|
รัฐประหารซ้ำซาก จากพ่อของพ่อ ถึงลูกของลูก (2): Links for "ปัญญาชนและชนชั้นนำสยาม"
LINKS for 2006-10-21
THE KINGMAKERS ทรรศนะ/โดย ธงชัย วินิจจะกูล เมื่อ 18 ตุลาคม 2549
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สองใกล้เสด็จสวรรคต กลุ่มเจ้านายและขุนนางในขณะนั้นเห็นว่าราชบัลลังก์สมควรเป็นของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองค์โตผู้มีอิทธิพลและบทบาทในราชสำนักเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าทรงประสูติจากพระสนม เจ้าฟ้ามงกุฎพระราชโอรสพระองค์แรกในสมเด็จพระบรมราชินีศรีสุริเยนทรามาตย์ทว่าพระชันษาอ่อนกว่าถึง 16 พรรษา จึงเสด็จออกผนวชก่อนพระราชบิดาสวรรคตไม่กี่วัน และทรงอยู่ในสมณเพศต่อมา 27 ปี
เมื่อสิ้นรัชกาลที่สาม ราชบัลลังก์มิได้ตกเป็นของเจ้าฟ้ามงกุฎโดยอัตโนมัติ แต่ในที่สุดกลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ในขณะนั้นเห็นสมควรถวายราชบัลลังก์แด่พระองค์ท่าน พระองค์ทรงครองราชย์ต่อมาอีก 18 ปี โดยทรงตระหนักตลอดเวลาถึงอำนาจและความสำคัญของกลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ดังกล่าว
ดังนั้นก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่สี่จะเสด็จสวรรคต ไม่มีผู้ใดรู้ชัดเจนเลยว่า ราชบัลลังก์จะตกทอดสู่เจ้าฟ้าพระองค์ใด พระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเลือกด้วยพระองค์เองแต่อย่างใด กลุ่มขุนนางกุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินไว้เต็มที่ ในขณะที่เจ้าฟ้าทุกพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ในที่สุดกลุ่มขุนนางผู้มีอำนาจ ตัดสินใจถวายราชบัลลังก์แด่เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ แต่ด้วยทรงพระเยาว์ กลุ่มขุนนางจึงสถาปนาตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน มีอำนาจทางการเมืองสูงสุดอย่างแท้จริงตลอด 15 ปีแรกของรัชสมัย
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า ทรงตระหนักดีถึงสภาวะดังกล่าว ทรงแสดงความคับข้องพระราชหฤทัยไว้ในหลายโอกาส (ดังที่นักประวัติศาสตร์ทราบกันดี) พระองค์ต้องทรงต่อสู้ต่อรองและรอโอกาสต่อมาอีกนาน กว่าที่พระองค์จะทรงสามารถรวบรวมพระราชอำนาจได้เข้มแข็ง บางครั้งความขัดแย้งปะทุจนเกือบเป็นความพินาศดังเช่นวิกฤตการณ์วังหน้าในปี 2417
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าเสด็จสวรรคต การสืบทอดพระราชบัลลังก์เป็นไปโดยราบรื่น เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดไว้เรียบร้อยก่อนหน้านั้นหลายปี แต่ทว่ากลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ที่สืบทอดอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินต่อมา กลับไม่สามารถทำงานร่วมกับพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ได้อย่างราบรื่น ความขัดแย้งตึงเครียดนำไปสู่การโยกย้ายถอดถอนผู้ใหญ่เหล่านั้น หรือเจ้านายและขุนนางเหล่านั้นหลายท่านสมัครใจถอนตัวไปเอง ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นดำเนินต่อมาตลอดรัชกาล
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดขึ้นครองราชย์ด้วยแรงสนับสนุนของพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งมิได้ทรงเตรียมพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ การบริหารราชการแผ่นดินยิ่งต้องอาศัยพระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่เหล่านั้น
