space
space
space
space

2019 ปักกิ่ง (ตอนที่ 5) - วัดลามะ / ทะเลสาบสือซาไห่ / ถนน Nanluoguxiang
Day VIII (ศ. 10 พ.ค. 62) : ติ่มซำ Jin Ding Xuan / วัดลามะ / ทะเลสาบสือซาไห่ / ถนน Nanluoguxiang

วันนี้เราเดินทางออกจากเทียนจิน ขึ้นรถไฟความเร็วสูงกลับมาที่ปักกิ่ง ถึงปักกิ่งตอน 11 โมง เอาของไปเก็บที่รร. แล้วก็มุ่งหน้าไปยังเป้าหมายแรกในวันนี้ นั่นคือร้านติ่มซำแสนอร่อย Jin Ding Xuan อยู่แถววัดลามะ

วิธีการไปก็นั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานี Lama Temple ออกทางออก A แล้วเดินข้ามแยก ข้ามสะพานมาอีกหน่อยก็ถึงละ นี่ไงหน้าตาร้านติ่มซำ


ภายในร้านมีคนมานั่งกินเยอะอยู่ แต่ไม่ถึงกับต้องรอคิว หลังจากนั่งแล้ว เค้าจะมีเมนูมา พร้อมกับกระดาษจด ให้เราติ๊กเอง สำหรับรสชาติอาหารถือว่าใช้ได้เลย เทียบเคียงติ่มซำฮ่องกงได้อยู่ สนนราคาวันนี้ก็อยู่ที่ 282 หยวน หรือประมาณ 1,400 บาท


หลังจากอิ่มพุงกันแล้ว เราก็เดินต่อไปยังวัดลามะ ขอบอกว่าบรรยากาศในวัดนี่ช่างเป็นใจยิ่งนัก ร่มรื่น ลมโชย เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน แอบไปนั่งงีบหลับกันที่ม้านั่งในวัดด้วย 119


ข้อเสียอย่างหนึ่งของการมากันเองคือ เราไม่รู้เรื่องราวของสิ่งที่กำลังดูอยู่ เพราะป้ายอธิบายต่างๆเป็นภาษาจีนหมดเลย เราอาศัยเดินตามทัวร์ไป เค้าหยุดที่ไหน เราก็หยุดดูด้วย ดูไปก็สายตาว่างเปล่าไป ฟังที่เค้าอธิบายก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นกรุ๊ปทัวร์จีน 555 


ต้นไม้ในวัดนี้ แต่ละต้นมีอายุเก่าแก่มาก อย่างต้นนี้นี่อายุถึง 700 ปีเลยนะ!! (แม้จะอ่านภาษาจีนไม่ออก แต่อาศัยการเดา แล้วเข้าไปเช็คคำศัพท์ใน google อีกที แค่นี้เราก็สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ (Thanks for my effort 5555)


จากวัดลามะ เราเดินต่อไปยังทะเลสาบสือซาไห่ ระหว่างทางเดินไปนั้นเราได้เห็นชุมชนเก่าแก่หูท่งอยู่ตลอดสองข้างทาง บางบ้านเอามาดัดแปลงทำเป็นร้านค้า แต่ยังคงรูปลักษณ์แบบโบราณเอาไว้


ระหว่างทางมีคุณลุงคนนึงอายุ 80 ปี (จากป้ายกระดาษที่แกเขียนไว้) นั่งเปิดเพลงจีนปลุกใจ สักพักก็ลุกมาออกกำลัง ยกก้อนเหล็กที่น่าจะหนักมากโยนไปโยนมา มีวิดพื้นโชว์ ยืนด้วยแขนสองข้างโชว์ เป็นสิบนาทีด้วย นับถือความแข็งแรงของแกมาก ยืนดูไปสักพัก คนก็เริ่มมามุงดูกัน พวกเราช่วยกันบริจาคให้คุณลุง นับถือในความมานะของแก ที่สามารถรักษาความฟิตของร่างกายได้ขนาดนี้แม้ว่าจะอายุ 80 แล้วก็ตาม โชว์เสร็จมีหันมาชูสองนิ้วให้ด้วย 28


เมื่อเราเดินมาถึงทะเลสาบสือซาไห่ ก็เป็นช่วงเย็นพอดี บรรยากาศกำลังดีเลย คนมานั่งพักผ่อนกันที่ริมทะเลสาบ บ้างก็ปั่นเรือถีบ พวกเราเลยถือโอกาสนั่งพัก และดูผู้คนไปด้วย 


นั่งอยู่จนได้เห็นพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าที่ทะเลสาบแห่งนี้


จากทะเลสาบสือซาไห่ เราเดินต่อไปยังถนนคนเดิน Nanluoguxiang ถนนคนเดินแห่งนี้ต่างจากถนนเฉียนเหมิน และถนนหวังฟูจิ่ง ที่นี่เป็นถนนเล็กๆ (เรียกว่าตรอกก็ได้) ในขณะที่สองถนนที่เราไปก่อนหน้านี้ เป็นถนนใหญ่มีความเป็นเมือง มีความทันสมัยมากกว่า ถามว่าเราชอบที่ไหนมากที่สุด ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่าที่นี่ มันมีความเป็น local มันดูเข้าถึง มันน่าเดิน แล้วร้านค้าเล็กๆตลอดข้างทางนี่ก็น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นร้านของกิน ร้านขนม ร้านขายของ มันดูมีแนว มีคาร์แรคเตอร์


และเมนูมื้อเย็นวันนี้ เราก็ไม่พลาดไก่ห่อข้าวเมนูเด็ดแห่งกรุงปักกิ่ง กินมันให้เบื่อกันไปข้างนึง 555


ที่นี่ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ อาจจะเป็นเพราะวันที่เราไปเป็นวันศุกร์เย็นด้วย เลยได้เห็นคนทำงานมาเดินหลังเลิกงานกันเต็มเลย 


Day IX (ส. 11 พ.ค. 62) : ย่าน Chongwenmen / เดินทางกลับ

วันนี้เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว เนื่องจากไฟลท์ออก 14.30 น. เราเลยมีเวลาช่วงเช้าเดินเล่นเก็บตกย่าน Chongwenmen 

จากมื้อเช้าที่เราเคยฝากท้องเอาไว้กับร้านเบเกอรี่ข้างรร.ทุกวัน วันนี้เราเดินข้ามถนนไปสำรวจฝั่งตรงข้าม แล้วพบร้านเบเกอรี่อีกร้านชื่อ Wedome เฮ้ยมันอร่อยกว่าร้านข้างรร.มาก (เพิ่งค้นพบวันสุดท้าย 55) 

หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นในห้างแถวๆนั้นกัน เช้าวันเสาร์แต่ห้างโล่งมากเลย ที่นี่มีตู้หยอดเหรียญเยอะแยะ แต่ต้องจ่ายด้วย QR code เราเลยหมดสิทธิ์เล่นเลย


หลังจากโต๋เต๋กันพอสมควร ก็ได้เวลากลับบ้านกันละ ก่อนกลับ ไม่ลืมแวะกินชานมไข่มุกแสนอร่อย Kong Cha และตบท้ายอาหารจานด่วน Kungfu ที่เราชอบนักหนากันที่สนามบิน




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2562   
Last Update : 7 สิงหาคม 2562 22:22:07 น.   
Counter : 2082 Pageviews.  
space
space
2019 ปักกิ่ง (ตอนที่ 4) เทียนจิน..แอมอินเลิฟ
เดิมที "เทียนจิน" เป็นแค่เมืองนอกสายตา เนื่องจากเรามาปักกิ่ง 7 วัน ครั้นจะอยู่ปักกิ่งอย่างเดียว 7 วันเลยก็ดูจะเยอะไป เลยแบ่ง 2 วันมาเที่ยวเมืองใกล้ๆอย่างเทียนจิน

แต่เชื่อไหมว่าแค่ 2 วัน กลับทำให้เรารักเมืองนี้เข้าอย่างจัง 102

Day VI (อ. 8 พ.ค. 62) : เทียนจิน / ถนนคนเดิน Guwenhua Jie / Tianjin Eye

เราขึ้นรถไฟความเร็วสูงจากปักกิ่งไปเทียนจิน ใช้เวลาแค่ครึ่งชม. รถไฟมีหลายรอบมาก เราแนะนำให้จองไปก่อน จาก trip.com (เราเคยมีประสบการณ์รถไฟความเร็วสูงกวางโจว-ฮ่องกง ที่ไม่ได้จองไปก่อน เพราะเห็นว่ารถมีทุกชม. ปรากฎว่าตั๋วทุกเที่ยวทุกที่นั่ง) คนจีนเดี๋ยวนี้โดยสารด้วยรถไฟความเร็วสูงกันเยอะมากจริงๆ

เจ้าหัวจรวดขบวนนี้วิ่งด้วยความเร็ว 350 กม. ต่อชม. มี free wifi แถมสัญญาณเน็ตก็ไม่มีหลุดด้วย 100


เริ่มต้นจากที่พัก เรานั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงสถานี Beijing South Station ซึ่งเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง จากนั้น เราตรงไปช่องขายตั๋ว High Speed Train แล้วยื่นพาสปอร์ต + โค๊ดที่ได้จากการจองให้เจ้าหน้าที่ เพียงเท่านี้ เราก็ได้ตั๋วมาละ ในตั๋วเป็นภาษาจีนล้วนจ้า แต่เดาได้ไม่ยาก อย่างของเรานี่คือ ขึ้นที่ชานชาลาที่ 18 ตู้ 2 ที่นั่ง 2D (ที่นั่งเป็นแบบ 3-2 ตอนจอง เราระบุตำแหน่งเก้าที่ต้องการได้เลย)


