|
ตำนานเมืองใหญ่ในล้านนา ฉบับบ้านเมือง (7)
เสียงเงียบจากเมืองเชียงลาว
ถึงเมืองเชียงใหม่
ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เล่าว่า เมื่อจุลศักราชได้ ๑ ตัว ตรงกับ ปีพุทธศักราช ๑๑๘๒ พระญาลาวจก คือว่า ลวจังกราชะ ปฐมราชวงศ์ลาว เกิดปีนั้นกินเมืองเชียงลาวก็ปีนั้น
กิตติลือชาปรากฏไปทั่วทิศานุทิศว่า พระญาเทวราชะเจ้าลุก(เดินทาง)แต่ชั้นฟ้าลงมาเกิดเปนพระญาในชัยวรนคร คน(ชาวเมือง)ทังหลายชวนกันนำ(เอา)บรรณาการมากนักมาถวาย แล้วขออยู่เปนราชเสวกแห่งพระญาลวจังกราชะตนนั้นแล
ตำนานตรงนี้บอกผู้ฟังเป็นนัยยะว่า ผู้คนในเครือข่ายกลุ่มบ้านเมืองที่ตำนานเรียกว่าเมืองในล้านนาไท (ในเวลานั้นคือ ปี จ.ศ. ๑) ต่างยอมรับในพระราชอำนาจของพระญาลวจังกราช (หรือลวจักราช, ปู่เจ้าลาวจก) คือ ความเป็นใหญ่ของพระญาเมืองเชียงลาวเหนือบ้านเมืองอื่น
ก่อนที่จะว่ากันเรื่องการสร้างบ้านแปลงเมือง และการสืบลำดับกษัตริย์ราชวงศ์ลาว ขอชวนท่านกำหนดความสนใจพิจารณาเรื่อง เมืองเชียงลาว เมืองยางเงิน หรือว่า ชัยวรนคร ไว้เป็นอารมณ์กันก่อนครับ
เมื่ออ่านตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่แล้ว ผมมีข้อสังเกตอย่างนี้ครับ
(๑) ท่านผู้แต่งตำนานบอกเป็นนัย ๆ แก่เราว่าก่อนหน้าปี จ.ศ. ๑ เมืองล้านนาไท มีอยู่แล้ว (๒) เมืองล้านนาไท เป็นชื่อกลุ่มเมือง หรือ กลุ่มเครือข่ายบ้านเมือง (๓) มีท้าวพระญาทังหลายในเมืองล้านนาไท (๔) ก่อนหน้าปี พ.ศ. ๑๑๘๒ นั้น ไม่มีพระญามหากษัตริย์องค์ใดเป็นใหญ่แก่ท้าวพระญาทั้งหลายในเมืองล้านไท และ--- (๕) ในเมืองล้านนาไท มีเมืองชื่อ "เมืองเชียงลาว" ตั้งอยู่แล้ว
คราวนี้ผมขอเชิญท่านผู้อ่านลองพิจารณาความในตอนต้นตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ที่ว่า ดูราสาธุชนสรรพบุรุษเจ้าทังหลาย อาจารย์เจ้าตนจักแปลงนิทานศุภกถาจารีตอดีตลำดับราชวงศาราชาท้าวพระญา อันเสวยสมบัติใน นพบุรีศรีพิงชัยเชียงใหม่ อันเป็นใหญ่ ในสัตตปัญญาสะล้านนา ๕๗ เมือง ตั้งแต่ลวจังกราชะเจ้า มาตราบเถิง เจ้ามังราย ด้วยลำดับต่อเท้าเถิงกาละบัดนี้
เมื่อเดินเรื่องสอบย้อนหลังดูความกันแล้ว นั้นก็หมายความว่า---
(๖) ตำนานฉบับสำนวนนี้แต่งขึ้นเมื่อภายหลังปี หรือ ระหว่างปีที่ตำนานระบุว่าเท้าเถิงกาละบัดนี้ ตรงกับเวลาตอนสุดท้ายในตำนานเล่าว่า ปีนั้นเปนปีเมิงใค้ (ใค้ อ่าน ไก๊ ไทใต้ว่า ปีกุน) สกราช ๑๑๘๙ หั้นแล พื้นนครนิทานกถา ผูกถ้วนแปด ก็แล้วเท่านี้ก่อนแล จ.ศ ๑๑๘๙ ตรงกับ (1181 + 1189 =) ปี พ.ศ. ๒๓๗๐ (๗) ตำนานฉบับนี้ ระบุว่า เมืองในล้านนาไท มี ๕๗ เมือง ย่อมเป็นการสร้าง วาทกรรมความสัมพันธ์เชิงอำนาจ จากฐานข้อมูลในช่วงปีที่แต่งตำนาน
ขอย้ำว่าเราสามารถใช้กรอบอ้าง
เมืองเชียงใหม่ อันเป็นใหญ่ ในเมืองล้านนาไท ๕๗ เมือง ได้ก็เมื่อตั้งเวลาไว้ที่ ปี พ.ศ. ๒๓๗๐ ครอบคลุมช่วงปีก่อนหลังจากนี้ เท่านั้น, ส่วนท่านจะกำหนดเอาตัวเลขบวกลบเลขก่อนหลังปี พ.ศ. ๒๓๗๐ ไว้นานเท่าใด ก็คงต้องบอกว่าต่างคนก็ต่างใจ จึงคิดว่าแต่ะละท่านก็กำหนดเอาตามข้อวินิจฉัยของตน ๆ เถิดครับ
ดังนั้นใครก็ย่อมไม่อาจอ้างอิงหลักฐานหรือแม้แต่โยงจินตนาการของผู้อ่าน(ในยุคหลัง ปี พ.ศ. ใด ๆ ก็ดี) ถึงความมีอยู่เป็นอยู่ของบ้านเมืองต่าง ๆ สลับข้ามไปมาในตำนานแต่ละยุคสมัยและรวมทั้งในปรากฏการณ์ร่วมยุคกับผู้อ่านแต่ละคนแต่ละกาลเทศะได้ ผู้เขียนหมายความว่า_____
ขอยกตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. ๑๑๘๒ นั้น ยังไม่มีเมืองที่ชื่อว่า เมืองเชียงแสน แต่เมืองที่ตั้งอยู่ ณ ที่นั้นในยุคที่ตำนานกล่าวถึง อาจเป็นเมืองที่เรียกชื่ออื่นก็ได้, และก็ เมืองเชียงแสน ที่ปรากฏชื่อในตำนานอื่นเช่นในตำนานสีหลวัตินั้น ใครก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นเมืองเชียงแสนเมืองเดียวกับเมืองชื่อเดียวกันหรือคล้ายกันนี้ในตำนานอื่น ๆ อีกด้วย เพราะหากคนเล่าคนฟังนิทานปักใจเชื่อว่าเมืองในตำนานหนึ่งเป็นเมืองเดียวกับเมืองในอีกตำนานหนึ่ง หรือว่าเป็นเมืองเดียวกับเมืองที่ตนเองรู้จักในปัจจุบันแล้วละก็ ย่อมยิ่งเพิ่มความสับสนด้านมิติเหตุการณ์ กาละ และเทศะมากขึ้นไปอีก
พูดกันให้เห็นได้ง่ายก็ว่า ในปีพ.ศ. ๑๑๘๒ นั้น พระญามังรายเจ้ายังไม่เกิดขึ้นในเมืองคน และเมืองเชียงใหม่อันพระยามังรายสร้างขึ้นก็จึงยังไม่มีปรากฏเป็น เมืองใหญ่ในล้านนาไท, ใช่หรือไม่?
