Group Blog
 
All blogs
 

สิ่งที่ผู้ใหญ่ให้เด็ก และสิ่งที่เด็กต้องการอย่างแท้จริง?

สิ่งที่ผู้ใหญ่ให้เด็ก และสิ่งที่เด็กต้องการอย่างแท้จริง?


เด็กจะต้องไม่ถูกจองจำ จากระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ หรือจากความยึดติด "ความดี" "วินัย" หรือ "ความเป็นเด็กดี" ซึ่งผู้ใหญ่ยัดเยียดให้เป็น


“Don't walk in front of me; I may not follow.

Don't walk behind me; I may not lead.

Just walk beside me and be my friend.”


บทกวีจาก Albert Camus นี้ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนอะไรในใจเด็กที่พวกเขากำลังต้องการอยู่

หากผู้ใหญ่คิดย้อนกลับไปเมื่อตอนเป็นเด็ก ย่อมไม่ชอบที่จะให้ผู้ใหญ่ห้ามหรือกำหนดระเบียบต่างๆ ย่อมไม่ชอบที่จะให้สั่งให้ทำนู่นทำนี่ ย่อมไม่ชอบที่จะถูกสอนในสิ่งที่ดี แต่ตัวผู้ใหญ่เองกลับไม่ทำเช่นนั้น เด็กทุกวันนี้กำลังถูกทำร้ายจิตใจ ด้วยความ "ปรารถนาดี" ของพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย ที่อ้างความรัก ความหวังดี และยัดเยียดสิ่งเหล่านั้นให้กับตัวเด็ก คล้ายๆ กับว่า เด็กเป็นอะไรที่เอามาซักฟอกได้ด้วยอุดมการณ์อันอวดดื้อถือดีของผู้ใหญ่ แล้วจะกลายเป็นสิ่งที่ปราศจากมลทินบริสุทธิ์ผุดผ่อง



เราได้ยินคำสั่งสอนมากมาย ได้เห็นสื่อต่างๆ มากมาย ที่พยายามปลูกฝังค่านิยม "ความดี" ให้แก่เด็กๆ การสื่อสารเหล่านั้นเป็นการสื่อสารเพียงทางเดียวที่ทำเหมือนกับว่า เด็กๆ เป็นถังอะไรบางอย่างที่พร้อมจะให้ผู้ใหญ่ บ้วนข้อมูลต่างๆ ลงไป โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งถังจะเต็ม และเมื่อถึงเวลาถังเต็มแล้ว เราจึงได้เห็นเด็กทั้งหลาย ที่ไม่พร้อมจะรับอะไรอีกทั้งสิ้น และต่อต้านทุกสิ่งที่เป็นคุณธรรม จริยธรรม หรือค่านิยมความดีงามต่างๆ



พ่อของเด็กคนหนึ่ง มาพูดกับผมว่า ไม่ให้เขาเล่นเกมส์ที่โรงเรียนนี้ เพราะว่าวันๆ ไม่ยอมช่วยงานบ้าน ไม่ยอมอ่านหนังสือ อันที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะเกมส์คอมพิวเตอร์หรอกที่ทำให้เด็กไม่ช่วยงานบ้าน หรือไม่อ่านหนังสือ แต่เป็นที่จิตใจอันคับแคบของพ่อท่านนั้นต่างหาก ที่คิดว่าเด็กเป็นถัง และพร้อมที่จะใส่อะไรที่ตนเองคิดว่าดี ลงไปในถัง โดยหารู้ไม่ว่าที่ทิ้งลงถังนั้น มีแต่ขยะในใจของพ่อเท่านั้น สิ่งที่พ่อคิดแล้วว่าดีงาม แต่อาจจะเป็นขยะในใจลูกก็ได้ หากเป็นการกระทำไปด้วยความกลัว ความไม่อิสระ และความคับแคบในหัวใจ