นั่งเพียงแค่ 30 นาที เราก็มาถึงเมืองเทียนจินละ ที่เทียนจินสถานีรถไฟความเร็วสูงก็เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเช่นกัน แต่ก่อนจะเข้าเมืองเราแวะกันข้าวกลางวันร้าน Mr.Lee กันก่อน เป็นอาหารฟาสฟู้ดแบบจีนๆกินง่ายดี 

มาเมืองจีนแล้วก็ต้องไม่พลาด ข้าวมันไก่ หน้าตาดูดี รสชาติโอเค เสียแต่กินยากไปหน่อยเพราะเค้าสับไก่แบบติดกระดูกมาด้วย


เริ่มต้นการเดินทางในเทียนจินด้วยการเอาของไปเก็บที่รร.ก่อน ที่นี่..เราจอง Marriott Courtyard ซึ่งถ้าดูจากรูปโรงแรมด้านล่างเนี่ย มันไม่น่าจะหายากเลยใช่ไหม แต่ปรากฎว่า..เราเดินหารร.กันอยู่เกือบชม. นั่นเพราะ Google Map มาร์กตำแหน่งผิด!! 35


ถ้ามาตาม Google Map จะให้เราลงสถานี Xinanjiao แล้วเดินขึ้นไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร ปรากฏว่าเราเดินเท่าไหร่ก็หารร.ไม่เจอ ลองเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ ก็ไม่เจอ ถามคนแถวนั้น บางคนก็ชี้ให้เราเดินขึ้นไปอีก บางคนก็ไม่รู้ (น่าแปลกว่าคนที่เทียนจินที่เราเจอพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนที่ปักกิ่งอีกแฮะ) 

เดินหาเกือบชม. วนไปวนมาอยู่แถวนั้นแหละ จนเริ่มท้อใจ สุดท้ายเราเข้าไปในเว็บจองรร.สักที่ แล้วไปอ่านข้อมูลว่ารร.นี้อยู่ใกล้สถานี Xibeijiao ไม่ใช่ Xinanjiao (ชื่อสถานีก็ดันคล้ายกันเหลือเกิน) แล้วแผนที่ของเว็บนั้น (ถ้าจำไม่ผิด เป็น booking.com) ชี้ไปที่จุดเขียวบนรูปด้านล่าง ซึ่งปรากฏว่าถูก!! เดินไปเห็นป้าย Marriott Courtyard อยู่ตรงหน้า น้ำตาแทบไหล 555 อยากจะไปตีมือคนมาร์กจุดใน Google Map จริงๆ
ตำแหน่งที่วงสีแดงเอาไว้คิดตำแหน่งที่ผิด จุดสีเขียวคือตำแหน่งที่ถูก

โรงแรมนี้จะบอกว่าทำเลดีมาก จากสถานีรถไฟ Xibeijiao มีทางเชื่อมเดินเข้าห้าง แล้วรร.ก็อยู่ใกล้ๆห้างเลย (เดินไม่กี่ 10 เมตรจากห้าง) แต่ตัวโรงแรมไม่ติดถนนใหญ่นะ เข้ามาด้านในนิดหนึ่ง 

ห้องพักที่นี่ใหญ่ สะอาด เตียงนุ่ม นอนสบาย (เด็กๆงี้ถึงกับไม่อยากกลับไปนอนโนโวเทล ปักกิ่งเลย 52)


พนักงานที่นี่ พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย ก็มาคุยด้วยใหญ่เลย บอกว่าเค้าชอบเมืองไทยมาก ตอนนี้กำลังหัดเรียนภาษาไทยอยู่ด้วย (ปลื้มมม) เรามาที่นี่ถึงได้รู้ว่าคนจีนนี่ชอบสินค้าไทยมากนะ ใน supermarket มีขนม/อาหารไทยเต็มเลย


หลังจากเก็บของที่รร.แล้ว เป้าหมายต่อไปของเราคือ "ถนนโบราณ Guwenhua Jie" ซึ่งอยู่บนถนนไป๋หม่า (Beima) ถนนเดียวกับรร.เรานี่แหละ เดินไปไม่ไกล ระหว่างทางเดิน เราก็เริ่มหลงรักเมืองนี้แล้ว มันเป็นเมืองที่ไม่วุ่นวาย บ้านเมืองสะอาด  คนส่วนใหญ่ใช้จักรยานกัน เป็นเมืองที่เจริญ แต่กลับดูสงบ


เดินไม่กี่ร้อยเมตร เราก็มาถึง ถนนโบราณ Guwenhua Jie ของที่นี่ถูกจริงๆ อย่างขนมเกลียวของฝากนี้นะ ที่เทียนจินขายกล่องละ 10 หยวน ปักกิ่งขาย 50 หยวน แล้วขนมเกลียวนะ อย่าไปกินที่ปักกิ่ง จืดสนิท ต้องที่นี่เลย อร๊อย อร่อย มันกรุบกรอบกำลังดี หอมงาด้วย ถั่วก็อร่อยนะ ถั่วตัดเอย งาดำเอย ซื้อกินไปเถอะ อร่อยจริง 555 


ถนนคนเดินแห่งนี้ แม้หลายๆอย่างจะเป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ก็ให้บรรยากาศความเป็นจีนโบราณได้ดี ซึ่งถ้าเรามองทะลุถนนนี้ออกไป จะเห็นสิ่งปลูกสร้างสไตล์ตะวันตก ให้บรรยากาศของสองวัฒนธรรมในเมืองเดียวกัน100


บนถนนแห่งนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกบไซอิ๋วเยอะมาก ทั้งของเล่น รูปปั้น กระบอง ชุดเห้งเจีย ซึ่งเด็กๆอยากได้มานาน หาซื้อที่ไทยไม่มีเลย ในที่สุด..เราก็ได้มาเจอที่นี่ เย้ๆ เดาว่าตำนานเรื่องไซอิ๋ว คงมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับเมืองเทียนจินแห่งนี้ 51 


ถ้าเทียบกับถนนเฉียนเหมินที่ปักกิ่งแล้ว เราชอบที่นี่มากกว่า มันได้กลิ่นอายพื้นบ้านมากกว่า ที่นี่มีของแบกะดินมาขายด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนเดินคลองถมบ้านเรา แต่ไม่ร้อนเหมือนบ้านเรา 555


นอกจากนี้ ยังมีของพื้นบ้านอย่างพวกหินขัด ที่เอามาทำเป็นเครื่องประดับ ซึ่งส่วนใหญ่จะออกมาหน้าตาคล้ายๆกัน เป็นหินประดับสีแดง สีเหลือง เดินดูแล้วก็เพลินดี


ส่วนนี่ก็ดอกเหมยที่ตามหามานาน หลังจากตามหามาทั่วปักกิ่งแล้วไม่เจอ 555 ถ้าเปรียบดอกซากุระ เป็นดอกไม้คู่เมืองญี่ปุ่น ดอกเหมยก็เป็นดอกไม้คู่เมืองจีน (แม้ที่เราเห็นมันจะเป็นของปลอมก็เถอะ 5252  )


เมื่อเดินไปสุดถนนโบราณ เราก็จะเจอแม่น้ำไห่เหอ (Haihe River) เมื่อมองข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง จะเจอสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตก เราใช้เวลานั่งริมแม่น้ำสักพักใหญ่เลย นั่งดูคนที่มานั่งพักผ่อนกัน บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มากับครอบครัว 


เราสามารถเดินเลาะริมแม่น้ำนี้ไปถึง Tianjin Eye ได้ ซึ่งทางเดินใหญ่ ร่มรื่น ไม่มีเสียงรถวุ่นวาย เดินๆไปเจอคนนั่งตกปลา เราก็แวะดู บางคนตกได้ตัวใหญ่ คนก็แห่มามุงดู ส่งเสียงเชียร์กัน 28


ระหว่างทางเดินไป Tianjin Eye ได้ทันเห็นพระอาทิตย์ตกในซอกตึกเมืองเทียนจิน ไปพร้อมๆกับ Tianjin Eye ที่ตั้งสูงตะหง่านกลางแม่น้ำไห่เเหอพอดี สวยจัง 28


จากบรรยากาศสงบๆที่เราเดินมา พอถึง Tianjin Eye บรรยากาศก็คึกคักมีความเป็น tourist ขึ้นมาทันที ช่วงเย็นๆคนต่อคิวขึ้น Tianjin Eye ยังไม่ค่อยเยอะ แต่พอมืดหน่อยนี่ คิวยาวเลย ส่วนเรา..ผู้กลัวความสูงเป็นชีวิต ขอยืนชมวิวอยู่ข้างล่างนี้แทนละกันนะ 52


Day VII (พ. 9 พ.ค. 62) : Italian Style Town / Nanshi Grocery Street / Five Great Avenue / ถนน Bingjiangdao

เช้านี้เราไปกินอาหารเช้าที่ KFC มีทั้งโจ๊ก น้ำเต้าหู้ และปาท่องโก๋ยักษ์ จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟฟ้ามุ่งหน้าไปยัง Italian Style Town 

ที่นี่เป็นอีกหนึ่ง Tourist Spot ที่ทัวร์มักจะนิยมมา วันที่เราไป เจอนักท่องเที่ยวจีนเยอะเลย ต่อคิวถ่ายรูปกันทุกที่ เราเลยใช้เวลาอยู่ที่นี่แปบเดียวแล้วรีบออก 


เป้าหมายต่อไปคือ "ตลาดสด Nanshi" ได้ข่าวว่ามีอาหารชื่อดังคือ Goubuli หน้าตาเหมือนเสี่ยวหลงเปา ที่ว่ากันว่าอร่อย 

เรานั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานี Drum Tower แล้วเดินไปอีกประมาณ 600 เมตร ก็จะเห็นตลาดสด Nanshi (เวลาไปจีน พยายามเซฟรูปภาพสถานที่ๆเราจะไปไว้ เพราะป้ายมีแต่ภาษาจีน เราไม่มีทางรู้เลยว่านี่คือตลาดสด Nanshi จนกว่าเราจะเอารูปที่เราเซฟไว้มาเทียบกับของจริงดู และเป็นการ double check ว่า Google Map พาเรามาถูกที่หรือเปล่า 5555) 


ภายในตลาด มีร้านขายของฝาก ร้านอาหาร แผงขายขนม แนะนำว่าใครที่จะซื้อของฝากให้มาซื้อที่นี่เลย ราคาถูกและของมีให้เลือกหลากหลาย  

มื้อกลางวันเรามาฝากท้องไว้กับร้านอาหารชื่อ Tianjin Restaurant ในตลาด Nanshi สั่งมาทั้งหอยลายผัดพริก ข้าวต้มกุ้ง ไก่ทอด และไม่พลาด Goubuli (อาหารขึ้นชื่อ) ซึ่่งเรากินแล้วกลับเฉยๆแฮะ แต่ผู้ชนะประจำมื้อนี้คือ เจ้าหอยลายผัดพริกจานนี้แหละ เด็ด! 