เมื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เผชิญหน้ากับกระแสประชาธิปไตยที่ก่อตัวในหมู่ปัญญาชนผู้มีการศึกษา ผู้มีบารมีและอิทธิพลในระบอบเดิมเหล่านี้มีบทบาทสำคัญไม่น้อยไปกว่าพระเจ้าอยู่หัวเองในการถ่วงรั้งไม่ยอมให้สามัญชนมีอำนาจมากไป ด้วยเห็นว่าสามัญชนยังด้อยการศึกษา ขาดความรู้ความเข้าใจ ยังไม่พร้อมปกครองตนเอง
อวสานของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในแง่หนึ่งคือ ผลของระบอบการเมืองของผู้มีบารมีเหล่านี้ ซึ่งแวดล้อมพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในขณะนั้น หลัง 2475 ผู้นำของคณะราษฎรขัดแย้งกับกลุ่มเจ้าอย่างหนัก ใช้เวลาหลายปีกว่าจะสยบฝ่ายเจ้าสำเร็จ ผู้นำคณะราษฎรจึงอยู่ในฐานะผู้กำหนดชะตากรรมของราชบัลลังก์เสียเอง ซึ่งหมายถึงการจำกัดบทบาทอำนาจของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ให้ออกพ้นไปจากการเมืองโดยสิ้นเชิง
ทว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดี พนมยงค์ จำต้องสามัคคีฝ่ายเจ้าในการต่อสู้กับฝ่ายจอมพล ป. พิบูลสงคราม พลังอำนาจฝ่ายเจ้าจึงกลับฟื้นคืนมาใหม่เมื่อสิ้นสงคราม ในที่สุดฝ่ายเจ้าจึงกลับตลบหลังปรีดี จนกลายเป็นกลุ่มที่มีอำนาจสูงร่วมกับทหารหลังรัฐประหาร 2490 ถึง 2494
ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในขณะนั้น และองคมนตรีมีบทบาทและอำนาจสูงมากตามรัฐธรรมนูญ 2492 นอกจากจะทรงเป็นผู้ดูแลพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันในระหว่างทรงพระเยาว์แล้ว กลุ่มเจ้านายและขุนนางผู้จงรักภักดีกลุ่มนี้ เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกสถานภาพของพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันเป็นที่มาของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่มั่นคงแข็งแรงทุกวันนี้
ในด้านหนึ่ง เราตระหนักดีถึงความสำคัญของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อสังคมไทย ในอีกด้านหนึ่งครั้นเราพิจารณาระบอบการเมือง เรามองเห็นแต่รัฐบาล ทหาร พลเรือน และนักการเมืองคอร์รัปชัน เรามักมองข้ามความจริงง่ายๆ ว่า ประวัติศาสตร์ตามที่เล่ามาข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองและระบอบการเมืองตลอดมา สถาบันกษัตริย์ผู้ทรงอยู่เหนือการเมืองและบรรดาผู้ใหญ่ผู้มีบารมี มีความสำคัญทางการเมืองมากอย่างปฏิเสธไม่ได้
คนเหล่านี้บางครั้งก็มีอำนาจทางการเมืองเปิดเผยโดยตรง บางครั้งก็มีในรูปของบารมีอิทธิพลโดยไม่จำเป็นต้องลงมาเกลือกกลั้วกับการบริหารราชการโดยตรง คนเหล่านี้แต่ก่อนจัดว่าเป็นเจ้านายและขุนนาง ต่อมาจัดเป็นกลุ่มองค์กรทางการ เช่น อภิรัฐมนตรี องคมนตรี หรือสภาที่ปรึกษาต่างๆ นานา
คนเหล่านี้มีบทบาทอิทธิพลต่อการสืบราชบัลลังก์มาตลอดประวัติศาสตร์ ซึ่งทุกครั้งมีผลกระทบต่อระบบการเมืองที่ดำเนินอยู่
เพราะภารกิจสำคัญสุดยอดของผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้ คือการจัดการให้ระบบการเมืองอยู่ในสภาวะตามที่พวกเขาประสงค์ ตามความเชื่อ (อุดมการณ์) ของพวกเขาว่าจะเป็นระบบที่เอื้ออำนวยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปชั่วกาลนาน และเอื้ออำนวยต่อผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้เองในระยะเปลี่ยนผ่านราชบัลลังก์
ภายหลัง 2475 ระบบการเมืองที่คนกลุ่มนี้ประสงค์ไม่ใช่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกต่อไป แต่คือระบอบประชาธิปไตยตามแนววัฒนธรรมไทยที่รักษาบทบาทพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะ อำนาจทางศีลธรรม เหนือการเมืองสกปรกดีๆ ชั่วๆ ของคนธรรมดา
