ดวงดาวเคียงตะวัน บทที่ ๑

บทที่ ๑

 



 


พันตำรวจโทพิทยุตม์ จิตภัคดี จอดรถกระบะสี่ประตูภายในบริเวณโรงจอดรถของบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ซึ่งกินอาณาบริเวณกว้างขวางโดยประตูรั้วติดป้ายไว้ว่า”ที่ทำการตำบล” ก่อนจะหันมาตกลงกับบุตรชายและบุตรสาวเล็กๆ ที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งด้านหลัง

 


                “ตามที่ตกลงกันไว้นะว่า พร้อม กับ พริ้ม ห้ามเกเรรบกวนลุงกำนันและพี่ๆ ไม่อย่างนั้นคุณพ่อจะไม่พามาด้วยอีก”

 


                “ค่า/คร้าบ” เด็กหญิงวัย ๕ ขวบ และเด็กชายวัย ๘ ขวบ ประสานเสียงกันด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนจะลงจากรถและวิ่งตื๋อแยกกันไปคนละทิศคนละทาง

 


                พันตำรวจโทพิทยุตม์ ถอนหายใจและส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะรวบเอกสารที่เบาะข้างคนขับแล้วเดินขึ้นไปบนที่ทำการตำบล

 


                แม้จะเข้ามารับตำแหน่งรองผู้กำกับประจำสถานีตำรวจภูธรแห่งนี้ รองฯ ยุตม์ก็ยังคงต้องผูกขาดการเลี้ยงดูลูกๆวัยกำลังซนทั้งสองในเวลาหลังเลิกเรียนที่รถนักเรียนมาส่งลูกๆ เขาที่โรงพัก เนื่องจากภรรยาสุดที่รักต้องช่วยมารดาผู้ซึ่งเป็นแม่ยายของเขาดูแลกิจการโรงน้ำตาลที่ตั้งอยู่อีกอำเภอหนึ่งกว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาค่ำ ดังนั้นเด็กน้อยทั้งสองหากไม่ต้องนั่งแกร่วทำการบ้านอยู่บนโรงพัก เขาก็ต้องกระเตงไปด้วยทุกที่จนกว่าจะเสร็จงานในแต่ละวันถึงจะได้กลับบ้าน ต้องขอบคุณเด็กทั้งคู่ที่เลี้ยงง่ายอย่างเหลือเชื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใดที่ผู้เป็นพ่อบอกว่าภารกิจวันนี้คือการไปบ้านลุงกำนัน ลูกๆทั้งสองก็ยิ่งลิงโลดเร่งให้เขาขับรถไวกว่าเดิมไปตลอดทาง

 


                ด้านนอกของรั้วที่ทำการตำบลมีรถบรรทุกสิบล้ออยู่หลายคัน รวมถึงรถตักดินอีกหนึ่งคัน เสียงคำรามของยานพาหนะทั้งหลายบ่งบอกว่ายังเป็นช่วงเวลาทำงานอยู่ รถตักดินที่อยู่ในบ่อลูกรังลึกและกว้างกำลังตักดินใส่ท้ายรถคันหนึ่งที่รอท่าเสียงดังตึงตังอื้ออึง

 


                “พี่ตะวัน.....พี่ตาวานนน” เด็กชายตะโกนป้องปากหมายจะเอาชนะเสียงกึกก้องนั้นไปยังผู้ที่ตนต้องการจะเจอ

 


                “คุณตะวัน! วู้! คุณพร้อมมาครับ” คนขับรถบรรทุกคันหนึ่งชะโงกออกมาจากหน้าต่างรถที่ตัวเองขับอยู่เพื่อช่วยเรียกอีกแรง

 


                เรียกอยู่ไม่กี่ทีเด็กหนุ่มวัยรุ่นในชุดนักเรียนมัธยมปลายแต่สวมรองเท้าแตะก็กระโดดออกมาจากรถตักดินที่ตนควบคุม

 


                “ลงมาเลยพร้อม! ” ตะวันตะโกนพร้อมกับกวักมือเรียกเด็กน้อยให้ไปหาเขา

 