หลังจากท้องอิ่ม เราก็เดินซื้อของฝากกันในตลาด แล้วเอากลับไปเก็บที่รร. ก่อนจะเดินทางไปยังเป้าหมายต่อไปคือ Five Great Avenue ซึ่งมันก็คือจุดรวมของถนน 5 สาย แต่ละสายมีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน และจะมารวมกันที่ Minyuan Stadium
(แหล่งข้อมูล : https://www.topchinatravel.com/china-attractions/five-great-avenues.htm)

ซึ่งในความเป็นจริง การเดินหา Five Great Avenue นั้น หายากมากกก ไม่มีป้ายอะไรเลยที่เขียนว่า Five Great Avenue ถามคนที่นั่นเค้าก็ไม่รู้จักว่า Five Great Avenue คืออะไร (คนที่นั่นเรียกว่า Wu Da Dao ดังนั้นถ้าจะหาป้ายไป ให้หาป้ายที่เขียนว่า Wu Da Dao)

วิธีการมาคือ ขึ้นรถไฟฟ้ามาลงสถานี Xiaobailou แล้วเดิน (เดินพอสมควรเลยแหละ) ในที่สุด..เราก็ได้มาเจอ Five Great Avenue หรือ Wudadao Historical Culture Area) 117


จุดศูนย์รวมของถนน 5 สายนี้คือ Minyuan Stadium ภายในสเตเดี่ยม มีสนามซึ่งเป็นที่นั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจของคนที่นี่ มีนักศึกษามาถ่ายรูปรับปริญญากันด้วย และที่นี่เอง..เราได้เจอคนไทยกลุ่มแรก ตั้งแต่เรามาเหยียบเทียนจิน 117 เราจึงได้รูปรวมหมู่ครอบครัวแบบไม่ต้องหน้าชิดจอจากความช่วยเหลือของน้องๆ (ขอบคุณน้าา54)


ถัดจากสเตเดี่ยมไปหน่อย จะมีรถม้าขี่รอบเมืองไว้บริการด้วย ค่าบริการคนละ 80 หยวน (เด็ก/ผู้ใหญ่คิดเท่ากัน) แอบแพงอยู่ แต่เราก็ขึ้น บอกว่าอยากนั่งม้าชมเมือง แต่จริงๆแล้วอยากนั่งพักกินลม หลังจากที่เดินหลงกันเป็นชม. 31 

ตอนอยู่บนรถม้า เค้าจะมีบรรยายถึงความสำคัญของสถานที่ต่างๆที่เราผ่าน แต่อย่าหวังว่าจะเข้าใจ เพราะเค้าบรรยายเป็นภาษาจีน 52 


นั่งวนรอบเมืองไปน่าจะครึ่งชม. เด็กๆหลับกันได้มันส์มาก 555 นี่รถม้าแบบเต็มๆคันเป็นแบบนี้


ช่วงเย็น แถวนี้จะยิ่งคึกคักมาก เพราะนักเรียนเลิกเรียน ผู้ปกครองหลายคนก็จะพาเด็กๆมาวิ่งเล่นที่นี่ นอกจากนี้ตามข้างทาง ยังมีร้านเล็กๆฮิปๆน่านั่งหลายร้าน เราเข้าไปกินไอติม home made ร้านนึง แต่งร้านสวยดี แถมไอติมอร่อยด้วย

หลังจากที่พักเอาแรงกันพอสมควรแล้ว เราก็เดินต่อไปยังถนน Bingjiangdao (ทริปนี้เดินเฉลี่ยวันละ 10-14 โล และวันนี้แหละที่เราทำลายสถิติทุกวัน เดิน 14.2 กก.52

อ้อ ที่เมืองจีนไม่ว่าจะเป็นปักกิ่งหรือเทียนจิน มีห้องน้ำสาธารณะอยู่ข้างทางเป็นระยะ ซึ่งดูภายนอกแล้วหน้าตาดูดี มีคนมาทำความสะอาดเรื่อยๆ แต่ข้างในเป็นยังไงนั้นไม่รู้ เพราะเรายังไม่กล้าลองเข้า 52


และในที่สุด..เราก็มาถึงเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้ ถนน Bingjiangdao ซึ่งเป็นถนนคนเดินแนวโมเดิร์น มีร้านแบรนด์ต่างๆ เช่น Zara และ Starbucks ที่กำลังจะเปิด อารมณ์เหมือนเดินสยามสแควร์บ้านเรา แต่เป็นเวอร์ชั่นภาษาจีน 555


กลางคืนที่นี่ก็สวยไปอีกแบบ มีการเล่นแสงไฟตามป้ายร้านต่างๆ ที่แม้จะเป็นคนละร้านกันแต่ก็คุมโทนการเล่นแสงไฟให้เหมือนกันได้ตลอดสาย


การเดินทางในเมืองเทียนจินของพวกเราก็จบ พร้อมกับความประทับใจแต่เพียงเท่านี้99




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2562   
Last Update : 8 สิงหาคม 2562 10:45:35 น.   
Counter : 1215 Pageviews.  
space
space
2019 ปักกิ่ง (ตอนที่ 3) พระราชวังต้องห้าม / สนามกีฬาโอลิมปิก
Day 3 พระราชวังต้องห้าม / สนามกีฬาโอลิมปิก

วันนี้เราจะได้ไปพระราชวังต้องห้ามกันแล้ว เย้!! (หลังจากบิ้วท์ตัวเองดูซีรี่ย์จีน "เจินหวน จอมนางคู่แผ่นดิน" และ "ปูยี จักรพรรดิโลกไม่ลืม" ก่อนมา) อยากมาเห็นมาว่าแต่ละตำหนักของเหล่านางสนมเค้าอยู่กันยังไง ตำหนักฮ่องเต้อลังการงานสร้างแค่ไหน บัลลังค์ที่ฮ่องเต้น้อยปูยีในวัย 3ขวบรับตำแหน่ง หน้าตาเป็นอย่างไร

ภาพจาก..ปูยี จักรพรรดิโลกไม่ลืม

การเดินทาง
ถ้าเราดูแผนผังรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงปักกิ่ง จะเห็นว่าศูนย์กลางของเมืองคือพระราชวังต้องห้าม ซึ่งมีรถไฟฟ้าล้อมรอบ การเดินทางไปพระราชวังต้องห้ามสามารถลงได้หลายสถานี ไม่ว่าจะเป็นสถานี Tian' Anmen East, Tian' Anmen West หรือแม้แต่สถานี Qianmen


เดิมทีเรากะไปลงที่สถานี Qianmen เพื่อจะได้ดูจตุรัสเทียนอันเหมิน, ตึกรัฐสภา, พิพิธภัณฑ์แห่งชาติจีน แล้วค่อยเข้าพระราชวัง แต่เมื่อวานตอนเราไปเดินถนนเฉียนเหมิน (Qianmen) ได้เห็นสถานที่เหล่านี้แล้ว วันนี้เราเลยขอ skip สถานที่เหล่านั้นนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานี Tian' Anmen East เพื่อย่นเวลาการเดิน

ถึงละค้าบ เห็นรูปประธานเหมาบนพื้นกำแพงสีแดงไกลๆนี้แหละคือทางเข้า เด็กๆพร้อมมาก พกคู่มือการท่องเที่ยว "Plant vs Zombies 2 ตอนพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ (กู้กง)" เพื่อมาประกอบการเข้าชมด้วย 29


นี่ขนาดไปวันธรรมดานะ มหาชนยังต้องไหลเข้าไปในพระราชวังกันเลย


การเดินนั้นเราจะเดินจากทิศใต้ขึ้นไปยังทิศเหนือ ซึ่งเนื้อที่ในพระราชวังนั้นกว้างใหญ่ถึง 720,000 ตร.ม. มีห้องอยู่ในพระราชวัง 9,999 ห้อง เราคุยกันเล่นๆกับเด็กๆว่า เป้าหมายวันนี้เราจะไปนับห้องในพระราชวังกันว่ามี 9,999 ห้องจริงไหม 29

แต่เอาจริงๆก็นับไม่ไหวหรอก แค่เดินเข้าออกแต่ละพระตำหนักยังมึนเลย หน้าตาเหมือนกันไปหมด ไม่รู้ว่าเดินเข้าซ้ำบ้างหรือเปล่า 555 อีกอย่างช่วงที่เราไปพระราชวังมีการซ่อมแซมเยอะมาก หลายๆส่วนถูกปิดไม่ให้เข้าชม ได้แต่แอบมองทางหน้าต่าง


