|
รัฐประหารซ้ำซาก (15): ประชาธิปไตยภายใต้การเมืองตามอำเภอใจแบบรัฐประ(ท)หาร
LINKS for 2007-07-17:
เวบไซต์กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์ |15 กรกฎาคม 2550 | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |สู่ประชาธิปไตยที่เป็นอิสระจาก คมช.
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สังคมไทยได้เผชิญสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจจะส่งผลสะเทือนไปสู่อนาคตมากที่สุด ในด้านหนึ่ง ก็เกิดการชุมนุมของประชาชนผู้ต่อต้านการรัฐประหารจำนวนมาก ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายอำนาจรัฐและผู้ก่อการรัฐประหารก็แสดงท่าทีพร้อมจะตอบโต้ด้วยกำลังตำรวจทหาร มิหนำซ้ำ ผู้สนับสนุนรัฐประหารก็ยังมีการจัดตั้งกองกำลังและสร้างกระแสข่าวในลักษณะที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
ล่าสุด แม้กระทั่งหัวหน้าคณะรัฐประหารก็ให้สัมภาษณ์ว่าไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของอดีตนายกรัฐมนตรีได้ ทั้งที่มีอำนาจสูงสุดทางการเมือง การทหาร และคุมกลไกรัฐต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์
ไม่ว่าการชุมนุมต้านรัฐประหารนี้จะมีผลอย่างไร สถานการณ์การเมืองไทยก็ไม่มีวันกลับไปสู่จุดที่คณะรัฐประหารควบคุมทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดต่อไปอีกแล้ว การชุมนุมเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิเสธอำนาจรัฐประหารโดยวิธีอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต เช่น การคว่ำรัฐธรรมนูญ การบอยคอตการเลือกตั้งเหมือนอย่างที่เกิดในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว การวิจารณ์ประธานองคมนตรี หรือแม้กระทั่งการใช้สภาผู้แทนราษฎรเป็นฐานของการตอบโต้โดยวิธีหนึ่งวิธีใดในอนาคต
การรัฐประหารเป็นเรื่องดีหรือไม่ เป็นเรื่องที่คงเถียงกันไปได้อีกมาก และประชาชนไทยสมควรจะต่อต้านรัฐประหารหรือไม่ ก็คงเห็นต่างกันไปได้อีกมากเช่นเดียวกัน แต่เรื่องที่ทุกฝ่ายควรจะเห็นเหมือนกัน ก็คือ สิทธิในการชุมนุมและเดินขบวน สิทธิในการแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับผู้มีอำนาจ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะคิดว่านายกรัฐมนตรีคนที่แล้วเป็นคนดีหรือไม่ ไม่ว่าจะคิดว่าระหว่าง ทักษิณ กับ คมช. ใครแย่กว่ากัน และไม่ว่าจะเห็นว่าระหว่างทักษิณ กับระบอบรัฐประหาร อะไรเป็นภัยกับประชาธิปไตยและสังคมไทยในอนาคตมากที่สุด ทุกคนก็มีสิทธิพูด เขียน แสดงความเห็น และรวมตัวทางการเมืองเพื่อยืนยันความคิดความเชื่อของตัวเองข้อนี้อย่างเท่าเทียมกัน