เด็กน้อยค่อยๆ ไถลลงบ่อดินอย่างระมัดระวังแต่ถึงกระนั้นก็ออกจะทุลักทุเลไม่น้อย เมื่อถึงด้านล่างที่ตะวันยืนรออยู่เสื้อสีขาวและกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงสีส้มจนเกือบมองไม่เห็นสีจริง

 


“โดนแม่ตีกระฉูดแน่เจ้าพร้อมเอ๋ย” ตะวันพูดกลั่วหัวเราะ แต่หาทำให้เด็กน้อยหวั่นเกรงแต่อย่างใด

 


“ไม่เป็นไรพี่ตะวัน แม่บัวใจดี ถึงพ่อจะบอกว่าขี้บ่นแต่ก็ไม่เคยตีพร้อมหรอก” เด็กชายยืดอก

 


จากนั้นทั้งคู่ก็พากันปีนขึ้นไปนั่งบนรถตักดินเพื่อทำสิ่งที่ค้างไว้ต่อไป            

 


อีกด้านหนึ่งภายในรั้วกำแพงที่ทำการตำบล พลระพีพี่ชายฝาแฝดของตะวันกำลังนั่งวาดรูปลงบนแผ่นกระดานวาดเขียนใต้ร่มเงาของมะม่วงต้นใหญ่ เด็กหนุ่มวัย ๑๘ ปี ขีดเขียนรูปของตึกรามบ้านช่องและสิ่งแวดล้อมอันเป็นองค์ประกอบของภาพนั้นอย่างคล่องแคล่วชำนาญจนน่าอัศจรรย์  ระหว่างที่สมาธิกำลังจดจ่ออยู่กับการสร้างสรรค์งานตรงหน้าพลันเสียงเล็กๆ เจื้อยแจ้วก็ดังขึ้น

 


“น้องพริ้มอยากได้รูปแมว” เสียงใสทำให้เขารับรู้ว่าขณะนี้มีแขกตัวน้อยปีนขึ้นมานั่งร่วมโต๊ะหินอ่อนกับเขาแล้ว พลระพีปรายตามองเด็กน้อยก่อนจะกลับไปวาดรูปของตนต่อโดยไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน

 


“น้องพริ้มอยากได้รูปแมว”

 


“น้องพริ้มชอบแมวล่ะ น้องพริ้มอยากได้รูปแมว” เด็กหญิงบอกความต้องการของตนอย่างแน่วแน่ไม่ลดละ

 


“น้องพริ้มอยากได้รูปแมวค่ะ” ไม่พูดเปล่า เด็กน้อยยังยื่นหน้าตัวเองเข้าแทรกระหว่างเด็กหนุ่มกับกระดานวาดเขียนพร้อมกับตากลมแป๋วราวลูกกวางน้อยจ้องดวงตาของพลระพีเขม็ง

 


พลระพีถอนหายใจเฮือกก่อนจะดึงกระดาษอีกแผ่นใต้รูปที่เขาวาดอยู่ก่อนหน้าออกมา เขาจรดดินสอขีดลายเส้นง่ายๆแค่ไม่กี่ทีรูปลูกแมวตาโตขนปุกปุยก็มาอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น

 


“โอ้โฮ! พี่พีเก่งที่สุดเลย” เด็กน้อยอุทาน ตาที่โตอยู่แล้วก็ยิ่งโตขึ้นไปอีก ดวงตาเป็นประกายวาววับจ้องมองรูปวาดสลับกับใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างชื่นชม

 


“น้องพริ้มอยากได้รูปแมวอีกค่ะ” เด็กหญิงร้องขอ

 


“อย่ากวนพี่นักสิหนูจิ๋ว” พลระพีอดไม่ได้ที่จะจับหัวเด็กน้อยโยกไปมา ผมหยักศกอ่อนๆ สีน้ำตาลที่ถูกถักเป็นสองเปีย อีกทั้งดวงตากลมโตดำขลับใต้แพขนตางอนยาวนั้นทำให้เด็กน้อยตรงหน้าเหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบและรับมือกับเด็กเล็กๆ ได้ไม่เก่งเหมือนน้องชายแต่ก็อดที่จะตามใจเด็กน้อยตรงหน้าไม่ได้ ดูอย่างวันนี้ที่เขาตั้งใจจับเวลาเพื่อฝึกตัวเองสิยังพังไม่เป็นท่าเพราะเด็กน้อยอยากได้รูปแมว