เด็กทุกวันนี้หลายคนต้องรับภาระมากมาย พ่อแม่พยายามจะเลี้ยงลูกโดยใส่อะไรลงไปมากมาย และหวังให้ลูกเป็นไปตามใจตนเองปรารถนา ผลลัพธ์ที่ได้จากการกระทำเช่นนั้น คงเป็นเพียงผู้ใหญ่ที่โตมาแบบกลวงๆ และยึดติดในสูตรแห่งความดีบางอย่างในใจของเขาเท่านั้น ซึ่งก็จะเป็นไปได้อีกว่า ลูกก็จะสอนหลาน หลานก็จะสอนเหลน ต่อกันไปอย่างนี้ ด้วยจิตใจที่ไม่อิสระ คับแคบ และกลัว

ต้นไม้ที่ได้รับปุ๋ยเคมีมากเกินไป รับน้ำมากเกินไป หรือแม้กระทั่งรับเอาปุ๋ยชีวภาพมากเกินไป ก็ย่อมต้องล้มตายลงในที่สุด เช่นเดียวกัน หากเด็กเปรียบเสมือนต้นไม้ ที่ได้รับสิ่งที่ดีๆ ที่ผู้ใหญ่ยัดเยียดให้ ย่อมเป็นไปได้ว่าสักวันหนึ่ง จิตใจอันเบิกบานแจ่มใส และอิสระของเขา ต้องถูกแทนที่ด้วยความกลัว ความคับแคบ และความกังวล

นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสารยิ่งนักไม่ใช่หรือ หากคนที่เป็นพ่อแม่จะมีลูกที่มีความกลัว และความคับแคบในใจ

นี่คงไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนปรารถนาให้ลูกของตนเองเป็นไม่ใช่หรือ

แล้วใยเล่า ผู้ใหญ่จึงยังคงยัดเยียดความคับแคบ ไม่อิสระและกลัวลงในใจเด็ก

หากผู้ใหญ่เพียงมองย้อนกลับไปเมื่อตนเองเป็นเด็ก และเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์อันดีงามทั้งหลายทั้งปวง ที่หนังสือพิมพ์ ตำรา นิตยสาร ครูบาอาจารย์ นักวิชาการ หรือใครก็ตามได้สอนหรือได้แนะนำมา แล้วเลือกสูตรที่เหมาะสมสำหรับลูกตนเอง คือการเป็นเพื่อนร่วมทาง ที่พร้อมจะเดินไปกับลูก พร้อมที่จะนั่งในใจของลูก พร้อมที่จะหยิบยื่นความแจ่มใสเบิกบานในใจลูกให้กลับคืนมา ลูกคนนั้นคงเป็นลูกที่มีความสุขที่สุดในโลก




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2553    
Last Update : 7 มิถุนายน 2553 14:57:01 น.
Counter : 1444 Pageviews.  

ส่งใจไปสวนโมกข์


ขณะที่ผมเขียนอยู่นี้ มีเพื่อนพี่น้องชาวจิตวิทยาของผม กำลังเดินบนเส้นทางแห่งปัญญา ด้วยการเรียนรู้ธรรม จากองค์พุทธะ ณ สวนโมกขพลาราม ที่เมืองไชยา จ.สุราษฎร์ฯ โดยมีอาจารย์ผู้เปรียบเสมือนแสงสว่าง คอยเป็นไกด์ทางจิตวิญญาณ นำทางพี่น้องของผม ไปพบกับสัจธรรม

ณ สวนโมกข์นั้น ไม่มีอะไรทางกายภาพเลย ที่สบาย ทั้งที่นอน การกินอยู่ ต่างกันลิบลับกับชีวิตในเมือง
ในขณะที่อยู่ที่บ้าน ได้นอนที่นอนนุ่มๆ แต่ไปที่นั่น ต้องนอนที่นอนบนเตียงไม้กระดานแข็งๆ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีหมอน ที่เป็นไม้แ็ข็งๆ ที่ต้องปรับตัวอยู่นาน กว่าจะชินกับท่อนหนุนหัวนี้

แม้จะไม่สบายกาย แต่พุทธองค์ก็ทรงดำรงชีวิตเป็นเช่นนี้มาตลอด ท่านพุทธทาส ซึ่งเป็นสาวกที่ดำเนินรอยตามพุทธะ ก็ได้อาศัยความไม่สบายทายนี้ เป็นมรรคานำไปสู่ความสบายทางใจ คือการดับทุกข์อย่างถาวร

