มนุษย์เราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แม้จะเป็นส่วนน้อยนิด ธรรมชาติมีความสำคัญแค่ใหน เราก็จะมีความสำคัญตามไปด้วย
อย่าคิดเอาชนะธรรมชาติ เรียนรู้เพื่อความเป็นอยู่อย่างสอดคล้อง ไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติ เพื่อจะได้มีชีวิตที่เป็นสุข
|
||||||
ชาดกคืออะไร มารู้จักกันหน่อยดีไหม - ทศชาติชาดก : ชาติที่ 1 พระเตมีย์ใบ้ (เนกขัมมะบารมี)
ชาดก คืออะไร ทศชาติชาดก : ชาติที่ 1 พระเตมีย์ใบ้ (เนกขัมมะบารมี) เมื่อวัยแรกรุ่นย่อมจะชอบใจในกามารมณ์ จึงจัดให้ให้มีสาว ๆ มาเล้าโลมด้วยประการต่าง ๆใด ๆ กอดรัดบ้าง ลูบโน่นบ้าง ลูบนี่บ้าง
จนกระทั่งเปิดโน่นให้ดูบ้าง เปิดนี่ให้ดูบ้าง จะทำอย่างไรพระเตมีย์ก็คงทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ ทำทองไม่รู้ร้อนตลอดเวลา ใครจะพูดอย่างไร จะทำอย่างไรพระเตมีย์ทำเหมือนไม่ได้ยินทั้งสิ้น ไม่เคลื่อนไหวไม่ร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ ไม่อ้าปากส่งเสียงอะไรออกมา ผลที่สุดทั้งพระราช บิดาและอำมาตย์ลงความเห็นว่า พระกุมารคงเป็น คนกาลกิณีเสียแล้ว ขืนให้อยู่ต่อไปคงจะเกิดอันตรายขึ้นแก่พระองค์แก่สมบัติและ แก่พระอัครมเหสี ควรจะเอาออกไปทิ้งเสียที่ป่าช้าผีดิบนอกเมือง พระราชาก็เห็นด้วย จึงดำริจะให้เอาไปทิ้งเสีย แต่พระเทวีอัครมเหสีมา เฝ้ากราบทูลว่า “ขอเดชะ..พระองค์ได้เคยโปรดพระราชทานพรไว้แก่ข้าพระองค์ บัดนี้หม่อมฉันจะทูลขอพรที่ได้ให้ไว้นั้น…” “พระเทวีเธอขออะไรก็ตรัสไปถ้าไม่หลือวิสัยแล้วจะให้” “ข้าพระองค์ขอราชสมบัติให้พระเตมีย์” “อะไรกันพระเทวีก็เจ้าเตมีย์เป็นคนใบ้ แล้วก็หูหนวกเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างไร” “ก็พระเตมีย์เป็นอย่างนั้น หม่อมฉันจึงขอพระราชสมบัติ” “ไม่ได้พระเทวีเลือกอย่างอื่นเถิด” “หม่อมฉันขอเลือกให้พระเตมีย์ครองแผ่นดินแม้ไม่มากเพียง ๗ ปีก็พอ” “ไม่ได้พระเทวี จะเป็นความเดือดร้อนแก่คนอื่นมากมายนัก ลูกเราไม่มีความสามารถถ้าดีอยู่อย่าว่าแต่ ๗ ปีเลย ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะให้ฃ มบัติตลอดไป” “ขอสัก ๑ ปีก็แล้วกัน” “ไม่ได้พระเทวี” “ถ้าอย่างนั้นขอ ๗ วัน หม่อมฉันขอให้พระเตมีย์ได้เป็นสักหน่อยเถิด” พระเจ้ากาสิกราชก็ยอมตกลง จึงได้ให้ตกแต่งร่างกายของพระเตมีย์ในเครื่องกษัตริย์ แล้วให้เสด็จเลียบพระนครประกาศให้ประชาชน พลเมืองทั่วไปทราบว่า บัดนี้พระเตมีย์ได้เป็นกษัตริย์แม้ใคร ๆ จะทำอย่างไรพระเตมีย์ยังคงเฉย ร่างกายไม่เคลื่อนไหวเป็นเหมือนหุ่น เขาวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น ใครจะทำอะไรก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของพระกุมารทั้งสิ้นพอครบ ๗ วัน พระนางจันทเทวีก็ทรงพระกันแสงเพราะครบกำหนดที่สัญญาไว้กับพระราชาแล้ว พระราชาจึงมอบพระเตมีย์กุมารให้กับนายสุนันท สารถีเอาใส่รถไปฝังเสียที่ป่าช้าดิบภายนอกเมือง นายสุนันทก็เอาพระเตมีย์ใส่ท้ายรถขับออกจากตัวเมืองไปยังป่าช้าผีดิบ แต่ หารู้ไม่ว่าทางที่จะไปนั้นม้นไม่ใช่ป่าช้าผีดิบแต่เป็นป่าอีกแห่งหนึ่งต่างหาก ความผิดพลาดของนายสารถี นับตั้งแต่เริ่มเทียมรถม้าแล้ว ก็คือ แทนที่จะเอารถสำหรับใส่ศพ กลับเอารถมงคลมาเทียมแทนและเมื่อรับพระเตมีย์แล้วก็คิดว่าจะขับไปป่าช้าผีดิบซึ่งอยู่ทางทิศ ตะวันตก แต่กลับขับไปทางทิศตะวันออกจึงเป็นอันว่านายสารถีกระทำการผิดพลาดมาโดยตลอด โดย: แสงเทียน (Faraday ) วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:13:25:55 น.