 


“ก็พี่พีวาดแต่รูปบ้าน พี่พีวาดรูปอย่างอื่นบ้างสิคะ น้องพริ้มชอบดูพี่พีวาดรูป พี่พีวาดเยอะๆ เยอะๆ เลย” เด็กน้อยยิ้มประจบจนตาหยี

 


พลระพีหัวเราะหึๆ ในลำคอ อันที่จริงเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดอะไรนักเพราะตัวเองได้รับการตอบรับเพื่อเข้าศึกษาต่อในคณะสถาปัตยกรรมมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศแล้ว เหมือนกับที่ตะวันน้องชายฝาแฝดซึ่งได้เข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์สถาบันเดียวกัน แต่เพราะคิดอยู่เสมอว่าตนเป็นเด็กต่างจังหวัดแม้จะเรียนได้เป็นอันดับต้นๆ จนได้โควต้าก็อาจจะด้อยเมื่อเทียบกับเด็กในกรุง การฝึกฝนตัวเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นด้วยไม่อยากรั้งท้ายจนโดนดูถูกว่าเป็นเด็กบ้านป่าไม่พัฒนาจึงทำให้เขามักจะจมจ่อมอยู่กับการฝึกมือและตำรับตำราวิชาการเสมอ ตรงกันข้ามกับน้องชายที่เมื่อรู้ผลสอบเข้าก็เหมือนได้รับการประกาศอิสรภาพโดยมุ่งมุงานของที่บ้าน เข้าไร่ ขุดดิน ขนหิน ขับรถ โดยเจ้าตัวบอกกับเขาว่าพอเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯก็อดทำแล้ว

 


กว่าที่ท่านรองผู้กำกับจะเสร็จธุระกับกำนันโชคฟ้าก็มืดเสียแล้ว ออกมาจากห้องคุยงานเขาก็แลเห็นลูกๆ ของเขาและลูกๆ ของกำนันกำลังนั่งเล่นกันอยู่หน้าทีวี เจ้าพร้อมช่วยตะวันต่อจิ๊กซอว์ที่เป็นรูปเป็นร่างไปกว่าครึ่ง ส่วนพริ้มน้อยก็นั่งระบายสีในภาพวาดโดยมีพลระพีวาดรูปในกระดาษอีกแผ่นหนึ่งก่อนจะส่งให้ลูกสาวเขา

 


“พี่จันทร์พาน้องพริ้มกับพร้อมทานข้าวเรียบร้อยแล้วนะครับอายุตม์ ส่วนพร้อมเสื้อผ้าเลอะมากผมเลยให้อาบน้ำแต่งตัวใหม่ อายุตม์จะทานข้าวที่นี่ด้วยมั้ยครับ? ” ตะวันบอกเมื่อเห็นเขาเดินหอบเอกสารออกมาจากห้องทำงานของบิดา

 


“ไม่ดีกว่าอาจะกลับไปทานกับอาบัว ขอบใจตะวันกับพีมากนะที่ช่วยดูแลน้องๆ ให้ พร้อม พริ้ม กลับบ้านกันได้แล้วลูก” รองฯพิทยุตม์ตอบตะวันเลยไปถึงพลระพีก่อนจะเรียกลูกๆ

 


พลระพี ตะวัน และชิดจันทร์ ออกมาส่งเด็กๆ และพิทยุตม์ถึงรถของเขา

 


“อาฝากจันทร์ช่วยติดตามเรื่องที่อาคุยกับเตี่ย แล้วได้เรื่องยังไงก็ประสานมาที่อาอีกทีนะ” รองผู้กำกับกำชับชิดจันทร์บุตรสาวคนโตที่อายุห่างจากฝาแฝด ๗ ปี ซึ่งตอนนี้รับงานเป็นผู้ช่วยให้กับผู้เป็นพ่อ ชิดจันทร์รับคำก่อนที่จะยกมือไหว้ลาพิทยุตม์พร้อมกับน้องๆ ของเธอ

 


