไกด์ถือธงประเทศไทยนำขบวนเดินมาถึงสี่แยก มองไปฝั่งตรงข้ามก็รู้ได้ทันทีว่าบริเวณนี้คือ จตุรัสเทียนอันเหมิน เราเป็นคนแรกในกรุ๊ปที่ถ่ายรูป (ด้วยความตื่นเต้น) พอเราเริ่มถ่ายคืนอื่นๆ ก็ควักกล้องออกมาถ่ายกันบ้าง เดินไปถ่ายไป แตกฝูงไปบ้าง ก็มันตื่นตาตื่นใจนี่นา ขนาดเห็นทหารยังตื่นเต้นเลย มีทั้งอนุสาวรีย์วีรชน ศาลาประชาคม แต่คนเยอะน่าดู ยังกะสนามหลวงบ้านเราแน่ะ เราเดินตรงไปเรื่อยๆ สุดทางคือกำแพงที่มีรูปประธานเหมาเจ๋อตุงติดอยู่ เรานัดเจอกันที่นั่น ใครเดินมาถึงก่อนก็แวะเข้าห้องน้ำ อากาศเย็นทำให้ปวดฉี่บ่อย ที่นี่จะเป็นห้องน้ำสาธารณะที่แรกที่เราจะเข้า ห้องน้ำคนเยอะมากและเหม็นมากด้วย เรายอมอั้นไว้ไปเข้าที่ร้านอาหารจะดีกว่า ทำอารมณ์ไม่ได้จริงๆ แต่พวกคนสูงอายุเค้าอั้นไม่ได้อย่างเราจึงจำเป็นต้องเข้า ระหว่างรอหมู่มวล ก็ควักยาดมมาดมไปพลาง นี่ขนาดได้กลิ่นอย่างเดียวนะ ...10.30 น. ทุกคนพร้อมเราพากันเดินฝ่านซุ้มประตูใต้รูปประธานเหมา เดินทะลุเข้าไปใน พระราชวังกู้กง ได้ยินมาว่าค่าเข้าชมประมาณ 50 หยวน ด้านในดูแล้วก็เหมือนเคยเห็นในหนังจีนนั่นแหละ ระหว่างทางไกด์ก็จะเล่าประวัติศาสตร์ของพระราชวังนี้ไปด้วย (แต่เราไม่ได้บันทึกรายละเอียดไว้หรอกนะ เพราะหาอ่านเอาในบล็อกของเพื่อนๆ คนอื่นได้) ได้ยินมาว่าที่นี่กำลังซ่อมแซมเพื่อต้อนรับกีฬาโอลิมปิค 2008 น่าเสียดายความงดงามบางส่วน (หลายส่วนเลยแหละ) เวลาถ่ายรูปก็ถ่ายได้สวยไม่เต็มที่ แถมคนเยอะอีกต่างหาก แต่ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ เราคิดปลอบใจตัวเองไปงั้นแหละ เราเดินภายในพระราชวังนี้ผ่านหลายตำหนักด้วยกัน แต่ละจุดก็มีเรื่องเล่า เราถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ตามทาง จนเดินออกมาทางสวนหินประมาณ เที่ยงตรงพอดี แวะเข้าห้องน้ำกันอีกครั้ง แต่เรายังยืนยันว่าไม่นะ เราจะเก็บฉี่อันมีค่าของเราเอาไว้ ยังจำกลิ่นเหม็นแรกได้อยู่เลย...เที่ยวทัวร์ปักกิ่ง เดินหน้าแล้วไม่ถอยหลัง ก็ไกลซะขนาดนั้น แค่นี้ก็เมื่อยจะแย่แล้ว กรุ๊ปเราเดินออกมาจากประตูอีกด้านหนึ่ง เพื่อรอรถมารับ วันนี้รถติดมาก ยืนชะเง้อเป็นกะเหรี่ยงคอยาวกันเลยทีเดียว จุดที่รอรถนี้มีลูกทัวร์ของหลายบริษัทมายืนรอเช่นกัน ยังดีที่มินิมาร์ทให้เดินดูของบ้าง ตอนกลางวันแดดออกก็จริงแต่อากาศยังดีอยู่เลย แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีกลิ่นบุหรี่ คนจีนสูบบุหรี่กันจัดมาก สูบได้ทุกที่เสียด้วยสิ12.54 น. และแล้วพวกเราก็ได้ขึ้นรถซักที ประมาณ 20 นาทีเราก็มาถึงร้านอาหาร มี...1.ปลานึ่งซีอิ๊ว 2.เห็ดหูหนูเผ็ดๆ 3.ซุปจืดๆ 4.ผัดผักจืดๆ 5.ผัดผักหลายสี 6.ผัดเผ็ดเต้าหู้ 7.ไข่เจียว ประมาณนี้แหละ สรุปว่าอาหารมื้อนี้ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ในตารางที่บริษัททัวร์ส่งมาให้ก่อนเดินทาง บอกว่ามื้อนี้จะได้กินเกี๊ยวปักกิ่ง หน้าตามันเป็นยังไงน้อ?