น่าประหลาดยิ่งนัก ที่ความทุกข์ทางกาย จะเป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง ของความสุขทางใจ

บรรยากาศในสวนโมกข์นั้น แม้จะไม่สบายนักในเรื่องการกินอยู่หลับนอน แต่ทุกครั้งที่ผมได้ไปเยือน จะได้สัมผัสกับความเย็น อย่างประหลาด จากสถานแห่งความหลุดพ้นแห่งนี้

ใครที่เป็นชาวพุทธ ได้โปรดทราบไว้ว่า พระที่ี่แท้ ที่จะทำให้เราไม่เสียใจ และไม่เคยเสื่อมศรัทธาืคือท่านพุทธทาส
และวัดที่แท้เพียงไม่กี่แห่งในเมืองไทย ที่ดำเนินรอยตามคำสอน และคงลักษณะความเป็นอยู่ในสมัยพุทธกาลตามคำสอนนั้น คือ สวนโมกขพลาราม

"อารามแห่งความหลุดพ้น"




 

Create Date : 26 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 26 พฤษภาคม 2552 22:14:49 น.
Counter : 660 Pageviews.  

ความเหงาเกิดขึ้นอย่างไร

ทำไมคนเราจึงเหงา : Jan 20, 2009
เคยไหม บางทีอยู่ท่ามกลางผู้คน
แต่ภายในกลับกลวง ว้าเหว่

ราวกับมีเพียงเราคนเดียวในโลก

นั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมคนเดียว
คิดถึงคนรอบข้าง
เขาหายไปไหนหมด

อันที่จริงแล้ว

ความรู้สึกว่าเขาหาย
หรือเขาอยู่

ต่างเป็นความรับรู้ของเราทั้งสิ้น

โลกภายนอกคือโลกที่ตาเห็น
และโลกภายใน คือการรับรู้ของเราเอง
ความเหงามาเมื่อใดไม่รู้

ข้าพเจ้าเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง
ได้ให้โจทย์ไว้ว่า
ความเหงาช่างโหดร้าย

จะมีไหมหนอ
ทางออกแห่งความเหงา

จะต้องหาผู้คนรอบข้างมาเติมเต็มความเหงาของตน
อย่างนี้ตลอดเรื่อยไปหรือ
อะไรที่จะหยุดความเหงา ว้าเหว่ได้

บางครั้งอยู่คนเดียว
ก็ไม่เหงา
บางครั้งอยู่คนเดียวยิ่งทำให้เหงาเข้าไปใหญ่

การอยู่คนเดียวหรืออยู่หลายคน
หาใช่ต้นเหตุแห่งความเหงา

เมื่อข้าพเจ้าลองทำความเข้าใจ
กับใจของข้าพเจ้าเอง
ที่อยากอยู่ใกล้คนที่คิดถึง
แล้วไม่ได้อยู่ใกล้

ใจที่เต็มไปด้วยความเหงา

กลับจางหายไป

พระเยซูคริสต์สอนว่า

"แม้ไม่ได้อยู่กับคนที่ท่านรัก
ก็ให้รักคนที่อยู่กับท่าน"

ทำใจอย่างไรล่ะ
จึงจะทำใจให้รักคนที่อยู่ตรงหน้าได้

บ่อยครั้งเหลือเกิน
ที่ชีวิตเราถูกสอน ให้มีฝัน

ทั้งจากนิยาย หนัง ละคร และจากคำตอแหลของโลก
สร้างความรักอันสวยหรู

ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริง ไม่มีรักใดสมบูรณ์
แต่ความไม่สมบูรณ์นั้นมีเสน่ห์
เนื่องด้วยเป็นความสมบูรณ์ในตัวมันเอง

ใจที่คาดหวัง สร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมา

ฉันอยากจะอยู่กับเธอ
เธอน่าจะอยู่กับฉัน
พวกเขาน่าจะทำอย่างนี้กับฉัน
ฉันไม่น่าจะถูกทำอย่างนี้เลย

คำถามเหล่านี้ เป็นเพื่อนที่แสนดีของความเหงา

เกิดคำถามเหล่านี้เมื่อใด
ความเหงาก็จะเข้ามาอยู่ในใจเราทันที
เป็นของแถมที่ไม่ได้รับเชิญ

แต่ใครเล่าที่เชิญมันเข้ามา

ถ้าไม่ใช่เราเอง




 

Create Date : 21 มกราคม 2552    
Last Update : 21 มกราคม 2552 12:10:16 น.
Counter : 874 Pageviews.  