เด็กน้อยทั้งสองยื่นหน้ายื่นตาออกมาโบกมือให้กับตะวันและพลระพีจนผู้เป็นพ่ออดหันมาดุด้วยกลัวทั้งคู่จะหล่นตุ๊บออกมาจากตัวรถไม่ได้ เด็กน้อยทั้งคู่จึงต้องหดตัวกลับเข้าไปนั่งอย่างสงบเช่นเดิมก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเคลื่อนรถออกไป แต่ปากก็ยังรบเร้าผู้เป็นพ่อให้พามาหาพี่ๆ อีกในวันพรุ่งนี้ ติดพี่กันจริงๆ เลย...ท่านรองผู้กำกับคิด

 



 


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


                “อายุตม์ครับ อายุตม์ อายุตม์เปิดประตูหน่อยครับ” เสียงตะโกนเรียกพร้อมกับกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นกลางดึกปลุกให้ทุกชีวิตในบ้าน”จิตภัคดี”ตื่นจากนิทรา

 


                พันตำรวจโทพิทยุตม์และคุณกชมนผู้เป็นภรรยาพากันออกมาที่หน้าบ้านโดยมีลูกๆ ทั้งสองสะลึมสะลือตามมาด้วย

 


                “มีอะไรกันพี? “ พิทยุต์ถามเด็กหนุ่มที่หน้าตาตื่นตระหนก ผิวหน้าขาวๆ อย่างคนมีเชื้อสายจีนดูซีดเผือดกว่าเดิมหลายเท่านัก

 


                “เตี่ยโดนยิงครับอายุตม์ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล แม่กับพี่จันทร์ให้ผมมาบอกอายุตม์ก่อน” พลระพีละล่ำละลักมือไม่สั่นเทาอย่างคนขวัญเสีย

 


                รองผู้กำกับพิทยุตม์บอกให้พลระพีรอก่อนที่ตัวเองจะวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลด้วยกันกับเด็กหนุ่ม

 


ระหว่างที่รอคุณกชมนพาพลระพีมานั่งพักข้างในบ้าน ร่างกายที่เคยองอาจผึ่งผายกลับงองุ้มโค้งลงราวกับจะหักพับไปตรงนั้น เด็กหนุ่มก้มมองมือสั่นๆ ที่กำประสานไว้ตรงหน้าราวกับจะภาวนาให้เรื่องที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือความฝัน พลันมือน้อยๆ ของหนูจิ๋วที่เขาเรียกก็เอื้อมมาจับทับมือที่กำไว้ของเขาทั้งสองข้าง

 


ตาแป๋วๆ ราวตุ๊กตามีแววของความสงสัยไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณพ่อของเธอถึงต้องรีบร้อน? ทำไมคุณแม่ของเธอถึงดูหวาดหวั่น? และทำไมพี่พีของเธอถึงได้ดูหดหู่โศกเศร้าถึงเพียงนี้? คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าดูเปราะบางราวกับไม่ใช่พี่พีที่เธอเคยรู้จักและคุ้นเคย มือน้อยที่เอื้อมไปหมายจะแตะต้องให้แน่ใจว่านี่คือพี่พี...พี่พีของเธอ

 


เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นๆ พลระพีก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กน้อย ในดวงตาแดงก่ำมีน้ำอยู่คลอหน่วยล้นเอ่อเพียงแต่มันยังไม่หยาดหยดออกมาจากสองตา เด็กหนุ่มกลั้นน้ำตาให้ไหลกลับสู่ที่เดิมด้วยกลัวจะต้องแสดงความอ่อนแอซึ่งอาจทำให้เด็กน้อยตรงหน้าต้องตกใจ พยายามฝืนยิ้มให้แต่ดวงตากลับปวดร้าวยิ่งนัก สภาพของผู้เป็นบิดายังติดตาเขาอยู่...ภาพบิดาที่เนื้อตัวแดงฉานไปด้วยเลือดที่ไหลทะลัก ภาพบิดาที่ดวงตายังคงปิดสนิทแม้เขาจะเพียรเรียกด้วยเสียงดังเพียงใด ภาพบิดาไม่มีลมหายใจ.....