ยิ่งเข้าใกล้ระยะสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ผู้ใหญ่ผู้มีบารมีเหล่านี้ยิ่งต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าความเปลี่ยนแปลงสำคัญอยู่ในวิสัยที่ตนสามารถกำหนดควบคุมได้ จะปล่อยให้ใครมีอำนาจมากแต่นอกลู่นอกทางที่ตนประสงค์ไม่ได้
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องในอดีตทั้งสิ้น
<<อ่านบทความนี้ ---- Reading this article>> ที่ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ หรือ ที่ ประชาไท
"การรื้อสร้าง ๒๔๗๕" : ฝันจริงของนักอุดมคติ "น้ำเงินแท้" | ศิลปวัฒนธรรม วันที่ 01 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 27 ฉบับที่ 02 | เรื่องจากปก โดย ณัฐพล ใจจริง
ฝันจริงของชาว "น้ำเงินแท้" และฝันร้ายของคณะราษฎร
กระบวนการรื้อสร้าง ๒๔๗๕ ในงานเขียนของชาว "น้ำเงินแท้" และพันธมิตรแนวร่วมที่ทำดูเสมือน "เป็นเสรีนิยมและประชาธิปไตย" ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน อย่างน้อยเริ่มต้นตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อชาว "น้ำเงินแท้" ได้รับการนิรโทษกรรม เขาเหล่านั้นได้เข้ามามีบทบาททั้งทางการเมือง ปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์ นักรัฐประหาร ผนวกกับกลุ่มอื่นๆ ในเวลาต่อมาจนนำไปสู่การพลิกความหมาย (คณะราษฎรกลายเป็นบรรพบุรุษของเผด็จการทหารที่ต้องโค่นล้มพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความเป็นตัวแทนของความเป็นประชาธิปไตยและอุดมการณ์ของกบฏบวรเดช คือจุดเริ่มต้นของขบวนการประชาธิปไตยในการต่อสู้กับคณาธิปไตยเผด็จการที่นิสิตนักศึกษาใช้เป็นแบบอย่างและสืบทอดเจตนารมณ์) กลายเป็นพลังในการโค่นล้มรัฐบาลทหารในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผลพวงจากปฏิบัติการเหล่านี้ได้ก่อตัวและคลี่คลายไปยังความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่มองการปฏิวัติและคณะราษฎรในเชิงลบมากขึ้นในเวลาต่อมา
หากเราจะแบ่งกลุ่มการร่วมรื้อสร้างแล้ว สามารถแบ่งงานเขียนกว้างๆ ได้ ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มร่วมรื้อสร้างจากเคยได้รับผลร้ายโดยตรง เช่น พวก "รอยัลลิสต์" และพันธมิตรแนวร่วม อาทิ งานเขียนของชาว "น้ำเงินแท้" นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนสารคดี ที่ผลิตงานเขียนตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ และถูกผลิตซ้ำจำนวนมากในช่วงปี ๒๕๑๐
ส่วนกลุ่มที่ ๒ นั้นร่วมรื้อจากแง่มุมวิชาการ ตำรา และวิทยานิพนธ์ทางรัฐศาสตร์ในช่วงทฤษฎีการพัฒนาการเมืองเฟื่องฟู และวิทยานิพนธ์ที่ทำในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐-๒๕๒๐ (ที่มองว่าบทบาทของทหารเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย และตีความว่าคณะราษฎรคือกำเนิดของพลังอำมาตยาธิปไตย) และตำรา วิทยานิพนธ์ทางประวัติศาสตร์การเมืองที่ทำในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐-๒๕๒๐ เป็นต้น
ตลอดจนการปัดฝุ่นรื้อฟื้นงานเขียนเก่าๆ ทั้งนิยายและสารคดีการเมืองของเหล่าชาว "น้ำเงินแท้" ที่เคยพิมพ์เผยแพร่เมื่อครั้งปี ๒๔๙๐ นั้นออกมาผลิตพิมพ์ซ้ำโดยเฉพาะอย่างในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐ อย่างมากมาย
ตลอดจนงานเขียนทั้งความทรงจำและบทความทางการเมือง นิยาย อีกทั้งงานวิจัย วิทยานิพนธ์จำนวนมากมายมหาศาลที่ล้วนมองและประเมินการปฏิวัติและบทบาทของคณะราษฎรในแง่ลบและเป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย
นอกจากนี้ความไม่ตระหนักในการรื้อสร้าง ๒๔๗๕ จากชาว "น้ำเงินแท้" ของคณะราษฎร ตลอดจนการหมดสิ้นอำนาจของคณะราษฎร มีผลให้กระบวนการบ่อนเซาะความชอบธรรมของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ จากชาว "น้ำเงินแท้" ได้วางรากฐานให้กับระบอบการเมืองกลายพันธุ์ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามกว่าจะมีการตระหนักรู้ถึงกระบวนการรื้อสร้างนั้น อาการหมดสิ้นความหมายก็เข้ารุมเร้าการปฏิวัติ ๒๔๗๕ และคณะราษฎรจนแทบกู้เกียรติและกู้ระบอบไม่ขึ้น
การรื้อสร้างจากการเมืองเรื่องเล่าเหล่านี้ได้รื้อสร้างความหมายเดิมและสร้างความหมายใหม่ในลักษณะกลับหัวกลับหาง อันเป็นรากฐานของความคิดในการร่างรัฐธรรมนูญและความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่นำไปสู่ระบอบการเมืองกลายพันธุ์
ตลอดจนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ได้สูญเสียสถานะ ความหมาย และความชอบธรรมในความรับรู้และความทรงจำของผู้คนอันนำไปสู่เรื่องเล่าอื่นที่เป็นอภิมหาอรรถกถาครอบจักรวาลที่ทำให้สรรพสิ่งในระบอบนี้ล้วนมีผู้ครอบครองมาก่อน ซึ่งหาใช่โลกของคนสามัญธรรมดาตามระบอบประชาธิปไตยไม่
<<อ่านบทความนี้ ฉบับเต็ม ---- Reading this article>>
Freedom - Liberty - Democracy for the Kingdom of Thailand
Link >>: https://www.youtube.com/watch?v=K1iPHfkn9hc
คำเตือนจากเจ้าของบล็อก : 1. โปรดใช้วิจารณญาณ ในการชม ฟัง และคิดเห็น 2. โปรดคลิกชมซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ทางเดินปัญญาชนสยาม : จากอดีตถึงปัจจุบัน | ศิลปวัฒนธรรม วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 05 บทความพิเศษ โดย สายชล สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความนี้ปรับปรุงจากปาฐกถาเปิดงานสัมมนาทางวิชาการ เนื่องในวาระครบรอบ ๗๒ ปี ปัญญาชนสยาม สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๘
บทความนี้แบ่งปัญญาชนออกเป็น ๓ กลุ่มใหญ่ๆ แต่จะกล่าวถึงปัญญาชนกระแสหลักมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นต้นกำเนิดทางความคิดของอาจารย์สุลักษณ์ ส่วนปัญญาชนอีก ๒ กลุ่มจะกล่าวถึงอย่างสังเขป โดยเน้นความคิดส่วนที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับความคิดของอาจารย์สุลักษณ์
๑. ปัญญาชนกระแสหลัก
เป็นปัญญาชนที่มีความเชื่อ (และพยายามทำให้ผู้อื่นเชื่อ) ว่า สังคมที่แบ่งคนออกเป็นลำดับชั้น และมีโครงสร้างการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ เป็นสังคมที่ดีงาม ถูกต้อง เหมาะสม สำหรับคนไทยและเมืองไทย
ปัญญาชนสำคัญในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลในพระบรมราชจักรีวงศ์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
อาจารย์สุลักษณ์เคยเป็นสมาชิกของปัญญาชนกลุ่มแรกนี้ และเคยเดินตามอย่างเชื่อมั่น แต่ในที่สุดก็ได้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันอันเป็นองค์ประกอบของ "ความเป็นไทย" อย่างรุนแรง เนื่องจากพบว่าหลายสถาบันมิได้ทำตัวให้ดีตามอุดมคติของ "ความเป็นไทย" นั่นคือ มิได้ทำหน้าที่ของตนเพื่อให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข และมิได้ทำให้ "เมืองไทยนี้ดี" อย่างที่พึงจะเป็น ดังนั้นนอกจากจะวิพากษ์วิจารณ์เองแล้ว อาจารย์สุลักษณ์ซึ่งต้องการทำให้ทุกสถาบันทำหน้าที่ตามอุดมคติของ "ความเป็นไทย" (ในความหมายที่อาจารย์สุลักษณ์นิยาม ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า) ยังได้เรียกร้องให้ทุกสถาบันเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อทำให้เกิดการเรียนรู้และการปรับตัวของสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะสถาบันที่เป็น "หัวใจของความเป็นไทย" คือพระมหากษัตริย์และพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา การปรับตัวมิได้เกิดขึ้นในวิถีทางที่อาจารย์สุลักษณ์คาดหวัง ในที่สุดอาจารย์สุลักษณ์ก็ได้เดินแยกออกจากทางสายหลักนี้