ยิ่งแล้วในปี พ.ศ. นี้ (หากคุณอ่านตำนานนี้เมื่อเขียนลงบล็อกออนไลน์ คือ ปี พ.ศ. ๒๕๔๙) ที่เราท่านอ่านตำนานกันอยู่นี้ เมืองเชียงแสนนั้นเป็นชื่ออำเภอหนึ่งขึ้นกับจังหวัดเชียงราย, ส่วนเชียงใหม่เป็นเทศบาลนคร - เป็นอำเภอเมือง เป็นเมืองหลักเมืองหลวงของภาคเหนือตอนบน- เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับตลาดโลก และเป็นจังหวัดใหญ่อันดับสอง(รองจากกรุงเทพมหานคร)ของประเทศไทย ดังนี้เป็นต้น
ในมิติด้าน 'การสร้างและการประกาศวาทกรรมเพื่ออ้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจของตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับที่เขียนขึ้นภายหลังเหตุการณ์ในตำนานช่วง ปี พ.ศ. ๒๓๗๐ ดังกล่าวนี้ มีนัยยะสำคัญพึงพิจารณาดังนี้ ---
(๘) ท้าวพระญาผู้กินเมืองเชียงใหม่ ย่อมเป็นใหญ่เหนือเมืองในสัตตปัญญสะล้านนา ๕๗ เมือง ในช่วงเวลาที่อาจารย์ท่านแต่งตำนานนี้ขึ้น ดังกล่าวแล้วนั้น เพราะเหตุว่า (๙) ลำดับราชวงศาท้าวพระญาเหล่านั้นย่อมสืบเชื้อสายมาจากองค์ปฐมราชวงศาคือว่า พระญาลวจังกราชะ ผู้กินเมืองเชียงลาว เริ่มแรกเมื่อ ปี พ.ศ. ๑๑๘๒ มาตราบเถิง พระญามังราย ปฐมกษัตริย์ผู้สร้างแลเสวยสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ด้วยลำดับต่อเท้าเถิงกาละปี พ.ศ. ๒๓๗๐ บัดนี้ หั้นแล
นักเลงตำนานที่เคารพรักครับ ใครจะเชื่อตามหรือไม่อย่างไรก็ดี ก็สุดแล้วแต่พระเดชพระคุณเถิดขอรับ
กำลังนี้ผมจะบอกท่านว่า หากมองตำนานว่าเป็นเรื่องเล่าที่สร้างขึ้นด้วยการปรุงแต่งผ่านรูปแบบของภาษาและการบรรยายแล้ว ตำนานในระดับนี้จึงเป็นนิทานอันหมายถึงเรื่องโกหก ไม่ควรคิดอะไรให้มากไปกว่าการเสพเพื่อความบันเทิง
แต่ทว่าหากยกระดับตำนานขึ้นสู่ระดับความจริงเชิงสัญลักษณ์ที่แสดงด้วยคำพูดหรือถ้อยคำแล้ว ความจริงเชิงสัญลักษณ์ที่ตำนานต้องการบอกนั้นก็คือ --- ความเงียบที่อยู่เบื้องหลังคำพูด
ตำนานจึงต้องเป็นความจริงในปัจจุบัน ณ กาลเทศะที่เราเสพสื่อสารกับมันเสมอไป
ดังเช่นเวลานี้เรื่องราวและตัวตนของ พระญาลวจังกราช และเมืองเชียงลาว เมืองยางเงิน ชัยวรนคร อันเป็นใหญ่ ในเมืองล้านนาไท ย่อมเป็นความจริงในปัจจุบัน ที่ใครก็มิอาจปฏิเสธความมีอยู่เป็นอยู่ของเรื่องราวเล่านั้นได้
หาไม่เช่นนั้นแล้ว--- พระญามังรายเจ้า และเมืองนพบุรีศรีพิงชัยเชียงใหม่ ก็ย่อมไม่อาจเคยมีอยู่ในโลกความเป็นจริงเลย
เพราะ นับราชวงศ์ตั้งแต่ลวจังกราชะ มาเถิง เจ้ามังราย ได้ ๒๕ ชั่วราชวงศ์แล นั้น หากไม่เป็นความจริงตามตำนานในปัจจุบันแล้วละก็ ผลที่ตามหลังมา หรือเหตุการณ์-บุคคล-บ้านเมืองภายหลังที่ปรากฏในท้องเรื่องตำนานนิทานกถาต่อ ๆ มา ย่อมจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริงแผ่กว้างไกลไปอีกมหาศาล แม้มาถึงกาลเทศะร่วมสมัยกับเรานี้ และย่อมส่งผลไปถึงสังคมชุมชนทุกระดับในอนาคต
สมมติว่า วงสาท้าวพระญาผู้เสวยราชสมบัติใน นพบุรีศรีเชียงใหม่ อันตั้งปฐมะหัวทีนั้น หมายว่า พระญามังรายเสวย เมืองพิง เป็นปฐมะก่อนทังหลายแล เปนชั่ว ๑ แล เป็นเรื่องราวในตำนานที่ไม่เคยมีอยู่จริงเลยแล้ว (พูดอีกอย่างคือ ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะไม่มีตำนานเป็นสิ่งยืนยันเล่าไว้ในยุคปัจจุบัน) และแล้วก็-----
three kings monument ภาพถ่าย by fastbacker
"อนุสาวรีย์สามกษัตริย์" เหนือวัดสะดือเมือง เยื้องร้านข้าวมันไก่นั้น ก็จะพลันอันตรธานไป ใช่ไหมเล่าครับ พี่น้องหมู่เฮาทังหลาย
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น--- ณ วันเวลาแห่งยุคทองแห่งตลาดธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยววันนี้
Chiang Mai - Sunday Market photo by scorbette37 (on January 19, 2006) ถนนคนเดิน เชียงใหม่
หากตำนานนิทานกถาไม่เป็นความจริงในปัจจุบันแล้วละก็ เรื่องที่น่าสยดสยองกว่าสงครามการก่อการร้าย ก็จะเกิดมีขึ้นอย่างแน่นอน เชื่อผมเต๊อะ!?!
posted by a_somjai | 2006-09-13 | ตำนาน, เมือง, เหนือ, ล้านนา, เชียงลาว, เมืองยางเงิน, ลวจังกราช , ปู่เจ้าลาวจก, เชียงใหม่
Create Date : 13 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 19 มีนาคม 2550 11:38:46 น. |
Counter : 1151 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตำนานเมืองใหญ่ในล้านนา ฉบับบ้านเมือง (6)
ปฐมวงศาพระญาลาวมาจากไหน?
พระญาอนุรุทธธัมมิกราชะ(แห่งอาณาจักรพุกาม)ตนนั้น ตั้งสกราชใหม่(จุลศักราช)ตัว ๑ ไปในวันนั้นแล้ว ในขณะยามนั้น (พระองค์) เรียกหายังมหากระสัตร (กษัตริย์) แลท้าวพระญาทั้งมวล หื้อ(ให้)เข้ามาพร้อมในราชสำนักแห่งตน
ปรากฏว่าท้าวพระญามหากษัตริย์เมืองอื่นก็เข้าไปเฝ้าพร้อมเสี้ยง (หมดสิ้น) แต่ 'เมืองล้านนาไท นั้นหาใผเป็นตัวแทนท้าวพระญามหากษัตริย์จักไปพร้อมบ่ได้ เหตุว่าบ่มีมหากระสัตร นั้นแล
ถึงตรงนี้ ขอเรียนย้ำไว้ ณ ที่นี้ว่า วัตถุประสงค์ของการแต่งเรื่องและเนื้อเรื่องในตำนานล้านนานั้น ตั้งอยู่บนฐานคิดเรื่อง เมืองอันเป็นที่ตั้งวรศาสนาและพระธรรมราชา ตำนานจึงบอกเราว่าเมื่อปีจุลศักราช ๑ ซึ่งตรงกับปีพุทธศักราช ๑๑๘๒ (= 1181 + 1) นั้น
(๑) มีกลุ่มเมืองล้านนาไทแล้วในปี พ.ศ. ๑๑๘๒ (ส่วนว่าจะมีมาก่อนหน้านี้แล้วหรือไม่ประการใดนั้น ก็แล้วแต่ท่านผู้ฟังนิทานตำนานจะลองวินิจฉัยกันดูนะครับ) (๒) ยังไม่มีพระญาธัมมิกราช (พระยาธรรมิกราช) ผู้เป็นใหญ่กว่าท้าวพระญามหากษัตริย์ในเมืองทั้งหลายในล้านนาไท และ (๓) ยังไม่มีพระญาธัมมิกราชพระองค์ใด เป็นใหญ่เหนือกลุ่มเมืองที่ตำนานเรียกว่า เมืองล้านนาไท
แต่เมื่อกลับไปพิจารณาความในตำนานที่เล่าไว้ใน ตอนที่ ๑ ว่า "กล่าวสำหรับตำนานท้าวพระญาและเมืองในล้านนาตามที่เล่าไว้ใน ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ โดยลำดับนั้น เป็นเรื่องราวของปฐมกษัตริย์เมืองล้านนาไท เมื่อปีเริ่มนับจุลศักราช (ลวจักราช ลวจังกราช หรือ ลาวจก เกิด จ.ศ. ๑ ตาย จ.ศ. ๑๒๐ ตรงกับ พ.ศ. ๑๑๘๒ - ๑๓๐๑) ถึงบัดนี้คือ เรื่องสมัยพระเจ้าเชียงใหม่ เชื้อเจ้าเจ็ดตน จ.ศ. ๑๑๘๙ (ตรงกับปีพ.ศ. ๒๓๗๐ __เกณฑ์ตัวเลขสำหรับลบบวกจุลศักราชกับพุทธศักราชคือ 1181)" แล้วละก็อาจวินิจฉัยได้ว่า
(๔) ท่านผู้แต่งตำนานเมืองเขียงใหม่ สำนวนล้านนา ซึ่งเราอาจคิดเอาได้ว่าเป็นตัวแทนผู้นำและปัญญาชนล้านนาสมัยที่แต่งตำนานนี้ ไม่ได้ถือว่า ยุคสมัยของราชวงศ์จามเทวีครองเมืองละพูนหรือนครหิริปุญไชยรวมอยู่ในเมืองกลุ่มเดียวกันหรือกล่มอำนาจเดียวกันกับกล่มเมืองล้านนาไท เพราะแคว้นหริปุญไชยอยู่คนละเขตแคว้นกับอำนาจเมืองล้านนาไทภายใต้ปกครองราชวงศ์ลาวของลวจกราชแห่งเวียงเชียงลาวยางเงิน (?)
