แห่งความทรงจำ
Group Blog
 
All Blogs
 
ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม ภาค ๒ (Tai Chi Master II) ชุดที่ ๑

Smiley ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม ภาค ๒ เป็นละครซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งที่มีดาราที่ชื่นชอบร่วมแสดงหลายคน


หนึ่งในนั้นคือ เลสลี่ จาง ว่านจือเหลียง และเฉินซิ่วเหวิน


ภาพประกอบ อภินันทนาการจาก "Star Miao"  แผ่นเสียงในฟิล์มจากประเทศจีน


(หนึ่งในแฟนคลับเลสลี่ จาง)


ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้


คำบรรยาย โดย น.นพรัตน์ จากหนังสือ "ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม ภาค ๒" ฉบับพิมพ์พุทธศักราช ๒๕๒๔


 





คำนำ

ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม ภาค ๒ เป็นเรื่องราวภาคมัชฌิมวัยของ จางจวินเป่า หรือ จางซันฟง ผู้บัญญัติวิทยายุทธไท้เก๊กอันลือลั่น ที่บริษัท อาร์ทีวี แห่งฮ่องกงจัดสร้างเป็นภาพยนตร์ทีวี และเสนอฉายทาง ไทยทีวีสีช่อง ๓ อีกเช่นเคย
ในฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลึ้ม ภาค ๒ นี้ ยังคงชุมนุมดาราจอแก้วอย่างคับคั่ง เช่น ว่านจือเหลียง รับบทจางซันฟง ภาคมัชฌิมวัย หยางเจอะหลิน รับบท ราชบุตรฮัวตู เลสลี่ จาง (ฟางซื่อวี่แห่งศึกสายเลือด ภาค ๒) รับบท
องค์ชายอี้เหวิน หลินกวัะสง (ฮ่วมชิวแซแห่งกระบี่แค้นคำรณ) รับบท
เจ้าเอี้ยนอ๋อง หลอเล่อหลิน (เอี้ยก้วยแห่งมังกรหยก ภาค ๒) รับบท
จูเหวียนจาง เจินเจียง (กอทีเอี้ยงแห่งศึกชิงเจ้ายุทธจักร) รับบท ซือคงเจี๋ย และสองดาราพราวเสน่ห์ หลี่อิง รับบท ประมุขแห่งหุบเขาร้อยบุปผา
เฉินซิ่วเหวิน รับบท เฉินซวงซวง
ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม ภาค ๒ เป็นเรื่องราวที่ดำเนินสืบต่อจากภาค ๑ หลังจากที่ จางซันฟง บัญญัติวิทยายุทธไท้เก๊ก ออกท่องเที่ยวยุทธจักร
พลันพบว่า ราชบุตรฮัวตู ตายแล้วฟื้นคืนชีพ เบื้องหลังแห่งการฟื้นคืนชีพ แฝงไว้ด้วยความลับอันยิ่งใหญ่ จากนั้น จางซันฟง รับองค์ชายสูงศักดิ์เป็นศิษย์ ต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้แห่งไต้เหม็งที่คิดอ่านลึกซึ้ง ถูกชักจูงเข้าสู่วังวนแห่งการแก่งแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ถูกม้วนเข้าสู่ห้วงรักอันลึกล้ำจากสตรีสาวยอดฝีมือ และธิดาโทนของเศรษฐีมีทรัพย์ เนื้อเรื่องพลิกแพลงยอกย้อน ตัวบุคคลสลักเสลาอย่างเด่นชัด เขียนถึงความรักที่ตรึงตรา
ความแค้นที่ฝังใจ ระหว่างการสนทนาตอบโต้ แฝงปรัชญาชีวิตลึกซึ้ง การแก่งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองยิ่งควรแก่การศึกษา โดยเฉพาะจริยธรรม
และคุณธรรมธัมมะของ จางซันฟง ควรคู่กับการเป็นปรมาจารย์สำนักหนึ่งโดยแท้จริง
แน่นอน นี่เป็นผลงานอีกเรื่องหนึ่งที่ผมตั้งใจเรียบเรียงโดยไม่ตัดทอนให้เสียอรรถรส ถ่ายทอดความเคลื่อนไหวบนจอทีวีเป็นถ้อยร้อยอักษรบนหน้ากระดาษ เพื่อความอภิรมย์ของท่าน

น.นพรัตน์



เลสลี่ จาง รับบทเป็น เยิ่นก่ำกุน หรือ เยิ่นจุ้ง หรือ อี้เหวินไทจือ หรือ องค์ชายอี้เหวิน

ฉังวี้ชุนสนทนากับจางซันฟงในกระโจมที่พัก

.......ทหารผู้หนึ่งรุดมารายงานว่า
“เรียนท่านแม่ทัพ เยิ่นก่ำกุน (ผู้คุมทัพแซ่เยิ่น) คุมเสบียงกลับมาแล้ว”
ฉังวี้ชุนตาเป็นประกายด้วยความยินดี ร้องสั่งว่า
“รีบเชิญมันเข้ามา”
ทหารนั้นล่าถอยไป จากซันฟงพลันกล่าวว่า
“ฉังตั่วกอ” ท่านคล้ายชื่นชมต่อเยิ่นกำกุนผู้นี้ยิ่ง”
ฉังวี้ชุนยิ้มพลางกล่าวว่า
“อ้อ มันที่แท้เป็นใคร?”
ฉังวี้ชุนลังเลเล็กน้อย จึงตอบว่า
“เป็นบุรุษหนุ่มที่เด่นล้ำผู้หนึ่ง เรียกว่าเยิ่นจุ้ง (เยิ่นเป็นแซ่ คำ เยิ่นจุ้ง แปลว่า ภาระหนักอึ้ง)”
เอ่ยถึงตอนนี้ หน้ากระโจมบังเกิดสุ้มเสียงแจ่มใสกังวานเสียงหนึ่ง ดังว่า
“แม่ทัพฉัง ข้าพเจ้ากลับมาแล้ว”



จางซันฟงเหลียวหน้าไปตามเสียง เห็นหน้ากระโจมยืนไว้ด้วยบุรุษหนุ่มในเครื่องแบบทหารเต็มยศ โอบหมวกประจำตำแหน่งไว้ในวงแขนซ้าย ร้องทักทายต่อฉังวี้ชุนอย่างยิ้มแย้ม
บุรุษหนุ่มคิ้วเรียวจรดจอน ตากระจ่างดุจดวงดาว เค้าหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร ท่วงท่าเข้มแข็งองอาจบันดาลให้ผู้พบเห็นต้องบังเกิดความปรารถนาดี
ฉังวี้ชุนปราดเข้าไปต้อนรับ กล่าวว่า
“เยิ่นก่ำกุน ท่านลำบากแล้ว ระหว่างทางลำบากยากเข็ญหรือไม่”
เยิ่นจุ้งกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
“แม่ทัพฉัง ไฉนกล่าวเช่นนี้ หากกระทั่งเรื่องเพียงนี้ยังทนทานไม่ได้ ไหนเลยรับใช้ปวงชนทั้งแผ่นดินได้?”
ฉังวี้ชุนผงกศีรษะด้วยความชื่นชม แนะนำจางซันฟงต่อเยิ่นจุ้งว่า



