ความขี้เกียจเข้าครอบงำ ความง่วงชนะทุกอย่าง - -"
Group Blog
 
All blogs
 

ดอกไม้



ฉันเป็นดอกไม้ อิงไอแอบอุ่น
ฟ้าขาวดาวละมุน ไอกรุ่นให้แอบอิง

ฉันเป็นดอกไม้ อาลัยทุกสิ่ง
อิงแอบแนบผิง อุ่นยิ่งไอดาว

ฉันเป็นดอกไม้ อาบไอลมหนาว
ห่วงใยหรือดาว อากาศหนาวจึงดาวใส

ฉันเป็นดอกไม้ อ่อนหวานหวั่นไหว
ต้องการไม้ใหญ่ โอบใกล้ดูแล

ฉันเป็นดอกไม้ อาจคล้ายอ่อนแอ
ร้างไร้รักแล อาจแค่เอื้อมดิน

ฉันเป็นดอกไม้ อื่นใดจะยิน
เสียงน้ำตาริน อับสิ้นหนทาง

ฉันเป็นดอกไม้ อุ่นไออ้างว้าง
จนแสงจันทร์จาง ออกห่างรัตติกาล

ฉันเป็นดอกไม้ เอื้อมไล้แรงตะวัน
ทั่วทุ่งอร่ามนั้น 'ทานตะวัน' ยังมั่นคง


กลอนหัดแต่งสมัยเรียนมัธยม หุหุ
คนแก่ชอบคิดถึงแต่เรื่องเก่า
อืม ข้าพเจ้าคงแก่แล้วสินะ เหอๆ




 

Create Date : 21 กันยายน 2552    
Last Update : 21 กันยายน 2552 18:04:28 น.
Counter : 184 Pageviews.  

คือ...นิยาย



แสงจากจันทร์ในเช้าวันที่เธอจาก
น้ำค้างพรากหยดน้ำตาคืนฟ้าใส
ดวงอาทิตย์สาดส่องกลางดวงใจ
สว่างไสวอยู่ในราตรีกาล

อนาคตคือวันที่ผันผ่าน
อดีตกาลคือเงาของความฝัน
เหมือนนิยายที่บอกรักแล้วจากกัน
ไม่หลงเหลือความผูกพันในวันลา





 

Create Date : 19 กันยายน 2552    
Last Update : 20 กันยายน 2552 1:23:27 น.
Counter : 176 Pageviews.  