มาว่าเรื่องตำนานเมืองเชียงใหม่ต่อ ด้วยเหตุนี้ พระญาอนุรุทธธัมมิกราชจึงต้องเข้าไปจัดการให้มีมหากษัตริย์ขึ้นในเมืองล้านนาไท โดยไปขอจากพระอินทร์ ดังตำนานเล่าว่า
ขออินทาธิราชะเจ้า เปนที่เอาใจใส่ เมืองล้านนาไทอันเป็นที่ตั้งวรพุทธสาสนาแล หากระสัตตราธิราชะตนเปนเจ้า เปนใหญ่บ่ได้แด่
ข้อสังเกตที่ได้จากตำนานความนี้คือ
(๕) พระมหากษัตริย์ผู้เป็นใหญ่เหนือเมืองอื่นทั้งหลาย จะต้องตั้งเครือข่ายท้าวพระญามหากษัตริย์ไว้ตามเมืองในพระราชอำนาจ (๖) การเป็นพระญามหากษัตริย์ของเมืองใด ๆ จะต้องได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากพระญาผู้เป็นใหญ่จากอาณาจักรอื่นด้วย ซึ่งเราจะได้เห็นกันต่อไปในการแต่งตั้งและสืบทอดกันผ่านแบบแผนพิธีกรรมศักดิสิทธิ์ เป็นลายลักษณ์อักษร หรือ อภิเษกรดสรงด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ และ (๗) ผู้ถูกแต่งตั้งเป็นพระญามหากษัตริย์นั้นจะเลือกเอาจากคนธรรมดาสามัญมิได้ ต้องขอประทานมาจากราชาแห่งเมืองสวรรค์ (คือพระอินทร์หรือท้าวสักกเทวราช)
อีกนัยหนึ่งคือพระญาและเชื้อสายบริวารนั้นต้องผ่านการคัดสรรจากเบื้องบน ดังพื้นนครนิทานกถาเล่าว่า
--- อินทาธิราชะเจ้าก็รับเอาคำว่า ดีดีนัก เราก็หากจักเอาใจใส่ชะแล ว่าอั้น
แล้วอินทาธิราชะก็พิจารณาหา ก็หันยังเทวบุตรตนหนึ่งชื่อ ลวจังกรเทวบุตร อันมีบุญสมพารหากได้กัตตาธิการมามาก อยู่เสวยทิพยสัมบัติในชั้นฟ้าตาวตึงสา (ดาวดึงส์) มีอายุหากจักเสี้ยงดั่งอั้น
นักเลงตำนานที่เคารพรักทั้งหลาย ความสำคัญอยู่ตรงนี้ครับ -----
พระญาอินท์
กล่าวว่า ดูราเจ้าตนหาทุกข์บ่ได้ ท่านจุ่งลงไปเกิดในมนุษยโลกเมืองคนที่เมืองเชียงลาว ที่นั้น แล้วกระทำราชภาวะเปนท้าวพระญามหากระสัตร เปนเจ้าเปนใหญ่แก่ท้าวพระญาทังหลายในเมืองล้านนาไท แลรักษายังวรพุทธสาสนาเทอะ ว่าฉันนั้น
แล้วเราก็ได้ข้อสังเกตเพิ่มมาอีกว่า ------
(๘) พระญามหากษัตริย์ ต้องมีบุญสมภารได้มีบารมีอันยิ่งที่ได้ทำไว้แล้ว ดังคำในตำนานเรียกว่า --กตาธิการ ผู้เขียนไปลองค้นหาความหมายดู จึ่งรู้ว่า --- กตาธิการ คือ อธิการที่ทำไว้ มีบารมีอันสั่งสมไว้แล้ว และเมื่อวินิจฉัยด้วยความเห็นส่วนตัวแล้ว คติ กตาธิการ นี้ เป็นการผลิตซ้ำตำนานอีกครั้งจากความเมื่อเริ่มต้นเล่า(ตอนที่ ๒ หัวข้อ ปฐมราชวงศ์และลำดับแห่งผู้ปกครองบ้านเมืองชาวพุทธ ) ว่า ---- หิ ด้วยมีแท้แล ในเมื่อพระพุทธเจ้ากัสสัปปะปรินิพพานไปแล้ว ในละแวกหว่างนั้น พระพุทธโคตมะเจ้าแห่งเรา ยังสร้างโพธิสมพาร ได้มาเปนพระญาเสวยราชสัมปัตติในเมืองพาราณสี ประกอบด้วยบุญ ปัญญา กายะ พละ รูปสัมปัตติ อิสริยปุริสลักขณะ ยิ่งกว่าฅนทังหลายฝูงอื่น ปรากฎชื่อว่า พระญามหาสมันตราชะ มีอายุยืนได้อสงขัยปี (ดูคำอธิบายได้ ตามลิงค์ไปตอนที่อ้างอิง)
(๙) พระยามหากษัตริย์จะต้องเป็นเทวดาที่หมดอายุขัยบนโลกสวรรค์ จุติ(ตายแล้ว)ลงมาเกิดในมนุษยโลกเมืองคน
(๑๐) เมืองคนคือเมืองในล้านนาไท ซึ่งในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้เอ่ยถึงเป็นเมืองแรก หากไม่นับเมืองละพูน/เมืองหริภุญชัยแล้วก็คือ เมืองเชียงลาว
(๑๑) การเป็นพระญามหากษัตริย์นั้น ผู้นั้นเป็นได้ตามราชโองการของพระอินทร์คือพระราชาแห่งทวยเทพบนเมืองสวรรค์
(๑๒) โดยเฉพาะตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ประกาศอ้างอิงราชโองการแห่งองค์อินทราธิราชเลยว่า ให้ผู้นั้นมีหน้าที่สำคัญ ๒ ประการ คือ --- ก.) เปนเจ้าเปนใหญ่แก่ท้าวพระญาทังหลายในเมืองล้านนาไท ข.) แลรักษายังวรพุทธสาสนา ในเมืองทั้งหลายในเมืองล้านนาไท
ไปฟังตำนานต่อจาก ลวจังกรเทวบุตรก็รับเอาคำพระญาอินทาว่า สาธุ ดีดีแล ว่าอั้น กันเลยครับ
.
แล้ว(ลวจังกรเทวบุตร)ก็จุติแต่ชั้นฟ้าลงมากับบริวารแห่งตนพันหนึ่ง (๑,๐๐๐)" โดยวิธีการ ก่ายเกินเงินทิพแต่ชั้นฟ้า (ก่าย คือ พาด, เกิน อ่าน เกิ๋น หมายถึง บันได)
นัยยะ ๑ ว่า ก่ายแต่ปลายดอยทุง (อ่าน ดอยตุง) ลงมาเอาปฏิสนธิ โอปปาติกา
เล่าอย่างรวบรัดก็คือ เทวบุตรจุติแล้วก็เกิดมาเป็นตัวเป็นตนดั่งคนสามัญเราท่านทั้งหลาย แต่ทว่าเติบโต --- เปนราชกุมารอันได้ ๑๖ ขวบ เลย ซ้ำยังแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างลูกกษัตริย์ พวกบริวารชายหญิงที่ไต่บันไดเงินทิพย์โโดยเสด็จลงมาจากเมืองฟ้าด้วยกันนั้น ก็พลันโตเป็นหนุ่มน้อยสาวน้อยได้ ๑๖ ขวบเท่ากันทั้งพันคน พากันแวดล้อมราชกุมารอยู่
เล่าถึงตรงนี้แล้วมีอะไรให้เราได้คิดอีกบ้างครับ ---
(๑๓) พระญาองค์ปฐมต้นราชวงศ์กับทั้งบริวาร ไม่ใช่คนพื้นเมืองในเมืองล้านนาไทเมืองใดเลย (และไม่มีพ่อแม่บรรพบุรุษเป็นคนเดินดิน/คนพื้นเมืองกลุ่มใด ๆ) จนคนพื้นเมืองล้านนาไทพากันประหลาดใจ ดังว่า ฅนทังหลายมาหัน จิ่งจากันว่า ฅนทังหลายฝูงนี้ ลุก(เดินทางจาก)ที่ใดมาชา ว่าอั้น เมื่อเรียกกันมาดูเห็นบันไดเงินลอยกลับไปในอากาศจึงรู้ว่าพวกคนแปลกหน้าเหล่านั้นถูกส่งลงมาจากชั้นฟ้า
ความในตำนานว่า --- ชาวเมืองทังหลายหันอัจฉริยะ(อัศจรรย์) จิ่งราธนา(อันเชิญเสด็จ)เอาเมือ(เดินทางไป)เสวยราชสมบัติเปนเจ้าเปนใหญ่ในเมืองชัยวรนคร (เมืองเชียงลาว / เมืองยางเงิน) ปรากฏชื่อว่า ลวจังกรเอกราชะ ในปีจุฬสกราชได้ตัว ๑ ไป ว่าตามตำนานแล้ว ลวจักรราช หรือ ปู่เจ้าลาวจก แรกตั้งราชวงศ์ลาวขึ้นมานั้น ตรงกับปีพุทธศักราช ๑๑๘๒ (= 1181 + 1)
หากย้อนไปพิจารณาตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ตอนที่ผ่านมาแล้ว (การเทียบศักราชโบราณ (2) ลำดับเวลาในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ) การตั้งเวลาเริ่มต้นตำนานเมืองในล้านไทนี้ ก็ยิ่งจะเห็นความชาญฉลาดของท่านโบราณอาจารย์ผู้แต่งได้ชัดเจนขึ้นไปอีก ดังว่า
เถิงพระญาอโสกธัมมราชะแลมหาโมคคัลลีเถรเจ้า กระทำสังคายนาเปนถ้วน ๓ สกราชได้ ๒๑๘ ตัว นางจามเทวีเกิดเมื่อปี พ.ศ. ๔๑๘ สกราชได้ ๔๕๖ ก่อเวียงละพูน สักราช ๔๕๘ ตัว นางจามเทวีลุกแต่เมืองละโว้ขึ้นมากินเมืองละพูน มหันตยสกินเมืองแทนด้วยลำดับมา (จนกระทั่งถึงปีพุทธ)สักราชได้ ๕๖๐ ปี ตัวพระญาพันธุมัตติธัมมิกราชะเมืองลังกาตัดสกราช ๕๖๐ นั้นเสีย แล้วตั้งสกราชใหม่ตัว ๑ ไป พันธุมัตติสกราช ลำดับมาได้ ๓๔๓ (ตัว) พระญาอาทิตย์เปนพระญากินเมืองหริภุญชัย (ต่อมาอีก)ได้ ๓ ปี ก่อเจติยะหลวงละพูน (พุทธ)สกราชได้ ๙๐๖ ตัว ลำดับพันธุสกราชมา ๖๒๒ พระญาตรีจักขุอนุรุทธธัมมิราชะเปนใหญ่ใน(พุกาม) ตัดสกราช ๖๒๒ นั้นเสีย แล้วตั้งสกราชใหม่ตัว ๑ ไป พูดจริง ๆ เท็จ ๆ แบบตำนานนิทานกถา ก็ต้องเล่าว่า-- (๑๔) พระญาลวจังกราชะ เกิดปีนั้น ได้เสวยเมืองเชียงลาวยางเงินก็ปีนั้น
ดังนั้นหากเราเชื่อว่า ตำนานเป็นความจริงในปัจจุบันแล้วละก็ เราก็จึงพยามหาปีแรกตั้งราชวงศ์ลาวให้สัมพันธ์กับยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้
สำหรับคนไทยในปัจจุบันกำหนดนับปีด้วยพุทธศักราช วิธีการคำนวณจากปี จ.ศ. ๑ เป็นดังนี้
ต้องเพิ่มปีศักราชเก่าที่เคยถูกตั้งขึ้นมาใช้แล้ว ถูกยุบเลิกไปก่อนหน้าการก่อตั้งจุลศักราชที่ตำนานเมืองเชียงใหม่ใช้อ้างอิง กล่าวคือตั้งโจทย์ 560 + 622 จะได้เท่ากับปี พ.ศ. ๑๑๘๒,
ด้วยเหตุที่จุลศักราชซึ่งใช้มาจนในปัจจุบันนี้นั้นเป็น ศักราชโหรา จึงต้องลดกาลลงมา ๑ ปี เป็นเกณฑ์กหัมปายา ๑๑๘๑ ไว้สำหรับลบบวกจุลศักราชกับพุทธกาล
โดยการคำนวณแล้ว จึงเริ่มนับต้นราชวงศ์ลาวแห่งอาณาจักรล้านนา นับแต่รัชสมัยพระญาลวจักราช ตามตำนานตั้งเวลาไว้ที่ปีจุลศักรราช ๑ และ ปี จ.ศ. ๑ นั้นก็จึงตรงกับ (1181+1=) ปี พ.ศ. ๑๑๘๒ ดังนี้แล.