“เราขอแนะนำสหายผู้หนึ่งต่อท่าน นี่คือจางจวินเป่า”
เยิ่นจุ้งตากระจ่างวูบ สะอึกถึงเบื้องหน้าจางซันฟง กล่าวด้วยความกระตือรือร้นยินดี
“จางไต้เฮียบ แม่ทัพฉังมักเอ่ยถึงท่านอยู่เสมอ”
จางซันฟงผงกศีรษะทักทาย กล่าวว่า
“เยิ่นเฮีย ยินดีที่ได้พบ ไต้เหม็งเพิ่งตั้งประเทศ มีความจำเป็นต้องเร่งสะสมเสบียง งานคุมเสบียงเป็นภาระอันหนักอึ้ง ทุกประการดำเนินด้วยความราบรื่นหรือ?”
เยิ่นจุ้งกล่าวว่า
“ยังดีอยู่ เพียงแต่…..”
เอ่ยถึงตอนนี้สีหน้าหม่นหมองลง กล่าวอีกว่า



“เมื่อผ่านถิ่นแห้งแล้งกันดาร ข้าพเจ้าพบว่าราษฎรมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น เมื่อส่งเสบียงข้าวเปลือกแก่ทางการ พวกมันได้รับประทานรากหญ้าและหัวเผือก เป็นความลำบากใจของข้าพเจ้ายิ่ง ถึงกับคิดแบ่งปันเสบียงแก่พวกมัน ข้าพเจ้าหวังว่าการเรียกเก็บสะสมเสบียงจะยุติแต่เนิ่น ๆ ไม่ต้องให้ราษฎรเดือดร้อนลำเค็ญอีกต่อไป”
จางซันฟง ผงกศีรษะกล่าว่า
“นี่เรียกว่า วีรชนกำเนิดจากบุรุษหนุ่ม ทั้งยังล่วงรู้ถึงความทุกข์ยากของแผ่นดิน นับเป็นวาสนาของปวงชนจริง ๆ”
“ท่านชมเชยเกินไป ซึ่งความจริง ด้วยวิทยายุทธและพฤติการณ์ของจางไต้เฮียบ เป็นที่นิยมเลื่อมใส่ของเรานัก”
“เราเพียงเป็นคนเร่รอนในยุทธจักร นับเป็นอย่างไรได้?”




ฉังวี้ชุนสอดคำขึ้น
“จวินเป่า เจ้าไม่ต้องถ่อมตนไป การต่อต้านชาวมงโกลและการบัญญัติวิชาไท้เก็ก ล้วนมิใช่เรื่องเล็กน้อย
เยิ่นจุ้งกล่าวเสริมขึ้น
“ซึ่งความจริง ข้าพเจ้าได้ยินวีรกรรมของจางไต้เฮียบตั้งแต่เล็ก ข้าพเจ้าเฝ้าใฝ่ฝันว่า สามารถกราบจางไต้เฮียบเป็นอาจารย์”



ฉังวี้ชุนยิ้ม พลางกล่าวว่า
“คราครั้งนี้ความฝันของท่านจะกลายเป็นจริงแล้ว จวินเป่า เจ้าว่าใช่หรือไม่?”
จางซันฟงเงียบงันไม่ตอบคำ หันหายไปช้า ๆ
เยิ่นจุ้งมีสีหน้าผิดหวังขึ้นวูบ ฉังวี้ชุนต้องกล่าวว่า
“จวินเป่า ไม่ต้องลังเลแล้ว เรารับประกันว่า เยิ่นจุ้งไม่เป็นที่ผิดหวังของท่านแน่นอน”



จางซันฟงหันกายมากล่าวว่า
“เราทราบ แต่หลายปีมานี้ เราใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรจนชาชิน รอจนเรามีถิ่นฐานที่อยู่อันแน่นอนแล้วค่อยว่ากล่าวเถอะ”
ฉังวี้ชุนกระทืบเท้ากล่าวว่า
“จวินเป่า เราไม่เข้าใจจริง ๆ”
เยิ่นจุ้งพลันกล่าวว่า
“แม่ทัพฉัง เราเข้าใจความในใจของจางไต้เฮียบ ขอเพียงมีโอกาส เราสามารถรอต่อไป”
........................



พักโฆษณา













หลังอาหารค่ำ ฉังวี้ชุน จางซันฟงและเยิ่นจุ้งเดินทอดน่องอยู่นอกกระโจม
เยิ่นจุ้งกล่าวถามว่า
“แม่ทัพฉัง พิธีพระราชทานนามวัดหวงกวัะในวันนี้เป็นอย่างไร?”
ฉังวี้ชุนกล่าวว่า
“ครึกครื้นยิ่ง หลวงจีนทั้งแปดร้อยรูปตั้งแถวรับการพระราชทานจากฮ่องเต้”
เอ่ยถึงตอนนี้ ได้ยินเสียงฝีเท้าสับสน ทหารผู้หนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมากล่าวว่า
“ท่านแม่ทัพ”
ฉังวี้ชุนฉุกใจคิด ถามว่า
“เรื่องอันใด?”
ไม่ทันขาดคำ เห็นด้านหลังทหารนั้นติดตามด้วยหลวงจีนจีวรเหลืองรูปหนึ่ง
หลวงจีนนั้นวิ่งโซซัดโซเซมาตลอดทาง พลันสะดุดล้มลง แต่ยังคืบคลานมาทางด้านนี้
จางซันฟงตาทอประกายวูบ สะอึกไปประคองหลวงจีนนั้นแปดเปื้อนโลหิตแถบใหญ่ ดังนั้นเรียกหาว่า
“เซียวซือหู(คำยกย่องหลวงจีนน้อย)”
หลวงจีนนั้นกล่าวอย่างยากเย็น
“วัดหวงกัวะ...”
ไม่ทันขาดคำ คว่ำหน้ากับพื้นสิ้นใจตาย
จางซันฟงฉุกคิดว่าผิดท่า ชักชวนฉังวี้ชุนและเยิ่นจุ้งรุดสู่วัดหวงกัวะ
.....................



ฟ้าเพิ่งรุ่งสาง กองทหารของฉังวี้ชุนรุดถึงวัดหวงกัวะทำหน้าที่สะสางสถานที่ ซากศพหลวงจีนถูกหามออกมาทีละซาก
ฉังวี้ชุนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า
“หลวงจีนทั้งแปดร้อยรูปไม่อาจรอดชีวิตแม้สักรูปเดียว ฝีมือนี้โหดเหี้ยมอำมหิตไปแล้ว”
เยิ่นจุ้งกล่าวเสริมขึ้น
ภายในวัดสับสนยุ่งเหยิง ของพระราชทานสูญหายสิ้น คาดว่าเป็นการปล้นชิงทรัพย์”
จางซันฟงกล่าวสุ้มเสียงหนัก
“ในความเห็นของเรา เรื่องนี้ไม่รวบง่ายปานนี้
หลวงจีนวัดหวงกัวะล้วนถูกสังหารในดาบเดียว แสดงว่าฆาตกรต้องเป็นยอดฝีมือ”
.......