จะอยู่กับความไม่แน่นอนอย่างไร


ความเข้าใจโลกและชีวิตอย่างหนึ่ง คือเรื่องของความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอนนี้เป็นลักษณะธรรมดาทั่วไปของทุกสิ่ง แม้จะมีคนเล่นสำบัดสำนวนที่ว่า "ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง แล้วถ้าอย่างนั้น ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง ก็อนิจจังด้วยสิ"

แต่หากเรามองก้าวผ่านเรื่องของภาษาและตรรกะไป ก็จะค้นพบความจริงมากขึ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่นอน รวมไปถึงชีวิตด้วย แต่หลายๆ ครั้ง ที่คนอยากให้อะไรๆ มันแน่นอน

กินก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ เมื่อก่อนเคยอร่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่อร่อยแล้ว ในใจก็เกิดความคาดหวังว่า มันจะต้องอร่อยๆ แต่พอเมื่อไม่อร่อย ก็เกิดภาวะที่เรียกว่า รอยแยกในใจ ซึ่งก็ถือเป็นความทุกข์นั่นเอง

ความไม่ชอบนี้เป็นภาวะใจที่เป็นทุกข์ ดังนั้นความชอบก็เป็นภาวะใจที่เป็นทุกข์ไปด้วยเช่นกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถที่จะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นได้เสมอ ด้วยเหตุและปัจจัย หากเหตุและปัจจัยพร้อม ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งบางทีคนเราไม่สามารถมองให้เห็นถึงเหตุและปัจจัย ด้วยการมัวแต่ใส่ใจอะไรบางอย่างที่เป็นสิ่งนอกตัว ทำให้ไม่เห็นเหตุและปัจจัยต่างๆ ทำให้เมื่อเกิดผลในเรื่องต่างๆ แล้วก็เป็นทุกข์ด้วยความไม่เข้าใจ

ภาวะใจที่แน่นอนนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นภาวะแห่งความไม่แน่นอน แต่ภาวะในที่ไม่แน่นอนนั้น ก็คือภาวะแห่งใจที่แน่นอน

พึงเผชิญภาวะแห่งความไม่แน่นอน ด้วยใจที่แน่นอนกับความไม่แน่นอนกันเถิด




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2551    
Last Update : 11 ธันวาคม 2551 9:46:57 น.
Counter : 661 Pageviews.  

สี่แพร่ง : น่ากลัวสุดตรีน กระชากอารมณ์สุดตัว


ไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีหนังที่จะมากระตุ้นต่อมอยากเขียนให้ผมได้พรรณนาเกี่ยวกับหนังพวกนั้นเท่าไหร่นัก

คงต้องมนต์ในเรื่อง "สี่แพร่ง" นี้กระมัง ที่ทำให้ต้องแป้นพิมพ์ของผมในนี้ได้ขยับอีกครั้ง

ผมมีโอกาสได้ไปดูสี่แพร่งมาเมื่อคืนนี้ เล่นเอาหลอนทีเดียวเชียว

บรรยากาศในเรื่องแรก "เหงา" เรื่องนั้นเกี่ยวกับหญิงขี้เหงาคนหนึ่ง ที่เล่นแชท SMS กับคนที่เธอเข้าใจว่าเป็น "คน"แปลกหน้า หนังได้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันฉาบฉวยในยุคที่คำพูดผ่านกระบอกโทรศัพท์นั้นก็สามารถดึงใจส่วนลึกต่อกันไปได้ โดยไม่ได้เห็นหน้าคร่าตา และสะท้อนถึงโลกปัจจุบัน ที่สังคมไทยเรามีความปัจเจกคล้ายกับสังคมตะวันตกมากยิ่งขึ้น