แล้วเมืองเชียงลาวยางเงินนี้ ตั้งอยู่ที่ใดกัน?
โปรดติดตาม!
*อ้างอิง: ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ผูก 1, และพงศาวดารโยนก หน้า 112114*
**posted by a_somjai | 2006-09-12 | ตำนาน, เมือง, เหนือ, ล้านนา, เมืองเชียงลาว, เมืองยางเงิน, จุลศักราช, พุทธศักราช, โหราศักราช, รัชศักราช, ราชวงศ์ลาว, ลวจักราช , ปู่เจ้าลาวจก **
Create Date : 12 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 13 กันยายน 2549 1:43:38 น. |
Counter : 947 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตำนานเมืองใหญ่ในล้านนา ฉบับบ้านเมือง (5)
การเทียบศักราชโบราณ (2) ลำดับเวลาในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่
ตอนที่ผ่านมา ได้เล่านิทานเรื่องของราชาในศากยวงศ์รุ่นปู่ทวดของสิทธัตถโพธิสัตต์ ตั้งแต่พระญาไชยเสนะกับพระญาเทวหสักกะจนถึงราหุลกุมาร
เรื่องลำดับราชวงศ์ของเจ้าชายสิทธัตถะนี้ เกี่ยวข้องกับเวลาในตำนาน ดังนี้
(๑) พระญาสีตนุราชะได้เป็นใหญ่ในเมืองใหญ่กบิลพัสดุแทนพระญาไชยเสนะ ขณะเดียวกันกับพระญาอัญชนะสักกะได้เป็นใหญ่ในเมืองใหญ่เทวหนครแทนพระญาเทวหสักกะ ส่วนกาลเทวิละผู้น้องออกบวชเป็นฤษีและคาดได้ว่าคงเป็นใหญ่ในหมู่ฤษีด้วยเช่นกัน
(๒) อันว่าศักราชนั้นหมายถึงปีของพระราชาผู้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลายและราชาผู้เป็นใหญ่กว่าท้าวพระญาทั้งหลายในเมืองทั้งหลาย คือกำหนดนับจำนวนปีที่พระมหากษัตริย์เสวยราชสมบัติในเมืองใหญ่และกลุ่มเมืองในเครือข่ายพระราชอำนาจ ราชาผู้เป็นใหญ่ระดับมหาจักรพรรดิก็จึงมักลบการนับเวลาแบบเดิมแล้วตั้งการนับเวลาขึ้นมานับหนึ่งใหม่ ตามปีที่พระองค์มีอำนาจปกครองอยู่นั้น แล้วยังแผ่อิทธิพลการบังคับใช้ศักราชใหม่ของตนไปตามเมืองทั้งปวงในพระราชอำนาจ รวมทั้งการนับกำหนดระบุเลขนับปีควบคลุมไปทุกด้าน
(๓) เมื่อไปเปิดดูในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่แล้ว โบราณาจารย์เล่าว่า กาลเทวิลรสี แลพระญาอัญชนะ กับพระญาสีหตนะ ตัดสกราชโบราณอันชือกิงนวสันต์นั้นเสีย แล้วตั้งสักราชใหม่ตัว ๑ ไป ศักราชโบราณเดิมชื่อ กิงนวสันตศักราช จะเป็น ศักราชสัปตฤกษ์ชื่อโลกกาล หรือว่าเป็น ศักราชกาลียุค ดังกล่าวถึงในตอนที่แล้ว หรือประการใด ผู้เขียนบทความนี้ขอยอมรับซื่อ ๆ ว่า ผู้ข้าบ่รู้ แท้ ๆครับ ส่วนศักราชใหม่ที่ตั้งขึ้นก็จะกลายเป็น สกราชโบราณ ตามท้องเรื่องลำดับต่อไป อัญชนะสกราช นี้ผู้อ่านตำนานเมืองใหญ่ในล้านนาจะต้องรู้จักไว้เป็นพื้นฐานก่อน เพื่อก้าวไปสู่ความเข้าใจพุทธศักราชและจุลศักราชที่ท่านผู้แต่งตำนานใช้กำกับลำดับเวลา
นักปราชญ์ท่านตั้งเทียบเวลาลำดับเหตุการณ์ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ไว้ดังนี้ครับ
(๑) สกราชตัวใหม่ (ก็คือที่ท่านเล่าว่า -- กาลเทวิลรสี แลพระญาอัญชนะ กับพระญาสีหตนะ ตัดสกราชโบราณอันชือกิงนวสันต์ นั้นเสีย แล้วตั้งสักราชใหม่ตัว ๑ ไป) ลำดับมาได้ ๖๗ ตัว พระเจ้าเรา (สิทธัตถโพธิสัตต์) ลงมาเอาปฏิสนธิ
(๒) สักราช ๖๘ ตัว พระ(พุทธ)เจ้าเกิด
(๓) สกราชได้ ๑๔๘ ตัว พระพุทธเจ้าเรานิพพาน เดือน ๘ เพง(เพ็ญ) วันอังคาร
(๔) เถิงเดือน ๑๒ เพง มหาอานันทเถรเจ้า(พระอานนท์)ได้เถิงอรหันตา
(๕) แล้วสังคายนาธัมม์เปนปฐมะ (ภายในคือฝ่ายสงฆ์)มีอรหันตา ๕๐๐ ตน มีมหากัสกัปปเถรเจ้าเปนประธาน ภายนอก(ฝ่ายฆราวาสหรือฝ่ายบ้านเมือง)มีอชาตสัตตู(เป็นประธาน)แล
(๖) ตัดอัญชนะสกราช ๑๔๘ ตัวนั้นเสีย ตั้งสกราชใหม่ตัว ๑ ไป (คือพุทธศักราช นับไปแต่ปีพระพุทธเจ้าปรินิพพาน และ/หรือพบอีกในบางแห่งของตำนานล้านนาว่านับภายหลังปีพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๑ ปี หรือ ๒ ปี ก็มีอยู่ ดังที่พระยาประชากิจกรจักร์วินิจฉัย ตรวจสอบแล้วเห็นว่าการกำหนดพุทธกาลหรือตั้งพุทธศักราชไม่เกี่ยวกับทางคำนวณในวิธีโหราศาสตร์ และคงจะพึ่งลงแบบ เมื่อภายหลังการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ ๓ แล้วมา)
(๗) สกราชใหม่ลำดับมาได้ ๑๐๐ ปี เถิงเช่นพระญากาลาโสกแลมหายัสสเถรเจ้า มีอรหันตา ๗๐๐ ตน สังคายนาธัมม์เปนถ้วน ๒
(และจากปี พ.ศ. ๑๐๐ นั้น)ลำดับมาได้(อีก) ๑๑๘ ปี (๘) เถิงพระญาอโสกธัมมราชะแลมหาโมคคัลลีเถรเจ้ากับอรหันตาพัน(๑,๐๐๐)ตน กระทำสังคายนาเปนถ้วน ๓ สกราชได้ ๒๑๘ ตัว
(จากปี พ.ศ ๒๑๘ นั้น)ลำดับมาได้ ๒๐๐ ปี (๙) สกราชได้ ๔๑๘ ตัว นางจามเทวีเกิด (ตอนนี้ท้องเรื่องลำดับท้าวพระญาราชามหากษัทตริย์ตามลำดับเวลาก็ย้ายมาอยู่ในเมืองใหญ่ในเขตแค้วนล้านนาแล้ว)
ผู้เขียนขอฝากข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ว่า ก.) เมื่อปราชญ์ล้านนาโบราณท่านบอกช่วงเวลาท่านใช้คำนามว่า ปี เช่น ลำดับมาได้ ๑๐๐ ปี ๑๑๘ ปี ๒๐๐ ปี เป็นต้น, หากเมื่อเป็นการบอกบ่งกำหนดเวลาท่านจะระบุปีแห่งพระราชาด้วยคำนามว่า ตัว, ดังว่า สกราชได้ ๖๗ ตัว ๖๘ ตัว ๑๔๘ ตัว เป็นต้น และ ข.) ทางการคำนวณปีย้อนหลังของปราชญ์ล้านนานั้น ท่านวินิจฉัยประกอบกับบริบทแวดล้อมของท้องเรื่อง ดังแบบแผนที่ยกการเล่าที่ผ่าน ๆ มา และที่จะได้เห็นกันดังต่อไปนี้
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เล่าว่า นางจามเทวีเกิดเมื่อปี พ.ศ. ๔๑๘ (๑๐) สกราชได้ ๔๕๖ ก่อเวียงละพูน (เมืองลำพูน)
(๑๑) สักราช ๔๕๘ ตัว นางจามเทวีลุก(เดินทาง)แต่เมืองละโว้ขึ้นมากินเมืองละพูน (ถึงตรงนี้ขอแทรกข้อสังเกตไว้อีกว่า นอกจากออกชื่อ เวียง/เมืองละพูน คือ เมืองหริภุญชัย แล้วตำนานยังเอ่ยชื่อ เมืองละโว้ อีกด้วย)
(๑๒) มหันตยสแลอินทวรยส(ลูกชายฝาแฝดของนางจามเทวี)ทังสองพี่น้องเกิดปีนั้น (สักราช ๔๕๘ ตัว)
(๑๓) จามเทวีกินเมืองละพูนได้ ๕๓ ปี อายุ(พระนาง) ๙๒ ปี (ตรงกับปีพุทธ)สักราชได้ ๕๕๐ (๑๔) มหันตยสกินเมืองแทนด้วยลำดับมา (จนกระทั่งถึงปีพุทธ)สักราชได้ ๕๖๐ ปี
(๑๕) ตัวพระญาพันธุมัตติธัมมิกราชะเมืองลังกาตัดสกราช ๕๖๐ นั้นเสีย แล้วตั้งสกราชใหม่ตัว ๑ ไป
ตอนนี้ท้องเรื่องตามลำดับเวลาอ้างพาดพิงไปถึงตำนานลังกาวังสะแล้วครับ แต่เราก็ได้ข้อสังเกตเพิ่มเข้ามาอีกว่า ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่บอกเราว่า ก.) ลูกนางจามเทวีคือพระญามหันตยสกินเมืองละพูนในยุคสมัยเดียวกับพระญาพันธุมัตติธัมมิกราชะเป็นใหญกว่าราชาแห่งเมืองทั้งหลายในลังกาทวีป โดยเทียบจากเกณฑ์ปี พ.ศ. ๕๖๐ ข.) มีการลบศักราชเก่าแล้วตั้งศักราชขึ้นมานับ ๑ กันใหม่อีกมหาปางสมัยแล้ว และดังนั้น ค.) เมื่อเพิ่มจำนวนนับปีช่วงสมัยพุทธกาลเข้าไปอีก ๕๖๐ ปี รวมกับเวลาต่อด้วยจำนวนนับปีตามพันธุมัตติสกราช ก็จึงจะได้เป็นปีพุทธศักราช ดังจะแสดงให้เห็นต่อไป
(๑๖) พันธุมัตติสกราช ลำดับมาได้ ๓๔๓ (ตัว) พระญาอาทิตย์เปนพระญากินเมืองหริภุญชัย (๑๗) (หลังจากพันธุมัตติสกราช ๓๔๓ ในรัชกาลพระญาอาทิตย์นั้น ต่อมาอีก)ได้ ๓ ปี ก่อเจติยะหลวงละพูน (ปีที่ก่อเจดีย์หลวงลำพูนนั้น ตรงกับพุทธ)สกราชได้ ๙๐๖ ตัว แต่พระ(พุทธ)เจ้านิพพานมาแล
ทางคำนวณของปราชญ์ผู้แต่งตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เป็นดังนี้ ก.) พ.ศ. ๙๐๓ (560 + 343 = 903) พระญาอาทิตย์ขึ้นกินเมืองละพูน ข.) พ.ศ. ๙๐๖ (560 + 343 + 3 = 906) ก่อพระเจดีย์หลวงละพูน
แล้วมหาปางใหญ่ของมหาจักรพรรดิราชะเจ้าผู้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย ได้ปราบดาภิเษกเป็นใหญ่ในเมืองใหญ่กว่าราชาทั้งหลายในเมืองทั้งหลาย ก็ได้เดินทางมาถึงอีกวาระหนึ่ง จึงจำต้องมีการลบศักราชเก่าแล้วตั้งศักราชขึ้นมานับ ๑ กันใหม่อีกมหาสมัย ดังตำนานว่า
(๑๘) ลำดับพันธุสกราชมา ๖๒๒ พระญาตรีจักชุอนุรุทธธัมมิราชะเปนใหญ่ในชัมพูทวีป(พุกาม) ตัดสกราช ๖๒๒ นั้นเสียในปีเปิกเส็ด (จอ) แล้วตั้งสกราชใหม่ตัว ๑ ไป ในปีกัดใค้ (กุน) วันนั้นแล.
