โกวิทฟั่นเฟือน

ภาพผู้อาวุโสของเมืองไทยระดับอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ออกมาโบกไม้โบกมือไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวทำข่าว ภายหลังจากที่ถูกเด้งได้หนึ่งวันนั้น น่าจะเป็นภาพที่คนไทยจำนวนมากดูแล้วมีความรู้สึกคล้ายๆ กับที่ผมเป็น

แวบแรกนั้นขำมากครับ...ที่ขำอาจจะเป็นเพราะว่า จนถึงเวลานี้แล้วแกก็ยังไม่เข้าใจว่า แกทำความผิดอะไรถึงต้องโดนย้ายไปตบยุงที่อื่น ท่าทางของแกนั้นราวกับว่า ทำไมใครๆ จะต้องมายุ่งกะแกด้วย และโทษแกไปเสียทุกเรื่อง

ปัดโธ่...จะไม่ได้มองว่าแกคือปัญหาได้อย่างไรเล่าครับ ก็แหม...หลังจากแกโดนปลดได้สองวัน ตำรวจอิสานก็เริ่มประชุมเพื่อหาทางจับคนร้ายที่ลอบเผาโรงเรียนที่บุรีรัมย์...คดีอะไรต่างๆ ที่คั่งค้างไว้ก็เริ่มทำงานกันอีกรอบหนึ่ง หลังจากที่หยุดทำมาตลอดระยะเวลาที่ ‘อาโก’ แกขึ้นนั่งเป็นผู้บัญชาการ

ลองคิดดูกันเถอะครับ ถ้าปลดแกไปเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว ตำรวจก็จะทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งกันซักแค่ไหน?

ความรู้สึกที่สอง ที่ได้เห็นข่าวนี้ก็คือ ผมรู้สึกเศร้าจริงๆ และโหวงเอามากๆ

ต้องยอมรับนะครับแม้ว่าในยุคคุณโกวิทย์สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นที่รังเกียจของประชาชนพอๆ กับที่รังเกียจโจร แต่ที่ผ่านมา เราก็มีมุกอะไรขำๆ ให้เล่นกันเยอะ เพราะ การกระทำของตำรวจที่เพี้ยนสุดๆ ในยุคของ...อาโกของเราเหมือนกัน...

เรามีตำรวจที่แทนที่จะจับผู้ร้าย แต่ดันไปทำหน้าที่เป็นเกษตรกรในการเลี้ยงแพะบ้าง จับแพะบ้าง อุ้มแพะบ้าง เรามีตำรวจที่ริอ่านจะเป็นคนเขียนบทละครในเรื่องระเบิดเมืองเพื่อลอบสังหารอดีตนายกฯ คิดจะวางพล็อตเรื่องให้ดูสนุกเหมือน CSI แต่ก็เป็นได้แค่ละครน้ำเน่า แถมยังตลกเสียจนตลกคาเฟ่เกือบตกงาน

เรามีตำรวจที่ไม่รู้จะเรี่ยวแรงถดถอยกันไปถึงไหน ถึงได้ตั้งด่านเพื่อจะขอลิโพวิตันดี หรือ กระทิงแดงกินอยู่บ่อยครั้ง ฟังๆ ดูอาจจะเป็นเรื่องทุเรศ แต่ก็เป็นเรื่องจริงนะครับที่ช่วงก่อนจะปลดโกวิทนี่ไม่รู้มันจะตั้งด่านอะไรกันนักหนา

เรามีโฆษกตำรวจอย่าง อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ที่พร้อมจะจ้อได้ทุกเรื่องตั้งแต่ผู้ก่อการร้าย IRK เรื่องของพล็อตระเบิดคาร์บ๊องค์ ...คือนึกไม่ออกว่าชีวิตหลังจากนี้ของท่าน สังคมจะตั้งชื่อให้จำง่ายๆ ได้อย่างไรระหว่าง ‘วิทย์ คาร์บ๊อง’ หรือ ‘วิทย์ ไออาร์เค’ เพราะสองเรื่องนี้เด่นสูสีกันเหลือเกิน

สุดท้ายก็คือ เราไม่มีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ให้สัมภาษณ์แบบที่นักข่าวทุกสายรู้ล่วงหน้าเลยละครับว่า ท่านจะตอบว่าอะไรโดยไม่ต้องรอท่านพูดจริงๆ

เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องระเบิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจี้ปล้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบาย ไม่ว่าเป็นเรื่อง โอ๋ สืบ 6 กระทืบประชาชน เราก็จะเห็นคำตอบออกจากปากของท่านที่น่ารักๆ เอามากๆว่า.... “ไม่รู้ๆๆๆๆ ไม่มีๆๆๆๆ ไม่เอาๆๆๆ ไม่หรอกๆๆๆ อะไรนะๆๆๆ เหรอๆๆๆๆ เออๆๆๆ พอแล้วนะๆๆๆๆ”