แต่การผิดพลาดนี้เป็นผลดีของพระเตมีย์
เมื่อถึงป่านอกเมือง ซึ่งนายสุนันทคิดว่าเป็นป่าช้าผีดิบ เขาก็หยุดรถหยิบจอบเสียมลงไปเพื่อจะขุดหลุมฝังพระกุมารเสีย หูของเขายังแว่วพระดำรัสของพระราชาที่ว่า “ลูกข้าคนนี้ เป็นกาลกิณีเองจงเอาไปป่าช้าแล้วขุดหลุมสี่เหลียมให้ลึก แล้วเอาจอบทุบหัวมันเสียก่อนแล้วค่อยฝังมันทีหลัง ช่วยมันหน่อยนะอย่าให้มันต้องถูกฝังทั้งเป็นเลย" ในขณะที่นายสารถีกำลังขุดหลุมอยู่ไมไกลจากรถนั้นเอง พระเตมีย์ก็คิดว่าร่างกายของเราไมได้เคลื่อนไหวมาตั้ง ๑๖ ปี จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ก็ทรงกายลุกขึ้นลงมาจากรถทดลองเดินไปมาอยู่ข้างรถ “ไม่เป็นอะไร มือเท้าไม่ได้เป็นง่อยเปลี้ยเสียแต่อย่างใด แต่กำลังเล่าจะเป็นไฉน” คิดแล้วก็จับเอางอนรถยกขึ้น เป็นความมหัศจรรย์ พระเตมีย์ยกรถขึ้นกวัดแกว่งได้เหมือนยกเอารถตุ๊กตาเบาแสนเบา แล้วกลับวางอย่างเดิม แลเห็นนายสารถีก้มหน้าก้มตาขุดหลุมอยู่โดยไม่ทราบว่าพระองค์ได้ทำอย่างไรบ้าง จึงเดินเข้า ไปยืนอยู่ใกล้ก็ไม่รู้แต่ก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียง “สารถีท่านขุดหลุมสี่เหลียมทำไมกัน” เขาเหลียวหน้ามามองแต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นพระกุมารที่ตนนำมาคิดเสียว่าเป็นคนเดินทางผ่านมาเห็นตนกำลังขุดหลุม อยู่ก็แวะเข้ามาสอบถามดู “ขุดหลุมฝังคน” เขาตอบสั้น “ฝังใครกันล่ะ?” “ฝังลูกพระเจ้าแผ่นดิน” “ฝังทำไมกันล่ะ?” “เรื่องมันยืดยาวท่านอยากจะรู้ไปทำไม” “ก็อยากจะรู้บ้างว่าคน ๆ นั้นเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินจะมาถูกฝังเพราะโทษอะไร” นายสารถีก็ชี้แจงว่า “ไม่มีโทษอะไรหรอก แต่พระราชกุมารเป็นคนกาลกิณีขืนปล่อยไว้นานไปความอุบาทว์ ทั้งหลายก็จะเกิดแก่ ราชสมบัติ" พระเตมีย์จึงแสร้งตรัสถามต่อไปว่า “คนกาลกิณีน่ะเป็นอย่างไร” “ก็เป็นคนไม่ดีน่ะสิ” นายสารถีเริ่มฉุน “ไม่ดีอย่างไร” “เอ ท่านนี่ควรจะไปเป็นศาลตุลาการ..แทนที่จะเป็นคนเดินทางเพราะแก่ชักเสียจริง” พระกุมารก็ไม่ขุ่นเคือง คงมีพระดำรัสเรียบ ๆ ถามต่อไป “ข้าพเจ้าอยากรู้จริง ๆ ก็เลยรบกวนท่านหน่อย” “เอ๊า…อย่างนั้นคอยฟัง คือว่าพระโอรสของเจ้านายข้าพเจ้าคนนี้ เกิดมามีลักษณะสวยงามน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่เสียอย่างเดียวภายหลังมาเกิดไม่พูดไม่จาแขนขาไม่ยกไม่ก้าว เสียเฉย ๆ ยังงั้นเเหละใครจะพูดอะไร หูก็ แถมหนวกเสียด้วยเลยเป็นอันว่าเหมือนตุ๊กตาตัวโต ๆ ที่เขาตั้งไว้” “แล้วอะไรอีกล่ะ” “ก็ไม่ยังไงหรอกพระเจ้าแผ่นดินรอมาถึง ๑๖ ปี ก็ไม่เห็นดีขึ้น