ในอดีต ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพเหล่านี้จนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่การมีรัฐธรรมนูญเป็นแม่บทของประเทศในเดือนมิถุนายน 2475, ขับไล่ทรราชทหารเมื่อ 14 ตุลาคม, ต่อต้านนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในปี 2531, ต้านเผด็จการทหารในปี 2535 หรือแม้กระทั่งการขับไล่นายกที่มาจากการเลือกตั้งแต่มีพฤติกรมอำนาจนิยมในปี 2549 ซึ่งแม้จะมีเรื่องให้โต้เถียงได้มาก ก็ถือว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในขอบเขตนี้ได้เช่นเดียวกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การยอมรับสิทธิเสรีภาพของประชาชนแบบนี้ถือเป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่งของสังคมไทย ปฏิกิริยาของรัฐบาลและคณะรัฐประหารต่อการชุมนุมครั้งนี้เป็นเรื่องน่าละอาย เพราะในด้านหนึ่ง รัฐบาลพยายามแสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่ายอมรับคนไทยมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม แต่ในอีกด้าน รัฐบาลกลับอนุญาตให้คณะรัฐประหารขัดขวางการชุมนุมด้วยวิธีสกปรกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งทหารไปสอดแนมการรวมตัวของชาวบ้านในพื้นที่ , ใช้กำลังตำรวจสกัดกั้นการเดินทาง , ปิดถนนบริเวณที่ชุมนุมทั้งหมด , ข่มขู่ประชาชนในลักษณะต่างๆ ตั้งแต่การประกาศว่าจะไม่อนุญาตให้ประกอบอาชีพโดยสุจริตอีกต่อไป ขู่ฆ่าล้างโคตร หรือโยกย้ายกำลังทหารเข้ากรุงเทพมากเกินปกติ ขณะที่การชุมนุมสนับสนุนรัฐประหารกลับไม่ถูกขัดขวางแม้แต่นิดเดียว
การเมืองแบบตีสองหน้าอย่างนี้มีความหมายเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากคนที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐ ย่อมไม่มีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม
อันที่จริง คณะรัฐประหารไม่ได้ขัดขวางการชุมนุมโดยวิธีข่มขู่และประทุษร้ายเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้วิธีทางการเมืองที่เลวร้ายกว่านั้นอีกมาก นั่นก็คือใช้ยุทธการข่าวสารไปทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ชุมนุมด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวว่าจะมีการก่อวินาศกรรม ผู้ชุมนุมมีแผนก่อการร้าย มีกองทัพมดป่วนเมือง เผาตัวตายสร้างสถานการณ์ ฯลฯ ซึ่งในที่สุดแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว
รัฐบาล, คณะรัฐประหาร และเครือข่ายผู้สนับสนุนรัฐประหาร มีบทบาทด้านการข่าวคล้ายคลึงกัน จึงมีการให้ข่าวทำนองนี้โดยบุคคลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ต่อให้ข่าวทั้งหมดจะไม่มีแหล่งข่าว และไม่ปรากฎอะไรตามข่าวที่พวกเขาปล่อยออกมาเลยก็ตามที
การทำงานการเมืองแบบนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เรียกว่า ระบอบรัฐประหาร นั่นก็คือระบอบซึ่งรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งกลับมีอำนาจบริหารกิจการของประเทศ, มีการตั้งองค์กรเฉพาะกิจเพื่อออกกฎหมายและวินิจฉัยข้อขัดแย้งทางการเมือง , มีกองทัพใช้กำลังและความรุนแรงในนามของการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งมีบางส่วนของปัญญาชน-สื่อมวลชน-ภาคเอกชน กำหนดวาระการเมืองโดยวิธีให้ความเห็นและข่าวสารไปในทิศทางบางอย่าง โดยองค์ประกอบทั้งหมดนี้เป็นอิสระจากกัน แต่มุ่งจรรโลงความมั่นคงของผู้รัฐประหารเหมือนกัน ถึงที่สุดแล้ว ระบอบรัฐประหารคือระบอบที่ผู้กุมอำนาจรัฐสามารถล้มล้างหรือล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้โดยเสรี การเมืองในระบอบรัฐประหารจึงเป็นการเมืองที่ผู้กุมอำนาจทางทหารอยู่เหนือศาล ระบบการเมือง และสถาบันทางกฎหมายทั้งหมด ส่วนอำนาจในระบอบรัฐประหารก็เป็นอำนาจตามอำเภอใจ เลือกปฏิบัติอย่างไรก็ได้ และไม่มีบรรทัดฐานทางการที่บังคับใช้กับคนทุกฝ่ายอย่างเสมอภาคกัน