เรื่องสั้น - ความรักไม่เคยจากไป

เรื่องสั้น - ความรักไม่เคยจากไป



สายลมรวยริน เข็มนาฬิกาหมุนวนเชื่องช้าในขณะที่เวลาของฉันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ทราย...” เขาเรียกฉันด้วยรอยยิ้มกว้าง “รอพี่นานไหม”
“ไม่หรอกพี่พนธ์” ฉันตอบเรียบง่าย ก่อนรีบกุลีกุจอช่วยเปิดประตูรั้วเหล็กซึ่งเต็มไปด้วยสนิมเกาะเขรอะ “ประตูรั้วฝืดน่าดูนะพี่ ดีที่คนซื้อไม่ทันสังเกต”
“อ้อ พวกเขากลับไปหมดแล้วใช่ไหม น่าเสียดายที่พี่กลับมาไม่ทัน พี่อยากเห็นว่าคนที่จะมาซื้อบ้านของเราท่าทางเป็นยังไงบ้าง เขาชอบบ้านของเรามากไหม แล้วเขาต่อราคาพอรับไหวหรือเปล่า” เขาถามฉันด้วยความอยากรู้เต็มที่
“พวกเขาดูเป็นคนดี เป็นครอบครัวเล็ก ๆ น่ะพี่ นายหน้าเคยพามาชมบ้านแล้ว วันนี้เลยไม่ได้เข้าไปอีกเพราะเห็นว่ามีธุระด่วน ส่วนเรื่องราคา เขาขอลดน้อยกว่าที่คาดไว้เยอะเลย คงจะถูกใจบ้านของเรามากพอดู ภรรยาเขาก็ชอบ ลูกเขาก็ชอบ เงินมัดจำก็วางไว้เรียบร้อยแล้ว อีกไม่เกินสองอาทิตย์คงได้ไปโอนโฉนดกัน”
“ดีจริง ซื้อง่ายขายคล่อง ถ้าได้เงินก้อนนี้มาช่วยโปะบ้านใหม่เร็ว ๆ พี่คงสบายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก” เขายิ้มกว้างในขณะที่ดวงตาของฉันกลับหม่นวูบลง
“แต่ฉันคงคิดถึงบ้านหลังนี้” ฉันบอกเขา ทั้งที่ลึก ๆ แล้วไม่อยากให้เขารับรู้ว่าฉันอาลัยอาวรณ์บ้านหลังนี้มากแค่ไหน “ต้นเฟื่องฟ้าสองต้นนี้สูงขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่นะพี่ ในเมื่อตอนที่เราสองคนช่วยกันปลูก มันยังสูงไม่ถึงหัวเข่าของเราด้วยซ้ำ” ฉันมองมันด้วยความผูกพัน ภาพคุ้นเคยยังติดตา เหมือนกับว่าวันที่ทุกอย่างเริ่มต้น...เพิ่งผ่านพ้นไปไม่ทันข้ามคืนด้วยซ้ำ
“ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเสมอ” เขาบอกฉันเสียงแผ่วก่อนสะบัดหน้าหนีดวงตาที่เริ่มแดงเรื่อของฉัน “อย่าจมปลักอยู่กับสิ่งเดิม ๆ อีกเลยทราย เท้าของเรามีหน้าที่ก้าวไปข้างหน้า หากเดินถอยหลัง...ไม่นานเราจะสะดุดล้มลงและต้องเจ็บตัวซ้ำ ๆ”
เขาสอนฉันด้วยแง่คิดที่ไม่ว่าใครก็คิดได้ ด้วยประโยคและถ้อยคำเดิม ๆ อย่างที่เขาคิดว่าฉันไม่เคยเข้าใจมันตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
ความจริงแล้วฉันเข้าใจดีทุกอย่างไม่ต่างจากคนอื่น ฉันรู้ความหมาย ฉันรู้คำแปล ฉันรู้ถึงแก่นแท้ของมัน แต่ถึงอย่างนั้นทุกถ้อยคำกลับยังเปล่าประโยชน์สำหรับฉัน คงเพราะ...ฉันไม่สามารถห้ามความรู้สึก ไม่สามารถบังคับความนึกคิดของตัวเองได้เลย...ฉันยังคงเจ็บปวดกับการสูญเสียแทบทุกห้วงนาทีที่คิดถึงมัน
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิทราย งอแงอีกแล้วนะ” เขาหันกลับมายิ้มสดชื่นให้ฉันอีกครั้ง “มาเถอะ สั่งลาบ้านของเราเป็นครั้งสุดท้าย...”
เขายื่นมือออกมาแล้วพาฉันกลับไปสู่โลกใบเดิม จนกระทั่งประตูสีขาวเปิดกว้างหลังการปิดตายยาวนาน เรายิ้มให้กันพร้อมกับที่เขาจับมือฉันหันหลังให้กับความเป็นจริง...ไปสู่ความฝันที่เราเคยวาดไว้
“มันคงจะมีความสุขกับครอบครัวใหม่” ฉันบอกเขาขณะมองไปรอบตัว บรรยากาศภายในบ้านยังคงเดิมในความรู้สึก ต่างไปที่ฝุ่นจับเขรอะและความเวิ้งว้าง
“แน่นอน” เขาตอบฉันอย่างมั่นใจในขณะที่ฉันพยายามไล่สายตาไปตามห้องกว้าง
“บ้านหลังนี้ยังใหม่ วอลล์เปเปอร์สียังไม่ซีดเลย” ฉันใช้ปลายนิ้วลูบผนังลายนูนรูปดอกไม้เบา ๆ อย่างพึงพอใจ “ตรงนี้เคยมีที่วางรองเท้าสูงท่วมหัว เกะกะน่าดู ความจริงตอนนั้นน่าจะใช้ตู้เตี้ย ๆ สองตู้มากกว่า” ฉันวาดมือในอากาศตรงที่ว่างข้างประตูแล้วเริ่มขบคิด