 


พันตำรวจโทพิทยุตม์กลับเข้าบ้านในตอนสายของวันรุ่งขึ้น คุณกชมนรีบออกมาต้อนรับและถามไถ่ ส่วนเด็กๆ ไปโรงเรียนกันทั้งคู่แล้ว

 


“กำนันสิ้นใจก่อนจะถึงโรงพยาบาล แกเสียในที่เกิดเหตุเลย” พิทยุตม์บอกกับภรรยา

 


“มันคงไหวตัวเรื่องที่พี่วางแผนโดยมีกำนันให้ความช่วยเหลือเรื่องที่จะสกัดกั้นเส้นทางส่งยากับลักลอบค้าแรงงาน อีกเรื่องก็คงขัดผลประโยชน์และเรื่องอิทธิพล กำนันแกผูกขาดความนับถือและไว้วางใจของชาวบ้านมานานอีกฝ่ายมันก็หาทางจะโค่นแกอยู่ ไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะพวกเดียวกันเลยมั้ย? ” เขายังเล่าต่ออย่างอ่อนล้า

 


“แล้วทางบ้านกำนันเป็นยังไงบ้างคะ? ” กชมนถามสามี

 


“มันกะทันหันมาก ก็ยังขวัญเสียกันอยู่ แต่พี่นับถือกำนันที่แกเลี้ยงลูกได้ดี เข้มแข็งและเป็นหลักให้แม่ได้ เจ๊จันทร์ยังทำใจไม่ได้แต่ชิดจันทร์กลับไม่มีน้ำตาสักหยดทั้งๆ ที่เป็นคนอยู่กับเตี่ยตอนโดนยิง ดีที่ไม่โดนลูกหลงไปด้วย ส่วนแฝดก็นิ่งมากคงพยายามเป็นหลักให้ที่บ้านเพราะเหลือผู้ชายอยู่กันแค่สองคน” พูดพลางก็ถอนหายใจ

 


“พี่ยุตม์จะทำยังไงต่อคะ? ” กชมนเอื้อมไปจับมือสามีหมายจะส่งกำลังใจ

 


“พี่คงต้องพักก่อน แต่พี่คิดว่าครอบครัวเราเองก็ไม่ปลอดภัยแล้ว บัวว่ายังไงถ้าพี่จะให้ลูกๆ ไปอยู่โรงเรียนประจำ? ”

 


กชมนนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบช้าๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ถ้าเพื่อความปลอดภัยและพี่ยุตม์จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังบัวก็ไม่ขัดข้องค่ะ”

 


“นี่โรงเรียนก็จะปิดแล้ว เทอมหน้าก็ให้พร้อมกับพริ้มเข้าโรงเรียนประจำที่กรุงเทพฯเลยก็แล้วกัน ส่วนบัวก็ย้ายไปอยู่กับแม่จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลข้ามอำเภอทุกวัน...พี่เป็นห่วง ส่วนพี่ว่าจะเข้าไปอยู่บ้านพักที่โรงพักเผื่อจะทำงานง่ายกว่านี้ ทางบ้านกำนันเหลือแค่แม่กับลูกสาวคงไม่มีใครทำอะไรแล้วแต่พี่คงต้องส่งคนไปดูแลต่อสักพัก”

 


“ได้ค่ะ พี่ยุตม์ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” กชมนตอบสามีพร้อมส่งยิ้มให้อย่างเข้าใจ พิทยุต์ดึงร่างบางมากอดแนบอกก่อนจะก้มไปดอมดมเรือนผมหอมกรุ่นของผู้เป็นภรรยาอย่างรักใคร่

 


เมื่อรถโรงเรียนมาส่งเด็กน้อยทั้งสองในตอนเย็น กชมนก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกๆ ก่อนพิทยุตม์จะมารับทั้งหมดไปร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมศพของ กำนันโชค อนันตโชค ที่วัด

 


“คุณแม่ขา ลุงกำนันเสียแล้วเหรอคะ? ” บุตรสาวถามมารดาระหว่างการเดินทาง

 


“ใช่จ้ะลูก คุณพ่อของพี่จันทร์ พี่พี กับพี่ตะวันเสียแล้ว” กชมนตอบ

 


“เสียแล้วซ่อมได้มั้ยคะ? ” เด็กน้อยถามอย่างพาซื่อ

 