ระบอบรัฐประหารโจมตีว่าการชุมนุมเป็นแผนผลักดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ประชาชนหลายฝ่ายมาร่วมชุมนุมเพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารและการละเมิดหลักการปกครองโดยกฎหมาย คำโจมตีนี้จึงเป็นการให้ข้อมูลเท็จเพื่อให้คนในสังคมมองไม่เห็นว่าได้เกิดการรวมตัวต้านการรัฐประหารขึ้นมาแล้ว ซ้ำยังเป็นการปลุกระดมให้คนที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาโจมตีผู้ชุมนุมกลุ่มนี้
พูดอีกอย่างคือเป็นการใช้ประโยชน์จากรอยร้าวของคนในชาติไปเพื่ออำนาจของฝ่ายรัฐประหารเอง
จริงอยู่ว่าผู้ชุมนุมบางส่วนสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ความสนับสนุนนี้ก็ไม่ได้เป็นเงื่อนไขให้คณะรัฐประหารมีความชอบธรรมที่จะขัดขวางการชุมนุมของประชาชน เพราะไม่มีหลักกฎหมายหรือหลักการเมืองชนิดใดที่ห้ามการรวมตัวแบบนี้ ผู้สนับสนุนทักษิณจึงมีสิทธิชุมนุมได้เหมือนผู้สนับสนุนสนธิ ผู้สนับสนุนสะพรั่ง หรือผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นในอดีต เหตุผลง่ายๆ คือการชุมนุมแบบนี้เป็นแค่การชุมนุมเพื่อแสดงความนิยมชมชอบทางการเมือง
ปฏิกิริยาของคณะรัฐประหารต่อการชุมนุมต้านรัฐประหารแบบนี้เป็นสัญญาณอันตรายต่อการเมืองไทยในอนาคต เพราะแสดงให้เห็นว่าผู้มีอำนาจในระบอบรัฐประหารล้มเหลวที่จะแยกแยะระหว่าง ปัญหาทางการเมืองของระบอบรัฐประหาร กับ ปัญหาของบ้านเมือง ทำให้มีแนวโน้มที่พวกเขาจะเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์คณะรัฐประหารเป็นการก่อกวนความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองไปด้วย ทั้งที่สองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน เพราะบ้านเมืองสำคัญกว่าความอยู่รอดทางการเมืองของคณะทหารเพียงกลุ่มเดียว
ความเข้าใจข้อนี้อันตราย เพราะบ้านเมืองในระบอบรัฐประหารคือบ้านเมืองที่ชะตากรรมของส่วนรวมขึ้นอยู่กับทัศนะวิสัยของผู้นำกองทัพ ซึ่งภายใต้ผู้นำกองทัพที่แยกแยะไม่ได้ว่าการเมืองนั้นแตกต่างจากการทหาร วิธีคิดแบบทหารก็ย่อมกลายเป็นกติกาแม่บทของความสัมพันธ์ทางการเมือง รวมทั้งวิธีจัดการกับความขัดแย้งทางการเมืองด้วยเช่นกัน
ในแง่นี้แล้ว การต้านรัฐประหารไม่ได้เป็นเรื่องของการพิจารณาว่าระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และ ค.ม.ช. ใครที่เลวร้ายและอันตรายกว่ากัน แต่เป็นปัญหาว่าระหว่างการเมืองที่อยู่ภายใต้การครอบงำของทหาร การเมืองที่ปราศจากกฎเกณฑ์ทางการเมืองที่แน่นอน การเมืองที่ผู้มีอำนาจแทรกแซงกระบวนการทางกฎหมายได้ทุกเมื่อ กับการเมืองที่เป็นอิสระจากกองทัพ การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย รวมทั้งการเมืองที่กระบวนทางการกฎหมายเป็นอิสระจากอำนาจนอกระบบ อะไรคือสิ่งที่เป็นคุณสำหรับสังคมไทยมากกว่ากัน?
การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน เป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองที่ปราศจากกฎเกณฑ์และไร้อนาคต ไม่มีใครรู้ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไร ไม่มีใครรู้ว่านายกรัฐมนตรีคนถัดไปจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ ไม่มีใครรู้ว่าสถานะของพรรคการเมืองและสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นอย่างไร เหมือนกับที่ไม่มีใครรู้ว่าการกระจายอำนาจ , สิทธิชุมชน และศักดิ์ศรีของมนุษยชนจะได้รับความคุ้มครองเช่นไรบ้าง เพราะเรื่องทั้งหมดนี้ถูกดึงจากสาธารณะไปอยู่ภายใต้การพิจารณาของบุคคลที่คณะรัฐประหารเลือกเข้ามาเพียงหยิบมือเดียว
ในสภาพเช่นนี้ คนในชาติเป็นพลเมืองที่ไร้สิทธิทางการเมืองไปแทบทุกรูปแบบ เว้นแต่สิทธิจะสนับสนุน คมช.ในเวลาที่ท่านต้องการ
การเมืองตามอำเภอใจแบบนี้ดำรงอยู่ได้ด้วยการสร้างความเกลียดชังนายกรัฐมนตรีที่หมดอำนาจไปเกือบหนึ่งปีแล้ว แต่ลองคิดดูว่าหากตัดการโจมตีนายกรัฐมนตรีคนที่แล้วออกไป มีอะไรบ้างที่ถือว่าเป็นผลงานที่ระบอบรัฐประหารทำให้กับสังคม?
การเมืองตามอำเภอใจไม่ใช่หนทางของการสร้างการเมืองที่ดีในปัจจุบัน หรือการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในอนาคต เพราะวิธีการนี้ปิดบังให้ผู้คนมองไม่เห็นว่าทักษิณไม่ใช่ปัญหาหลักของการพัฒนาประชาธิปไตย หากเป็นการดำรงอยู่ของ คมช.ต่างหากที่จะเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาธิปไตยในอนาคต เพราะความหวาดระแวงว่าจะถูกโจมตีทางการเมืองนั้นย่อมทำให้ ผู้นำของคมช.ไม่ออกไปจากศูนย์กลางอำนาจการเมืองไทยแน่ๆ ไม่ว่าตัว คมช.ในฐานะองค์กรจะดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ตาม
ภายใต้ทิศทางการเมืองแบบนี้ ต่อให้กระแสสังคมกดดันให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่มาจากการเลือกตั้งได้สำเร็จ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็จะอยู่ในตำแหน่งโดยมี คมช. เป็นปัจจัยการเมืองสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นหมายความถึงความเป็นไปได้ที่อำนาจจากการเลือกตั้งจะไม่เป็นอิสระ แต่ต้องร่วมมือหรืออยู่ภายใต้อำนาจนอกระบบ โดยสภาพแบบนี้จะคงอยู่ไปอีกเป็นเวลานาน
บทเรียนของสังคมไทยเองแสดงให้เห็นว่าสภาพเช่นนี้อันตรายกับพลังการเมืองทุกฝ่าย ตัวอย่างเช่นระหว่าง ปี 2524-2531 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กองทัพแทรกแซงการเมืองโดยสนับสนุนให้ พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่เคยลงเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว ผลที่เกิดขึ้นกองทัพแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย เปลี่ยนรัฐบาลผสมหลายครั้ง มีการรัฐประหาร 2 หน พรรคการเมืองกลายเป็นตัวแปรไร้อันดับ นายกรัฐมนตรีแย่งอำนาจกับผู้นำกองทัพ หรือแม้กระทั่งเกิดการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี
บัดนี้ ระบอบรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 กันยายน ก็ได้คงอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลา 9 เดือนแล้ว แต่ปัญหาการเมืองไทยก็ไม่มีวี่แววว่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น จึงสมควรที่จะพิจารณาการต้านรัฐประหารในฐานะที่ไม่เกี่ยวกับผู้นำการเมืองหรือนักการทหารคนไหน แต่เกี่ยวกับโจทก์ทางการเมืองที่สำคัญในปัจจุบันและอนาคต นั่นก็คือการสร้างประชาธิปไตยรัฐสภาที่เป็นอิสระจากกองทัพและพลังที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหารครั้งนี้
ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องร่วมกันปลดปล่อยประชาธิปไตยออกจากร่มเงาของ คมช.
ประชาไท: ธงชัย วินิจจะกูล: โจทย์ที่แท้จริงของการลงประชามติและทางเลือก , 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ----->>>หรืออ่านเนื้อความได้ที่ส่วน Comment ที่ 1-2 ------>>>>>>
posted by a_somjai on 2007-07-17 @ 01:22 AM.