ก่อนเข้าเราไปซื้อตั๋ว ค่าเข้าคนละ 60 หยวน แล้วก็เช่า Audio Guide คนละ 40 หยวน ซึ่งมีภาษาไทยด้วย เครื่องจะอธิบายตามจุดที่เราไปถึง โดยจะจับจาก GPS (เอาจริงๆบางจุดก็จับติดมั่ง ไม่ติดมั่ง) แต่ควรมีไว้ แนะนำ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ตามประวัติศาสตร์จีนอย่างจริงจัง เพราะไม่อย่างนั้น เราจะเห็นทุกพระตำหนักหน้าตาเหมือนกันหมด 555 แต่ถ้าได้ฟัง เราจะได้รู้ว่าแต่ละตำหนักมีความสำคัญยังไง มีเรื่องราวยังไง 

อย่างจำนวนสัตว์ตรงมุมหลังคา ก็มีความหมาย เป็นตัวบอกยศถาบรรดาศักดิ์ ยิ่งจำนวนสัตว์มากก็แสดงถึงฐานะที่สูง อย่างตำหนักของฮ่องเต้นี่จะมีจำนวนสัตว์มากที่สุดคือ 10 ตัว


หรืออย่างรูปปั้นสิงโตสำริด ถ้าอยู่พระราชวังด้านหน้าจะเป็นหูตั้ง แต่ถ้าอยู่ตรงพระราชฐานชั้นในจะหูตก ได้ยินอะไรข้างในให้ทำเสมือนว่าไม่ได้ยินซะ


ส่วนบันไดกลางนี่ก็เป็นแผ่นหินขนาดใหญ่ (เป็นหินชิ้นเดียวเลยนะ!!) หนักถึง 200 ตัน คิดดูว่าต้องใช้แรงงานคนและเวลามากแค่ไหน กว่าจะยกมาแล้วแกะสลักออกมาได้อย่างสวยงามเช่นนี้


ส่วนนี่คืออีกหนึ่งภูมิปัญญาของคนสมัยก่อน ที่เราชอบมาก มันคือนาฬิกา ที่อาศัยแสงเงาของดวงอาทิตย์มาเป็นเข็มบอกเวลา


ในพระราชวังมีร้านอาหารด้วย แต่คนเยอะมาก และไม่มีระบบการต่อคิว คือเราต้องไปยืนจ่อที่โต๊ะที่กินใกล้จะเสร็จเอง อาหารอร่อยใช้ได้ แต่จริงๆเตรียมข้าวกล่องเข้าไปก็ดีนะ เห็นหลายๆคนพกข้าวกล่องไปนั่งกินกัน สะดวกดี ไม่ต้องไปรอคิวกันที่ร้าน

จากพระราชฐาน เราเดินเข้าชมตำหนักใน เอาจริงๆแอบรู้สึกว่าเล็กกว่าในหนัง 555 พระตำหนักของสนมแต่ละนางนึกว่าจะใหญ่และอลังกว่านี้ 


ออกจากพระราชวังต้องห้าม จริงๆอยากเดินไปที่ Jingshan Park เพื่อขึ้นไปถ่ายรูปพระราชวังมุมสูง แต่เมื่อมองขึ้นไปเห็นระยะทางแล้ว เราก็เปลี่ยนใจไม่ขึ้นก็ละกัน 555

มองกลับมาที่พระราชวัง เห็นความสูงของกำแพงแล้ว ถ้าเราเป็นผู้บุกรุก แค่เห็นกำแพงสูงขนาดนี้เราคงถอดใจแล้วล่ะ 119


จากพระราชวังต้องห้าม เป้าหมายต่อไปคือสนามกีฬาโอลิมปิกกัน ซึ่งเราต้องไปขึ้น MRT ที่สถานี Nanluoguziang เพื่อไปลงสถานี Olympic Sport Center

จากพระราชวังต้องห้ามไปยังสถานี Nanluoguziang นั้นเดินเป็นกิโลอยู่ ระหว่างทางที่เดินไป เห็นเด็กจีนหลายคนแต่ชุดจีนโบราณ เข้ากับบรรยากาศบริเวณพระราชวัง และชุมุชน Hutong ดี ( Hutong เป็นบ้านคนจีนสมัยก่อน ที่มีประตูเล็กๆอยู่หน้าบ้าน โดยมีลานกว้างอยู่ตรงกลางด้านใน เป็นที่พักของพวกขุนนางสมัยก่อน) 


เดินมาสักพัก เริ่มเมื่อยสุดท้ายเลยพึ่งรถบัสสายอะไรจำไม่ได้ แหะๆ (Google Map นำทาง) นั่งไป 3 สถานี แล้วเดินอีกนิดนึง เราเลยได้ลองขึ้นรถบัสของกรุงปักกิ่งกัน รถบัสที่นี่โล่งขับดี ไม่เหมือนสาย 8 บ้านเรา 119 พอขึ้นไปเราจ่ายเงินด้วยบัตรอี้ข่าถงได้เลย คนละ 2 หยวน พอถึงป้ายที่ 3 เราก็ลง แล้วเดินไปขึ้น MRT

เมื่อมาถึงสถานี Olympic Sport Center เราก็เดินตามป้ายออกมา ถึงละค้าบสนามกีฬารังนก
 
ส่วนนี่ตึก IBM สร้างเป็นรูปมังกรด้วยนะเออ


ที่นี่ดูเหมือนไม่มีอะไรให้เราต้องใช้เวลานาน แต่เรากลับอยู่ที่นี่กันจนพลบค่ำเลย อากาศกำลังดี นั่งดูคนมาเดินเล่น มาออกกำลัง ที่ลานแห่งนี้ นั่งดูพี่รปภ.คนนึงยกไมค์กับลำโพงมาร้องงิ้วโชว์ เป็นผู้ชายที่สามารถดัดเสียงและขึ้นเสียงสูงได้เหมือนผู้หญิงมาก ส่วนเด็กๆก็สนุกกับการเล่นฟองสบู่ลูกโป่ง


นั่งกันไปแปบๆ ก็เริ่มได้เพื่อน ภาษาไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสารของเด็กๆกันเลย สามารถเล่นกันได้โดยไม่ต้องคุยภาษาเดียวกัน 28


สรุปโปรแกรมวันนี้เราเลยจบที่สนามกีฬาโอลิมปิกนี้แหละ ตอนหัวค่ำเดินไปกินพิซซ่าในห้างใกล้ๆกับสนามกีฬา แล้วก็ขึ้นรถไฟฟ้ากลับที่พัก (พอเริ่มมีอายุ โปรแกรมเที่ยวในแต่ละวันก็จะหลวมขึ้นตามอายุ 555)




 

Create Date : 15 มิถุนายน 2562   
Last Update : 15 มิถุนายน 2562 21:53:03 น.   
Counter : 942 Pageviews.  
space
space
2019 ปักกิ่ง (ตอนที่ 2) กู๋เป่ย..เมืองริมน้ำ / กำแพงเมืองจีนด่านซือหม่าไถ / ถนนเฉียนเหมิน
Day III (อา. 5 พ.ค. 62) : กู๋เป่ย เมืองริมน้ำ / กำแพงเมืองจีนด่านซือหม่าไถ 

วันนี้เราจะเดินทางออกนอกเมืองไปเมืองริมน้ำกู๋เป่ย หรือ Beijing W Town กัน จากที่พัก เราขึ้น Subway ไปลงที่สถานี Dongzhimen (สถานีที่เชื่อมต่อกับ Airport Express แหละ) เมื่อมาถึงสถานีให้ออกทาง Exit E แล้วไปขึ้นรถบัสเพื่อไปเมืองกู๋เป่ย วิธีการไปดูจากรีวิวจากนี้เลย https://pantip.com/topic/38300973 เป๊ะมาก

เราเดินไปตามป้ายรถเมล์ที่บอก ไปถึง 11 โมง ก็เจอรถบัสที่เขียนข้างรถว่า Beijng W Town จอดติดเครื่องรออยู่แล้ว เค้าให้เราขึ้นไปนั่งรอได้เลย ซึ่งระหว่างนั้นก็มีคนขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น บางคนก็แต่งชุดจีนโบราณมาเลย คงเป็นสถานที่ๆเด็กๆวัยรุ่นนิยมไปถ่ายรูปกัน 


รถออกตรงเวลา 12.00 น. ซึ่งเต็มทุกที่นั่ง (ถ้าใครมาใกล้ๆเที่ยงอาจจะไม่มีที่นั่งก็ได้ ขากลับมีคนนั่งกับพื้นด้วย) เนื่องจากรถบัสที่ไปกู๋เป่ยมีแค่ 2 รอบวันธรรมดา (12.00 น./ 15.30 น.) และ 3 รอบวันเสาร์อาทิตย์ (10.00 น./ 12.00 น./ 15.30 น.) ค่ารถคนละ 48 หยวน (เด็กคิดราคาเดียวกับผู้ใหญ่)

จากรูปด้านล่าง กู๋เป่ยจะอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากกรุงปักกิ่ง ระยะทางประมาณ 140 กม.