“ไม่ได้หรอก เสียคือตาย ตายคือไปสวรรค์ ไม่เข้าใจว่าตายเหรอ? ” พี่ชายของเด็กน้อยทะลุกลางปล้องก่อนที่กชมนจะทันได้ตอบ พิทยุตม์กระแอมเบาๆ เป็นเชิงปรามบุตรชาย

 


“ตายก็ไม่ได้เจอกันแล้วใช่มั้ยคะ? ” เด็กน้อยยังคงถาม แต่น้ำเสียงเริ่มสั่นและมีน้ำตาคลอหน่วย

 


“ใช่จ้ะ ไม่เจอกันแล้ว แต่ลุงกำนันยังอยู่ตรงนี้ทุกครั้งที่เราคิดถึง” กชมนชี้นิ้วจิ้มไปที่อกของบุตรสาวเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

 


แม้เด็กหญิงจะไม่ค่อยเข้าใจถึงความหมายของความตายมากนักแต่ก็หดหู่ใจไม่น้อย เพียงแค่รู้ว่าจะไม่ได้เจอลุงกำนันอีก ไม่ได้พบเจอใบหน้าอารีที่มักมีรอยยิ้มแต่งแต้มเมื่อมองเธอเสมอ ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะใจดีที่ห้ามไม่ให้พ่อดุเธอและพี่ชาย ไม่ได้เจอลุงแก่พุงกลมผมสีดอกเลาที่มักหยิบยื่นผลไม้รสอร่อยให้เธอชิมแทบทุกครั้งที่ได้เจอ ไม่ได้เจออีกแล้ว...

 


ศาลาวัดคลาคล่ำไปด้วยผู้มาร่วมแสดงความเสียใจ ชาวบ้านและผู้เป็นที่นับหน้าถือตาทยอยกันมาไม่ขาดสาย ด้วยกำนันโชคเป็นคนดีและเป็นที่เคารพรักของคนในละแวกนี้ข่าวการจากไปของเขาจึงนำความเศร้าโศกและหวั่นไหวมายังผู้คนไม่ใช่น้อย

 


ด้านหน้างานชิดจันทร์ทำหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่ออย่างสงบนิ่งไม่มีแววหวาดหวั่นให้ใครได้เห็น แม้จะอายุเพิ่งพ้นเบญจเพสแต่หญิงสาวกลับดูโตเกินวัย อาจเพราะเธอเป็นลูกคนโตที่ห่างจากน้องๆ ถึง ๗ ปี หลังเรียนจบเธอเธอจึงเป็นเสมือนมือขวาของผู้เป็นพ่อในขณะที่น้องๆ ยังคงอยู่ในวัยเรียน การใกล้ชิดบิดาทำให้เธอซึมซับอุปนิสัยของผู้เป็นพ่อมาอย่างมาก พ่อที่ขยันขันแข็ง เข้มแข็ง และอดทน พ่อที่พร่ำสอนเธอเสมอว่าอย่าให้ใครดูถูกเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง พ่อที่ทำให้เธอเชื่อมั่นว่าไม่มีอุปสรรคใดที่จะผ่านพ้นไปไม่ได้เมื่อมีสติและปัญญา พ่อที่บัดนี้ไม่มีแล้ว...

 


ภายในงาน แม่จันทร์คู่ชีวิตของกำนันโชคพูดคุยกับบรรดาผู้ที่เวียนมาแสดงถึงความเสียใจและห่วงใย แม้มือหนึ่งยังต้องถือหลอดยาดมและดวงตาจะช้ำแดงก่ำโดยด้านซ้ายมีแม่บ้านคู่ใจที่รับใช้กันมานานคอยโบกพัดให้อยู่เรื่อยๆ แต่หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็หาได้ฟูมฟายแต่อย่างใดตรงกันข้ามกลับยังดูเยือกเย็นและสงบได้อย่างน่านับถือ

 