เยิ่นจุ้งสะอึกพลันสะอึกถึงข้างซากศพของผู้คลุมหน้าชุดดำที่ฆ่าตัวตายทั้งสอง ง้างปากของผู้ตายขึ้น ใช้จมูกสูดดมเล็กน้อย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป อุทานเบา ๆ
“เป็นหงอนกระเรียนแดงอสนีบาต...”
“เยิ่นกำกุ่น ท่านทราบหรือไมว่าพวกมันถูกพิษอันใด?”
สีหน้าเยิ่นจุ้งปราศจากแววประหลาดพิกลยากบรรยาย อึ้งไปวูบจึงกล่าว
“พวกมันถูกพิษ...”
เอ่ยถึงตอนนี้ ทหารผู้หนึ่งรุดมารายงานว่า
“เรียนท่านแม่ทัพ หลิวจ้งก้วง (พ่อบ้านแซ่หลิว) เดินทางมารอพบในกระโจม





ฉังวี้ชุนรู้สึกเหนือความคาดหมาย กล่าวว่า
“หลิวสั้นมาแล้ว”
...หลิวสั้นเป็นจ้งก้วงวังใน เป็นผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทยิ่ง
หลิวจ้งก้วงสวมชุดคราม ริมฝีปากไว้หนวดเรียวประกายตาลึกซึ้งชั่วร้าย พอพบหน้าฉังวี้ชุนและพวกก็กล่าวว่า
“เราเพิ่งได้รับรายงานลับจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพรว่า หลวงจีนวัดหวงกัวะทั้งแปดร้อยรูปถูกสังหารสิ้น ไฉนจึงเป็นเช่นนี้?”
หลิวจ้งก้วงกวาดสายตาไปยังขุนนางประจำท้องถิ่นซึ่งอยู่ด้วยแวบหนึ่ง กล่าวว่า
“คราครั้งนี้ฆาตกรก่อการร้ายอย่างอุกอาจ แสดงว่าขุนนางท้องถิ่นปกครองหย่อนยาน แม่ทัพฉังเห็นว่าควรจัดการกับขุนนางที่หย่อนสมรรถภาพอย่างไร?”



“ในความเห็นหลิวจ้งก้วงเล่า?”
“ขุนนางที่มียศต่ำกว่าเจ็ดชั้นลงมา ในรัศมีห้าร้อยลี้นี้ต้องถูกประหารสิ้น”
ฉังวี้ชุนหน้าแปรเปลี่ยนไป โพล่งว่า
“ว่ากระไร?”
หลิวจ้งก้วงตัดบทว่า
“ท่านสมควรทราบว่า ที่เรากล่าวเป็นพระราชประสงค์ของฮ่องเต้ ขออภัยทีเรากล่าวโดยไม่เกรงใจ ผู้ใดวิงวอนของไมตรี จะได้รับโทษดุจเดียวกัน”
ฉังวี้ชุนอึ้งไปวูบ หลิวจ้งก้วงร้องสั่งว่า
“พวกเรา ลากตัวขุนนางแซ่เฉินผู้นี้ออกไปประหาร!”



“หยุดไว้”
คนตวาดห้ามเป็นเยิ่นจุ้ง ยามนั้นกล่าวว่า
“เรื่องนี้ก่อนที่จะสืบสาวโดยกระจ่างชัด ไหนเลยกล่าวหาว่าเป็นความบกพร่องของขุนนางเฉินและพวกได้?”
หลิวจ้งก้วงยามกะทันหันจดจำเยิ่นจุ้งไม่ออก ดังนั้นกล่าวเสียงเย็นชา
“หากไม่ทำตามกฎหมาย จะรักษาระเบียบการปกครองของบ้านเมืองได้อย่างไร?”
เยิ่นจุ้งสวนคำว่า
“ท่านทำเช่นนี้ เท่ากับไม่เคารพต่อระเบียบการปกครอง รู้กฎระเบียบจงใจละเมิด”
“น่าหัวร่อ หน่วยองครักษ์เสื้อแพรรับพระราชกระแสจากฮ่องเต้โดยตรง ไฉนบอกว่าละเมิดกฎระเบียบ?”
“ตามกฎบัญญัติของไต้เหม็ง ในโลกไม่มีคนตายโดยถูกปรักปรำให้ร้าย มาตรว่าสมควรตาย ก็ต้องผ่านขั้นตอนไต่สวนสามขึ้น จึงกำหนดโทษความผิดได้ จ้งก้วงท่านทำเช่นนี้แสดงว่าละเมิดระเบียบการปกครองใช้ทัณฑ์โดยพลการ”
หลิวจ้งก้วงบันดาลโทสะ เบือนหน้าไปถามฉังอี้ชุนว่า
“แม่ทัพฉัง มันเป็นใคร?”
ฉังวี้ชุนกล่าวว่า
“เป็นก่ำกุน (ผู้คุมทัพ) เยิ่นจุ้ง”
หลิวจ้งก้วงกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“ที่แท้เป็นก่ำกุนอันอันต้อยต่ำผู้หนึ่ง”
พลางสะบัดหน้าจากไปโดยไม่แยแส



เยิ่นจุ้งเรียกรั้งไว้อีกครา เดินถึงข้างกายหลิวจ้งก้วง กล่าวว่า
“หลิวจ้งก้วง ท่านจดจำไม่ออกว่าเราเป็นใครจริง ๆ เมื่อวันแรมสองค่ำเดือนสามเมื่อสองปีก่อน พวกเรามิใช่พบกันที่พระตำหนักเอี่ยงซินหรอกหรือ?”
หลิวจ้งก้วงฉุกใจคิด โพล่งว่า
“ท่านคือ...”
เยิ่นจุ้งโบกมือห้ามมิให้อีกฝ่ายหนึ่งกล่าวต่อ ถามว่า
“ตอนนี้ท่านยังจะสั่งประหารขุนนางเฉินและพวกอีกหรือไม่?”
“หากแม้นฮ่องเต้ทรงสืบสาว...”
“ทุกประการให้เรารับผิดชอบเอง”
หลิวจ้งก้วงขบคิดแล้วกล่าว
“อย่างนั้นก็ได้”
พลางสั่งองครักษ์เสื้อแพรปลดปล่อยขุนนางเฉิน นำกำลังจากไปในบัดดล”



ฉังวี้ชุนเดินถึงข้างกายเยิ่นจุ้ง กล่าวว่า
“ครั้งนี้ดีที่ท่านอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นขุนนางใหญ่น้อยในที่นี้คงย่ำแย่แล้ว”
เยิ่นจุ้งทอดถอนใจกล่าวว่า
“ปรากฏพรรพชิตแปดร้อยรูปเสียชีวิตโดยไร้สาเหตุแล้ว ไยต้องก่อเภทภัยลุกลามมากมายปานนั้นอีก?”
จางซันฟงสงบปากคำตลอดเวลา ยามนั้นพลันกล่าวว่า
“เยิ่นก่ำกุนเปี่ยมการุณย์ธรรมจริง ๆ แต่ผู้ฝึกวิชาบู๊ตอนนี้เพียงแสวงหาความรุดหน้าในเชิงวิทยายุทธขาดซึ่งจริยธรรมอันดี เป็นเหตุให้ยุทธจักรเต็มไปด้วยความชั่วร้ายป่าเถื่อน แก่งแย่งชิงดีโดยไม่สิ้นสุด เพราะเหตุนี้เราจึงไม่กล้าถ่ายทอดวิทยายุทธไท้เก๊กแต่ผู้ใดโดยพลการ”
ฉังวี้ชุนสอดคำขึ้น
“กระทั่งเยิ่นก่ำกุน เจ้าก็ไม่ไว้วางใจ?”
จางซันฟงจับจ้องมองเยิ่นจุ้งอย่างลึกซึ้ง จึงกล่าว
“ตกลง พวกเราลองประมือสักหลายท่าก่อน”
การทดสอบวิทยายุทธของเยิ่นจุ้ง กระทำที่กลางลานที่ว่างหน้ากระโจมใหญ่