ภาวะเหงาของคนในสังคมก็ยิ่งจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย แต่สาบานได้ว่ามันเป็นภาวะปกติแห่งใจที่ไม่ปกติ
เท่ากับว่าเป็นภาวะที่ไม่ปกติของใจที่ปกติ

แต่ละช่วงแต่ละตอน หนังได้ค่อยๆ คลี่คลายและชวนให้ลุ้นระทึกว่า เมื่อไหร่ "ผี" จะออกมา
ต่างกับหนังผีเดิมๆ ที่ผีออกมากันเป็นๆ ให้เห็นจนเป็นความคุ้นเคยกันไปเลย

จุดที่น่ากลัวในหนังผี ผมว่าไม่ใช่หน้าตาที่เน่าเละ สยองของฝ่ายศิลป์ที่แต่งหน้าตัวละครได้แนบเนียน หรือน่าอ้วกแตกเสียกลางโรงแต่อย่างใด แต่มันอยู่ที่การดำเนินเรื่องให้คนดูเล่นกับความคาดหมายในใจของตนเอง และเอาใจของตนเองเข้าไปจับกับตัวละครในเรื่อง อันหมายถึงการโยงประสบการณ์ของคนดูเข้าไปสู่ตัวแสดงในหนัง

ในเรื่องเหงานี้ ย่อมโยงประสบการณ์คนดูได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอยู่หอคนเดียว และเป็นคนช่าง "เหงา" ผู้กำกับเรื่องนี้เล่นกับอารมณ์คนได้อย่างถูกจุดตรงที่ เขาเห็นถึงจุดที่จะกระตุ้นต่อมความกลัวของคนได้อย่างชัดเจน คือการคาดหรือคิดล่วงหน้าไปก่อนว่า น่าจะเกิดอะไรขึ้น มีหลายๆ ฉาก ที่ชวนให้คิดไปก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อนั้นความกลัวก็สัมผัสใจเข้าแล้ว

ผู้กำกับบีบคั้นอารมณ์กลัวสุดๆ ให้เกิดขึ้นในเรื่อง และในที่สุดช่วงที่คาดว่าจะเกิดไคลแมกซ์ของเรื่อง เขาก็ปล่อยออกมาจริงๆ จนแทบจะช๊อคกันคาโรงได้สำหรับคนขวัญอ่อน ในช่วงท้ายหนังได้แฝงถึงการรักเดียวใจเดียว ไม่เพิกเฉยต่อใจของคนรัก

เป็นหนังสอนศีลธรรมเรื่องหนึ่งกลายๆ ผ่านความกลัว

แม้หนังจะมีถึงสี่เรื่องในเรื่องเดียว แต่ก็ไม่ได้ตัดทอนอารมณ์ในการเชื่อมต่อเรื่องไปสักเท่าใดนักอย่างที่กังวลไว้ในตอนแรก

เรื่องที่สอง "ยันต์สั่งตาย"

หนังดึงคนดูให้เข้ามามีส่วนร่วมมากยิ่งกว่าเรื่องเดิม ด้วยการเล่น ยันต์สั่งตายในฉากสุดท้ายกับคนดู และเล่นกับความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ที่อยากรู้ว่า ยันต์สั่งตายมันเขียนอะไรไว้

ในฉากสุดท้ายเป็นฉากที่กระตุกอารมณ์กลัวได้ไม่มากนัก แต่ก็สะเทือนอารมณ์และความคิดได้นานทีเดียว ว่า แล้วเรามองแล้วจะเป็นอะไรหรือเปล่า (ไม่เป็นไร มีเพื่อนมองอีกหลายคน)