เลยตัดสินให้ข้าพเจ้าเอามาฝังเสียหลุมที่ขุดนี่ แหละที่จะฝังพระราชกุมาร ท่านเข้าใจหรือยัง” “ท่านรู้ไหมว่าเราเป็นใคร” นายสารถีจึงมองอย่างพินิจพิจารณา แต่เขาก็จำไม่ได้เพราะผู้ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าบัดนี้ไม่ใช่พระกุมารผู้เป็น ง่อยเปลี้ยเสียแข้งขาเสียแล้ว แม้ว่าหน้าตาจะคล้ายคลึงกับพระกุมารแต่เขาก็ไม่แน่ใจนักจึงทำท่าอ้ำอึ้งอยู่ เมื่อเห็นนายสารถีมองดูด้วยความสงสัยอยู่ จึงประกาศตนว่า “สารถี..เราคือเตมีย์กุมารที่ท่านจะนำมาฝัง ท่านลองพิจารณาดูเถิดว่าเป็นคนกาลกิณีหรือเปล่า ดูสิเราเป็นง่อยหรือเปล่า” นายสารถีได้แต่มองอย่างสงสัย แล้วเอ่ยขึ้นรำพึงกับตัวว่า “เอ พระกุมารก็ไม่น่าเป็นไปได้ จะว่าไม่ใช่ก็กระไรอยู่” “เราคือเตมีย์กุมาร โอรสของพระเจ้ากาสิกราชที่ท่านอาศัยเลี้ยงชีพด้วยการเป็นราชบริพารอยู่บัดนี้ อย่าสงสัยเลยท่านขุดหลุมฝังเราน่ะเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมเลย” “ทำไมไม่เป็นธรรม?” โดย: แสงเทียน (Faraday ) วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:13:26:49 น.
“ท่านมองดูสิว่าเราเป็นคนกาลกิณีหรือเปล่า ท่านได้รับคำสั่งให้ฝังคนกาลกิณีต่างหาก”
“จริงสินะ” สารถีคิดแต่เขาก็อ้ำอึ้งอยู่ ไม่รู้จะกล่าวออกมาว่ากระไรอีกกับคนที่เขาจะนำไปฝังนั้นเอง เขาจึงก้ม กราบที่เท้าของพระเตมีย์ “โอ้.ข้าพระบาทเป็นคนโง่เขลา ทั้งนายของตนเองก็จำไม่ได้ เหมือนปาฏิหาริย์บันดาลให้เกิดไม่น่าเชื่อ” “ทำไมไม่น่าเชื่อ” “เพราะพระองค์ไม่เคลื่อนไหวร่างกายตั้งสิบกว่าปีอวัยวะควรจะใช้ไม่ได้ ควรจะเหี่ยวแห้งไป แต่หา เป็นเช่นนั้นไม่นับว่าเป็นความประหลาดมากทีเดียว” “เมื่อท่านเห็นเราเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านยังจะคิดฝังเราอีกไหม” “ไม่พะย่ะค่ะ ข้าพระบาทเลิกคิดจะทำร้ายพระองค์แล้ว พระองค์ท่านควรเข้าไปเฝ้าพระราชบิดา มารดาเพื่อจะได้ครองราชสมบัติต่อไป” “เราไม่คิดจะกลับไปสู่สถานเช่นนั้นอีก เพราะที่นั้นเป็นเหตุให้กระทำความชั่ว ซึ่งต่อไปจะทำให้บัง เกิดในนรกอย่างไม่รู้จะผุดจะเกิดเมื่อไหร่ ?” แต่นายสารถีก็ยังแสดงความดีใจ “ถ้าข้าพระองค์นำพระองค์ท่านกลับเข้าไปได้ใคร ๆ ก็ต้องแสดงความยินดีกับพระองค์ และข้า พระองค์ก็จะได้เงินทองทรัพย์สมบัติผ้าผ่อนและแพรพรรณต่าง ๆ จากคนเหล่านี้ เป็นต้นว่า พระ ราชบิดา มารดาของพระองค์ก็จะทรงยินดี ข้าพระองค์อาจจะได้ยศศักดิ์ บริวารและ อะไรต่าง ๆ ตามความปรารถนาเพราะ ใคร ๆ แสดงความสามารถที่จะให้พระองค์ไม่กลายเป็นคนง่อยเปลี้ย เสียขาเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้มาตั้งสิบกว่าปีก็ไม่สำเร็จ แต่ข้าพระองค์กลับทำได้ เป็นความดีใจ ที่เหนือความดีใจทั้งหมดที่เคยมี ข้าพระองค์กำลังจะรับความสุข ไม่ต้องลำบากเช่นเดี๋ยวนี้” “ท่านอย่าเพิ่งดีใจไปก่อน เราจะว่าให้ฟังเราเป็นคนไม่มีญาติขาดมิตร เป็นคนกำพร้า เป็นคนกาล กิณี จนเขาต้องให้ท่านเอาเราไปฝังเสียยังป่าช้าผีดิบ..ท่านนำเรากลับไปก็ไม่ดีท่านนั้นเเหละอาจ จะกลายเป็นคนกาลกิณีไปก็ได้เพระใคร ๆ เขาก็เข้าใจอย่างนั้นแล้วท่านจะฝืนความนึกคิดคนอื่น ได้อย่างไร เราสละแล้วด้วยประการทั้งปวง บ้านเรือนแว่นแคว้นเราไม่มี เราจะบำเพ็ญพรตรัก ษาศีลอยู่ในป่านี้โดยไม่กลับไปอีกแล้ว” “พระองค์น่าจะตรัสกับพระราชบิดามารดาเสียก่อน” “ไม่ล่ะ เรามีความเพียรเพื่อจะออกจากเมืองเป็นเวลาจำนวนถึง ๑๐ กว่าปี ความตั้งใจของเราจะ สำเร็จแล้ว เราจะไม่เข้าไปสู่สถานที่ทำกรรมอีกล่ะ ถ้าเราเป็นพระเจ้าแผ่นดินอาจจะอยู่ไปได้หลาย สิบปี แต่เราจะต้องทำกรรมแล้วไปตกอยู่ในนรกตั้งหมื่นปี ท่านลองคิดดูว่าพระเจ้าแผ่นดินจะต้อง สั่งให้เขาเฆี่ยนตี..ฆ่าคนนี้..ทำทรมานคนโน้น..ริบทรัพย์คนนั้น..ริบทรัพย์คนโน้น..วันละเท่าไร ปีละเท่าไร แล้วผลของการกระทำความชั่วนั้นจะไม่ย้อนกลับมาให้ผลเราบ้างหรือ" นายสารถีอดที่จะค้านไม่ได้ “พระเจ้าแผ่นดินจะทรงทำอย่างนั้น..ว่าโดยทางโลกยินยอมว่าเป็นความถูกต้อง เขาให้อำนาจที่จะ กระทำ แต่ท่านต้องไม่ลืมนะว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ผิดจากทางโลก แต่ทางธรรมไม่เคยยกเว้นให้ ใคร ทางธรรมมีอยู่ว่าทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ผลของการทำดีนำไปสู่สวรรค์ ผลของการ ทำชั่วนำไปสู่นรก” นายสารถีจึงกราบทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นคนเขลา ยังคิดเห็นเป็นความสุขความสบาย แต่เมื่อพระองค์ดำรัสก็เห็นเป็นจริง คงอย่างนั้น ทุกคนต้องรักขีวิตร่างกายของตนทั้งนั้น เมื่อใดใครมาทำอันตรายก็เป็นธรรมดาต้อง ไม่ชอบ เมื่อพระองค์เห็นว่าโลกยุ่งมากนักจะบวช ข้าพระองค์ก็จะบวชเหมือนกัน” พระกุมารดำริว่า “หากให้นายสารถีบวชเสีย ม้ารถก็เสียหาย และพระราชบิดามารดาคงได้รับความโทมนัสที่จะเอา ฝังเสีย ถ้าให้ท่านกลับคืนไปเมืองก็จะทำให้พระองค์เสด็จมาดูเรา ได้รับความโสมนัส และบางที พระราชบิดาจะกลับใจประพฤติชอบขึ้นมาบ้าง” จึงตรัสว่า “เธอกลับไปส่งข่าวแก่พระราชบิดามารดาก่อนเถิดแล้วค่อยมาบวชทีหลัง เพราะบวชด้วยความ เป็นหนี้ไม่ดีเลย” โดย: แสงเทียน (Faraday ) วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:13:27:51 น.