เยิ่นจุ้งชักกระบี่จากหว่างเอว ตวัดกระบี่วูบ แทงใส่จางซันฟงดุจสายฟ้า
จางซันฟงเบี่ยงตัวเล็กน้อย ก็หลบเลี่ยงจากสภาวะกระบี่นี้ เยิ่นจุ้งจู่โจมกระบี่แรกล้มเหลว พลันสะบัดลั่นพลิ้วตัวกระบี่โถมแทงเข้ามาใหม่
จางซันฟงยกมือปิดป้อง สะกดสภาวะกระบี่ของอีกฝ่ายหนึ่งได้ เยิ่นจุ้งตวาดคำหนึ่ง พลิกแพลงเปลี่ยนกระบวนท่าฟาดฟันกระบี่ใส่
จางซันฟงพลันลอยตัวหลบเลี่ยง จากนั้นผลักมือออกด้วยวิชาไท้เก๊กชุยซิ่ว (หัตถ์ไท้เก๊กผลักดัน) คว้าใส่ข้อมือที่ถือกระบี่ของเยิ่นจุ้งไว้



เยิ่นจุ้งอึ้งไปวูบ จางซันฟงพอคว้าถูก ก็คลายมือออกในบัดดล
เยิ่นจุ้งรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ สะบัดกระบี่จู่โจมใหม่ คราครั้งนี้สภาวะกระบี่ทั้งเร่งเร็วทั้งรุนแรงกว่าเดิม พุ่งฉวัดเฉวียนใส่จางซันฟงดุจสายฟ้าคะนองฝน
จางซันฟงยกมือปิดสกัดสภาวะกระบี่ไว้ พลันหงายร่างตีลังกาหนึ่งครั้ง ตีลังกาอีกครา หลบเลี่ยงจากท่ากระบี่ติดต่อกัน ร่างยามลอยอยู่กลางอากาศ พลันยื่นสองมือปราดออก ก็หนีบกระบี่ของเยิ่นจุ้งไว้ พร้อมกับถีบเท้าออก
เยิ่นจุ้งถูกถีบปลิวลิ่วไปอีกทาง กระบี่ยาวจึงตกไปในเงื้อมมือจางซันฟงแล้ว
จางซันฟงประคองกระบี่ด้วยสองมือ ส่งคืนแก่เยิ่นจุ้ง ชมเชยว่า
“เยิ่นก่ำกุนมีพื้นฐานพลังฝีมือเข้มแข็ง แต่แนววิชาสับสนยิ่ง ไม่ทราบสังกัดสำนักอาจารย์ใด?”



“ข้าพเจ้าชมชอบขอคำแนะนำสั่งสอนจากชาวยุทธจักรตั้งแต่เล็ก แต่ไม่ได้กราบอาจารย์แต่อย่างไร”
“ท่านเคยขอคำแนะนำสั่งสอนจากผู้ใด?”
“ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้ว”
ฉังวี้ชุนสอดคำขึ้น
“จวินเป่า เยิ่นก่ำกุนเมื่อปรับพื้นฐานพลังฝีมือสามารถอบรมสั่งสอน ยังถามนั่นถามนี่ไยกัน?”
จางซันฟงหันกายไปช้า ๆ กล่าวว่า
“ผู้ฝึกวิทยายุทธไท้เก๊ก ควรมีท่าร่างที่แคล่วคล่อง วิจารณ์ถึงคุณสมบัติ เยิ่นก่ำกุนนับว่าเหมาะสมยิ่ง แต่ผู้สืบทอดวิชาไท้เก๊กหากแม้นประวัติความเป็นมาไม่กระจ่าง เกรงว่า...”
ฉังวี้ชุนกล่าวว่า
“เจ้าเกรงว่าจะตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นเช่นกาลก่อนกระมัง
จวินเป่า กาลก่อนเจ้าก่อตั้งสำนักไท่จวินก่วน จุดประสงค์เพื่อจรรโลงวิชาบู๊ของชาวฮั่น ตอนนี้พบพานศิษย์อันเลิศล้ำ ไฉนไม่สอนฝีมือให้?”
จางซันฟงยังคงเงียบงันไม่ตอบคำ ฉังวี้ชุนต้องโพล่งว่า
“จวินเป่า เราขออาศัยการคบหาของพวกเราในยี่สิบกว่าปีมานี้ เป็นเครื่องค้ำประกันความประพฤติของเยิ่นก่ำกุน เจ้ายอมไว้วางใจเราหรือไม่?”
จางซันฟงพลันหัวร่อดังกังวาน หมุนตัวกลับมากล่าวว่า



“เราไม่ไว้วางใจผู้ใด เพียงไว้วางใจฉังตั่วกอแต่ผู้เดียว”
ฉังวี้ชุนปลาบปลื้มปีติยิ่ง เบือนหน้าไปกล่าวว่า
“เยิ่นจุ้ง ยิงมิรีบเข้าไปกราบซือแป๋อีก?”
เยิ่นจุ้งตาเป็นประกาย โอบกระบี่คุกเข่าข้างหนึ่งต่อจางซันฟง เรียกหาว่า
“ซือแป๋”
.......................





ตอนที่ ๓
องค์ชายอี้เหวิน
วันนี้จางซันฟงกับเยิ่นจุ้งขณะเดินอยู่กลางท้องถนนพลันเห็นทหารจำนวนหนึ่งคุมรถนักโทษคันหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าไป
นักโทษประหารบนรถนักโทษกลับเป็นขุนนางประจำท้องถิ่น ที่แซ่เฉินนั้น
เยิ่นจุ้งชมดูจนร้องโพล่งว่า
นั่นมิใช่ขุนนางเฉินหู่ไถหรอกหรือ หรือเรื่องของ
วัดหวงกัวะยัง......”
จางซันฟงสอดคำขึ้น
พูดจาระมัดระวังไว้”
เยิ่นจุ้งยังพึมพำว่า
“ดูท่าขุนนางที่ยศต่ำกว่าชั้นที่เจ็ดในรัศมีห้าร้อยลี้ต้องถูกเข่นฆ่าสังหารสิ้นจริง ๆ”
คนผู้นี้มีจิตใจดีงาม ยึดถือคุณธรรมธัมมะ ดังนั้นไม่อาจทนดูได้ หลังจากแยกทางกับจางซันฟง ก็เร่งรุดเข้าวังหลวงในบัดดล
วังหลวงย่อมวางกำลังรักษาการณ์อย่างแน่นหนา แต่เหล่าทหารรักษาพระองค์พอพบหน้าเยิ่นจุ้งกลับเปิดทางปล่อยให้ผ่านไป
ที่แท้เยิ่นจุ้งไม่ใช่สามัญชนคนธรรมดาหากแต่เป็นราชโอรสในหุงอู่ฮ่องเต้ มีศักดิ์เป็นรัชทายาทแห่งไต้เหม็ง นามอี้เหวินไทจือ (องค์ชายอี้เหวิน)



อี้เหวินไทจือตรงเข้าห้องทรงพระอักษร เห็นพระบิดาทอดพระเนตรหนังสืออยู่หลังโต๊ะยาว แวดล้อมด้วยขันทีใหญ่น้อยสี่คน ดังนั้นร้องโพล่งว่า
“แป๋อ๋อง (พระบิดา) พระองค์ไฉนทำเช่นนี้ ไฉนหักใจอำมหิตปานนี้?”
หงอู่ฮ่องเต้ทรงตบโต๊ะประทับยืนขึ้น ตวาดด้วยทรงกริ้วว่า
“บังอาจ เจ้าติดตามแม่ทัพฉังออกศึก ที่แท้เรียนรู้อันใดกลับมา หรือเพียงเรียนรู้ความไม่มีสัมมาคารวะ ไม่เห็นกฎระเบียบราชสำนักอยู่ในสายตา?”
อี้เหวินไทจือค่อยได้สติ เลิกชายเสื้อคุกเข่าลงกราบทูลว่า
“ผู้บุตรถวายบังคมแป๋อ๋อง”
หงอู่ฮ่องเต้ค่อยระงับพระพิโรธ รับสั่งให้ลุกขึ้น อี้เหวินไทจือยืดกายขึ้น กล่าวว่า
“แป๋อ๋อง ผู้บุตรมีเรื่องบางประการไม่เข้าใจ.....”
หงอู่ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ให้ขันทีในห้องทรงพระอักษรออกไป จึงตรัสถามว่า
“ที่แท้เป็นเรื่องใด?”