ใช้เวลาเดินทาง 1.30 ชั่วโมงก็มาถึงกู๋เป่ยละ (พี่คนขับขับได้แบบหลับไม่ลงจริงๆ) ที่นี่..อากาศดีมากกก น่าจะ 10 องศาปลายๆ รถทัวร์มาลงเยอะเลย คนที่มาเที่ยวที่นี่มีทั้งแบบ One-Day Trip กับแบบค้างคืน (แนะนำให้มาแบบค้างคืน บรรยากาศค่ำคืนที่นี่สวยไปอีกแบบ) ต้องบอกก่อนว่าเมืองโบราณกู๋เป่ย เป็นเมืองโบราณที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ใช่มีสภาพแบบนี้มาเป็นร้อยปีแล้วนะ อารมณ์แบบเราสร้างตลาดน้ำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวน่ะ 

ห้องน้ำสาธารณะที่นี่สะอาดมาก เห็นดูโบราณๆอย่างนี้เถอะ ข้างในดูพรีเมี่ยม มีที่นั่งชาร์ตแบตมือถือด้วย


ถึงแล้ววว ถ่ายกับป้ายทางเข้า ที่พักเราอยู่ข้างป้ายนี้แหละ 


Nalan Inn คือที่พักของเราที่กู๋เป่ย ถ้าจะเลือกที่พักที่นี่แนะนำ trip.com เลย มีที่พักให้เลือกเยอะกว่าเว็บอื่น ที่นี่จะมีที่พักสองโซน คือโซนด้านใน (หลังจุดจำหน่ายตั๋ว) กับโซนด้านนอก (ก่อนจุดจำหน่ายตั๋ว)

ถ้าเราพักโซนด้านใน เราจะไม่ต้องเสียค่าเข้าเมือง 80 หยวน แต่ถ้าเราพักโซนด้านนอกก็จะต้องเสียค่าเข้าเมืองคนละ 80 หยวน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วที่พักข้างในจะแพงกว่าข้างนอก 

โดยสรุป
ที่พักด้านใน - ใกล้กำแพงเมืองจีนด่านซือหมาไถ ไม่ต้องเสียค่าเข้า 80 หยวน แต่ค่าที่พักแพงมักแพงกว่า และไกลทางเข้าจากจุดที่รถจอด
ที่พักด้านนอก - ไกลกำแพงเมืองจีน แต่ใกล้จุดรถจอด ต้องเสียค่าเข้า 80 หยวน ค่าที่พักส่วนใหญ่ถูกกว่า

ตอนแรกเราจองที่พักด้านในเอาไว้ แต่เกิดเปลี่ยนใจ กลัวว่าต้องแบกกระเป๋าไกลกว่าจะไปถึงรร. เราเลยเลือกที่พักด้านนอก เอาใกล้จุดจอดรถดีกว่า (ซึ่งจริงๆที่นี่มีรถรับจ้างเข้าไปด้านในด้วย แต่เราไม่ได้ขึ้น เลยไม่รู้ว่าเค้าคิดเท่าไหร่) 

นี่ไง..รถรับจ้างในเมืองกู๋เป่ย น่ารักไหม กลางวันช่วงอากาศร้อน รถจะถูกเปิดด้านข้างออก ให้เรานั่งรับลง กลางคืนหรือช่วงเช้าๆที่อากาศเย็น รถจะปิดด้านข้างกันลมหนาว


ส่วนนี่เป็นหน้าที่พักเรา Nalin Inn เมืองนี้มีแต่ภาษาจีนทั้งนั้น แม้แต่ป้ายชื่อรร. (รูปนี้ถ่ายหน้าที่พักตอนกลางคืนหลังจากกลับจากกำแพงเมืองจีน) เราใช้ Google Map นำทางมา (ใน Google Map ใส่ชื่อภาษาอังกฤษได้)


รร.ที่นี่น่ารัก ลักษณะจะคล้ายๆกันทุกที คือทำด้วยไม้เพื่อเป็นฉนวนกันหนาว ตอนจองมานึกว่าเป็นอารมณ์แบบโฮมสเตย์ แต่ของจริงมัน Premium กว่ามาก ของใช้ในห้องมีให้ครบถ้วนแล้วของก็เกรดดีกว่ารร.ในปักกิ่งซะอีก จุดนี้คือโถงล็อบบี้ ขวามือคือ Counter Check-In ซ้ายมือคือห้องอาหาร


ห้องพักเราจองมา 4 คน ได้ห้อง 2 เตียงเดี่ยว (แต่เป็นเตียงเดี่ยวที่ไซส์ใหญ่กว่าปกติ) แล้วก็ที่นอนที่เค้าเรียกว่า "คัง" อีกหนึ่งที่ รูปที่ถ่ายมามันมืดเพราะตอนเข้ามายังไม่ได้เปิดไฟ รีบวางของแล้วออกไปกินข้าวกัน แต่จะบอกว่าห้องไม่ได้เก่าเลย ดีมาก เตียงนอนสบายมาก ตอนกลางคืนข้างนอก 5 องศา แต่ในนี้อย่างอุ่นสบาย ห้องน้ำกว้าง อุปกรณ์ครบครัน แต่ไม่มีอ่างอาบน้ำนะ


ปัญหาหลักของที่นี่คือภาษา นอกจากป้ายต่างๆจะมีแต่ภาษาจีนแล้ว พนักงานที่นี่ก็พูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก บางคนพูดไม่ได้เลย แม้ว่าจะเป็น receptionist เราเลยต้องอาศัย Google Translate คุยกัน ตอน Check In เค้าจะให้เราซื้อคูปองค่าเข้าเมืองเลย คนละ 80 หยวน (ถ้าเราพักที่นี่ จะสามารถเข้าออกเมืองหลายรอบได้ โดยโชว์ตั๋ว+passport+ใบเสร็จจากที่พัก) นอกจากนี้เค้ายังมีให้คูปองส่วนลดร้านสปาด้านในด้วย แต่เราไม่ได้ใช้

จากรร.เราเลือกไปกินข้าวกลางวันร้านที่อยู่ตรงข้ามรร. (ซึ่งจริงๆมันก็คือรร.อีกแห่งหนึ่ง) เห็นรูปเมนูที่ติดอยู่หน้าร้านแล้วดูน่ากิน ปรากฎว่า..สอบผ่านจ้าาา อร่อยมากมาย ดูเม็ดข้าวสิ ข้าวญี่ปุ่นชัดๆ ไข่ตุ๋นก็อร่อย (พนง.แนะนำเพราะเห็นเรามีเด็ก) และที่ไฮไลท์คือกระดูกหมูจานนี้ อารมณ์เหมือนกระดูกหมูน้ำแดงผสมกับมัสมั่น คือรักอาหารจีนจากมื้อนี้เลย99


หลังจากท้องอิ่ม ก็ได้เวลาเข้าไปลุยในเมืองกันแล้ว เราเดินตามแผนที่ๆรร.ให้มา ให้ไปที่ Entrance อย่างที่บอกว่าที่นี่ไม่มีป้ายภาษาอังกฤษเลย ต้องใช้วิธีเดินหาตามภาพ 555 นี่ไงลูกตุ้มแดง 4 ลูกนี่แหละคือทางเข้า


เข้ามาด้านในดูดีมาก มี Starbucks เราเริ่มเห็นป้ายภาษาอังกฤษในนี้แหละ เราก็เดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ เค้าจะมีทางกั้นให้เอาตั๋วใส่เข้าไปพร้อมแสกนหน้าเราเพื่อเข้าเมือง

ในที่สุด..เราก็ได้เข้าใน Water Town กันแล้วววว ธรรมชาติมาก


ในส่วนของการโพสนั้น เด็กไทยไม่แพ้ชาติไหนในโลก 52


ใครชอบถ่ายรูปแนะนำว่าไม่ควรพลาด สวยทุกจุด ระยะทางจากปากทางเข้าไปจนถึงกำแพงเมืองจีนเดินเป็นกิโลอยู่ แต่กลับไม่รู้สึกว่าไกลเลย มีวิวต่างๆให้เราแวะถ่ายรูปได้ตลอดทาง


ร้านค้าที่นี่ก็มีดีไซน์ ของที่ขายที่นี่มันน่าซื้อ มีความปราณีต เหมือนของญี่ปุ่น อย่างร้านนี้เป็นร้านขายไอศรีม ตกแต่งได้ดูน่าเข้าเชียว


บางคนอาจจะรู้สึกว่าเมืองนี้แพงทุกอย่าง ทั้งค่าที่พัก ค่ากิน ค่าเข้าเมือง แต่เราว่าเมืองนี้มันคือ Premium China เลย มันให้ความรู้สึกน้องๆญี่ปุ่น แต่อยู่ในบรรยากาศแบบจีน ทั้งที่พัก/ ของกิน/ ของขาย มันไม่ลวกๆอ่ะ มันมีความปราณีต แม้กระทั่งคนที่มาเที่ยว ก็เดินกันเงียบๆ บ้างมาเป็นครอบครัว บ้างมาเป็นคู่ บ้างใส่ชุดโบราณเดิน น่ารักเชียว ไม่มีเอะอะเสียงดังเลย

ระหว่างทางมีบ่อน้ำร้อนให้มานั่งแช่เท้ากันด้วย ถ้ามาช่วงเช้า (ก่อนทัวร์ลง) จะโล่งมากเลย


กว่าจะมาถึงจุดขึ้นกำแพงเมืองจีน เราก็โต๋เต๋กันเป็นชม.อยู่ มาถึงจุดขายบัตร ปรากฎว่ารอบการขึ้นกำแพงเมืองจีนช่วงกลางวันปิดละจ้าาา (ปิดขายตั๋ว 16.00 น. เรามาถึง 16.10 น.43

ที่นี่เป็นด่านเดียวที่ให้ขึ้นตอนกลางคืนได้ ซึ่งการเปิดให้ขึ้นก็มีสองรอบ รอบกลางวันให้ขึ้นได้ถึง 17.00 น. (ขายบัตรถึง 16.00 น.) รอบกลางคืนเปิดขายบัตร 17.30 น. (คนที่พักในนี้แสดงบัตรที่พักจะได้รับส่วนลด Cableway round-trip จาก 160 หยวน เหลือ 120 หยวน) บนป้ายติดว่า Check In Time 20.30 น. เราก็นึกว่าต้องขึ้น 20.30 น. แต่ปรากฎว่าพอซื้อตั๋วตอน 17.30 น. เค้าก็ให้ขึ้นได้เลย 

เราเลือกขึ้น Cableway ซึ่งใช้เวลา 7 นาที ก็จะไปถึงซุ้มประตู 5 แต่ถ้าเดินเท้า แต่ละซุ้มประตูจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที 