นายสารถียินดีจะกลับไปทูลพระเจ้าแผ่นดิน แต่เกรงว่าเมื่อตนไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน
แล้ว เมื่อเสด็จมาดูไม่พบพระกุมารก็เลยกลายเป็นว่าตนโกหก อาจจะถูกลงพระอาญาได้ จึงทูลขอพระกุมารไว้อย่าได้เสด็จไปที่อื่น ซึ่งพระกุมารก็รับคำนายสารถีถึงได้กลับไป พระนางจันทรเทวี นับตั้งแต่นายสารถีเอาพระราชกุมารไปแล้วพระองค์ก็คอยเฝ้ามองอยู่ว่า เมื่อไรนายสารถีจะกลับมา จะได้ทราบเรื่องพระโอรสที่รักบ้าง เมื่อเห็นนายสารถีกลับมาคนเดียวก็แน่พระทัยว่าพระราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์เสีย แล้ว น้ำพระเนตรก็ไหลอาบพระปรางด้วยความโทมนัส ตรัสถามนายสารถีว่า “พ่อสารถี ที่เอาโอรสของเราไปฝังนั้น พ่อได้รับคำสั่งเสียจากโอรสของเราอย่างไรบ้าง และโอรสของเราได้ทำอย่างไร” “ขอเดชะพระแม่เจ้า ข้าพระบาทจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดกับพระราชกุมารให้ฟังตั้งแต่ต้น จนปลาย” แล้วเขาก็เล่าตั้งเเต่นำเอาพระโอรสอออกไปขุดหลุมจะฝังพระโอรสก็กลับกลายหายจาก ง่อยเปลี้ยเสียขา เจรจาได้ทรงพลกำลังยกรถที่ขี่ออกไปกวัดแกว่ง จนกระทั่งตนได้ ทราบความจริงว่าทำไมพระกุมารจึงได้ทำอย่างนั้น แล้วเขาก็ลงท้ายว่า “ขอเดชะ บัดนี้พระองค์ทรงผนวชอยู่ในราวเบื้องป่าบูรพาทิศเมืองนี้พระเจ้าข้า” เท่านั้นเองพระนางก็ลิงโลดพระทัยตรัสออกมาว่า “โอ..พ่อเตมีย์ของแม่ไม่ตายดอกหรือ เออ? ดีใจ ดีใจจริงๆ” สองพระกรก็ทาบพระอุระ ข่มความตื้นตันไว้ในพระทัย ถึงพระกาสิกราชก็ดีพระทัยเช่นกัน การที่พระองค์ให้เอาพระเตมีตย์ไปฝังเสียนั้น ใช่ว่าพระองค์จะชิงชังหรือรังเกลียดก็หามิได้ แท้ที่จริงเพราะพระองค์กลัวอันตรายจะเกิดกับพระราชวงศ์ ตลอดจนพระมเหสีที่รักต่างหาก และนายสารถีก็ได้กราบทูลว่า “พระราชกุมารทรงพระสรีระโฉมงามสง่าเหลือเกิน มีพระสุรเสียงไพเราะ ตรัสออกมาน่าฟัง เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะพระกุมารตรัสเล่าให้ฟังว่า" ทรงระลึกชาติได้ว่าครั้งชาติก่อนพระองค์เคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ทำกรรมมีการจับกุมคุม ขังเฆี่ยนฆ่านักโทษมี ประการต่าง ๆ ครั้นพระองค์สวรรณคตแล้วได้ไปบังเกิดในนรกเป็น เวลานาน เหมือนคนที่ถูกงูกัด มองเห็นสิ่งอะไรคล้ายกับงู ก็ย่อมจะกลัวไปหมด ฉะนั้นข้าพระองค์เองยังอยากจะบวชอยู่ในป่านั้นด้วย แต่พระกุมารไม่ยอมให้ข้าพระองค์ บวช บอกให้ข้าพระองค์กลับมาทูลเรื่องราวให้พระองค์ทั้งสองทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อย ไปบวชภายหลัง ข้าพระองค์จึงได้รีบกลับมากลาบทูลให้ทราบ หากพระองค์อยากจะเสด็จ ไปสถานที่นั้น ข้าพระองค์จักนำไปเอง” พระเจ้ากาสิกราชมีพระดำรัสให้เตรียมพลโยธาเพื่อจะเสด็จไปเฝ้าพระเตมีย์กุมาร ซึ่งบวช บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าด้านปราจีนทิศของเมือง แต่การเข้าไปนี้พระราชาเป็นผู้เสด็จเข้าไป ก่อนเพื่อสอบถามทุกข์สุขซึ่งกันและกัน พระเทวีจึงจะเสด็จตามเข้าไป เมื่อเห็นพระโอรส เสด็จประทับนั่งอยู่ ด้วยความปลื้มปีติพระนางตรงเข้าไปกอดพระบาทของพระโอรส ทรง กันแสงสะอึกสะอึ่นแล้วถอยออกมา พระราชาจึงถามพระเตมีย์ว่า “พ่อเตมีย์บริโภคแต่ใบไม้ผลไม้ในป่า ทำไมจึงมีร่างกายสดใส” เตมีย์กุมารจึงทูลตอบว่า โดย: แสงเทียน (Faraday ) วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:13:28:36 น.