“แป๋อ๋อง การใช้เลือดล้างวัดหวงกัวะ ใช่เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์หรือไม่?”
“ไม่ใช่”
“ไม่ใช่จริง ๆ?”
“ข้าฯ สั่งให้สืบสวนเรื่องนี้แล้ว ใช่แล้ว ฟังว่า เจ้าจับฆาตกรได้สองคน”
อี้เหวินไทจือกล่าวด้วยความรู้สึกปวดร้าวว่า
“มิผิด แต่พวกมันชิงกลืนยาพิษฆ่าตัวตาย พิษที่ใช้คือหงอนกระเรียนแดงอสนีบาต”
“อ๋อ นี่เป็นพิษของจอมพิษแดนไซฮก (ชายแดนตะวันตก) ผู้หนึ่ง”
“แป๋อ๋องเคยมีบุญคุณต่อมัน ดังนั้นมันก่อนตายได้มอบพิษชนิดนี้แก่พระองค์”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
อี้เหวินไทจือเงยหน้าขึ้น ร้องอย่างพลุ่งพล่าน
“แป๋อ๋อง หลวงจีนวัดหวงกัวะทั้งแปดร้อยรูป ที่แท้มีความผิดอันใด พระองค์จึงทรงทำเช่นนี้...”
หงอู่ฮ่องเต้ตวาดด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า
“อย่าได้กล่าวต่อไปแล้ว”



อี้เหวินไทจือก้มศีรษะอย่างลืมตัว หงอู่ฮ่องเต้ตรัสอีกว่า
“พวกมันปากคอระราน ผิดที่แส่หาเอง ข้าฯ ความจริงไม่ใช่คนไร้น้ำใจ ข้าฯ พระราชทานนามวัดเป็นวัดหวงกัวะ ให้ที่นาพันค่วง มอบคัมภีร์กิมกังเก็งเดินทาง รูปั้นอรหันต์ลงรักสีทองแก่ทางวัด แต่พวกมันกลับลบหลู่เบื้องสูง หัวร่อเยาะข้าฯ ไม่อาบน้ำหลายวัน ลองคิดดู ข้าฯ สมควรจัดการพวกมันเช่นนี้หรือไม่?”
อี้เหวินไทจืออึ้งไปวูบจึงกล่าว
“แต่นี่มีส่วนอันใดเกี่ยวข้องกับขุนนางที่มียศต่ำกว่าขึ้นที่เจ็ดลงมาในรัศมีห้าร้อยลี้?”
“ขุนนางเฉินหู่ไถได้ยินเจ้าอาวาสวัดหวงกัวะบอกว่า ข้าฯ ล้างกระโถนปัสสาวะให้กับมัน กลับไม่พูดจาห้ามปราม ปล่อยให้มันกล่าวต่อไป หากเราไม่ฆ่าคนหนึ่งข่มขวัญร้อย จะปกครองบ้านเมืองต่อไปได้อย่างไร?”



“แต่ทว่า...”
หงอู่ฮ่องเต้ตรัสบทว่า
“แต่ทว่าอะไร ตอนนี้เป็นเวลาเพิ่งตั้งประเทศ หากไม่ทำเช่นนี้ ยากที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้”
“วางพระหัตถ์ลงบนหัวไหล่อี้เหวินไทจือ ตรัสสืบต่อ
“อ้วงยี้ (เรียกราชโอรส) เจ้าอายุยังเยาว์ไม่เข้าใจหลักการขึ้นครองราชย์ บางครั้งเราไม่อาจแผ่เมตตาเกินไป”
อี้เหวินไทจือพกพาจิตใจที่อัดอั้นสุดบรรยาย กราบบังคมทูลลาออกจากห้องทรงพระอักษร

เพิ่งผ่านไม้ดอกในอุทยานหลวง มาถึงหน้าเก๋งพักร้อน พลันได้ยินเสียงหวีด หมัดข้างหนึ่งค่อยฝ่าอากาศมาถึง
อี้เหวินไทจือหงายหน้าหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ คนผู้นั้นต่อยหมัดแรกพลาดผิด ก็พุ่งหมัดที่สองตามติดโดยกระชั้นชิด



อี้เหวินไทจือพลันยกมือคว้าจับข้อมือนั้นไว้ บิดวูบคราหนึ่ง คนผู้นั้นกลับมีวิทยายุทธมิใช่ชั่ว กลับดิ้นหลุดไปได้
อี้เหวินไทจือลดมือลงวูบ เปลี่ยนเป็นต่อยหมัดใส่ชายโครงอีกฝ่ายหนึ่ง คุกคามคนผู้นั้นชักเท้าถอยหนีไป
อี้เหวินไทจือเพ่งตามอง ค่อยเห็นฝ่ายหนึ่งโดยชัดตาอุทานว่า
“เป็นท่าน”
คนพุ่งหมัดจู่โจมเป็นบุรุษหนุ่มอารมณ์หรูเลิศ รูปเค้าคมคายไม่น้อย เพียงแต่ประกายตากลิ้งกลอกชั่วร้าย มุมปากเชิดสูงขึ้น แสดงว่าเป็นคนมีความคิดอ่านลึกซึ้ง
บุรุษหนุ่มนี้ก็เป็นราชรสในหงอู่ฮ่องเต้ เป็นพระอนุชาของอี้เหวินไทจือ มีนามเอี้ยนอ๋อง (ท่านเจ้านางแอ่น)



เอี้ยนอ๋องยิ้มเล็กน้อยไม่กล่าวว่ากระไร ตวัดสายรัดมวยผมไปด้านหลัง จากนั้นไขว้สลับสองมือ พุ่งหมัดขวาออกอีกครา
อี้เหวินไทจือยกมือปิดป้อง เอี้ยนอ๋องพลิกแพลงกระบวนท่าจู่โจมเข้ามาอีก อี้เหวินไทจือ พลันพลิกตัวคราหนึ่ง หลบวูบไปด้านหลังอีกฝ่ายหนึ่ง



เอี้ยนอ๋องหมุนตัวตาม โถมจู่โจมดุจพายุร้าย อี้เหวินไทจือพลันเกร็งลมปราณอึดหนึ่ง ลอยตัวขึ้นพุ่งข้ามศีรษะเอี้ยนอ๋องไป จากนั้นกราดฟาดฝ่ามือตีโต้ออก
เอี้ยนอ๋องชัดเท้าถอยหนี ปรบมือชมเชยว่า
“ประเสริฐ นับว่าอาจารย์เลิศล้ำอบรมศิษย์ยอดเยี่ยม อ้วยเฮีย(พระเชษฐา) ขอแสดงความยินดีที่ท่านกราบอาจารย์เลิศล้ำผู้หนึ่ง