“ก็ทรายชอบซื้อรองเท้า ซื้อนั่นซื้อนี่ ซื้อจนบ้านรกไปหมด ดูสิ ความจริงตรงนี้ต้องมีรองเท้าล้นตู้ออกมาเป็นกองด้วยซ้ำ”
เขาชี้ไปที่ความว่างเปล่าบริเวณบันไดยกพื้นหนึ่งขั้นหน้าประตูบ้าน แล้วเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่เขาจะพาฉันเดินผ่านโคมไฟระย้าเหนือเพดานเพื่อเข้ามายังกลางบ้าน
“ตรงนี้มีต้นวาสนา ตรงนี้เป็นโต๊ะกระจก ส่วนตรงนี้เป็นโซฟาผ้าสีครีมที่สวยได้แค่ไม่กี่เดือน เพราะหลังจากนั้นสีของมันก็หม่น ๆ หมอง ๆ ยังไงชอบกล”
เขาชี้นิ้วไปมาในอากาศ ฝุ่นคลุ้งตามการเคลื่อนไหวของเรา...ที่เหลืออยู่มีเพียงจานรองกระถางใบเดียวที่มุมห้อง บนพื้นไม้ปาเก้มีร่องรอยขูดขีดของบางสิ่งที่เคยวางอยู่
“ดูสิพี่พนธ์ พื้นบ้านของเรามีแต่รอย บอกแล้วเชียว ตอนสร้างบ้านอย่าใช้พื้นไม้แบบนี้ สวยก็จริงแต่ดูแลยาก” ฉันพูดแล้วเขารีบพยักหน้ารับทันที
“บ้านใหม่พี่ใช้กระเบื้องแผ่นใหญ่ปูพื้นชั้นล่าง ดูแลง่ายกว่า ใช้พื้นสีอ่อนทำให้บ้านกว้าง ผนังสีครีม พอเปิดไฟสีเหลืองอมส้มคงดูอบอุ่นน่าอยู่” เขายิ้มด้วยดวงตาประกายสดใสในขณะที่ฉันทำได้แค่แค่นยิ้มออกมา
“ห้องนี้ไม่ค่อยได้ใช้เลย” ฉันเดินนำเขาเข้าไปในห้องครัวแล้วยิ้มเศร้า “ขอโทษที่ทรายไม่ได้ดูแลพี่ให้ดีกว่านี้”
“ไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลย พี่เองต่างหากที่ดูแลทรายไม่ดี ทำให้ทรายต้องเหนื่อยกับพี่มาตลอด” เขาบอกฉันพร้อมกับที่เราสองคนยืนมองห้องนั้นอยู่นาน...
ชั้นเก่า ๆ ที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวตรงนั้นเคยมีจานชามสะอาดวางอยู่ เช้าวันที่เธอแสดงฝีมือผัดข้าวจานใหญ่แล้วแอบขโมยกุ้งที่ตั้งใจจะยำไปใส่จนเกือบหมด ฉันโกรธ แต่วันนั้นเราไม่ได้ทะเลาะกัน วันนั้นเป็นวันอันแสนสุข หลังจากที่เธอเข้ามากอดเบา ๆ แล้วขอโทษ เราก็หลับผล็อยไปพร้อมกันบนโซฟาสีหม่น
เขาสะกิดฉันเบา ๆ จากภวังค์ มองลึกลงไปในดวงตาของฉัน เขาเองก็คงรู้ว่าฉันมองเห็นอะไร
เราเดินขึ้นบันไดไปเงียบ ๆ ผ่านรูปถ่ายใบใหญ่บนผนังข้างบันไดไปทีละรูป
รูปแรกเป็นรูปตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาชอบมายืนรอฉันหน้าห้องเรียน ทำตัวเป็นรุ่นพี่ที่แสนดีคอยดูแลรุ่นน้อง
ฉันชอบรูปนี้ ฉันเห็นรอยยิ้มเป็นธรรมชาติของเขา ‘เธอดูมีความสุข...ฉันก็มีความสุข’ จนแม้กระทั่งบัดนี้ฉันก็ยังคงคิดอย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง
บริเวณกลางบันได ไฟทรงกลมสีส้มยาวลงมา ส่องให้เห็นรูปที่สองเด่นชัดขึ้น ชุดแต่งงานสีขาวที่ฉันสวมดูส่องประกาย แต่ไม่สดใสและสวยงามเท่าแววตาของเธอ
มันคือวันแห่งความสุข มันคือวันแห่งความสมหวัง...แต่ไม่ใช่วันนี้ !
เธอผลักประตูบานนั้นออก ลมพัดม่านสีขาวบางผืนใหญ่ที่ระเบียงสะบัดไปมา ลมแรงกระทบใบหน้าฉันหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
เตียงเหล็กเปล่า..ลวดลายสวยงามสีดำที่ตั้งอยู่กลางห้อง ไม่มีสิ่งใดพอจะให้ความอบอุ่นใจแก่ฉันได้เลย
“เตียงนี่ ทิ้งไว้ที่นี่คงดีที่สุดแล้วนะ” เขาพูดเบา ๆ
“รวมทั้งรูปพวกนั้นด้วยสินะ” แล้วฉันก็หันไปสบตาเขา “เราจะทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ใช่ไหม” ฉันพูดด้วยเสียงสั่นเครือ...
เสียงแตรรถข้างล่างดังขึ้น 2-3 ครั้ง ฉันรู้ว่าถึงเวลาแล้วในขณะที่น้ำตาเริ่มไหลรินอีกครั้ง
เขาดึงฉันเข้าไปกอดเบา ๆ “ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแล...”