เมื่อมีการตัดสกราชเก่าตั้งสกราชใหม่ เราก็ต้องเพิ่มจำนวนนับปีช่วงสมัยพุทธกาลเข้าไปอีก ๕๖๐ ปี รวมกับจำนวนปีตามพันธุมัตติสกราชอีก ๖๒๒ ปี ดังนี้ 560 + 622 = พ.ศ 1182
อนึ่ง พระยาประชากิจกรจักร์ได้วินิจฉัยเรื่องสำคัญนี้ไว้ในหนังสือพงศาวดารโยนก ตกไว้แก่คนรุ่นหลังว่า จุลศักราชซึ่งใช้มาจนในปัจจุบันนี้นั้นเป็น ศักราชโหรา ซึ่งตัดออกจาก ปีกาลียุค เมื่อล่วงได้ ๓๗๓๙ แล้ว (
) เรียกว่า นวตึสันติ ศักราชนี้ตั้งขึ้นในประเทศภุกาม (
ตรงกับ) เมื่อพระพุทธศาสนากาลล่วงได้ ๑๑๘๒ วัสสา แต่ลด ๑ ปีเป็นเกณฑ์กหัมปายา ๑๑๘๑ ไว้สำหรับลบบวกจุลศักราชกับพุทธกาล
(
) ศักราชที่ใช้ในประเทศคงมีที่มาอยู่ ๔ อย่าง คือ (๑) พุทธศักราชมากับพุทธศาสนา (๒) มหาศักราชหรือสักกะรูปกาลมากับพราหมณ์ไสยศาสตร์ จึงใช้เกณฑ์ ๖๒๑ สำหรับลบบวกพุทธศักราชกับมหาศักราช (๓) จุลศักราชมากับโหราศาสตร์มีเกณฑ์ ๕๖๐ สำหรับลบบวกกันกับมหาศักราช (๔) รัชศักราชต่าง ๆ อันพระราชาบัญญัติเช่น ร.ศ. และปีราชสมบัติ เช่นศักราชจีนเป็นต้น ถ้ารวมใจความก็เป็น ๓ ประเภท คือศักราชศาสนาหนึ่ง ศักราชโหราหนึ่ง ศักราชราชาหนึ่ง เท่านี้
ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ การเทียบศักราชในงานเขียนตำนานเมืองเหนือชุดนี้ เมื่ออ้างอิงถึงกาลเวลาจากจุลศักราชกลับไปสู่พุทธศักราชที่คนไทยใช้คุ้นเคยกันอยู่ ผู้เขียนจึงขอใช้ตัวเลข ๑๑๘๑ ลบบวกครับ.
(ยกตัวอย่างเช่น ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นี้ คิดกลับไปเป็นปี จ.ศ ได้ด้วยการตั้งโจทย์ 2549-1181 จะได้เท่ากับ ปี จ.ศ. ๑๓๖๘, ในทำนองเดียวกัน ปี จ.ศ. ๑๓๖๘ คำนวนกลับไปด้วยการตั้งโจทย์ 1368+1181 จะได้เท่ากับปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ดังนี้แล)
*อ้างอิง: ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ผูก 1 หน้า 5, และพงศาวดารโยนก หน้า 112114*
**posted by a_somjai | 2006-09-11 | ตำนาน, เมือง, เหนือ, ล้านนา, ศักราช, จุลศักราช, พุทธศักราช, มหาศักราช, โหราศักราช, รัชศักราช**
Create Date : 11 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 11 กันยายน 2549 22:39:45 น. |
Counter : 1222 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตำนานเมืองใหญ่ในล้านนา ฉบับบ้านเมือง (4)
โปรดเตรียมเทียบเวลาในตำนาน (1)
พระยาประชากิจกรจักร์-บรมครูผู้ศึกษาและแต่งหนังสือ พงศาวดารโยนก เขียนไว้ว่า
ข้อความทั้งหลายที่ได้กล่าวมาในคำบรรยายนี้ เป็นข้อความที่ได้สาธกมาจากตำราต่าง ๆ บ้าง เป็นส่วนความเห็นที่ได้เกิดจากการวินิจฉัยในเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้อ่านมานั้นบ้าง
ข้อความส่วนใดที่เป็นส่วนความเห็นของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่ยืนยันว่าเป็นเที่ยงแท้แน่จริงทีเดียว เพราะความคิดเอกชน คาดคะเนไปตามเหตุผลซึ่งควรเห็นว่าน่าจะเป็นได้เช่นนั้นหรือไม่น่าจะเป็นได้เช่นนั้น
การออกความเห็นของผู้แต่งเรื่องต่าง ๆ โดยมากมักกล่าวปนกับท้องเรื่อง แต่การทำเช่นนั้นมักจะพาให้เรื่องแปรไปได้
เพราะฉะนั้น ในการเรียบเรียงเรื่องนี้ (พงศาวดารโยนก __ a_somjai) จึงทำเป็นคำบรรยายไว้เสียส่วนหนึ่ง กล่าวตามความรู้และความเห็นอันเกิดจากความดำริของผู้แต่งได้วินิจฉัยในเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่ได้สาธกมานั้น เพื่อเป็นทางดำริแก่ท่านผู้ที่จะอ่านหนังสือสืบไป การจะผิดพลั้งหนักเบาไปบ้างประการใด ขอได้โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
ส่วนนักเลงตำนานด้วยกัน (อย่างข้าพเจ้าผู้เขียนบล็อก Blog aroung the Bog) ต่างรู้ดีในความจริง ๒ เรื่องครับ
ประการแรก เราต้องเชื่อว่าเรื่องราวในตำนานเป็นความจริงในปัจจุบัน(เพราะเรากำลังอ่าน ฟังเรื่องราวของมันอยู่) แต่อาจไม่ใข่เรื่องราวความจริงในอดีต
ดังนั้นเมื่อเราศึกษาตำนาน อ้างถึงตำนาน เล่าตำนาน ฟังตำนาน วิเคราะห์ ออกความเห็นที่เกี่ยวข้องกับตำนานแล้วละก็ เราจะต้องตั้งข้อสงสัยพร้อมกันไปด้วยว่าตำนานก็คือนิทานโกหกเราดี ๆ นี้เอง
และประการที่สองนั้น เรา(ต้อง)ตระหนัก(ไว้ให้)ดีว่า ใครก็ตามที่พยามยามอ้างอิงเหตุการณ์ในตำนานเพื่อสร้างความน่าเชื่ออถือได้ทางประวัติศาสตร์ขึ้นมา โดยผูกลำดับท้องเรื่องไว้กับความเที่ยงตรงของลำดับเวลาแล้วละก็ นักเลงตำนานผู้นั้นจะตกอยู่ในวังวนที่พระยาประชากิจกรจักร์ผู้แต่งหนังสือพงศาวดารโยนก พบมาก่อนหน้านี้แล้ว และท่านก็ไม่อาจแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ได้
ดังความเห็นจากการวินิจฉัยของท่านที่ว่า เรื่องศักราช ปี เดือน ในตำนานต่าง ๆ นั้น มักจะผิดคลาดกันโดยมาก เพราะว่าต้นฉบับตำนานทั้งหลายนั้นสังเกตเห็นว่า เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นภายหลัง(เรื่องราวเหตุการณ์ในตำนาน) แต่(ผู้แต่ง)คำนวณหาศักราชปีเดือนถอยหลังขึ้นไป วิธีคำนวณนับปีเดือน(ของผู้แต่งแต่ละท่านจึง)ไม่ตรงกัน
ด้วยเหตุดังนี้ พระยาประชากิจกรจักร์จึงต้องเขียนอธิบายความรู้ ว่าด้วยศักราชต่าง ๆ คลาดกัน ไว้ถึง ๒๒ หน้า จากเนื้อหาในภาคคำบรรยายของหนังสือพงศาวดารโยนก เป็นภาคความเห็นถึง ๑๑๔ หน้า (ขอแนะนำให้นักเลงตำนานเมืองเหนือ หรือ ตำนานล้านนา ควรสนใจศึกษาลงลึกถึงรายละเอียด ก็จะเป็นประโยชน์อันใหญ่ครับ)
ท่านผู้แต่งหนังสือพงศาวดารโยนกเสนอไว้ว่า การนับศักราชและเทียบเวลาระหว่างกลุ่มคนต่างกาละเทศะในสมัยโบราณนั้นแตกต่างกันมาก ณ ที่นี้ขอหยิบใจความสำคัญมาเสนอไว้อีกทอดหนึ่งดังนี้