อี้เหวินพบเฉินซวงซวงครั้งแรก

วันนี้อี้เหวินไทจือไปยังวัดวาแห่งหนึ่ง ขอให้เจ้าอาวาสประกอบพิธีแผ่บุญกุศลถึงหลวงจีนวัดหวงกัวะที่ถูกเลือดล้างพร้อมกับมอบเงินให้กล่าวว่า
“ไต้ซือ เงินห้าร้อยอีแปะนี้นับเป็นค่ามัดจำ”
“เจ้าอาวาสกล่าวว่า
“ประสกไม่ต้องมัดจำมากมายปานนี้”
“ท่านต้องจ่ายเงินตระเตรียมงานทุกสิ่ง สรุปแล้วในวันนั้นขอให้ท่านประกอบพิธีให้ดีก็แล้วกัน”
เอ่ยถึงตอนนี้ เบื้องนอกบังเกิดเสียงเณรน้อยรูปหนึ่งดังว่า
“ท่านเจ้าอาวาสมีแขก ท่านเข้าไปไม่ได้”
ได้ยินสุ้มเสียงสดใสเสียงหนึ่งดังว่า
“ไฉนเข้าไปไม่ได้?”
เสียงถึงคนถึง ดรุณีชุดแดงนางหนึ่งพลิ้วเข้าห้องเจ้าอาวาส มาดุจลมหอบหอบหนึ่ง กล่าวกับเจ้าอาวาสว่า
“ไต้ซือ ท่านจำเราได้หรือไม่?”
เจ้าอาวาสประนมมือกล่าวว่า
“จำได้ ท่านคือเฉินโกวเนี้ย เชิญนั่ง”



ดรุณีชุดแดงคือ ธิดาโทนของเศรษฐีเฉินว่านซัน นามเฉินซวงซวง ยามนั้นกล่าวว่า
“ไต้ซือ วันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดของปีนี้ ข้าพเจ้าจะให้วัดท่านแผ่บุญกุศลถึงผู้ตายเช่นทุกปี แท่นบูชาเมื่อปีก่อนสร้างไม่ดี ปีนี้ข้าพเจ้าให้คนสร้างขึ้นใหม่แล้ว ท่านต้องคอยดูแลให้กับข้าพเจ้า”
เจ้าอาวาสกล่าวอย่างลำบากใจ
“ประสกท่านนี้จับจองวัดเราเป็นสถานที่ประกอบของพิธีในวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดก่อนแล้ว”



เฉินซวงซวง งงงันวูบ กวาดมองอี้เหวินไทจือที่ด้านข้างแวบหนึ่ง กล่าวว่า
“ไต้ซือ ให้มันเลือกวันอื่นเถอะ”
“โอมมณีตัสสะ อาตมารับเงินมัดจำแล้ว ไหนเลยแก้ไขได้?”
“รับเงินมัดจำแล้ว? อย่างนั้นข้าพเจ้าชดใช้แก่มันเป็นสองเท่า”
อี้เหวินไทจือรับฟังถึงตอนนี้ สอดคำขึ้น
“ท่านเข้าใจว่าเราต้องการเงินของท่าน เราตกลงเลือกวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดแน่นอน”
เฉินซวงซวงหันขวับไป กล่าวว่า



“ท่านยกวันนี้แก่ข้าพเจ้า เปลี่ยนเป็นวันอื่นแทน ต้องการเงินชดใช้มากน้อยเท่าใด ข้าพเจ้าล้วนให้แก่ท่าน”



อี้เหวินไทจือยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า
“โกวเนี้ยนางนี้ประหลาดนัก ท่านเข้าใจว่าเงินเป็นแก้วสารพัดนึกหรือ?”
เฉินซวงซวงถลึงตาใส่กล่าวว่า
“ท่านที่แท้จะยกวันให้หรือไม่?”
“ไม่ยกให้”
“ไม่ยกให้จริง ๆ?”
อี้เหวินไทจือกล่าวย้ำทีละคำ
“ไม่ยกให้จริง ๆ”



เฉินซวงซวงขยี้เท้าอย่างขุ่นเคือง สะบัดหน้าโถมออกจากห้องเจ้าอาวาส รุดถึงห้องข้างของวัด ซึ่งเป็นที่ฝากป้ายสถิตวิญญาณของมารดาผู้ล่วงลับ



เฉินซวงซวงคุกเข่าลงที่หน้าโต๊ะบูชา อธิษฐานว่า
“มารดา เป็นผู้บุตรีไม่ดี รุดมาสายก้าวหนึ่ง ถูกเจ้าตัวร้ายแย่งวันไปก่อน ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถเซ่นไหว้ท่านในวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ด”
หยุดเล็กน้อยจึงกล่าวอีกว่า
“มารดา ข้าพเจ้าพอถือกำเนิดออกมาท่านก็พรากจากข้าพเจ้าไป บิดาเอาแต่ประกอบการค้า ไม่แยแสสนใจข้าพเจ้า ท่านหากมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าคงไม่อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายแล้ว”



เอ่ยถึงตอนนี้ ด้านหลังบังเกิดสุ้มเสียงหนึ่งดังว่า
“โกวเนี้ย”
เฉินซวงซวงเหลียวขวับไปตามเสียง เห็นบุรุษหนุ่มที่แย่งวันกับนางติดตามมาถึง ต้องโพล่งว่า
“ที่แท้เป็นท่าน ท่านคงสมใจแล้วกระมัง?”
ผู้มาคืออี้เหวินไทจือ จากคำอธิษฐานของนาง ตนเองค่อยทราบสาเหตุที่นางเลือกวันขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดเป็นวันประกอบพิธีแผ่บุญกุศล ดังนั้นกล่าวอย่างเสียใจ



“โกวเนี้ย ก่อนนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบท่านมีความคับแค้นจำเป็น”
เฉินซวงซวงกล่าวอย่างขุ่นเคืองแง่งอน
“ข้าพเจ้ามีความคับแค้นจำเป็นหรือไม่ เกี่ยวข้องอันใดกับท่าน?”
“ข้าพเจ้าคาดว่า ข้าพเจ้าหากเปลี่ยนเป็นประกอบพิธีในวันขึ้นแปดค่ำเดือนเจ็ด คงทันท่วงที”



เฉินซวงซวงตากระจ่างวูบ โพล่งว่า
“หมายความว่าท่านยินยอมยกวันนั้นแก่ข้าพเจ้า?”
“มิผิด”
“ท่านไม่สำนึกเสียใจภายหลัง”
“ถูกต้อง นี่เป็นความยินยอมพร้อมใจของข้าพเจ้าเอง”



เฉินซวงซวงไม่รอฟังจบ ก็คว้ามืออี้เหวินไทจือฉุดลากมืออีกฝ่ายหนึ่งไปยังห้องเจ้าอาวาส แจ้งความจำนงของอี้เหวินไทจือต่อเจ้าอาวาส



เจ้าอาวาสรับฟังจนส่งเสียงสรรเสริญพระคุณออกมา เฉินซวงซวงมอบเงินมัดจำให้ จากนั้นกล่าวว่า


“เรื่องราวตกลงดังนี้ ข้าพเจ้าไปแล้ว”
พลางหมุนตัวออกไป แต่แล้วเหลียวหน้ามายังอี้เหวินไทจือ กล่าวว่า
“ขอบคุณท่าน”
กล่าวจบ พลิ้วกายจากไป อี้เหวินไทจือเหม่อมองเงาหลังนางจนลับตา
เนิ่นนานยังไม่อาจรั้งสายตากลับมา



เจ้าอาวาสเรียกหาว่า
“ประสก ประสก...”
อี้เหวินไทจือค่อยตื่นจากภวังค์เคลิบเคลิ้ม กล่าวว่า
“ไต้ซือ โกวเนี้ยเมื่อครู่มีนิสัยประหลาดพิกลนัก”
“นางเป็นธิดาโทนของมหาเศรษฐีแห่งยุคเฉินว่านซัน มีนามเฉินซวงซวง”



.............................
ติดตามชม ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม ในชุดที่ ๒


Create Date : 17 ตุลาคม 2553
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2553 23:37:49 น. 10 comments
Counter : 12887 Pageviews.