จริงๆที่นี่เปิดให้ขึ้นได้ถึงซุ้มประตูที่ 10 แต่ตอนเราไป เค้าบอกว่าก่อนหน้านี้มีพายุเข้าทำให้ซุ้มประตูที่ 7-10 เสียหาย เลยสามารถขึ้นได้ถึงแค่ซุ้มประตูที่ 6


Cableway ที่นี่นั่งได้ 6-8 คน เรานั่งไปกับกลุ่มคนจีน จาก Cableway เราเดินเท้าอีกไม่ไกลก็ถึงซุ้มประตูที่ 6 

ขึ้นไปถึงแล้วคือ มันดีงามมาก มันสวย มันยิ่งใหญ่ เรานั่งมองกำแพงเมืองจีนที่ยาวไปสุดลูกหูลูกตา แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่านี่หรอคือฝีมือมนูษย์แบบหินก้อนใหญ่ๆขึ้นมาถึงสันเขาเพื่อมาต่อให้เป็นกำแพงได้ยาวขนาดนี้เนี่ยนะ


จับพระอาทิตย์ได้แล้ว เย้.. 555


ช่วงที่นั่งอยู่บนกำแพงเมืองจีนรอชมพระอาทิตย์ตกมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ทั้งอากาศ ทั้งวิว จนไม่อยากจะลุกกลับไเลย


สุดท้ายก็แพ้ความหนาวไม่ไหว 555 ข้างบนลมแรง บวกกับอากาศที่เริ่มเย็นขึ้น เราเลยไม่สามารถนั่งเก็บวิวกลางคืนต่อได้ พอไฟเมืองด้านล่างเริ่มเปิด เราก็เดินลงแล้ว ได้ใช้เวลาอยู่บนกำแพงประมาณชม.เดียว

ลงมาถึงในเมืองเปิดไฟสวยงามเชียว มีการแสดงแสงไฟโชว์ตรงน้ำพุด้วย กลางคืนที่นี่คนคึกคักไม่แพ้กลางวัน


เราเดินไปหาอาหารค่ำกินกันที่ Food Street นี้แหละ ร้านอาหารในนี้ต้องจ่ายด้วยคูปอง เราต้องไปซื้อคูปองก่อน ซึ่งบูธจำหน่ายคูปองก็กลมกลืนกับร้านอาหารเหลือเกิน เป็นส่วนหนึ่งของร้านขายน้ำผลไม้ บูธคูปองปิดสามทุ่ม ถ้าเราคืนไม่ทันวันนี้ เอามาคืนพรุ่งนี้ได้


เราเห็นข้าวอบอะไรสักอย่างดูน่ากินเลยเลือกร้านนี้ มันมีสองเมนูบนกับล่าง เราชี้ล่าง ได้บน 555 รสชาติก็พอได้ กินแก้หิว แต่ไม่พีคเหมือนมื้อกลางวัน

กลางคืนที่นี่วิวสวยไปอีกแบบ แต่เราอยากถ่ายรูปเมืองนี้ตอนพระอาทิตย์เริ่มตก ตอนเมืองเปิดไฟตเราว่าน่าจะเป็นช่วงที่สวยที่สุด (ตอนลงมาถึงมันมืดไปแล้ว) เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะตื่นมาแก้ตัว ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นแทน


หลังจากนั้นเราก็เดินกลับที่พักกัน อากาศกลางคืนเย็นลงเยอะ เหลือประมาณ 5 องศา เดินไปตัวจะแข็งไป แต่พอได้กลับถึงที่พัก ได้เข้าไปในห้องฟินสุดๆมันอุ่นดีมากเลย 

Day IV (จ. 6 พ.ค. 62) : Gubei Water Town / ตลาดรัสเซีย / ถนนเฉียนเหมิน

หลังจากที่วางแผนเมื่อคืนว่าจะตื่นตีสี่เข้าเมืองริมน้ำไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น ผลปรากฎคือตื่น 7 โมง 5555 ลุกไม่ขึ้น 7 โมงที่นี่คือแดดจ้าแล้ว เราก็รีบเดินเข้าไปเก็บภาพให้ แต่ได้ภาพไม่ต่างกับสี่โมงเย็นเมื่อวานเลย (แดดจ้าพอกัน) แต่ข้อดีของการมาถ่ายรูปตอนเช้าคือ ไม่มีคน โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ที่มาเที่ยว Day Trip เดินไปรู้สึกเหมือนเป็นคุณหนูจากตระกูลหยางออกมาเดินเล่นในหมู่บ้าน 555 


กลับมาทานอาหารเช้าที่รร.เกือบไม่ทัน (อาหารเช้าเปิดถึง 9.30 น.) ไลน์อาหารเช้าที่นี่เยอะดี ปกติเราเป็นคนไม่ชอบกินข้าวต้ม แต่มากินที่นี่คืออร่อยยย พวกผักดอง ถั่ว อะไรเงี่ย ปกติไม่กินเลย มานี่ก็ตักมานิดๆเอามาชิมให้รู้ว่ารสชาติเป็นไง ปรากฏว่าอร่อยหมดเลย เต้าหู้ยี้สีแดงนี่สุดยอด อีกไฮไลท์ของมื้อเช้าคือข้าวโพด ข้าวโพดที่นี่เหมือนข้าวโพดหวาน (สีเหลืองเข้ม) บ้านเราแต่พอกัดเข้าไปแล้ว ได้ฟิลลิ่งข้าวโพดข้าวเหนียว เจ๋ง อร่อยด้วย

เที่ยงตรงได้เวลาออกจากที่นี่กันแล้ว มาถึงปักกิ่งเกือบบ่ายสองเพราะรถติดในปักกิ่ง เราตรงไปยังที่พัก(เดิม) เพื่อเอาของไปเก็บ แล้วก็ลุยต่อไปยังตลาดรัสเซีย วิธีไปก็นั่งรถไฟสาย 1 ไปลงสถานี Yong' Anli แล้วเดินตามป้าย 'Silk Market' สามารถเดินเข้าห้างได้จากสถานีรถไฟเลย ตรงทางเข้าจากสถานีรถไฟ มีรูปผู้นำหลายๆประเทศ (ของไทยก็มี) เคยมาเดิน shopping ที่นี่กันด้วย


เอาจริงๆก็แอบสงสัยว่ามันใช่ตลาดรัสเซียที่เค้ามากันจริงๆหรอ ที่นี่มันดูโล่งๆ คนน้อยๆ ซึ่งหน้าตึกก็ไม่เหมือนรูปที่เรา แต่แบรนด์ก็อปนี่ใช่ ทั้งหลุยส์ กุชชี่ ชาแนล มีหมด เราเดินที่นี่แค่แป๊บเดียวก็กลับ ไม่มีอะไรน่าประทับใจเท่าไหร่ 


จากตลาดรัสเซีย เรานั่งรถไฟมาลงสถานี Qianmen เพื่อไปเดินเล่นที่ถนนเฉียนเหมิน (Qianmen) 


ถนนเฉียนเหมิน เป็นถนนสายวัฒนธรรม มีอายุกว่า 600 ปี มาเดินที่นี่มีครบหมด ทั้งบรรยากาศสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณที่จำลองมาจากยุคราชวงศ์หมิงและชิง ร้านของกิน ร้านของฝาก เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาปักกิ่ง



นอกจากร้านค้าต่างๆแล้ว บนถนนคนเดินแห่งนี้ยังมีรูปปั้นแสดงถึงวิถีชีวิตของคนจีนสมัยก่อนอยู่เป็นระยะ


Starbucks ยังดีไซน์ได้กลมกลืนกับบรรยากาศแบบจีนโบราณ 28


ที่นี่จริงๆมีร้านปักกิ่งขึ้นชื่อ แต่เราไม่ได้กิน (เลี่ยนมาจากวันก่อน) มาลองเป็ดปักกิ่ง To Go ด้วย ราคาย่อมเยา 25 หยวน เห็นคนต่อคิวเยอะดี เอามากินกันเล่นๆ อร่อยพอได้ แต่เอาจริงๆเราชอบรสชาติเป็ดปักกิ่งเมืองไทยมากกว่า117


ส่วนเจ้าขนมเกลียวนี่ อย่าไปลองเลย จืดแข็งตีหัวหมาแตก 555 ขนมเกลียวแนะนำที่เทียนจินเลย หอมอร่อยกรอบกำลังดี เค้ามีส่วนผสมพวกงาด้วย แต่ที่ปักกิ่งแป้งล้วนแถมแข็งมาก


ส่วนที่เด็ดและ highly recommended คือน่องไก่ย่าง 117 หน้าตามันอาจจะเหมือนน่องไก่ทั่วไป แต่ความเจ๋งคือมันมีข้าวซ่อนอยู่ข้างใน ซึ่งมันคลุกเคล้ากับเนื้อไก่ที่คลุมอยู่ด้านนอกได้อย่างอร่อยลงตัว 


ถ้าถามว่าระหว่างถนนหวังฟู่จิ่ง (Wangfujing) กับ ถนนเฉียนเหมิน (Qianmen) เราชอบที่ไหนมากกว่า เราชอบถนนเฉียนเหมินมากกว่า ที่หวังฟู่จิ่งมันเป็นแหล่ง tourist มากเกินไป (แถมเราไปเจอแม่ค้าโก่งราคาด้วย เลยมีประสบการณ์ไม่ดีเท่าไหร่ 555) ที่นี่ให้ความรู้สึกถึงวิถีชีวิตคนจีนสมัยก่อน และมีความผสมผสานระหว่างร้านค้ายุคใหม่อย่าง Starbucks, Zara, H&M ให้เข้ากับสถาปัตยกรรมจีนยุคก่อนได้อย่างลงตัว




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2562   
Last Update : 6 สิงหาคม 2562 13:03:02 น.   
Counter : 3164 Pageviews.  
space
space
2019 ปักกิ่ง (ตอนที่ 1) ชิมของแปลก Wangfujing / พระราชวังฤดูร้อน / พาชิมเป็ดปักกิ่ง Liqun Roast Duck
มาแว้ววว ทริปปักกิ่ง 9 วัน จากโปร China Southern Airline เราออกเดินทางกันวันที่ 3 พ.ค. (ต่อเครื่องที่กวางโจว 2 ชม.) 