(๑) การนับปริวรรต(การหมุนเวียน)แห่งปีนั้น ไทยเหนือและไทยใหญ่ นับรวมปริวรรต ๖๐ ปี ตรงกับทางอินเดียเรียกว่าพฤหัสบดีจักร ท่านอธิบายไว้ว่า คือกำหนดในปริวรรตหนึ่งเป็น ๕ รอบโคจรแห่งดาวพฤหัสบดีซึ่งเวียนรอบจักรราศี ในราศีละ ๑ ปี บรรจบรอบ ๑๒ ราศีใน ๑๒ ปี จึงเป็นนามปี ๑๒ นักษัตร ไทยใต้นับแต่ชวดเป็นต้นไป ไทยเหนือนับแต่กุนเป็นต้นไป ในพฤหัสบดีกาลนับแต่เถาะเป็นต้นไป
หากจะเทียบนามปีไทยใต้/นามปีไทยเหนือ เป็นดังนี้ ชวด/ไจ๊, ฉลู/เป๊า, ขาล/ ยี่, เถาะ/เม้า, มะโรง/สี, มะเส็ง/ไซ้, มะเมีย/ซะง้า, มะแม/เม็ด, วอก/สัน, ระกา/เล้า, จอ/เส็ด, และ กุน/ไก๊
เมื่อบรรจบรอบ ๑๒ ปี ๕ รอบเป็น ๖๐ ปีเป็นพฤหัสบดีจักรปริวรรตหนึ่ง
พฤหัสบดีจักรนี้เป็นวิธีนับกาลหรือศักราชเก่าแก่ ซึ่งใช้มาในประเทศอินเดีย ธิเบตและจีน
กล่าวกันว่าศักราชพฤหัสบดีสัมวัตนี้ใช้ในชมพูทวีปก่อนพุทธกาลถึง ๒๕๘๕ ปี และยังใช้ร่วมกับศักราชอื่น ๆ ต่อมา
(๒) การนับศักราช ปี เดือน อื่น ๆ อย่างข้างฝ่ายดึกดำบรรพ์ของอินเดียนี้ ขอรับรองว่าสามารถสร้างความปวดเศียรเวียนศรีษะให้บังเกิดแก่สามัญชนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ที่มิใช่หมอโหราหรือพราหมณ์ราชครูได้มากทีเดียวครับ
โดยเฉพาะเรื่อง ศักราชสัปตฤกษ์กาล หรือ ศักราชโลกกาล อันเกี่ยวข้องกับดาวพระเคราะห์ทั้ง ๗ นับรอบการหมุนเวียนแห่งปี กำหนดระยะ ๑๐๐ ปี ๒๗ ระยะบรรจบรอบปริวรรตหนึ่ง เท่ากับ ๒,๗๐๐ ปี
ท่านเชื่อหรือไม่ครับว่า ปริวัติกาลอันเรียกว่าสัปตฤกษ์หรือโลกกาลนี้ กล่าวว่าได้แรกตั้งขึ้นเมื่ออายุกัลป์นี้ได้ ๔,๓๒๐ ล้านปี ก่อนพุทธกาล ๖,๒๓๔ ปี
(อาจพูดอีกอย่างได้ว่า ปีแรกที่เริ่มต้นนับโลกกาลนั้น คือเมื่ออายุกัลป์ได้สี่พันสามร้อยล้านปี แล้วปีนั้นเองเป็นเวลาที่มีมาก่อนก่อนพุทธศักราชนับย้อนไปได้ไกลถึงหกพันสองร้อยสามสิบสี่ปี)
(๓) เมื่อก่อนพุทธกาล ๒,๕๕๙ ปี ยังมีการตั้งศักราชขึ้นมาอีก สำหรับคำนวณปฏิทิน ปี เดือน วัน เวลา โดยวิธีโคจรแห่งโลกกับสุริยคติ จันทรคติ อันโคจรพัวพันกันและกัน เรียกว่า ศักราชกาลียุค
สรุปสั้น ๆ ได้ว่า ในการคำนวณได้แบ่งกาลออกเป็นสี่ยุค ได้แก่ จัตยายุค ๔,๘๐๐ ปี, ไตรดายุค ๓,๖๐๐ ปี, ทวาปรายุค ๒,๔๐๐ ปี และ กาลียุค ๑,๒๐๐ ปี รวมกันสี่ยุคเป็นมหายุคเท่ากับ ๑๒,๐๐๐ ปี
มาถึงตรงนี้พวกเราทั้งคนเขียนคนอ่านตำนานมีเรื่องต้องให้ขบคิดกันใหม่อีก ๓ รอบครับ
รอบแรกนั้นต้องคิดเพราะว่ากันว่า ในจำนวนรอบหมื่นสองพันปีแห่งมหายุคนั้น มีเกณฑ์หมุนเวียนครบรอบจักรหนึ่งเท่ากับ ๕,๐๐๐ ปี
เกณฑ์จักรนี้เองที่ปราชญ์ท่าน จึงเกี่ยวเอามาใช้เป็นกำหนดในพุทธศาสนยุกาลกำหนด ๕,๐๐๐ พระวัสสา นับแต่ปีพุทธปรินิพพานเป็นต้นมา (แปลไทยเป็นไทยอีกทีได้ว่า อายุพระพุทธศาสนาเท่ากับ ห้าพันปี)
ส่วนรอบที่สองต้องคิดเพราะว่าศักราชกาลียุคเกี่ยวกับ กำหนดกาลสงกรานต์ อาทิตย์เถลิงศกหรือบรรจบรอบจักรราศีในปัจจุบันนี้ เมื่ออาทิตย์ถึงราศีเมษในราววันที่ ๑๓ หรือที่ ๑๔ เดือนเมษายนโดยประมาณ
และรอบที่สามต้องคิด เพราะเหตุด้วยทางคำนวณโหราศาสตร์เห็นว่า พิภพโลกเคลื่อนใกล้ต่ออาทิตย์เข้าไปทุกระยะ จึงได้กะคาดเห็นการพิบัติรัดเรียวต่าง ๆ (
) ในที่สุดโลกนี้จะมีไฟประลัยกัลป์ไหม้ได้ ด้วยอำนาจความร้อนเมื่อโลกเข้าใกล้ดวงอาทิตย์นั้น อาศัยมูลเหตุอันกล่าวมานี้เป็นปัจจัย ให้คนแต่งเรื่องอุบัติประวัติของโลกเบื้องหน้า โดยการทำทาย หมายคาดคะเนเห็นเป็นต่าง ๆ ด้วยประการฉะนี้
หนังสือพงศาวดารโยนก บอกเราว่า ถัดจากศักราชกาลียุคมาแล้ว ยังมีศักราชปรสุรามสุรจักร ตั้งขึ้นเมื่อก่อนปีพุทธปรินิพพานกาล ๖๓๔ ปี ใช้ในประเทศอินเดียข้างตะวันตกเฉียงใต้ แต่ไม่ได้แผ่มาถึงสยามประเทศนี้ ดังนั้นเราจึงขอข้ามเรื่องนี้ไปเสีย
ย้อนกลับไปที่เวลาศํกราช ---เมื่อก่อนพุทธกาล ๒,๕๕๙ ปี ยังมีการตั้งศักราชขึ้นมาอีก สำหรับคำนวณปฏิทิน ปี เดือน วัน เวลา โดยวิธีโคจรแห่งโลกกับสุริยคติ จันทรคติ อันโคจรพัวพันกันและกัน เรียกว่า ศักราชกาลียุค เราจึงต้องเริ่มตั้งเทียบเวลากันเมื่อกาลียุคล่วงแล้ว ๒๕๕๙ ปี นับแต่นี้ไปก็คือ
(๔) พุทธศักราช สำหรับกำหนดนับการปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เกี่ยวกับทางคำนวณในวิธีโหราศาสตร์
ก็อีกนั้นแหละครับ การนับปีปรินิพพานนี้ต้องกันในประเทศลังกา พม่า มอญ ไทย แต่ใช้ผิดกับในประเทศอินเดียข้างเหนือเกือบร้อยปีเศษ
เมื่อตรวจสอบแล้วพระยาประชากิจกรจักร์เห็นว่าการกำหนดพุทธกาลหรือตั้งพุทธศักราชคงจะพึ่งลงแบบ เมื่อภายหลังการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ ๓ แล้วมา
ยังมีเรื่องชวนปวดศรีษะเกี่ยวกับการตั้งศักราชใหม่อีกมาก เช่น ศักราชมหาวีระ, ศักราชวิกรรมาทิตย์ และมหาศักราชของพระราชาสากยราชองค์หนึ่งที่เรียกชื่อว่าสักสลิวาหะบ้าง สักกะสัมวัติบ้าง สักกะรูปกาลบ้าง สักกะราชบ้าง
มาถึงตรงนี้แล้วผมจึงขอสรุปเข้าประเด็นเรื่องราชวังสะ นัคครราชวังสะ พื้นนัคคระ ตำนานเมือง และตำนานพื้นเมือง อันเป็นเรื่องราวที่สืบเนื่องกันมาเป็นลำดับในกาลเวลาดุจลำไผ่ ว่าด้วยลำดับ ราชวงศ์ ราชา ท้าวพระญา เชื้อเจ้าสายนายกลุ่มผู้ปกครองบ้านเมือง ว่า
นอกจากศักราชจะแปลว่าราชาของชาวสักกะดังเล่าเรื่องสากยะวังสาไว้ในตอนที่ผ่านมาแล้ว
ศักราชยังหมายถึงปีของพระราชา คือกำหนดนับจำนวนปีที่พระมหากษัตริย์เสวยราชสมบัติในเมืองใหญ่และกลุ่มเมืองในเครือข่ายพระราชอำนาจ
อีกมิติหนึ่ง สักกะราชหมายถึงปีแห่งสักกะเทวราช (ท้าวสักกะ)คือพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งปวงในเมืองสวรรค์
ซึ่งเรื่องราวของสักกะเทวราชนี้ เป็นอุดมคติต้นแบบการปกครองในเมืองคนอีกทอดหนึ่ง
กล่าวคือมีราชาผู้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย
ราชาผู้เป็นใหญ่กว่าท้าวพระญาทั้งหลายในเมืองทั้งหลาย
และอีกมิติหนึ่งนั้น พุทธศักราชก็ตั้งขึ้นตามคติว่า
พระพุทธเจ้าแห่งเรานี้ คือมหาจักรพรรดิธรรมราชา ผู้เป็นใหญ่แก่สัตว์ทั้งหลายในสามโลก ดังนี้แล.