 
อีกบทหนึ่งที่ชอบจากเรื่องนี้ คือ ฉินเพ่ย ในบทฉางฮั่วชุน ภาคแรก ยังเป็นชาวบ้านธรรมดา บุคลิกแม้รักเพื่อนฝูง แต่ออกซื่อๆ เน้นใช้กำลังมากกว่าสมอง พอเป็นภาค 2 ช่วยฮ่องเต้สถาปนาราชวงศ์ใหม่ได้ ได้บรรดาศักดิ์ใหญ่ ปกครองลูกน้องมากขึ้น แต่ยังคงมีความจริงใจกับสหายเช่นเดิม บทจึงต้องเปลี่ยนเป็นผู้แสดงที่มีบุคลิกที่สุขุมตามวัยและบทบาทที่เปลี่ยนไป ลี่เตอร์เปลี่ยนให้ฉินเพ่ย มารับบทนี้ นับว่าเหมาะสมยิ่ง

ฉางฮั่วชุนในภาคนี้ จึงมีเรื่องผิดใจกับจูหยวนจางหลายครั้ง เพราะความปรารถนาดี ที่เห็นว่าฮ่องเต้ได้บัลลังก์มาอย่างยากลำบาก ก็ไม่อยากให้พระองค์ลืมตัว มัวเมาในอำนาจ เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจต่างจากฮ่องเต้ราชวงศ์เดิมที่อุตส่าห์ช่วยกันโค่นล้มมา

ฉากสะเทือนใจอีกฉากหนึ่งที่นึกถึง นอกจากตอนองค์ชายอี้เหวินเด๊ดแล้ว ยังมีฉากที่ฉางฮั่วชุน เป็นฝี ซึ่งห้ามกินเนื้อห่าน พอฮ่องเต้รู้จึงรีบประทาเนื้อห่านมาให้กินทันที ฉางฮั่วชุน จึงจำเป็นต้องกิน และฝีกำเริบเสียชีวิตในที่สุด

เข้าทำนอง เสร็จงานฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ส่วนขุนนางผู้ภักดีนั้นเล่า เมื่อฟ้าสั่งให้ตาย จะมิอาจไม่ตาย...ได้หรือ


โดย: suta_kung IP: 125.27.170.32 วันที่: 17 ตุลาคม 2553 เวลา:16:17:33 น.  

 
เรืองนี้ ชอบค่ะ ชอบมากกว่าภาคที่ 1 ชอบเฉินซิ่วเหวินกับ เลลี่จาง ค่ะ

เพลงก็เพราะ แต่อดเสียใจไม่ได้ ที่จบไม่สมหวังแต่ก็มีลูกที่เกิดจากความรักของ 2 คนค่ะ ชอบฉากที่จัดงานวิวาห์ที่คุกค่ะ ทำไมไม่หนีก็ไม่รู้ สงสาร องคชายรัชทายาท

//www.youtube.com/watch?v=AnWjAl2KV8k


โดย: ก็ว่าจะไม่รัก 2 IP: 182.53.149.115 วันที่: 17 ตุลาคม 2553 เวลา:23:09:53 น.  

 
ขอบคุณค่ะคุณ suta_kung ที่เข้ามาให้ความเห็นคนแรก (แฟนพันธุ์แท้) ใช่แล้วที่เปลี่ยนตัวแสดง "พี่ฉัง" หรือ "ฉังตั่วกอ (พี่ใหญ่แซ่ฉัง)" เป็น "ฉินเพ่ย" ไม่ทราบชื่อเขา เพิ่งทราบวันนี้ จากภาค ๑ ที่ดูซื่อ ๆ ไม่เป็นวิทยายุทธ (และหน้าตาสู้ภาค ๒ ไม่ได้) แต่ก็ชอบ "พี่ฉัง" ในภาคแรก เพราะเขาดูเป็นเพื่อนแท้จางจวินเป่า พอมาภาค ๒ กลับเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่

ฉากสะเทือนใจ เห็นด้วยกับคุณ suta_kung ที่ฮ่องเต้บังคับให้ตาย ตอนที่พระราชทานห่านให้ ฉังอี้ชุน ดูแล้วยังร้องไห้เลย เพราะเขาจงรักภักดี และรู้ว่าฮ่องเต้ระแวงและทำกับเขาหลายต่อหลายครั้ง เช่น ปลดตำแหน่ง ถอดถอนกำลังทหาร แต่เขายังคงจงรักภักดีและว่าฮ่องเต้คือหนึ่งสหายผู้รู้ใจ แม้จางซันฟงเตือนหลายครั้ง เหมือนกับ "แม่ทัพเหนียน" ในศึกสายเลือด ภาค ๑ เลย

ดูแล้วไม่ชอบ "จูหยวนจาง" เลย นามนี้เหมือนเป็นโลโก้ว่า เป็นคนขี้ระแวง
พูดถึงองค์ชายอี้เหวิน ที่บรรยายว่า
"บุรุษหนุ่มคิ้วเรียวจรดจอน ตากระจ่างดุจดวงดาว เค้าหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร ท่วงท่าเข้มแข็งองอาจบันดาลให้ผู้พบเห็นต้องบังเกิดความปรารถนาดี" นั่นก็ใช่เลย เขาละ "เลสลี่จาง" แต่ในความเห็นส่วนตัว เลสลี่ อาจจะยังไม่เหมาะกับบทแม่ทัพ แต่จะเห็นเพียงฉากแรกเท่านั้น นอกนั้นก็จะเป็นองค์ชายผู้อารี เปี่ยมด้วยคุณธรรมซึ่งดูเหมาะมาก
ส่วน หลินกั๊วสง รับบทเป็น เอี้ยนอ๋อง องค์ชายขี้อิจฉาและไม่ดีเอามาก ๆ หรือว่าเขาไม่พอใจที่ อี้เหวินไทจือ (เลสลี่ จาง) ได้บทกุ๊กกิ๊กกับแฟนเขา (เอ! ตอนนั้นเป็นแฟนกันหรือยังนะ) เลยใส่ร้ายให้พระบิดาฆ่าให้ตายทางอ้อมซะเลย (อันนี้นอกเรื่อง ฮิฮิ)

หลังจากดูซีรีส์ชุดนี้แล้ว ชอบ "ว่านจือเหลียง" ดูเขาเหมาะเป็น จางซันฟง อีกทั้งมี เลสลี่ จาง ร่วมด้วย ซึ่งในวิมานลอย เขาทั้งสองก็แสดงร่วมกัน และเรื่อง ศึกสายเลือด ภาค ๒ ด้วย

และที่ประทับใจที่สุดก็ตอนที่ องค์ชายอี้เหวินตายในอ้อมอกอาจารย์


โดย: ฟางซื่ออวี้ วันที่: 17 ตุลาคม 2553 เวลา:23:36:30 น.  