ประเดิมด้วยภาพถ่ายฝีมือคุณลูกชายคนโตก่อนออกเดินทางเวลา 8.40 น. พวกเราพร้อมละค้าบบ


Day I (ศ. 3 พ.ค. 62) : กรุงเทพฯ-กวางโจว-ปักกิ่ง / ถนนหวังฟู่จิง (Wangfujing)

จากกรุงเทพฯไปกวางโจว เดิมทีเราได้บินเครื่อง Boeing 737 Max 8 (เครื่องรุ่นที่ตกมาสองลำก่อนหน้านี้แหละ 58) แอบลุ้นว่าเค้าจะเปลี่ยนเครื่องเป็นรุ่นอะไร ปรากฎว่าได้ 737 ตัวเก่า (ก่อน Max 8) ที่นั่ง 3-3 

จากกวางโจวไปปักกิ่ง เป็นเครื่องลำใหญ่ Airbus 330 ที่นั่ง 2-4-2 ดูหนังกันเพลินเลย มี Aqua man แล้วด้วย ถึงปักกิ่งดูหนังจบพอดี

ที่จีนเมฆหนามาก เหมือนนั่งอยู่บนปุยเมฆ28 ตอนจังหวะจะ landing ต้องฝ่าฝูงเมฆกันไป


มาถึงปักกิ่ง 18.05 น. ที่นี่หน้าร้อนจะสว่างตั้งแต่ตีสี่ตีห้า ตอนเย็นก็มืดช้า หนึ่งทุ่มนี่ยังสว่างอยู่เลย จากสนามบิน เรานั่ง Airport Express ไปลงที่สถานี Dongzhimen ค่าตั๋ว AE คนละ 25 หยวน ตอนขามาเราซื้อสี่ใบ แต่เห็นเด็กหลายคนเดินเข้าพร้อมพ่อแม่ ขากลับเลยลองสอบถามเจ้าหน้าที่ดูว่าเด็กเสียยังไง เค้าดูความสูง สรุปว่าของเราเค้าคิดแค่คนโตคนเดียว (คนโตสูง 125 ซม. คนเล็ก 120 ซม)

จาก Dongzhimen เราสามารถต่อขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าเมืองได้เลย ที่นี่เราซื้อบัตรอี้ข่าถ่งเพื่อใช้ในการเดินทาง บัตรจะมีค่ามัดจำ 20 หยวน เราซื้อไป 100 หยวน ก็ใช้เงินในบัตรได้ 80 หยวน

จะบอกว่าค่ารถไฟฟ้าในจีนถูกมากมาย เริ่มต้น 3 หยวน แพงสุด 7 หยวน แต่ใช้บัตรอี้ข่าถ่งไม่ได้ลดนะ ได้ความสะดวกที่ไม่ต้องคอยหยอดเหรียญ (แต่มีข้อเสียของการใช้บัตรอี้ข่าถ่งด้วย เด๋วเล่าให้ฟังวันสุดท้าย)

ถึงละค้าบ ที่พักของเราที่ปักกิ่ง Novotel Xinqiao Hotel ข้อดีมากๆของรร.นี้คือ ติดรถไฟฟ้า สถานี Chongwenmen (ที่จีนเดินแต่ละที่ไกลมาก แม้แต่ช่วงเปลี่ยนสายรถไฟฟ้า ยังเดินพอสมควรเลย) การได้ที่พักติดสถานีรถไฟเลย น่าจะเป็นคำตอบที่เหนื่อยน้อยหน่อย 555 

ช่วงอยู่ปักกิ่ง เราพักที่นี่ทุกวัน (ระะหว่าที่ไปนอกเมือง ก็ฝากกระเป๋าไว้ได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย) แม้รร.จะเก่าไปหน่อย แต่ก็ได้มาตรฐาน Accor อยู่ ตอนพักเราได้พักห้อง 2 แบบ คือ Premier room กับห้อง Superior room ความแตกต่างคือห้องน้ำ premier มีอ่างอาบน้ำ (แต่แอบเก่า) แต่ superior เป็นฝักบัว ส่วนขนาดห้อง เราว่า Premier ใหญ่กว่านิดนึงนะ


สถานีรถไฟฟ้าในปักกิ่งหลายๆสถานียังไม่มีลิฟท์ ส่วนบันไดเลื่อนมีไม่ครบทุกทางออก ดังนั้นเตรียมตัวแบบกระเป๋าเดินทางกันด้วยนะจ๊ะ (บันไดไม่ชันมาก พอให้เรายกกระเป๋าได้แบบไม่เหนื่อยเกินไป)


ก่อนออกจากสถานี ดูทางออกกันดีๆ ออกทางออกผิดนี่ เดินอย่างไกล อย่างสถานี Chongwenmen ถ้าเราจะมาที่รร. เราต้องออกทางออก A2 ถ้าออกทางออก E,F,G,H นี่เดินไกลเลย (แม้สถานีนี้จะเป็นสถานีเชื่อมต่อรถไฟ 2 สายคือสีน้ำเงินและสีม่วง แต่ถ้ามาที่รร.เรา เดินจากรถไฟสีน้ำเงินจะใกล้กว่า ดังนั้นถ้ามีทางเลือกว่าจะขึ้นสายสีน้ำเงินหรือสีม่วงมาที่รร.ดี แนะนำให้ขึ้นสายสีน้ำเงินดีกว่า)


หลังจากเก็บกระเป๋ากันแล้ว เราก็ตรงไปหาของแปลกกินที่ถนน Wangfujing กันเลย 

นี่เป็น Beijing Subway Map เวลาจะไปต้องหาแผนที่ฉบับล่าสุดนะ เพราะที่ปักกิ่งมีการสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่เพิ่มเรื่อยๆ จะเห็นว่าจุดศูนย์กลางของเมืองปักกิ่งคือพระราชวังต้องห้าม 

จากที่พัก เราขึ้นรถไฟสายสีน้ำเงินไปต่อสีแดง เพื่อไปลงสถานี Wangfujing (ชอบการตั้งชื่อสถานีที่นี่ ตั้งชื่อตามสถานที่สำคัญ เห็นแล้วรู้เลยว่าที่สถานีนี้มีอะไร เช่น สถานี Olympic Sports Center ก็คือตึกโอลิมปิก, สถานี Beijing Zoo ก็ไปสวนสัตว์ เป็นต้น)

ถนน Wangfujing จะมีตรอกอยู่ตรอกนึง ขึ้นชื่อเรื่องของกินแปลกๆ มีทั้งแมงป่องเป็นๆเสียบไม้ ตะขาบ ปลาดาว ม้าน้ำ เรียกได้ว่า Everything You can Eat วิธีไปไม่อยาก เดินตามฝูงชนไปเลย จะเห็นคนต่อแถวกันยาวๆเพื่อเข้าไปในตรอกนี้



หลังจากที่เราเห็นสรรพสัตว์ทั้งหลายเสียบไม้ ความหิวมันก็มลายหายไปทันที เกิดอาการกินอะไรไม่ลง อยากกินมังสวิรัติขึ้นมา เลยจบที่เต้าหู้ทอดละกัน 555 (อร่อยนะเออ ขอบอก)


ส่วนเด็กๆ เราก็ play safe หาของที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด 555 นั่นไงกุ้งชุบแป้งทอด เนื่องจากอ่านภาษาจีนไม่ออก เห็นป้ายเขียนมีตัวเลขเขียนว่า 25 แล้วก็ภาษาจีน ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คุณแฟนสั่งไป 12 ตัว (กะว่า 4 คนกินคนละ 3) ระหว่างที่เค้าเอาไปทอด แฟนเราก็ถามว่าเท่าไหร่ คนขายบอกให้รอก่อน (คนขายที่นี่ภาษาอังกฤษพอได้บ้าง เพราะเป็นแหล่ง tourist) พอทำเสร็จ คนขายบอก 300 หยวน พวกเรานี่ถึงกับตาค้าง หา 1,500 บาท!! เราหันไปดูป้ายใหม่ มันน่าจะคือ 25 หยวน ต่อกุ้งชุบแป้งทอด 1 ตัว นั่นคือตัวละ 125 บาท!! กินเท็มปุระบ้านเรายังได้ตั้ง 3-4 ตัวราคานี้ มันคือ street food ที่ราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยกินมา (ร้องไห้แปบบบ) 


คืนแรกจบไปแบบคาใจว่า ค่าอาหารเมืองจีนมันแพงขนาดนี้เลย หรือเราถูกหลอก?

Day II (ส. 4 พ.ค. 62) : พระราชวังฤดูร้อน (Summer Palace) / เป็ดปักกิ่ง Liqun Roast Duck

จริงๆโปรแกรมวันนี้ เราตั้งใจจะไปจตุรัสเทียนอันเหมิน + พระราชวังต้องห้าม แต่ตอนนั่งรถไฟจะไป รถไฟข้ามสถานีรอบเทียนอันเหมินไปหมดเลย พยายามเปลี่ยนสายอื่นก็เป็นเหมือนกัน เสิร์ชหาข้อมูล ปรากฏว่าวันที่ 4 พ.ค. ครบรอบ 30 ปีเหตุการณ์นองเลือดจตุรัสเทียนอันเหมิน เค้าเลยมีพิธีสวนสนาม เป็นอันว่าโปรแกรมนี้เลยต้องยกเลิก เปลี่ยนไปพระราชวังฤดูร้อนอี้เหอหยวนกันแทน 

พระราชวังฤดูร้อน เราขึ้นรถไฟสาย 4 ไปลงสถานี Beigonmen และเหมือนเดิม เมื่อถึงทางออกก็เดินตามฝูงชนไป (คนจีนมาเที่ยวกันเองเยอะ) ก่อนถึงทางเข้าพระราชวัง จะมีร้านอาหารขาย เรากลัวข้างในจะไม่มีอะไรก้น เลยซื้อข้าวกล่องกินกันข้างหน้าก่อน กล่องละ 30 หยวน อืมม ราคาอาหารที่นี่ไม่ถูกจริงๆ กล่องละ 150 บาท (เอ๊ะหรือนี่ราคานักท่องเที่ยว???) 