**********

เวลาของฉันผ่านไปอย่างรวดเร็วและใกล้จะหมดลง ม่านสีขาวสะบัดไปมา ได้แต่มองเขาที่ระเบียง ส่งเขาจนลับสายตา
ไปเถิดที่รัก...
เมื่อความรักของเราไม่อาจไปถึงฝั่งฝัน คนที่เคยฝากชีวิตไว้ไม่อาจมาดูแล คำสัญญาเมื่อวานวัน ต้องปล่อยให้มันจบลงไปพร้อมกับความหวังที่เราเคยวาดไว้ เมื่อเวลาที่ผ่านมา ไม่อาจผูกมัดอะไรเราไว้ได้เลย

...

ประตูระเบียงปิดลง ม่านสีขาวสงบนิ่ง ผ่านบันไดทีละขั้น ผ่านความเวิ้งว้าง ผ่านความว่างเปล่า ผ่านความทรงจำ
ฉันมีอนาคตที่สดใสรออยู่...เธอก็เช่นกัน
ไปเถิดที่รัก...ไปเถิด...

“ขอเพียงอย่าลืมว่าเคยรักกัน”







 

Create Date : 18 กันยายน 2552    
Last Update : 11 มีนาคม 2553 22:13:10 น.
Counter : 180 Pageviews.  

กลอนจากนิยายเรื่อง "นิมิตรัก พันธนาการใจ"





“คิดถึงวันเวลาที่ลาร้าง
คิดถึงคืนอ้างว้างที่หวั่นไหว
คิดถึงคนเหินห่างที่ห่างไกล
คิดถึงใจที่ห่วงใยเมื่อไกลกัน”







เพียงหนึ่งใจวูบไหว
กับดวงหนึ่งหัวใจได้ค้นหา
จนกว่าลมแห่งรักจักผ่านมา
จึงสิ้นกาลเวลา...ที่รอคอย








ความรักคือสิ่งที่มั่นคงที่สุดในโลก
หัวใจคนเราต่างหาก...ที่อ่อนไหวเกินไปจนไม่อาจรักษามันไว้ได้ตลอดกาล
ความรักของบางคนจึงเปราะบางราวแก้วใส
บางคนหนักแน่นดังหินผา
บางคนไม่เคยเห็นความสำคัญจนกระทั่งถึงวันที่ได้สูญเสียมันไป
ในขณะที่บางคนไม่อาจลบเลือนแม้ไม่เหลือหัวใจไว้แล้วให้เจ็บปวด...
จนต้องจมกับความเหงาทุกห้วงลมหายใจที่เหลืออยู่

‘ความรักมั่นคง...หัวใจบอบบาง’






ตีพิมพ์ครั้งที่1 - มกราคม 2552
สำนักพิมพ์ปริ๊นเซส




สำนักพิมพ์ปริ๊นเซส (ในเครือสถาพรบุ๊คส์)
ชื่อ : นิมิตรัก พันธนาการใจ
รหัสหนังสือ : ISBN 978-611-5010-01-1
ชื่อผู้แต่ง : ไอมาลิน
ราคาปกติ : 120

เรื่องย่อ

“ข้าจะกลับมา ข้าสัญญา...”