ที่หีบศพมีซุ้มดอกซ่อนกลิ่นสีขาวสะอาดประดับอยู่เป็นพุ่มรายล้อมทั้งด้านหน้าและด้านข้าง พวงหรีดหลายสิบพวงแขวนอยู่บนขาตั้งโดยรอบ บุตรชายฝาแฝดทั้งสองคนนั่งคุกเข่าคอยจุดธูปให้แขกเพื่อเคารพศพผู้เป็นบิดา แม้จะอยู่ในช่วงทุกข์ระทมแต่ร่องรอยของความเสียใจก็หาได้บดบังใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างองอาจมีมัดกล้ามของเด็กหนุ่มทั้งคู่ได้ ด้วยกำนันโชคแม้จะถือได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกินแต่กลับให้ลูกๆ ลงมือทำงานทุกอย่างดั่งเช่นที่คนงานทำ “สิ่งใดที่คนงานทำได้ เรายิ่งต้องทำได้ดีกว่า” คำพูดที่ผู้เป็นพ่อมักบอกลูกชายทั้งสองเสมอ หลังจากเสร็จภารกิจการเรียนในแต่ละวันรวมถึงวันหยุด หากไม่ต้องเข้าไร่ เด็กหนุ่มทั้งสองก็ต้องคุมงานตักดิน ขนดิน ซึ่งเป็นอาชีพอีกอย่างของครอบครัวอนันตโชค ไม่ใช่เป็นบุญของพ่อแม่ที่ได้ลูกดีแต่เป็นบุญของลูกๆ ที่ได้พ่อแม่ดั่งเช่นกำนันโชคและแม่จันทร์ พลระพีและตะวันนอกจากจะช่วยแบ่งเบาการดูแลกิจการของทางบ้านทำให้ผู้เป็นพ่อไม่ต้องตรากตรำมากนัก ผลการเรียนของทั้งคู่ยังเป็นเลิศโดยการเป็นนักเรียนทุนเรียนดีของโรงเรียนประจำจังหวัดมาตลอดระยะเวลาที่เข้ารับการศึกษา รวมทั้งคว้ารางวัลทั้งกีฬาและความสามารถทางวิชาการมาให้เป็นที่ภาคภูมิใจของครอบครัวและครูอาจารย์ จนกระทั่งได้รับโควต้าร์เข้าเรียนระดับอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งกลางใจเมืองในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ แม้กำนันโชคจะยินดีที่ลูกทั้งสองจะได้เข้าเรียนในที่ๆ ดีแต่น่าเสียดายที่ผู้เป็นพ่อไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมในวันที่ลูกๆ สำเร็จการศึกษา

 


เมื่อพระเริ่มสวดฝาแฝดทั้งสองจึงถอยฉากเพื่อออกมาอยู่กับพี่สาวและสูดอากาศด้านนอก สามพี่น้องจับมือกันแน่นโดยมีชิดจันทร์อยู่ตรงกลางขนาบข้างด้วยพลระพีและตะวัน ต่างก็ถ่ายทอดความเข้มแข็งและกำลังใจให้แก่กันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด ทั้งสามต่างรู้ดีว่าภายในจิตใจของแต่ละคนนั้นบอบช้ำแหลกสลายเพียงใด แต่เพราะเป็นลูกพ่อลูกที่กำนันโชคภูมิใจและไว้ใจจึงจะแสดงให้ใครเห็นถึงความอ่อนแอไม่ได้ต้องกล้ำกลืนฝืนไม่ให้น้ำตาและความร้าวรานปรากฏออกมาให้คนที่จากไปแล้วต้องเป็นห่วง โดยหวังแค่เพียงจะได้เป็นหลักยึดให้ผู้เป็นแม่และเพื่อให้ผู้เป็นพ่อจากไปอย่างสงบ

 


ช่วงเวลาแห่งความหม่นหมองทุกข์ระทมผ่านไปอย่างยากเย็น วันที่ ๖ ของการจากไปพิธีฌาปนกิจศพก็มาถึง แม้จะวุ่นวายกับการเตรียมงานเพียงใดแต่ก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวอนันตโชคลืมความโศกเศร้าลงได้ เสียงพลุปลงดังขึ้นหลายนัดในเวลาสิบหกนาฬิกาตรง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงเวลาอำลาร่างไร้วิญญาณของพ่อผู้เป็นที่รักซึ่งนอนสงบนิ่งในโลงที่แง้มเปิดให้เห็นภาพสุดท้าย ภาพที่จะติดตรึงไว้ในความทรงจำของคนในครอบครัว แม่จันทร์ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากก้มลงจุมพิตแก้มซีดจนออกเขียวของผู้เป็นสามี ดวงตาแดงก่ำฝืนไม่ให้น้ำตาหยาดหยดตกต้องร่างของผู้เป็นที่รัก เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูร่างของกำนันโชคแม้จะเบาราวสายลมพัดผ่านแต่ก็กระทบโสตประสาทของคนที่รายล้อมอยู่อย่างสะเทือนใจ “หลับให้สบายนะพ่อนะ”