ค่าเข้าพระราชวังฤดูร้อนคนละ 60 หยวน (เด็ก 30 หยวน) คือสามารถเข้าชมได้ทุกจุด แบบไม่ต้องไปเสียเพิ่มด้านใน จุดแรกเราเข้าไปชมตลาดน้ำซูโจว (Suzhou Street) ก่อนเลย ถนนนี้สร้างในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง เนื่องจากพระองค์อยากให้จำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านมาไว้ในวัง (ที่เราเห็นอยู่นี้คือมีการบูรณะใหม่แล้ว เพราะของเดิมถูกอังกฤษและฝรั่งเศสเผาทำลายไป)


ที่ถนนซูโจว มีร้านให้เช่าชุดฮ่องเต้ถ่ายรูปด้วย (มีหลายร้านเลยนะค่อยๆดูไป) เราเห็นร้านแรกรีบเข้าไปเลย ค่าเช่าชุดละ 30 หยวน (เช่าเฉพาะชุดแบบไม่เอารูป) แต่เค้าอนุญาตให้เราถ่ายด้วยกล้องตัวเองนะ 

น่ารักไหมฮ่องเต้น้อยของเรา 28 (ก่อนมาเราเล่าประวัติศาสตร์จีนให้เด็กๆฟัง จนเด็กๆสนใจ แล้วก็ให้ดูหนังจีน ปูยี จักรพรรดิ โลกไม่ลืม เด็กๆชอบตอนปูยี 3 ขวบขึ้นเป็นจักรพรรดิมาก แล้ววันนี้ฝันของพวกเธอเป็นจริงแล้ว 51)


จริงๆเราก็อยากใส่ชุดฮองเฮาสักครั้งนะ แต่คุณแฟนไม่เล่นด้วยบอกว่าชุดเยินมาก อดเบยยย 52 เอาธีมแดงให้เข้ากับบรรยากาศไปแทนก็ละกัน


จากถนนซูโจว เราก็เดินแวะตามจุดต่างๆไป และด้วยความที่ไม่ยอมซื้อแผนที่ (บอกจุดต่างๆในพระราชวังต้องห้าม) กะว่าเดินไปเรื่อยๆก็ได้ ปรากฏว่าเราพลาดจุดเข้าชมไปตั้งหลายจุด เนื่องจากข้างในนี้ใหญ่มาก และมันไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงเข้าไปอย่างเดียว บางจุดต้องไปทางซ้าย บางจุดต้องไปทางขวา ขึ้นเนินบ้าง ทแยงบ้าง ส่วนเราเดินตรงๆเข้าไปเพื่อไปยังทะเลสาปคุนหมิงและเจดีย์แปดเหลี่ยม ซึ่งแอบเมื่อยอยู่ ไกลไม่ว่าแต่มันต้องขึ้นเนิน 31

ในที่สุดเราก็ได้มาเห็นทะเลสาปคุนหมิงแล้ว เย้!! ทะเลสาปนี้ไม่ใช่ทะเลสาปธรรมชาตินะ แต่มันถูกสร้างขึ้นจากมนุษย์!!


ด้วยพระประสงค์ของพระนางซูสีไทเฮาที่ทรงโปรดที่นี่มา สั่งให้คนขุดดินขึ้นมาเพื่อทำเป็นทะเลสาป จากนั้นนำดินไปถมเป็นภูเขาแล้วสร้างวังบนภูเขา ให้ชื่อว่า “ว่านโซวซ่าน”(ภูเขาหมื่นปี) พร้อมตำหนักน้อยใหญ่หลายหลัง สวนดอกไม้กว่า 300 แห่ง มีระเบียงทางเดินริมทะเลสาบ ที่มีชื่อเรียกว่าระเบียงกตัญญู (ฉางหลาง) ซึ่งถือเป็นระเบียงที่มีความยาวมากที่สุดในโลก 


นอกจากทะเลสาปที่ขุดด้วยน้ำมือมนุษย์และระเบียงที่ยาวที่สุดในโลกแล้ว พระนางซูสีไทเฮายังได้สั่งให้นำงบประมาณของกองทัพมาสร้างเรือหินอ่อน หรือ เรือ Shi Fang (สร้างด้วยหินอ่อนทั้งลำ) เพื่อใช้นั่งจิบน้ำชาชมทิวทัศน์ของทะเลสาบ เรือนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า “เรือของคนโง่” (แร๊งงง)


ภายในพระราชวังฤดูร้อนมีร้านขายอาหาร เครื่องดื่มด้วย แต่ราคาแพงกว่าข้างนอกหน่อย อย่างน้ำเปล่าขวดเล็กขวดละ 6 หยวน (ข้างนอก 3-4 หยวน) หลังจากที่นั่งพักกันที่ริมทะเลสาปแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทางในพระราชวังกันต่อ หนทางยังอีกยาวไกล สู้ต่อไปทาเคชิ 


เป้าหมายต่อไปของเราคือเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่


จากจุดนี้ มาดูในตั๋วเรายังเหลือจุดที่เรายังไม่ได้เข้าชมอีก 2-3 จุด ก็พยายามเดินหา (ข้างๆทะเลสาปคุนหมิงมีแผนที่ภายในพระราชวังฤดูร้อน ถ้าใครที่ไม่ได้ซื้อแผนที่ตอนทางเข้า ก็มาดูที่นี่ได้) จากแผนที่ จะเห็นว่าจุดที่เรายังไม่ได้เข้าชมนั้น อยู่ห่างกันคนละทิศ เราเลยเลือกเดินฝั่งเดียว เพราะเริ่มหมดแรงละ

ระหว่างเดินอยู่ในพระราชวัง ได้เห็นการเกงมีรูด้วย 29 ขนาดอยู่ในยุคแพมเพิสแล้ว คนที่นี่ก็ยังใส่กางเกงมีรูอยู่


เป็นอันจบโปรแกรมเที่ยวพระราชวังฤดูร้อนแต่เพียงเท่านี้ (ใช้เวลา 3-4 ชม.) ตอนแรกกะจะไปตลาดรัสเซียต่อ แต่ดูเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ไปถึงที่นั่นคงมีเวลาเดินแปบเดียว เลยกลับไปตั้งหลักที่รร.กันก่อน

พอถึงรร.ชักเริ่มเมื่อย งั้นหาอะไรอร่อยๆกินแถวนี้แทนก็ละกัน (โปรแกรมปรับตามใจฉัน52) เฮ้ย เราเจอร้านเป็ดปักกิ่งแสนอร่อยอยู่ไม่ไกลจากรร.แหละ (1.5 ก.ม.) สู้!! ทั้งวันเกือบ 10 โลเดินมาแล้ว อีก 1.5 โลจะเป็นไร 52 

ว่าแล้วก็เดินจากรร.ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยบ้านคนแถวนั้น  


นี่ไงถึงแล้ว ร้านอยู่ในตรอก เป็นร้านเล็กๆ แต่จะเห็นคนนั่งรอบนเก้าอี้พลาสติกหน้าร้านเต็มเลย เราเดินเข้าไปในร้าน แจ้งจำนวนคน แล้วก็ออกมานั่งรอที่เก้าอี้พลาสติกหน้าร้าน พอถึงคิวเราได้นั่งแชร์โต๊ะกับคนจีนอีกกลุ่มหนึ่ง


ไม่รอช้ารีบจัดเมนูเป็ดปักกิ่งมาก่อนเลย เค้าทำเป็นเซ็ตเอาไว้ให้ เราสั่งเซ็ตสำหรับสองคน แล้วเพิ่มไก่ผัดอะไรสักอย่าง กับข้าวผัดไข่ มาให้เด็ก 


ค่าเสียหายมื้อนี้ 484 หยวน ก็ประมาณ 2,400 บาท ไม่แพงนะ แต่ถ้าถามถึงรสชาติเราชอบเป็ดปักกิ่งเมืองไทยมากกว่าแฮะ ที่ไทยจะแร่ให้มีแต่หนังกรอบๆ แล้วเอาเนื้อไปทำอาหารอย่างอื่น ที่นี่แร่หนังติดเนื้อ (อ้อ เป็ดเมืองจีนไขมันเยอะด้วย ดูมันที่ติดที่หนังสิ) 

ตอนออกมาได้มีโอกาสดูรูปที่เค้าติดไว้ที่ฝาผนัง มีคนดังระดับโลกมาทานที่นี่หลายคนเลย ดาราดังฮ่องกงทั้งเจ็ท ลี, โจเหวินฟระ, หงจินเป่า (ในเรื่องยิปมัน 2) และที่สำคัญสมเด็จพระเทพฯก็เคยเสด็จมาที่ร้านนี้ด้วย


และจบการเดินทางวันที่สองแต่เพียงเท่านี้...




 

Create Date : 19 พฤษภาคม 2562   
Last Update : 19 พฤษภาคม 2562 22:22:10 น.   
Counter : 1138 Pageviews.  
space
space
1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ด้วยรักและผูกพัน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]






space
space
[Add ด้วยรักและผูกพัน's blog to your web]
space
space
space
space
space