ความคิดเห็นที่ 11 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน “ขอเดชะการที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุว่า สละความห่วงใยไม่ให้มาเกาะเกี่ยวจิตใจ อะไรที่ล่วง มาแล้วก็ไม่คิดเศร้าโศก ไม่คิดอยากได้สิ่งที่ยังมาไม่ถึง พยายามรักษาจิตใจในสิ่งที่เป็น ปัจจุปันเท่านั้น จึงทำให้ผิวพรรณของหม่อมฉันไม่เศร้าหมอง” “เมื่อลูกพ่อไม่เป็นกาลกิณีแล้ว ลูกพ่อก็ควรจะกลับไปครองราชสมบัติเพื่อประโยชย์แก่ชน หมู่มากเถิด บัดนี้พ่อก็เอาเบญจราชกกุธภัณฑ์มาด้วยแล้ว และเมื่อกลับไปถึงบ้านเมือง แล้วจะได้ ไปสู่ขอลูกกษัตริย์อื่นให้มาเป็นอัครมเหสี พระกูลวงศ์ของเราก็ไม่เสียไป” เตมีย์กลับกล่าวตัดบทว่า "การบวชควรจะบวชเมื่อยังหนุ่มเพราะสังขารร่างกายของเราตกอยู่ในคติของธรรมดา เกิด แล้วก็เจ็บตายไปตามสภาพ รู้ไม่ได้ว่าเราจะตายเมื่อใด" "พระราชบิดาก็คงเห็น บางคนลูกตายก่อนพ่อแม่ น้องตายก่อนพี่ เหล่านี้แล้ว จะมัวประมาท อยู่ได้อย่างไร โลกถูกครอบงำอยู่ด้วยมฤตยู พระองค์ลองคิดดูช่างหูกเขาจะทอผ้าสักผืน หนึ่ง ทอไปทอไปข้างหน้า ก็น้อยเข้าฉันใด ชีวิตของคนเราก็เช่นนั้นพระองค์อย่ามัวประ มาทอยู่เลย” พระราชาได้สดับแล้วก็คิดจะบวชบ้าง แต่ก็คิดจะลองใจเตมีย์กุมารดูอีก ก็ตรัสชวนในราช สมบัติและยกเอากามคุณต่าง ๆ มาล่อ แต่พระเตมีย์ก็คงยืนยันเช่นนั้นพร้อมกับอธิบายถึง ผลภัยของราชสมบัติมีประการต่าง ๆ จนพระราชาตกลงพระทัยจะผนวช จึงให้เอากลองไปตีป่าวประกาศว่าใครอยากบวชในพระราชสำนักพระเตมีย์ก็จงบวชเถิด และมิใช่แต่เท่านั้น ยังจารึกแผ่นทองคำไปติดไว้ที่เสาท้องพระโรงว่า ใครต้องการทรัพย์ สมบัติใด ๆ ในคลังหลวงจงมาเอาไปเถิด พร้อมกันนั้นก็ให้เปิดพระคลังทั้งสิบสองพระคลังเพื่อจะให้คนที่ปราถนาจะได้ขนเอาไป ประชาชนราษฎรพากันแตกตื่นไปบวชในพระราชสำนักพระเตมีย์ บ้านเรือนก็เปิดที้งไว้ โดยไม่สนใจ ที่บริเวณสามโยชน์ เต็มไปด้วยดาบสและดาสินี บรรดารถและช้างม้าที่พระ ราชานำมาจากในเมืองก็ปล่อยให้ผุพัง ช้างม้าก็กลายเป็นม้าป่าช้างป่าเกลื่อนไปในป่านั้น พระราชาที่อยู่ใกล้เคียงได้ทราบว่า กรุงพาราณสีไม่มีผู้คุ้มครองรักษา ก็ยกพหลพลโยธา หมายจะยึดครองเอาไว้ในอำนาจ เมื่อมาถึงได้เห็นประกาศที่พระกาสิกราชติดไว้ ก็ทำ ให้ เกิดสงสัยว่า ทำไมคนเหล่านี้จึงทิ้งสมบัติทั้งปวงเสีย ออกไปบวชอยู่ในป่าได้ บ้านเรือน ราษฎรก็ทิ้งว่างไว้ ประตูเมืองก็หาคนปิดมิได้ แต่ทรัพย์สมบัติยังคงอยู่ทุกอย่าง เลยยก พหลพลโยธาตามออกไปในป่า พบพระราชาและพลเมืองบวชเป็นฤษีบำเพ็ญพรตอยู่ใน ป่านั้นและเมื่อได้สดับธรรมะที่พระเตมีย์ให้โอวาทเข้าอีก เลยทำให้คิดจะหลีกเร้นออกหา ความสุข พากันสละช้างม้าตลอดจนเครื่องอาวุธ บวชอยู่ในสำนักพระเตมีย์ ในบริเวณป่า ดารดาษไปด้วยรถที่ผุพังทรุดโทรม สัตว์ป่าวิ่งกันไปในป่าเกลื่อนไปหมดล้วนแต่เชื่อง ๆ รวมอยู่ใกล้ ๆ กับบรรดาฤษีเหล่านั้นก็บำเพ็ญฌานสมาบัติ ตายไปได้บังเกิดในเทวโลก ********************************************************** คติเรื่องนี้ที่ควรจะได้ คือการตั้งใจแน่วแน่ อยากจะได้สิ่งอันใดสมดังความตั้งใจอันนั้น ก็พยายามจนสำเร็จและได้เห็นความ อดทน อดกลั้นของพระเตมีย์ ซึ่งต้องทำ เป็นคนง่อย คนใบ้ คนหูหนวกสารพัดเป็นเวลาตั้ง ๑๐ กว่าปี หากเราจะตั้งใจแล้วพยายามทำก็จะต้องสำเร็จจนได้ในวันหนึ่ง เรื่องพระเตมีย์ก็จบลงด้วยความสำเร็จทุกประการฉะนี้ (เรื่องพระเจ้าสิบชาติเป็นเรื่องที่มาจากคัมภีร์พุทธศาสนาซึ่งมีชื่อว่า “มหานิบาตชาดก”) โดย: แสงเทียน (Faraday ) วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:13:29:31 น.
//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12509936/Y12509936.html
โดย: แสงเทียน (Faraday ) วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:13:31:48 น.