 


สามพี่น้องกอดกันกลมอยู่หน้าโลงศพของผู้เป็นบิดา ความโศกเศร้าที่สุดจะฝืนไม่อาจปิดบังไว้ได้อีกต่อไป ชิดจันทร์สะอื้นไห้อยู่กับอกของพลระพีโดยมีตะวันโอบกอดคนทั้งคู่ไว้ พี่น้องซุกไซ้ใบหน้าแอบซ่อนน้ำตาที่หลั่งริน แม้น้ำจากสองตาจะท่วมท้นแต่เสียงโหยไห้กลับเบาบาง

 


ควันไฟพวยพุ่งออกจากปล่องขณะที่ผู้ร่วมงานเริ่มบางตา ครอบครัวอนันตโชคยังคงทำหน้าที่ส่งแขกที่ทยอยกลับอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้หัวใจจะร้าวรานแหลกสลาย

 


พิทยุตม์ตบไหล่ของตะวันและพลระพีอย่างให้กำลังใจ กชมนจับจูงมือของลูกๆ ทั้งสองไว้คนละข้าง

 


“เข้มแข็งนะพี สู้นะตะวัน พ่อเค้าจะได้หมดห่วง”

 


“ครับอายุตม์ ตอนนี้ผมก็ห่วงแต่แม่กับพี่จันทร์ เดือนหน้าผมกับตะวันต้องไปเรียนที่กรุงเทพฯแล้ว ที่บ้านก็เหลือแต่ผู้หญิงแค่สองคน” พลระพีบอกกับชายที่ตนนับถือ

 


“ไม่ต้องห่วงนะ อาจะส่งลูกน้องมาคอยดูแล ขาดเหลืออะไรหรืออยากให้ช่วยขอให้บอก อาดูอยู่ เราทั้งคู่มีหน้าที่เรียนก็เรียนให้ดีที่สุด อย่าให้ใครๆ ผิดหวัง โดยเฉพาะเตี่ย...เค้าหวังกับเราทั้งคู่มาก”

 


ทั้งพลระพีและตะวันพยักหน้าแทนการรับปากน้ำใสๆ ก็เริ่มคลอหน่วยอีกครั้ง มือของพลระพีกระตุกน้อยๆ ด้วยแรงดึงจากเด็กหญิงตัวเล็ก เค้าย่อลงนั่งเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กน้อย

 


“คุณแม่บอกว่าลุงกำนันอยู่ตรงนี้เวลาที่น้องพริ้มคิดถึง” นิ้วกลมๆ ป้อมๆ จิ้มไปที่อกของตัวเอง ก่อนจะย้ายมาชี้ที่อกซึ่งเป็นจุดเดียวกับหัวใจของพลระพี

 


“แต่น้องพริ้มจะไม่คิดถึงลุงกำนันแล้ว น้องพริ้มให้พี่พีคิดถึงลุงกำนัน ลุงกำนันจะได้อยู่ตรงนี้กับพี่พี” สิ้นเสียงเด็กน้อยพลระพีก็อดใจไม่ได้ที่จะดึงหนูจิ๋วตุ๊กตาตัวน้อยๆ ของเขามากอดอยู่แนบอก

 


“ขอบใจมากนะครับน้องพริ้ม” พลระพีจ้องมองลึกไปในดาวตากลมโตสีดำสนิทอย่างขอบคุณ ขอบคุณกำลังใจที่ใสซื่อของเด็กน้อย 



จบบทที่ ๑ ค่ะ Smiley 

 






Free TextEditor


เป็นมือใหม่มากๆสำหรับ blogGang ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ



Create Date : 10 สิงหาคม 2554
Last Update : 10 สิงหาคม 2554 23:19:00 น.
Counter : 770 Pageviews.

1 comment

กาแฟเย็นเพิ่มฉ็อต
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]