เสียงของเนียร์แผ่วเบาเหลือเกิน หากคำพูดนั้นกลับตราตรึงอยู่ในหัวใจของอความารีนอย่างน่าประหลาด ชั่ววินาทีนั้นเหมือนมีสายลมพัดเข้ามาวูบหนึ่งก่อนจะจางหายไป...โดยทิ้งร่องรอยความทรงจำบางอย่างเอาไว้

เหตุการณ์จบสิ้นลง ในขณะที่ไชน์ร่ำไห้เหมือนจะขาดใจ เขาคือชายผู้สูญเสียหัวใจไปทั้งดวง...

อความารีนยื่นมือออกไป ปรารถนาที่จะปลอบโยนเขา แต่ในขณะนี้เธอไม่สามารถสัมผัสเขาได้ แม้คำพูดปลอบใจ เพียงหนึ่งคำก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ย ในที่สุดเธอก็ถูกดึงกลับไป ห่างออกไปจากเหตุการณ์คุ้นเคยนี้

คำพูดนั้น...คำสัญญาที่บอกว่าจะกลับมา...มันช่างผูกพันเธอเหลือเกิน มันเป็นพันธนาการที่เธอต้องกลับมาแก้ไข ราวกับเป็นเธอเองที่เอ่ยมันออกมา...








 

Create Date : 18 กันยายน 2552    
Last Update : 22 กันยายน 2552 19:42:18 น.
Counter : 344 Pageviews.  

รวมกลอนจากนิยายเรื่อง "Flower in the moon...ดอกไม้ดอกสุดท้ายในดินแดนเวทมนตร์"

-บทเพลงแห่งราตรีกาล-


เมื่อดนตรีบรรเลงเป็นเพลงเศร้า
สะท้อนแทนความเหงาใต้เงาฝัน
ปรากฏร่างสองเราใต้เงาจันทร์
ตราบจนกว่าดวงตะวันจะพรากไป
ก่อนจนกว่านิทราจะลาลับ
ฉันจะดับแสงเทียนที่สั่นไหว
จงหลับเถิดอย่าตื่นเลยเจ้าดวงใจ
ปล่อยเราท่องล่องอยู่ในราตรีกาล





สายลมแห่งรักพัดพา
หนึ่งกาลเวลาล่วงผ่าน
ดอกไม้ชูช่อเบ่งบาน
ต่างคนเล่าขานนานมา
ตำนานคู่แท้เริ่มต้น
จวบจนใครจักค้นหา
ใครเล่าเชื่อมั่นศรัทรา
รอคอยรักมาเยี่ยมเยือน





ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 - กรกฎาคม 2551
สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์




ชื่อ : Flower in the moon ดอกไม้ดอกสุดท้ายในดินแดนเวทมนตร์
(เล่มเดียวจบ)
รหัสหนังสือ : ISBN 978-974-8466-82-8
ชื่อผู้แต่ง : error medicine
ราคาปกติ : 250

เรื่องย่อ

ฟลาวเวอร์ อิน เดอะ มูน...หินศักดิ์สิทธิ์สิบแปดชิ้นที่ปกป้องโลกให้พ้นจากเงื้อมมือของปีศาจถูกทำลายลงทีละชิ้นๆ จนทั่วโลกถูกครอบครองโดยกองทัพสัตว์อสูร สิ่งเดียวที่จะช่วยให้โลกกลับคืนสู่ความสงบสุขได้อีกครั้งก็คือ การค้นหา ฟลาวเวอร์ อิน เดอะ มูน ชิ้นที่สิบเก้าซึ่งสาบสูญไปให้พบ แล้วผนึกลงในแผ่นดิน

แล้วการผจญภัยครั้งสำคัญของเจมและเพื่อนๆ ก็เริ่มต้นขึ้น พวกเขาต้องค้นหา ฟลาวเวอร์ อิน เดอะ มูน ชิ้นสุดท้ายให้พบ ก่อนที่อาณาจักรสุดท้ายของมนุษย์จะถูกทำลายลง






 

Create Date : 18 กันยายน 2552    
Last Update : 22 กันยายน 2552 19:39:57 น.
Counter : 438 Pageviews.  


dark elf
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นามปากกา ; error medicine / ไอมาลิน
Friends' blogs
[Add dark elf's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.