สวัสดีนะจ้ะ เราแวะมาเยี่ยมนะจ้ะ ^____^ สักคิ้ว 6 มิติ ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้วลายเส้น เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ โดย: สมาชิกหมายเลข 3757448 วันที่: 20 มีนาคม 2560 เวลา:17:33:52 น.
|
Faraday
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] ความสงบเรียบง่าย สอดคล้องกับธรรมชาติ ความสดชื่นงดงาม สรรพเสียงที่ไพเราะเสนาะหู คือสิ่งที่ควรรักษาให้ดำรงค์อยู่ ในช่วงชีวิตของเรา ทำความเข้าใจสังคม สิ่งแวดล้อม ที่เราอาศัยอยู่ และดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องเหมาะสม คือสิ่งดีที่สุดของการดำรงค์ชีวิต ถ้าแม้ไม่สมที่หวัง ไม่เป็นไร ลืมมันเสีย แล้วทำเหตุไหม่เพื่อให้มันเกิดอย่างที่ตั้งใจไว้ -------------------------------------------- สถิติ จำนวน Blog รวม 448 Blog จำนวนผู้ชม 200003 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 670 ครั้ง ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ (๑๓.๐๗ น.) จำนวน Blog รวม 445 Blog จำนวนผู้ชม 197298 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 658 ครั้ง ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ (๒๒.๑๗ น.) จำนวน Blog รวม 423 Blog จำนวนผู้ชม 140566 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 349 ครั้ง ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๖ (๐๙.๔๑ น.) จำนวน Blog รวม 407 Blog จำนวนผู้ชม 122229 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 212 ครั้ง ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ (๐๘.๐๘ น.) จำนวน Blog รวม 407 Blog จำนวนผู้ชม 122024 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 212 ครั้ง ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ (๑๘.๕๒ น.) จำนวน Blog รวม 405 Blog จำนวนผู้ชม 120971 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 208 ครั้ง ๒๖ มกราคม ๒๕๕๖ (๙.๓๙ น.) จำนวน Blog รวม 398 Blog จำนวนผู้ชม 111449 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 167 ครั้ง ๒ มกราคม ๒๕๕๖ จำนวน Blog รวม 391 Blog จำนวนผู้ชม 102211 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 140 ครั้ง ๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน Blog รวม 390 Blog จำนวนผู้ชม 92241 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 128 ครั้ง ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน Blog รวม 375 Blog จำนวนผู้ชม 81537 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 107 ครั้ง ๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ ( ๒๑.๓๙ ) จำนวน Blog รวม 374 Blog จำนวนผู้ชม 80228 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 107 ครั้ง ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ( ๐๙.๒๔ ) จำนวน Blog รวม 361 Blog จำนวนผู้ชม 78077 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 101 ครั้ง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ( ๑๕.๑๔ ) จำนวน Blog รวม 361 Blog จำนวนผู้ชม 77503 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 101 ครั้ง ๒๙ กันยายน ๒๕๕๕ ( ๑๑.๑๘ ) จำนวน Blog รวม 269 Blog จำนวนผู้ชม 38102 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 69 ครั้ง ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (๑๑.๒๕ น.) จำนวน Blog รวม 210 Blog จำนวนผู้ชม 18,049 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 65 ครั้ง 6 กรกฎาคม ๒๕๕๕ (๑๖.๓๙ น.) จำนวน Blog รวม 62 Blog จำนวนผู้ชม 5,278 ครั้ง จำนวนผู้ชม Profile 65 ครั้ง ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ (๑๐.๑๙ น.)