 
เรื่องนี้เลสลี่ ก็ตายอีกแล้วเหรอ จำได้อย่างเดียวว่า ภาค 1 ตอนแรก ๆ จางจวินเป่า ขายเต้าหู้ใช่มั้ยคะ แต่ภาค 2 จำไม่ได้เลยค่ะ


โดย: หน่อย IP: 58.10.164.60 วันที่: 21 ตุลาคม 2553 เวลา:13:16:29 น.  

 
ใช่แล้วค่ะ ภาคแรกจางจวินเป่าขายเต้าหู้
สำหรับภาคนี้เลสลี่หล่อทุกตอน โดยเฉพาะฉากสุดท้าย
บทเศร้าสะเทือนอารมณ์ที่ร้องไห้จนน้ำมูกไหลเข้าปาก
สำหรับเนื้อความในหนังสือก็มีคติสอนใจหลายตอนค่ะ
ดูแล้วคิดถึง อีกทั้งเรื่องนี้มีดาราชายที่ชื่นชอบแสดง
ถึงสองคน


โดย: ฟางซื่ออวี้ วันที่: 21 ตุลาคม 2553 เวลา:23:13:15 น.  

 
รู้สึกดีๆ และขอบคุณคุณฟางซื่ออี้ จริงๆคะ ที่ช่วยนำความทรงจำและความซาบซึ้งซึ่งปัจจุบันเพียงแค่เลือนไปตามกาลเวลา แต่ไม่เคยลบทิ้งได้ กลับคืนมาให้แฟนคลับในบลอคนี้
ซีรี่ยุค 80 ทำได้เยี่ยมมาก ถ้าสังเกตุสักนิดจะเห็นว่าภาษาตา และภาษากายของนักแสดง ได้แสดงออกอย่างไม่ออมฝีมือ ชมผู้กำกับด้วย ทุกฉากที่อี้เหวินไทจือกับเฉินซวงซวงอยู่ด้วยกัน แม้ไม่ได้พูดคุยแต่คนดูสัมผัสได้ถึงสายตาที่ทั้งสองมองตอบกัน ล้วนยึดโยงไว้ด้วยสายใยรักลึกล้ำ ถ่ายทอดตอบกันราวกับเป็นคู่รักกันจริงๆ
กลับมาดูซีรี่ยุคนี้แล้ว พบว่าทำได้ไม่เท่าทันยุค 80 ลดคุณค่าการผลิตต่อเนื่องไปถึงคุณค่าทางศิลปะ
ฤทธิ์หมัดสะท้านบุ๊ลิ้ม 2 ประทับใจยาวนานค่ะ


โดย: หนอนประวัติ IP: 202.29.77.2 วันที่: 1 สิงหาคม 2554 เวลา:13:34:41 น.  

 
ขอบคุณ คุณ"หนอนประวัติ" มากค่ะ ที่ชอบและบรรยายความละเอียดลึกซึ้งระหว่าง องค์อี้เหวินไทจือกับเฉินซวงซวง ใช่แล้วทั้งสองแสดงเรื่องนี้ในบทคู่รักที่น่าประทับใจมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรก เฉินซวงซวง ออกจะคลั่งไคล้จางซันฟงมาก ต่อมาเมื่อรับรักองค์ชายอี้เหวินแล้วความรักของทั้งสองช่างน่าะประทับใจอย่างสุดซึ้งจริง ๆ

ดีใจที่มีแฟน ๆ นิยมชมชอบซีรีส์ยุค ๘๐ อยู่ แม้กลับมาดูในยุคปัจจุบันอาจดูเชย ๆ แต่ในความทรงจำในช่วงวัยเยาว์นั้นน่าประทับใจ ซึ่งหนังยุคปัจจุบันยังแทนที่ไม่ได้ โดยเฉพาะหนังกังฟู ซึ่งนักแสดงต่างใช้ฝีมือล้วน ๆ ไม่ค่อยได้พึงเอฟเฟคมากมายเหมือนหนังยุคใหม่

ฤทธิ์หมัดฯ เป็นซีรีส์ประทับใจมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่ง มีนักแสดงที่ชื่นชอบแสดงทั้งนั้น ทั้งบทร้าย บทดี


โดย: ฟางซื่ออวี้ วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:21:56:32 น.  

 
ขอร่วมแสดงความรักกับหนังจีนชุดเรื่องนี้ด้วยคนค่ะ ^^ พอจริงๆก็ไม่รู้จะเขียนอะไร ทุกคนเขียนไปหมดแล้ว เขียนว่า รักนะ จุ๊บๆ เหรอ? ไม่ได้ๆ ต้องเขียนขอบคุณ ฟางซื่ออวี้ ที่มีหน้าสำหรับหนังชุดในดวงใจวัยเยาว์ให้ทุกคนได้รำลึก

ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม ทำให้เราหลงรักจอมยุทธในหนังจีนอีกครั้ง หลังจากดู super hero ฝั่งฮอลลีวู๊ดมานาน และเป็นจุดเริ่มต้นได้หวนกลับไปสัมผัสงานหนังจีนยุคนั้น I Love You



โดย: แมวลายวัว( กระทิง ) IP: 113.53.192.167 วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:23:15:38 น.  

 
ขอบคุณ คุณแมวลายวัวกระทิงมากค่ะที่ชื่นชอบบล็อกละครจีนเก่า

ว่าจะทำเพิ่มหลายครั้งแล้ว เกี่ยวกับซีรีส์ของเลสลี่ที่ชอบ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ทำสักที

เรื่องต่อไปที่จะทำคือ "ศึกล้างตระกูล" ที่เลสลี่เล่นให้กับทีวีบีค่ะ
และอาจตามด้วยซีรีส์สากล (ขอดูก่อนว่าจะทำได้หรือไม่)

แต่ในความทรงจำที่ประทับใจก็มีแต่ซีรีส์ของ RTV ที่เลสลี่เกิดจากค่ายนี้ตั้งแต่ประกวดร้องเพลงชิงชนะเลิศแห่งเอเซีย ทำให้ติดพันกับ RTV เรื่อยมา

แฟนซีรีส์จีนเก่า ๆ ที่ทำบล็อกน่าสนใจ เป็นซีรีส์หาดูยาก ก็มีคุณปรานทยา คุณผู้กอง (ทำนักสู้ผู้พิชิต) คุณ Namcha ทำศึกสายเลือด ๒ เช่นกัน ตัวเองมาทีหลังเพิ่งเป็นมือใหม่เลยอยากทำบ้าง อีกอย่างเพราะอยากเขียนถึงเรื่องราวของคนที่ชื่นชอบด้วยค่ะ เพราะสมัยนั้นก็เป็นเอามากกับหนังจีนกำลังภายใน


โดย: ฟางซื่ออวี้ วันที่: 16 กันยายน 2554 เวลา:22:46:31 น.  

 
ชอบผู้แสดงเป็นเจ้าหุบเขาร้อยบุปผามาก สวย ขรึม เก่ง อยากดูภาพในยุคอดีตและปัจจุบันของเธอ หลีอิง


โดย: ทรงลักษณ์ IP: 182.93.203.32 วันที่: 16 สิงหาคม 2555 เวลา:12:51:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ฟางซื่ออวี้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ที่เข้าชม Blog ของ "ฟางซื่ออวี้" ซึ่งรวมเรื่องราวต่าง ๆ ของ "เลสลี่ จาง" ในยุค '80 และภาพแห่งความทรงจำในอดีตในยุคที่หนังจีนกำลังเฟื่องฟูในบ้านเรา
New Comments
Friends' blogs
[Add ฟางซื่ออวี้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.