<<คราวหน้าเราจะไปเทียบเวลาเบิกฟ้าเมืองใหญ่ในล้านนากัน>>
* อ้างอิง: พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร์ พ.ศ. ๒๕๑๕ * **ภาพประกอบ: (ลายเส้นของ) รุ่งโรจน์ เปี่ยมยศศักดิ์**
***posted by a_somjai | 2006-09-09 | ตำนาน, เมือง, เหนือ, ล้านนา, พงศาวดาร, โยนก, ศักราช, กาลียุค, สักกราช, พุทธศักราช | ***
Create Date : 09 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 11 กันยายน 2549 22:01:24 น. |
Counter : 1246 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ตำนานเมืองใหญ่ในล้านนา ฉบับ บ้านเมือง (3)
จากสิทธัตถโพธิสัตว์ถึงอโศกธรรมิกราช
ตั้งแต่เจ้าชาลี(โอรสพระเวสสันดร)ลำดับมาเถิงเจ้าสิทธัตถะ ได้ ๔ แสนปลาย ๓ ตนราชวงส์ทังเจ้าสิทธัตถะแล (มีพระญากินเมืองกบิลพัสดุ์รวมทั้งพระเจ้าสิทธัตถะด้วยได้สี่แสนกับสามชั่วคน/รัชกาล)
"นับแต่พระญาสมันตราชะ(พระชาติแรกที่พระพุทธโคตมะเจ้าแห่งเรายังสร้างโพธิสมพารเป็นพระญากินเมืองพาราณสี เมื่อปฐมราชวงส์) ลำดับมาเถิงเจ้าสิทธัตถะราชะ(กินเมืองกบิลพัสดุ์)ได้ ๖๗๖๒๘๐ ตนแล
เราจะมาว่าต่อกันด้วยข้อสังเกต ที่เก็บความจากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กันดังนี้
กลุ่มเจ้าเมืองและกลุ่มเมืองในชมพูทวีปเมื่อยุคก่อนพุทธกาลต่อมาจนถึงยุคพุทธกาล แบ่งตามช่วงเวลาได้เป็นสองรุ่น ดังนี้
(ก) รุ่นแรกนับแต่พระญาสมันตราชะ สืบเชื้อสายญาติวงศ์พระญาสายเลือดเดียวกันกินเมืองต่าง ๆ ได้แก่ พาราณสี ราชคหะ มิถิลา และกุสาวัตติ โดยมีเมืองพาราณสีเป็นใหญ่เหนือเมืองอื่น ๆ (ข) ต่อมามีสายสากยราชะแยกตัวออกมาตั้งราชวงส์และตั้งเมืองใหม่เป็นศูนย์อำนาจใหม่ มีเมืองกบิลพัสดุ์เป็นใหญ่เหนือเมืองอื่น เมืองพี่เมืองน้องที่มีกล่าวถึงในตำนานนี้คือเทวทหนคร
ข้อสังเกตทั้งสองนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ตอกย้ำแบบแผนความชอบธรรมแห่งการสืบสายและลำดับ กลุ่มพระญาเจ้าเมืองเชื้อสายเดียวกัน ที่กินเมืองในกลุ่มวงศ์วานเดียวกัน ทั้งสิ้น, หรือใครว่าไม่ใช่?
หากคำนวณตั้งแต่พระญาโอกากมุกขุผู้สถาปนา สากยวงส์และเมืองกบิลพัสดุ์ ขึ้นมา ถึงรัชกาลพระญาไชยเสนะผู้เป็นปู่ทวดของสิทธัตถกุมารแล้ว นับได้เท่ากับสี่หมื่นกับแปดชั่วรัชกาล (ตัวเลข 40,000+8)
แล้วก็อย่างที่เล่าไว้ในตอนที่แล้วว่า เชื้อเจ้าสายนายผู้กินเมืองต่าง ๆ ในกลุ่มที่มีเมืองกบิลพัสดุ์เป็นศูนย์กลางอำนาจนั้นยึดถือธรรมเนียนการแต่งงานในหมู่เครือญาติ
เพื่อบ่หื้อกระกูลอันอื่นสูน จิ่งได้ชื่อว่าสากยราชะ (เพื่อให้ให้ตระกูลอันอื่นเข้ามาเจือปน จึ่งได้ชื่อว่า ศากยราช
ด้วยเหตุนี้เองผู้มีพื้นความรู้วรรณกรรมบาลี-สันสกฤตน้อยอย่างผู้เล่าคือเจ้าของบล็อกนี้ โดยเฉพาะเรื่องวงศ์กษัตริย์และบ้านเมืองในชมพูทวีปด้วยแล้ว ข้าพเจ้าขอยอมรับว่าอ่านตำนานตอนนี้แล้วปวดหัวครับ
สำหรับท่านที่ไม่สนใจในเรื่องรายละเอียด ก็ขอให้ข้ามไปอ่าน ที่ข้อ (ค) ได้เลยครับ.
ส่วนใครอยากปวดศรีษะด้วยกันก็ลองตามผู้เล่า เดินทางย้อนเวลาไปสมัยพระญาไชยเสนะผู้เป็นปู่ทวดของเจ้าชายสิทธัตถะกันเลย
(๑) พระญาไชยเสนะกินเมืองกบิลพัสดุ์ มีลูกชายชื่อ สีหตนะ, ผู้หญิงชื่อ ยโสธรา
๒) มีพระญาตน ๑ ชื่อเทวทหสักกะ หากเปนสากยราชกระกูลอันเดียวกัน เสวยเมืองเทวทหนคร มีลูก ๒ ชาย หญิง ๑; ผู้อ้ายชื่อว่าอันชนสักกะ, ผู้กลางชื่อกาลเทวิละ, หญิงปลายชื่อกัญจนากุมารี
(๓) กัญจนกุมารีเปนราชเทวีแก่ สีหตนุกุมาร, พระญาสีหตนุมีลูก ๗ ฅน; ผู้ชายผู้พี่ชื่อสุทโธทนกุมาร, ผู้ถ้วน ๒ ชื่อสุโกทนะ. ผู้ถ้วน ๓ ชื่อสโกทนะ, ผู้ถ้วน ๔ ชื่อโทโททนะ, ผู้ถ้วน ๕ ชื่ออมิโทนกุมาร, ผู้หญิง ๖ ชื่ออมิตตา, หญิง ๗ ชื่อปาลิตตากุมารี
(๔) ยโสธรา เปนราชเทวีแก่ อัญชนสักกะ, พระญาอัญชนสักกะมีลูก ๔ ฅน; หญิง ๒ ชาย ๒ พี่เค้าชื่อสุปปพุทธะ, ชายถ้วน ๒ ชื่อทันตปาณีกุมาร, หญิงผู้พี่ชื่อสรีมหามายา, หญิงผู้ถ้วน ๒ ชื่อ ปชาปัตติโคตมีกุมารี
(๕) กาลเทวิละ บ่ยินดีในฆราวาส ก็ออกไปบวชเปนรสีหั้นแล
ถึงตรงนี้ขอท่านผู้ฟังได้สังเกตชื่อคนทั้งสามคือ กาลเทวิลรสี, พระญาอัญชนะ และพระญาสีหตนุ ไว้บ้างก็คงจะช่วยเรื่องการนับลำดับเวลาในสกราชตำนานโบราณอันจะได้กล่าวถึงในตอนหน้าได้บ้างก็คงดีนะครับ ท่านผู้อ่าน/ผู้ฟังตำนานทังหลาย (ประโยคสุดท้ายนี้ ถ้าอ่านออกสำเนียงคำเมืองเหนือ ต้องอ่านว่า ท่านผู้อ่านผู้ฟังตำนานตังหลาย)
(๖) พระญาสุทโธทนะ ได้ลูกของพระญาอัญชนสักกะทั้ง ๒ กุมารีเปนราชเทวี, นางโคตมีผู้เปนน้องนั้นมีลูกก่อนพี่เอิ้ย ๒ ฅน; ชายผู้พี่นั้นชื่อนันทกุมาร, หญิงชื่อชนปทกลยาณี
พั่นดั่งนางสรีมหามายาผู้พี่นั้น มีอายุได้ ๕๖ ปี ปลาย ๓ เดือน จิ่งมีเจ้าสิทธัตถกุมาร คือว่าพระเจ้าเราแล ถึงตรงนี้ผู้เล่านิทานเองก็เพิ่งทราบว่าพระนางสิริมหามายานั้นทรงครรภ์แรกเมื่อพระชนมายุมากเลยวัยเจริญพันธุ์แล้ว เหตุนี้กระมังที่ทำให้พระพุทธมารดาเสด็จสวรรคตในวันที่มีประสูติการราชโอรส
(๗) สุปปพุทธะ ได้นางอมิตตา มีลูก ๒ ฅน; ผู้พี่ชื่อนางพัททกัจจายนะ, น้องชายชื่อเทวทัตตกุมาร, ทันตปาณีกุมาร ได้นางปาลิตตา มี ๒ ชาย; ผู้พี่ชื่อขัตติยเรวัตตะ, ผู้น้องชื่อสีวลีกุมาร แล
(๙) สิทธัตถโพธิสัตต์เจ้า เอานางพัททกัจจายะ มาเปนราชเทวี, แล้วเอาชื่อแม่เถ้ามาเปลี่ยนพัททกัจจายนะออกเสีย แล้วเอาชื่อแม่เถ้านางยโสธราเข้าแทน จิ่งได้ชื่อว่านางยโสธราราชเทวี มีลูกชาย ๑ ชื่อเจ้าราหุลกุมารแล
อายุสิทธัตถะได้ ๑๖ ปี ตระกูลทังหลายไปนำเอานางยโสธราลูกแห่งพระญาสุปปพุทธะมาเปนราชเทวี แล้วหดหล่อน้ำมุทธาภิเสกหื้อ(เจ้าชายสิทธัตถะ)เปนพระญา (เจ้าเมือง, พระราชา)