๒. ปัญญาชนที่เชื่อว่าคนเสมอภาคกัน
ควรมีสิทธิและมีส่วนได้ส่วนเสียในชาติเท่าเทียมกัน
และไม่นิยมโครงสร้างการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจ
๓. ปัญญาชนที่เป็นบรรพชิต
เป็นปัญญาชนที่บวชในพุทธศาสนาเป็นเวลานาน ศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้งจริงจัง นอกเหนือจากการแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว ยังเผยแผ่ธรรมะโดยการเขียนหนังสือจำนวนมากเพื่ออธิบายหลักธรรม และพยายามทำให้พุทธศาสนาเป็นทางออกสำหรับแก้ปัญหาชีวิตและปัญหาสังคม โดยให้ความสำคัญแก่การรื้อฟื้นโลกุตรธรรมเป็นอย่างมาก เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พระไพศาล วิสาโล เป็นต้น
ทางเดินของปัญญาชนที่เป็นบรรพชิตนี้ ไม่เพียงแต่จะอุทิศชีวิตเพื่อเผยแผ่ธรรมะ แต่ยังเป็นแบบอย่างให้เห็นว่า วิถีชีวิตที่เป็นอิสระจากวัฒนธรรมบริโภคนิยม โดยกอปรไปด้วยศีล สมาธิ และปัญญา เป็นวิถีชีวิตที่ดี และเป็นไปได้ในโลกยุคทุนนิยมหรือโลกาภิวัตน์
<<อ่านบทความนี้ ฉบับเต็ม ---- Reading this article>>
posted by a_somjai on Saturday, October 21, 2006. @ 12:00 AM
Create Date : 21 ตุลาคม 2549 |
Last Update : 22 ตุลาคม 2549 4:10:03 น. |
|
3 comments
|
Counter : 564 Pageviews. |
|
|
|
โดย: โสมรัศมี วันที่: 23 ตุลาคม 2549 เวลา:12:14:02 น. |
|
|
|
โดย: a_somjai วันที่: 20 ธันวาคม 2551 เวลา:2:46:43 น. |
|
|
|
| |
|
|
ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑
ที่มา : สถาบันปรีดี พนมยงค์
ราษฎรทั้งหลาย
เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการทำมาหากินซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้
การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆ ได้กระทำกัน รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่า ภาษีอากรที่บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน ส่วนราษฎรสิ กว่าจะหาได้แม้แต่เล็กน้อย เลือดตาแทบกระเด็น ถึงคราวเสียเงินราชการหรือภาษีใดๆ ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้โค่นราชบัลลังก์ลงเสียแล้ว
รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่ คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป
ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย
เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของกษัตริย์ไว้ได้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่าราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุกๆ คนจะมีงานทำ เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว เป็นหลักใหญ่ๆ ที่คณะราษฎรวางไว้ มีอยู่ว่า
๑.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
๒.จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
๓.ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
๔.จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)
๕.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น
๖.จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมายพึงตั้งตนอยู่ในความสงบและตั้งหน้าทำมาหากิน อย่าทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลน ของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า ศรีอาริยะ นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า
๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