Create Date : 17 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 18 กรกฎาคม 2550 6:26:28 น. |
|
2 comments
|
Counter : 486 Pageviews. |
|
|
|
โดย: a_somjai วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:04:28 น. |
|
|
|
โดย: a_somjai วันที่: 17 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:08:39 น. |
|
|
|
| |
|
|
กรุงเทพธุรกิจ, 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 07:00:00
ธงชัย วินิจจะกูล: โจทย์ที่แท้จริงของการลงประชามติและทางเลือก
1.เดินไปไหน?
คนส่วนใหญ่คงกำลังเบื่อการเมืองจนสุดจะทน และคงอยากไปให้พ้นความขัดแย้งที่น่าอึดอัดเสียที
โฆษณาอื้อฉาวของ ส.ส.ร. เป็นการหากินกับความเบื่อหน่ายของประชาชน คือ พยายามสื่อสารว่า "รับซะจะได้เดินหน้าสู่ภาวะปกติ (คือ มีการเลือกตั้ง) ซะที"
แม้แต่ปรมาจารย์ทางรัฐศาสตร์ยังบอกว่า จะลงมติรับรัฐธรรมนูญของ คมช. ทั้งๆ ที่เห็นว่า เนื้อหาถอยหลัง แต่เพราะอยากไปให้พ้นความน่าอึดอัด อยากเดินหน้าซะที
ปัญหามีอยู่ว่า จะเดินไปทางไหน? การลงมติรับจะไปพ้นความขัดแย้งที่น่าอึดอัดได้จริงหรือ?
หลายคนเคยต้อนรับการรัฐประหาร 19 กันยา เพราะเชื่อว่าจะได้พ้นไปจากความตึงเครียดของวิกฤติการเมืองเสียที กว่าปีที่ผ่านมา คงประจักษ์แล้วว่า ความขัดแย้งตึงเครียดมิได้หมดไป อาจแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ
ข้อที่ว่าต้องการเดินหน้านั้นก็มีปัญหาว่า เรากำลังหันหน้าไปถูกทางหรือเปล่า หรือกำลังหันกลับไปหายุคทหารครองเมือง เพราะหากเรากำลังหันหลังให้ประชาธิปไตยอยู่ ยิ่งเดินหน้าคือยิ่งผิดทาง
สิ่งที่ควรทำอันดับแรกคือ หันหน้าให้ถูกทางเสียก่อน
2.จำยอมถอยหลัง?
ความเสียหายใหญ่หลวงนับจาก 19 กันยาปีก่อน ไม่ได้อยู่ที่ความหน่อมแน้มของรัฐบาล แต่การรัฐประหารและกฎหมายต่างๆ ที่พยายามสถาปนาระบอบทหารนั่นแหละคือความเสียหายที่สุด
คนที่หวังว่ารัฐประหารจะเป็นการกดปุ่มเริ่มประชาธิปไตยกันใหม่นั้น คงเห็นอยู่ตำตาว่า ประชาธิปไตยกำลังผลิบานหรือการเมืองไทยกลับถอยกรูดสู่ยุคทหารครองเมืองกันแน่
พ.ร.บ. ความมั่นคงที่ให้อำนาจล้นฟ้าแก่กองทัพ จะผลักการเมืองไทยย้อนหลังไปอย่างน้อยๆ 30 ปี รัฐธรรมนูญ คมช.ไม่ไว้ใจประชาชน แต่กลับฝากความหวังสุดๆ ไว้กับตุลาการและวุฒิสภาแต่งตั้งภายใต้ระบบการปกครองที่มีทหารคุมอยู่ทุกจุด การรื้อฟื้นอำนาจอำมาตยาธิปไตยท้องถิ่น การเพิ่มงบลับงบเปิดให้กองทัพมหาศาลเหมือนยุคเผด็จการแต่ก่อน การใช้อำนาจบาตรใหญ่ของทหารรังแกประชาชน เช่น กรณีปิดเขื่อนปากมูล และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งหมดนี้ เป็นการถอยกรูดกลับไปหายุคทหารครองเมืองชัดเจน ไม่มีทางปฏิเสธได้ และอาจต้องสู้กันอีกหลายชีวิตกว่าจะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ การลงมติรับเพื่อเดินหน้าในขณะนี้ จึงเป็นการยอมจำนนว่า ยุคทหารครองเมืองคือการถอยหลังที่เราต้องยอมรับอย่างสงบเสงี่ยม
3.รัฐธรรมนูญ คมช.จะพาประเทศไทยไปทางไหน?
