|
Links for 2006-09-28 | ประชาธิปไตย แบบไทยไทย ?
วันที่ : 27/9/2549 | ประชาไท บทความของ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : การเมืองระบอบ ลูกขุน/ลูกป๋าอุปถัมภ์ แบบประชาธิปไตย?
การเมืองระบอบ ลูกขุน/ลูกป๋าอุปถัมภ์ แบบประชาธิปไตย ? [1] โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
(ปรับปรุงจากบทความที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก หน้า 4 เมื่อวันที่ 17 กันยายน เพื่อส่งไปตีพิมพ์ในวันที่ 20 กันยายน และตีพิมพ์จริงในตอนบ่ายวันที่ 19 กันยายน 2549 เผยแพร่ซ้ำใน Onopen Special ใน //www.onopen.com เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2549 และเข้าชมไม่ได้แล้วในช่วงบ่ายของวัน บางส่วนของบทความอาจจะล้าสมัยไปแล้ว แต่ผู้เขียนได้เพิ่มเติมขยายความไว้ในส่วนท้ายของบทความ)
... ถ้าลองย้อนไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยหลายสิบปีที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่เราอาจต้องตั้งคำถามก็คือ ปรากฏการณ์ของการเชิดชูผู้นำการเมืองบางคนเป็นวีรบุรุษ เป็นอัศวิน เป็นผู้กู้วิกฤติ ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่เคยแสดงออกถึงความต้องการของ พลเมือง ในการเลือก ผู้แทน ของเขา มากเท่ากับความต้องการเลือก ผู้นำ หรือ ผู้อุปภัมภ์ ที่จะมา นำ หรือมา อุปถัมภ์ เขา
ถ้าเราลองแบ่งสภาวการณ์เผชิญหน้าทางการเมืองปัจจุบันออกเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งคือบรรดาชาวบ้าน 16 ล้านเสียงที่เลือกพรรคไทยรักไทย กับอีกด้านหนึ่งคือบรรดาพันธมิตรประชาธิปไตยและบรรดานักวิชาการเชิดชูคุณธรรมและประชาธิปไตยทั้งหลายที่เดือดร้อนเรื่องบ้านเมือง เราจะพบว่า คนที่เราเรียกว่าเป็นชนชั้นกลางที่ไม่เอาทักษิณนั้นดูเหมือนจะมีอาการโหยหาผู้นำและโหยหาคุณธรรมมากกว่าบรรดาชาวบ้านที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่สามารถหูตาสว่างจากระบอบทักษิณและการเมืองประชานิยม และโหยหาผู้อุปภัมภ์ [2]
อาการโหยหาผู้นำที่มีคุณธรรมถึงขนาดร้องหา นายกพระราชทาน ในช่วงหนึ่งที่ผ่านมา รวมทั้งการพยายามเข้าหาและแสดงตนว่าเป็น ลูกป๋า และดีใจที่เกิดการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของบรรดา ลูกขุน ผ่านการพิพากษา (หมายถึงการตีความและการตัดสิน ไม่ใช่แค่การตัดสิน) ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ รวมทั้งเสนอชื่อ กกต.ใหม่นั้น ไม่ควรจะถูกตัดสินผ่านการแขวนป้ายว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนลักษณะการมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยหรือไม่
เพราะประชาธิปไตยในความหมายของแต่ละกลุ่มอาจมีความแตกต่างกันไป
เอาเข้าจริงประชาธิปไตยของไทยกลับต้องการ ผู้อุปถัมภ์ พอๆ กันทั้งในเมืองและชนบท หรืออาจกล่าวได้ว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยของทุกฝ่ายนั้น ความจริงแล้วเป็นเพียงการเรียกร้องผู้อุปถัมภ์มากกว่าการเรียกร้องตัวแทนของเขาที่สามารถถูกตรวจสอบได้และบังคับให้มีการรับผิดได้ (accountable) ..<<...อ่าน READ..>>..
วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ | การวิจัยด้วยฝ่าเท้า : ประมวล เพ็งจันทร์ ๑ , ดร. ประมวล เพ็งจันทร์ : นักวิชาการอิสระ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการก้าวเดิน ตั้งแต่ตีห้าของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ โดยเดินออกจากบ้านเพื่อเป็นการฝึกเดิน เปรียบเหมือนเด็กน้อยๆ ที่เมื่อเกิดออกมาแล้วก็ปรารถนาจะเดิน ผมฝึกเดินอยู่จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงของจังหวัดเชียงใหม่พอดี จนคิดว่าเข้มแข็งพอที่จะเดินในระยะไกลๆ ได้แล้ว หลังจากภรรยาผมทดสอบว่าเดินได้จริงๆ วันละเท่าไหร่ สภาพร่างกายเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ผมจึงได้เดินออกนอกจังหวัดเชียงใหม่ โดยตอนแรกไม่มีเจตนาว่าจะออกเดินไปไหน
แต่ตอนฝึกเดินผมจะพบปัญหาอย่างหนึ่งคือ ชาวบ้านจะซักถาม แล้วเมื่อผมตอบไม่ได้ ชาวบ้านจะเข้าใจผิด คิดเสมือนประหนึ่งว่าคนๆ นี้วิกลจริต หรือคนบ้าที่ไม่รู้จะไปไหน ผมจึงคิดว่าครั้งนี้ต้องมีเป้าหมายทางกายภาพด้วย จริงๆ การเดินของผมเพื่อต้องการแสวงหาเป้าหมายทางจิตใจ แต่เมื่อไม่มีเป้าหมายทางกายภาพ ทำให้บางคนวิตกกังวลและเป็นห่วงว่าจะสามารถพาชีวิตรอดได้หรือไม่ เลยมีเป้าหมายว่าจะเดินกลับบ้านเกิดที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมใช้เวลาเดินจากเชียงใหม่เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ไปถึงเกาะสมุย เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๙ ใช้เวลาทั้งหมด ๖๖ วัน
การเดินในครั้งนี้ผมใช้เงื่อนไข หนึ่ง คือจะไม่เดินไปหาคนที่รู้จัก หรือถ้าคนรู้จักอยู่ที่ไหนก็จะหลีกไปใช้ทางอื่น สอง คือจะไม่มีสตางค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจติดตัวไปด้วย เพราะฉะนั้นในการก้าวเดินจึงรู้สึกว่าตัวเองได้รับโอกาสที่ประเสริฐสุด ที่จะได้ศึกษาความเป็นมนุษย์ที่ตัวเองมีอยู่ โดยไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ทางสังคมมาประดับประดาตกแต่ง
บทเรียนที่ได้จากการก้าวเดินจึงเป็นบทเรียนที่ผมค่อนข้างจะภูมิใจ ไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้ดีนะครับ แต่หมายความว่าเท่าที่ตัวเองตัดสินใจทำไปนั้น คิดว่าครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
ผมอยากจะเล่าประสบการณ์สั้นๆ เพราะเวลามีจำกัด ว่าในการก้าวเดินแบบนี้ เริ่มต้นจากการที่เราเผชิญสิ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งง่ายๆ จะเป็นปัญหากับชีวิตมากขนาดนี้ เช่นกรณีอาหาร เพราะผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขออาหารจากผู้ใดผู้หนึ่งด้วยการไปบอกว่าผมหิว ผมกระหาย ผมขออาหาร ผมจะไม่ทำ เพราะฉะนั้นในการเดินจึงประสบกับปัญหาที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัส เพราะกว่าเขาจะรู้ว่าเราหิวโหยจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว ก็ต้องสังเกตเอาเอง และเมื่อมีคนให้อาหารผมทาน เพียงแค่อาหารมื้อแรกที่ได้รับ ผมก็รู้เลยว่าการกินอาหารที่ผ่านมาตลอดชีวิต มันได้แต่กินอาหารอย่างเดียว ได้แต่เสพรสอาหาร แต่ไม่ได้เสพรสชาติชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง
...<<อ่าน READ>>...
posted by a_somjai on SeP 28, 2006 @ 00.00 am
Create Date : 28 กันยายน 2549 |
Last Update : 28 กันยายน 2549 0:08:37 น. |
|
2 comments
|
Counter : 456 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
น้ำจะท่วมบางกอกอยู่แล้ว