เรื่องนี้ดูจะ "แนว" และคล้ายๆ กับจะสอนศีลธรรมในเรื่องการไม่เบียดเบียน และดำเนินเรื่องราวกับว่าจะให้ "ไอ้สัปเหร่อ" ซึ่งถูกกลั่นแกล้ง เป็นผู้ชนะ แต่ท้ายที่สุด ไอ้สัปเหร่อก็ต้องแพ้ภัยตนเอง โดยความรู้สึกแล้ว ยังทำได้ไม่เนียนเท่าใดนัก กับการวางโครงเรื่อง และดำเนินเรื่องยันต์สั่งตายอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที รวมถึงออกแนวแฟนตาซีมากไปสักนิดหนึ่ง ไม่สามารถดึงคนดูให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงประสบการณ์เข้ากับภาพยนตร์ได้มากนัก เนื่องจากในสังคมจริงๆ คงมีน้อยคนที่จะ "เล่นของ" กันกระมัง ดูเรื่องนี้แล้วทำให้คิดถึงเรื่อง "คนเล่นของ" ที่ขายความสยองแต่เพียงอย่างเดียว สินค้าเพียงประการเดียวที่เรื่องนี้ขายได้แก่ ความคลุมเครือต่อการเห็นคนอื่นพบจุดจบ โดยไม่เข้าใจว่าจะเน้นที่สยองหรือน่าตกใจกันแน่ อารมณ์ที่เกิดขึ้นในตอนดูจึงคลุมเครือ ปะปนกันไปหมด

ถ้าเป้าในเรื่องนี้คือความกลัว ผู้กำกับเรื่องนี้ยิงได้เฉียดๆ ไม่ถึงกับพลาด แต่ก็ไม่แม่นยำเท่าใดนัก

เรื่องที่สาม "คนกลาง"

ดูชื่อเรื่องแล้วก็คิดถึงเพลงแนวรักอกหักเสียมากกว่า

ถือว่าเป็นการจัดตำแหน่งของหนังได้เป็นอย่างดี ไม่ให้คนเป็นโรคหัวใจตายคาโรงไปเสียก่อน

อารมณ์ตลกเข้ามามีส่วนผ่อนคลายความกลัวลุ้นระทึกได้เป็นอย่างดี นับเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างลงตัว ไม่ตึงอารมณ์คนดูเกินไปนัก

คุ้นค่าของความรักแห่งเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญแก่ผู้กำกับที่สื่อตัวตนของเขาออกมาในเรื่องนี้ หนังมีจุดที่เล่นกับการคาดเดาของใจคน ผ่านมุมกล้อง สีหน้าต่างๆ ล้วนเน้นเพื่อให้เกิดการลุ้นระทึก

ความกลัวเข้ามาหลัวๆ ใจไม่น้อย

ผู้กำกับเรื่องนี้เล่นกับความขัดแย้งในใจคน ระหว่างความเป็นเพื่อน กับความกลัวในตนเอง ว่าระหว่างในแห่งความรักกับความกลัว อย่างใดที่ชนะ

ท้ายที่สุดแล้ว "ความกลัวก็ชนะ" แต่ท้ายที่สุดกว่า มิตรภาพก็ยืนยงกว่าความตาย

ตบท้ายด้วยการหักมุม ที่แสดงถึงกึ๋นที่มีไม่น้อยของผู้กำกับ และก็ไม่ผิดเลย ที่ชื่อของบรรจง จากผลงานเรื่องชัตเตอร์ และแฝด จะถูกจารึกไว้ในชื่อผู้กำกับเรื่องนี้

เรื่องสุดท้าย "เที่ยวบิน 224"

เล่นเอาเสียไม่กล้านั่งสายการบินในเรื่องเอาเสียเลย ถ้าใครเล่นรถไฟเหาะตีลังกา ก็คงอารมณ์ประมาณนั้น ที่ทิ้งจุดไคลแมกซ์ไว้ตอนสุดท้าย แล้วก็จากไปแบบไม่ให้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว

สั้นๆ คือ สุดยอดกับเรื่องนี้ ทั้งเรื่องการเล่นกับความกลัว ความขัดแย้งในใจคน และเล่นกับความรู้สึกคนได้ชัดเจนที่สุด

ทั้งสี่เรื่องดูจบแล้วก็ชวนให้ด่า ว่าจะทำหนังน่ากลัวอย่างนี้มาหลอนทำไม

แต่ผมก็ยกย่องในความกล้า




 

Create Date : 29 เมษายน 2551    
Last Update : 29 เมษายน 2551 19:08:05 น.
Counter : 732 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

KruBomb Thatti
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add KruBomb Thatti's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.