รัฐธรรมนูญของ คมช. เป็นการสถาปนาระบอบทหารหรืออำมาตยาธิปไตย ที่ไม่ให้โอกาสแก่สังคมประชาธิปไตยได้เรียนรู้ปรับตัวแก้ปัญหาตามกระบวนการ ไม่ไว้ใจประชาชนแต่กลับเชื่อถือให้อำนาจแก่อภิชน ขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ เป็น GUIDED DEMOCRACY แบบหนึ่ง ซึ่งก่อความเสียหายมหาศาลมาแล้วในหลายประเทศ
ระบอบการเมืองถอยหลังแบบนี้ จะส่งผลต่อประเทศชาติในระยะยาวอย่างไร?
ผู้เขียนมีข้อคาดการณ์เพื่อการถกเถียงว่า ระบบการเมืองย้อนยุคเช่นนี้ อาจทำให้ไทยอยู่ในภาวะคล้ายฟิลิปปินส์ กล่าวคือ ตกต่ำจากที่เคยเป็นดาวรุ่งแห่งเอเชีย ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง กลายเป็นแค่ประชาธิปไตยปลอมๆ ในอุ้งมือทหาร การแมืองจะทุลักทุเลไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง จนเป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจลุ่มๆ ดอนๆ
เพราะอำมาตยาธิปไตยไม่สามารถรับมือกับความซับซ้อนผันแปรของสังคมสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยความคิดและผลประโยชน์ต่างๆ กันมหาศาลได้ เพราะผู้นำทหาร อภิชน ขุนนางราชการผู้ใหญ่หลงตนเองว่า สูงส่งรู้รอบกว่าประชาชนและติดอยู่กับความคิดว่าประเทศชาติ คือครอบครัวขนาดใหญ่ที่พวกเขาต้องดูแลแบบพ่อบ้าน
ระบอบการเมืองนี้ยังเป็นบ่อเกิดของคอร์รัปชันขนานใหญ่ และการใช้อำนาจฉ้อฉลอย่างฝังราก เพราะใช้ความกลัวบวกบารมีปกครองจนประชาชนและสื่อมวลชนยอมจำนน ปิดปากต่อความฉ้อฉลของขุนนางและอภิชนน้อยใหญ่ทั้งหลาย
ต่างกับนักการเมืองซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนจ้องตรวจสอบได้เสมอ ไม่ว่าจะเกลียดแค่ไหนก็ตาม
ที่สำคัญที่สุด และไม่กล้าพูดถึงกัน ทั้งๆ ที่ซุบซิบกันทุกวี่วันก็คือ ความผันผวนในสังคมไทยกำลังมาถึงแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็ว เพราะไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ ในภาวะเช่นนั้นทหาร อภิชน ขุนนาง และหางเครื่องทั้งหลายจะยิ่งเถลิงอำนาจด้วยข้ออ้างความมั่นคง ซึ่งจะยิ่งฉุดการเมืองไทยให้จมปลักลงไปอีก
ระบบการเมืองล้าหลังเช่นนั้น จะเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ไม่ช้าก็เร็ว เพราะเป็นระบบการเมืองที่ฝืนการเปลี่ยนแปลง ความผันผวนไม่แน่นอนจะสะสมรอการระเบิด
ระบบการเมืองล้าหลังบวกความผันผวนไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง คือสูตรของความตกต่ำครั้งใหญ่
ดังนั้น ยิ่งปล่อยให้อภิชนอำมาตยาธิปไตยอยู่ในอำนาจนานเท่าไร จะยิ่งกลายเป็นระเบิดเวลาในอนาคต
การเดินหน้าขอเพียงให้พ้นความอึดอัดแบบปัจจุบัน จึงเป็นแค่การซื้อเวลาชั่วคราวเท่านั้นเอง
หากมองจากอนาคตย้อนเวลามาถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์จะพิสูจน์ว่า การถอยหลังถลำลึกคราวนี้ เป็นก้าวผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของสังคมไทย
4.โจทย์ที่แท้จริงของการลงประชามติ
มีหลายคนออกมาตำหนิฝ่ายปฏิเสธรัฐธรรมนูญ คมช. ว่าไม่ทันดูเนื้อหาก็ปฏิเสธซะก่อนแล้ว
ท่านเหล่านี้มีสติปัญญาพอที่จะรู้อยู่ว่า ข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ใช่สาเหตุของการยึดอำนาจ จึงไม่จำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่เลย แต่ต้องร่างใหม่ตามธรรมเนียมให้ดูเหมือนว่า คมช.ต้องการประชาธิปไตย
สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ คมช. ก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิม อ.เสน่ห์ จามริก ยังยอมรับว่าถอยหลังกว่าเดิม แถมยังไม่ได้เป็นหลักประกันอะไรต่ออนาคตของประชาธิปไตยไทยเลยสักนิด แม้แต่ผู้หนุน คมช. อย่าง อ.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ก็ยังยอมรับว่า การรัฐประหารคงมีอีก และอำนาจทหารคงอยู่ไปอีกนาน
ประเด็นสำคัญขณะนี้ จึงไม่ได้อยู่ที่เนื้อหารายละเอียดของรัฐธรรมนูญอย่างที่คมช. พยายามตีกรอบ
โจทย์ที่แท้จริงคือ คำถามว่าจะเอายังไงกับอำนาจทหาร อภิชน อำมาตยาธิปไตยในการเมืองไทย
ผู้คนที่เบื่อหน่ายกับการเมืองอยู่ในขณะนี้ คงไม่ได้ตัดสินใจรับหรือไม่รับ เพราะรายละเอียดของรัฐธรรมนูญ ต่อให้เนื้อหาถอยหลังกว่าเดิมก็อาจจะรับ หากเขาเชื่อว่าเป็นหนทางออกไปให้พ้นภาวะอึดอัดในปัจจุบัน
คนที่หนุน คมช. และเกลียดทักษิณมาก จะลงมติรับโดยไม่ได้สนใจรายละเอียดของรัฐธรรมนูญเช่นกัน เพราะสิ่งที่คนพวกนี้ต้องการ คือการยืนยันว่า รัฐประหารที่ตนสนับสนุนเป็นสิ่งถูกต้อง ยืนยันว่าตนเองไม่ได้คิดผิดทำผิด เชียร์มาแล้วก็ต้องเชียร์ต่อไปให้ตลอดรอดฝั่ง บริกรและหางเครื่องของ คมช. ต้องเกาะระบอบทหารเพราะกลัวโดนคิดบัญชี ทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดของรัฐธรรมนูญเลย
กระทั่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ ส.ส.ร. เอง ก็ไม่สนใจเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญเช่นกัน
โจทย์ที่แท้จริงขณะนี้ ไม่ได้อยู่ที่รายละเอียดของรัฐธรรมนูญ คมช. แต่อยู่ที่คำถามว่า จะเอายังไงกับอำนาจทหาร อภิชน อำมาตยาธิปไตยในการเมืองไทย
เกษียร เตชะพีระ กล่าวได้ถูกต้องว่า อย่าดูเพียงแค่รายละเอียดเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องดูทั้ง "แพ็คเกจ" ว่า ระบอบคมช.ได้ผลักดันกฎหมายสำคัญ เพื่อสถาปนาอำนาจยุคทหารครองเมืองอีกครั้ง การเลือกตั้ง สภาและประชาธิปไตยหลังจากนี้จะเป็นแค่ไม้ประดับ เพื่อให้ระบอบทหารครองเมืองยุคนี้ดูดีขึ้นแค่นั้นเอง
แต่ คมช.และลูกคู่บริกรทั้งหลายต้องป่าวร้อง เน้นให้ดูรายละเอียดของรัฐธรรมนูญ เพราะ คมช. กลัวการที่ประชาชนจะมองเห็นโจทย์ที่แท้จริงแล้วเปลี่ยนความหมายของการลงประชามติ คมช. ต้องการตีกรอบจำกัดความหมายของการลงประชามติ ไม่ให้กลายเป็นการประท้วงระบอบทหาร
>>>>>>>>>>