(พระราชาสิทธัตถะ ปกครองบ้านเมือง) อยู่ได้ ๑๓ ปี, อายุเจ้า(ชายสิทธัตถะ)ได้ ๒๙ ปี พระเจ้า(สิทธัตถะ)ออกไปบวชวันจันทร์ ยามเที่ยงคืน เจ้าบวชที่เกาะทรายแม่น้ำเนรัญชรา
(พระองค์)กระทำเพียรได้ ๖ วัสสา จิ่งได้ตรัสประหญาสัพพัญญูตัญญาณ ในเดือน ๘ เพง(เพ็ญ) เมงวันพุธ ยามรุ่งแจ้งแล อายุพระเจ้าได้ ๓๕ ปี
พระ(พุทธ)เจ้าอยู่โปรดสัตตโลกได้ ๔๕ ปี อายุพระเจ้าได้ ๘๐ ปี เข้าสู่ปรินิพพาน ในเดือน ๘ เมงวันอังคาร ยามก่อนไก่แล"
(ค) นอกเหนือจากลำดับ การสืบสายเลือดท้าวพระญากันทางลูกหลานโหลนหลีดหลี้, การเชื่อมการสืบสายโคตรวงส์เจ้านายโดยการแต่งงาน, และการสืบสายน้ำมุทธาภิเสกโดยขุนท้าวพระญาเมืองทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกันมาทำพิธียอมรับอย่างเป็นทางการหื้อเปนพระญาแล้ว"
ตำนานยังได้เพิ่มสายสัมพันธ์อันแนบสนิทระหว่างเชื้อสายผู้ปกครองบ้านเมืองเข้ามาอีกลำดับหนึ่ง กล่าวคือเมื่อนิทานเล่าถึงกลุ่มราชคหราชวังสาอันเป็นเพื่อนพระญาผู้กินเมืองใหญ่เสมอด้วยกัน
ดังว่า สิทธัตถกุมาร(เกิด)ก่อนพระญาพิมพิสาร ๒ ปี ปุคละทังสองเปนสหายกัน เหตุว่าพระญาอันเปนพ่อปุคละทังสองหากเปนสหายกันแต่ก่อนมาแล
สายสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและเมืองนี้อาจจะพูดให้โก้เก๋ตามยุคสมัยได้ว่าเป็นความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายของเมืองในยุคโบราณ
หากจะหาตัวอย่างความสัมพันธ์แบบวงค์ญาติและมิตรสหายต่างเมืองที่พอมองเห็นในยุคปัจจุบัน ยกมาหื้อหัน(ให้เห็น)กันแท้ ๆ แล้วละก็ คำตอบคือ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ตั้งอยู่ที่ใกล้วัดสะดือเมือง กลางเวียงเชียงใหม่นั้นแหละครับ
ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เล่าเรื่องราชคหราชวังสาไว้เพียงสั้น ๆ แต่เป็นประโยคโศกนาฏกรรมต้นแบบซ้ำแล้วซ้ำอีกของพระญานครราชคหะ
โครงสร้างประโยคนั้นมีอยู่ว่า 'ลูกพระญาฆ่าพ่อแล้วกินเมืองแทน (หากใครได้ดูหนัง อโศกมหาราช ก็คงพอเข้าใจได้บ้างล่ะเนอะ)
ดังความในตำนานว่า พระญาพิมพิสารเสวยเมืองราชคหะได้ ๕๒ ปี มีลูกผู้ ๑ ชื่อว่าอชาตสัตตรู, (อชาตศัตรู)ฆ่าพ่อเสีย กินเมืองแทนได้ ๘ ปี, (ตำนานว่าตรงกับปีที่)พระ(พุทธ)เจ้านิพพาน, (อชาตศัตรู)กินเมืองได้ ๒๔ ปี
"(พระเจ้าอชาตศัตรู)มีลูกผู้ ๑ ชื่ออุปทยะ, (อุปทยะ)ฆ่าพ่อเสีย เปนพระญาแทนได้ ๑๖ ปี
"(ฯ) มีลูกผู้ ๑ ชื่อว่าอนุรุทธะ ฆ่าพ่อเสีย เปนพระญาแทน (
ฯลฯ) ลูกมุกขราชะชื่อนาคทาสกะ ฆ่าพ่อเสีย กินเมืองแทน ได้ ๒๔ ปี"
"ปิตุฆาตราชวงส์เถิงนี้ ชาวเมืองทังหลายเคียด(โกรธ, ไม่พ่อใจ) จิ่งขับพระญานาคทาสกะ(ไล่ให้)หนี(จากเมือง)เสีย แล้วอภิเสกอามาจจ์แห่งนาคทาสกะผู้ ๑ ชื่อสุสุนาคะเปนพระญาได้ ๑๘ ปี, ลูก(ของสุสุนาคุ)ชื่อกาลาโสก กินเมืองได้ ๒๘ ปี
สมัยรัชกาลพระญากาลาโสกนี้เอง ได้มีเหตุการณ์สำคัญต่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น คือ
ตั้งแต่พระ(พุทธ)เจ้าเรานิพพานเถิง(ถึง)พระญากาลาโสกได้ ๑๐๐ ปี อรหันตาเจ้าทังหลายสังคายนาธัมม์ถ้วน ๒ แล
จากนั้นมา ๒ ราชวงส์ จันทคุตตะก็ยึดอำนาจตั้งโมริยราชวงส์ขึ้น, มีพระญากินเมืองราชคหะสืบต่อกันมากันมาอีก ๒ รัชกาล ก็ถึงสมัยพระญาอโสกธัมมราชะผู้ได้เป็นจักรพรรดิปราบชมพูทวีป
"(พระเจ้าอโศกธรรมิกราช) พระองค์มีลูกชายผู้ ๑ เข้ามาบวชในวรพุทธสาสนา ปรากฏชื่อว่ามหินทเถร แล"
อนึ่งแม้เรื่องนี้ขึ้นต้นเป็นราชคหราชวังสา แต่เมื่อผลิดอกออกผลมาแล้วกลับกลายเป็นโมริยวังสาไป ปรากฎในทุกตำนาน(ที่เล่ากันไว้)
แต่เรื่องของพระเจ้าจักรพรรดิปราบชมพูวีปผู้ชื่อว่า อโสกธัมมราชะ ผู้เป็นต้นแบบคติล้านนาเรื่อง พระญาผู้เป็นใหญ่ในเมืองใหญ่อันเป็นที่ตั้งแห่งพระสาสนา นี้น่าสนใจมาก ท่านใดใจร้อน ก็ไปหาไปดูหนังแผ่นเรื่อง ASOKA มาเสพมาศึกษากันไว้ก่อนก็คงช่วยได้มากครับ (นางเอกเรื่องนี้ งามแท้ ๆ จนเมื่อพระสงฆ์องค์เณรหลายตนที่ข้าพเจ้ารู้จักได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว
เป็นเหตุให้ท่านเหล่าน้นสึกหาลาเพศ ไปก็หลาย
เฮ้อ )
(ตั้ง)แต่พระเจ้านิพพานมาเถิงอโสกธัมมิกราชะได้ ๒๑๘ ปี อรหันตาเจ้าทังหลายพันตน มีมหาโมคคัลลีปุตติสเถรเจ้าเปนประธาน กระทำสังคายนาธัมมเปนถ้วน(ครั้งที่) ๓ วันนั้นแล
"ราชคหราชวังสา(ขอยุติ)แล้ว(ไว้)เท่านี้ก่อนแล
"(ส่วน)กระกูลท้าวพระญาชาวสากยราชในเมืองกบิลพัสดุ์นั้น ลูกพระญาโกสละผู้ชื่อมิตตตุพภะ (คงเป็นศากยวงศ์ด้วยกัน) ฆ่าเสียเสี้ยง (ฆ่าตายหมดเสี้ยง แปลว่า หมดสิ้น)
"ดัง(แม้แต่ตัวมิตตตุพภะ(เอง)ก็น้ำถ้วมตาย ลวดเสี้ยงสุดไปในวันนั้นแล
ทานผู้ฟังที่เคารพ ขออย่าเพิ่งเบื่อหน่ายนิทานชุดนี้เสียนะครับ ---ที่บูราณาจารย์ท่านย้อนนิทาน/ตำนานไปเริ่มต้นอดีตด้วยการลำดับวงศ์ (วังสะ แปลว่า เป็นลำดับมาเหมือนลำไม้ไผ่) ถึงยุคก่อนพุทธกาลต่อเนื่องยุคพุทธกาลนั้น
ก็เพราะท่านมีเหตุผลของท่านครับ
คือว่าตำนานจะน่าเชื่อถือถ้าหากตั้งต้นไว้ดี น่าเชื่อถือ และสิ่งที่คนโบราณท่านเชื่อถือศรัทธาก็คือเรื่องของศาสนา เรื่องของพระศาสดานั้นเอง
ตำนานเมืองใหญ่ในล้านนา ก็จึงต้องจะตั้งเวลา
ไว้ให้มั่นคง
เพื่อเปิดเรื่อง เมื่อปีที่เบิกศักราชใหม่ให้แผ่นดินล้านนา
ได้เกิดมี เกิดเป็น เกิดสถาปนาขึ้นมาบนโลกนี้ นั้นเอง
โปรดติดตามต่อไป.
* อ้างอิง: ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับ ๗๐๐ ปี ผูก ๑ หน้า ๒๕ * **ภาพประกอบ: (ลายเส้นของ) รุ่งโรจน์ เปี่ยมยศศักดิ์**
***posted by a_somjai | 2006-09-07 | ตำนาน, เมือง, เหนือ, ล้านนา |***
Create Date : 07 กันยายน 2549 | | |
Last Update : 9 กันยายน 2549 4:27:11 น. |
Counter : 919 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|