Group Blog
All Blog
Link |
|||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
เขยื้อนไปในที่ใด พระราชบิดาทรงสงสัยว่าแต่ก่อนพระราชกุมารก็เหมือนเด็กทั่วไปรื่นเริงโลดเต้น เจรจาเสียงแจ้วอยู่ตลอดเวลา
ทำไมกลับมาเงียบขรึมไม่พุดไม่จา ใครจะพูดอะไรก็ไม่ได้ยิน คงจะเกิดโรคภัยชนิดใดขึ้นแน่ จึงให้หมอตรวจ ก็มิได้พบว่าพระราช
กุมารเป็นอะไร คงเป็นปกติทุกอย่าง ก็ทรงให้ทดลองหลายอย่างหลายประการ เป็นตันว่าให้อยู่ในที่สกปรก พระเตมีย์อดทนอยู่ได้
แม้จะหิวก็ไม่ทรงกันแสงแม้จะกลัวก็ไม่แสดงอาการอย่างไร เพราะเห็นว่าภัยในนรกร้ายแรงกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจึงคงเฉย ๆ
ทำเอาพระราชบิดาสิ้นปัญญา พวกอำมาตย์รับอาสาว่าจะทดลองดูก่อน ก็ทรงอนุญาตให้ครั้งแรกเมื่อให้พระเตมีย์นั่งอยู่ในเรือนแล้ว
แกล้งจุดไฟเพื่อจะให้พระเตมีย์กลัวแต่หาได้ทำให้พระเตมีย์หวาดกลัวไม่คงเป็นปกติอยู่ ทดลองอย่างนี้ตั้งปี ก็ไม่พบความผิดปกติ
อย่างไร ต่อไปก็ทดลองด้วยช้างตกมัน โดยนำพระราชกุมารไปประทับนั่งที่พระลาน ให้มีเด็กห้อมล้อมหมู่มากแล้วให้ปล่อยช้างที่
ฝึกแล้วเชือกหนึ่ง วิ่งตรงเข้าไปจะเหยียบพระราชกุมาร เด็กที่ห้อมล้อมอยู่หวาดกลัวร้องไห้พากันวิ่งหนีกระจัดกระจายไป แต่พระเตมีย์
ก็คงทำเป็นไม่รู้ชี้เช่นเดิม ทดลองอย่างนี้สิ้นเวลาตั้งปีก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรขึ้นมา พระกุมารเคยเงียบไม่กระดุกกระดิกอย่างไรก็
คงอย่างนั้นแม้ช้างจะจับพระกายขึ้นเพื่อจะฟาดก็ไม่ตกใจกลัวเพราะมุ่งหวังอย่างเดียวจะให้พ้นจากการเป็นพระเจ้าแผ่นดินให้ได้ ต่อไป
ก็ทดลองด้วยงู ให้พระเตมีย์นั่งอยู่ แล้วให้ปล่อยงูมารัด ธรรมดาเด็กย่อมจะกลัวงู อย่าว่าแต่เด็กเลยผู้ใหญ่ก็เถอะ แต่ก็ไม่ทำให้พระ
เตมีย์หวาดกลัวไปได้ คงนั่งเฉยทำเหมือนรูปปั้นเสีย เล่นเอาอำมาตย์เจ้าปัญญาสั่นหัวทดลองอย่างนี้อีกเป็นปีก็ไม่อาจจะจับพิรุธพระกุมาร
ได้ ต่อไปให้ทดลองด้วยการให้พระเตมีย์นี่งอยู่ แล้วให้คนถือดาบวี่งมาจะทำอันตราย แต่พระกุมารทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หูไม่ได้ยิน ปากก็
ไม่มีเสียง กายไม่กระดิกกระเดี้ย ทดลองอย่างนี้อีกเป็นปีก็จับอะไรพระกุมารไม่ได้ ต่อไปก็ทดลองเสียง โดยให้พระเตมีย์นั่งอยู่พระองค์
เดียว แล้วจู่ ๆ เสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังขึ้นมาแต่พระเตมีย์คงทำไม่ได้ยินเช่นเคย การทดลองของอำมาตย์เป็นระยะทั้งสิ้น ๗ ปี
หลายปีที่ทำมาก็ไม่สามารถทำให้พระเตมีย์พูดออกมาได้ตั้งแต่ ๙ ขวบ จนกระทั่ง ๑๖ ขวบ พระเตมีย์ก็คงทำเช่นนั้น