ส่วนคุณไวก็โดนบ่นไปตามระเบียบ เกือบ 3 โมงเรามาถึงพระราชวังฤดูร้อน อวี้เหอหยวน ไม่มีอะไรจำทำที่ดีไปกว่าถ่ายรูป ทะเลสาบคุณหมิงสวยจริงๆ หลายคนที่มาตอนฤดูหนาวของที่นี่บอกว่าน้ำในทะเลเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียว ในทะเลสาบมีเรือถีบแบบเขาดินบ้านเราด้วย คิดว่าถ้าได้ดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลสาบแห่งนี้คงดีไม่น้อย เราเดินที่นี่แค่รอบๆ เท่านั้น ไม่ได้เจาะลึกซักเท่าไหร่ เพราะคนเยอะเหลือเกิน เรียกว่าไม่ได้มีเวลาดื่มดำความงดงามพร้อมถ่ายรูปมากมายนัก รูปที่ถ่ายมาในทริปนี้ก็ถ่ายแบบรีบๆ ตลอดเลย หาสวยจริงๆ ยากเหลือเกินระหว่างที่เราเดินออกจากพระราชวังฤดูร้อนเพื่อมาขึ้นรถ มีจักรยานขายมันเผาเยอะมาก กลิ่นมันเผาหอมเตะจมูกสุดๆ ไม่กินไม่ได้แล้ว แต่ละคนก็แย่งกันขาย เค้าตะโกน 5 หยวน แต่ป๊าต่อมาได้ชิ้นละ 2 หยวน (บางคนบอกว่ายังแพงอยู่) พอซื้อเสร็จเท่านั้นแหละ แก๊งจักรยานขายมันเผาก็แตกกระเจิง ก็ตำรวจมาไล่น่ะสิ ฮาดีเหมือนกันนอกจากมันเผาแล้ว ริมถนนก็มีขายสับปะรดเสียบไม้ โรตี-ไส้กรอก ด้วย ขึ้นรถมาอีกทีตอน 16.45 น. ไกด์บอกว่าเราไม่ได้ดูกายกรรมวันนี้ เปลี่ยนไปดูพรุ่งนี้แทน เพราะจองตั๋วไม่ได้ แต่เห็นว่าเดินมาทั้งวันแล้วคงจะเมื่อย เดี๋ยวจะพาไป สถาบันวิจัยสมุนไพรการแพทย์ ที่นั่นมีนวดเท้าให้ฟรี ถ้าใครไม่ชอบนวดเอาเท้าแช่ไว้ในน้ำอุ่นเฉยๆ ก็ได้ คุณไวบอกว่านวดฟรี แต่ถ้าจะให้ทิปคนนวดซัก 5 หยวน 10 หยวนก็ตามใจ แปลว่าต้องให้อะดิเนี่ยก่อนจะนวดมีผู้มีความรู้มาอธิบายเรื่องการค้นคว้าวิจัยสมุนไพร (เป็นภาษาไทย) มีการแจกชีทไปพร้อมกับบรรยายว่ายาตัวไหนแก้อาการอะไร ถ้าของฟรีก็ดีทั้งนั้นสงสัยว่านี่เรากำลังเข้าสู่วงจรขายของตามคำเล่าลือซะแล้ว อธิบายจบเค้าจะให้เจ้าหน้าที่เอาน้ำมาให้เราแช่เท้าแล้วทำการนวด พร้อมกับมีหมอแมะ (หลายคน) มาจับชีพจรตรวจอาการทีละคน ไล่จนมาถึงเรา หมอบอกว่าเรามีปัญหาเรื่องมดลูกแล้วก็อาจมีก้อนเนื้อเล็กๆ ที่หน้าอก ฮ่าฮ่า สงสัยหมอจะบอกเป็นนัยว่าเราอกเล็กดูเหมือนก้อนเนื้อเล็กๆ มาแปะไว้ที่หน้าอกรึเปล่า พูดไปพูดมาจนเกือบจะหลงคารมหมอ พอดีบุ๋มเตือนสติว่า ค่ายา 2500 บาท เอาเงินนี้ไปตรวจสุขภาพประจำปีไม่ดีกว่าหรอ ถ้าเป็นอะไรก็รักษาที่บ้านเกิดของเรา ไม่งั้นต้องบินมารักษาที่นี่นะเฟ้ย สรุปว่ารอดตัวไปพอหมอรู้ตัวว่าขายยาไม่ได้มากไปกว่านี้แล้วเค้าก็ออกจากห้องไปทันที โดยทีมหมอนวดก็เลิกนวดทันใด ตอนนั้นขาข้างขวาของเรายังนวดไปได้แป๊บเดียวเอง เราเลยต้องรีบควักแบงค์ให้ไป 10 หยวน ตลาดวายในพริบตา เราเสียเวลาอยู่ที่นี่ถึงประมาณ 18.30 น. ก็มุ่งหน้าไปร้านอาหารในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงวันนี้อาหารมีหลายอย่างนับได้ดังนี้1.กุ้งมังกร (แบ่งๆ กันกิน) 2.ผัดป๋วยเล๊ง 3.ปลาราดพริก4.ไส้หมูน้ำแดง 5.ผัดไก่+พริกหยวก 6.ผักเห็ดหูหนู+หมู+แครอท 7.ซุปหอยตลับ 8.ข้าวต้มปู 9.ข้าวผัดปู 10.ไข่เจียว และผลไม้รวม ผลไม้ที่นี่อย่าไปคาดหวังเลย มีแอ๊ปเปิ้ลฝานชิ้นบางๆ แตงโมจืดๆ ประมาณนี้ออกจากร้านกันประมาณสองทุ่ม ถึงที่พักภายในครึ่งชั่วโมง ดีจริงๆ เพราะเพลียเหลือเกิน แต่กว่าจะอาบน้ำนอนก็โน่น สี่ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว(ยังมีต่อ)