*************************************

พูดถึงเรื่องของท่านแล้วนึกถึงเพลงฟั่นเฟือน เพลงนี้อยู่ในอัลบั้ม พงษ์พัฒน์ภาค 2 แล้วก็เป็นเพลงที่ดังมากในยุคนั้น คือ ไม่หนักโครมครามเกินไป เนื้อหาพูดถึง ชีวิตของตนเองที่เคยมีของที่รักอยู่ แต่วันดีคืนดีแกก็โดนหักอก...มันแรงขนาดแกทำใจไม่ได้ แล้วก็วนเวียนๆ คิดอยู่เรื่องเดิมๆ คิดอยู่แต่ว่าทำไมฉันต้องผิดหวัง ทำไมฉันต้องโดนเด้ง และทำไมฉันต้องโดนกระทำ และฉันอยากเป็นคนบ้าเสียสติเพื่อให้พ้นไปจากสังคมนี้เสีย

ความจริงอยากจะบอกว่าเราสามารถจะหายฟั่นเฟือน ถ้านึกถึงหลักการที่ว่า กว่าจะมีเรื่องในปัจจุบันมันมีอดีตนำมาก่อน และกรรมในอดีตที่ก่อไว้ มันก็มาสนองผลในปัจจุบัน และ อนาคต

คือถ้าลองนึกทบทวนดีๆ โดยใจเป็นธรรมก็จะเข้าใจว่า เพราะความห่วยแตกของเราใช่ไหมที่เป็นเช่นนี้ เพราะความที่เรายอมสยบต่ออำนาจมืดทั้งๆ ที่มีดาบอยู่ในมือใช่ไหมที่ทำให้เป็นเช่นนี้ เพราะตัวเราใช่ไหมที่ลืมทำหน้าที่ๆ ประชาชนเขาตั้งความหวัง เขาตั้งใจว่าจะให้เรามาพิทักษ์ประชาชน แต่สุดท้ายกลับหลับตาเพื่อให้ประชาชนที่มีคุณูปการกับคุณ ถูกกระทืบเสียเอง

ค่อยๆทบทวนนะท่าน






 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2550 22:00:53 น.
Counter : 611 Pageviews.  

ความน่าเชื่อถือของตำรวจ

หลายคนคงงงและสับสนหลังตำรวจออกมาให้ข่าวทำนองว่า คดีคาร์บ๊องกับคดีบึ้มกรุงมีตัวละครบางตัวเกี่ยวโยงกัน

หนำซ้ำเมื่ออ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ดูจากโทรทัศน์ก็อึกทึกครึกโครมราวกับจับตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว แต่พอดูไปดูมากลายเป็นว่า ตำรวจแค่ใช้อำนาจตามประกาศกฎอัยการศึกเรียกตัวกลุ่มหรือคนที่คิดว่ามีประสิทธิภาพในการทำระเบิดมาสอบสวน ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใคร ขณะเดียวกันก็ให้ข่าวไปด้วยว่า พบวัตถุต้องสงสัยตรงกับชนิดที่ใช้ทำระเบิดบึ้มกรุงตรงนั้นตรงนี้

สรุปก็คือ ยังไม่มีใครเป็นผู้ต้องหาเลย แต่ภาพข่าวออกมาเหมือนกับว่า ตำรวจทำงานแล้ว ทำงานเต็มที่ จับกุมได้แล้ว

หากไม่ลืมคดีคาร์บ๊อง หลังตำรวจจับรถบรรทุกระเบิดได้บริเวณแยกบางพลัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ในทันทีว่า รถดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสังหารตัวเอง และมีนายทหาร 3-4 คนเกี่ยวข้อง จากนั้น ตำรวจก็ขานรับทันทีว่า เป็นคดีลอบสังหารนายกรัฐมนตรี อานุภาพของระเบิดจะถล่มแถวนั้นราบเป็นจุลมีรัศมี 1-2 กิโลเมตร โดยเฉพาะการแถลงรายวันของ “ป๋อม IRK”พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช

แล้วอยู่ๆ ก็มีข่าวว่า ของกลางที่ตำรวจนำมาโชว์ในภายหลังนั้นขัดแย้งกับบันทึกการจับกุม ข้อมูลที่ได้รับทำให้สาธารณชนสับสน จนกระทั่ง “ป๋อม IRK” ต้องนำเทปผู้ต้องหามาเปิด อ้างว่า เป็นคำรับสารภาพ แต่ฟังแล้วเหมือนกับการพูดคุยกันธรรมดามากกว่า

ส่วนคดีบึ้มกรุงตอนแรกทำท่าว่าจะมืดแปดด้าน แต่พอมีข่าวว่าอาจจะมีการโยกย้าย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ก็มีข่าวจับกุมผู้ต้องสงสัยออกมาอย่างอึกทึกครึกโครม ฟังแรกๆ ก็ดีใจครับ เพราะคนชั่วจะได้ถูกลงโทษ แต่ฟังไปฟังมากลายเป็นว่า แค่สงสัยใครเรียกมาสอบไว้ก่อน

ใครที่ว่าตำรวจใส่เกียร์ว่าง ไม่ทำงาน ตอนนี้ตำรวจก็จับผู้ต้องสงสัยมาควบคุมไว้แล้ว จะไปโยกย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้อย่างไร ส่วนจะเป็นผู้ต้องหาจริงหรือไม่ไม่สำคัญ เพราะตำรวจสามารถกำหนดทิศทางของข่าวที่จะสื่อกับสังคมได้ เพราะชำนาญในการป้องปากบอกสื่อในฐานะของ “แหล่งข่าว”

เพราะวิธีการของตำรวจที่ใช้มาตั้งแต่คดีคาร์บ๊องก็คือ การให้ข่าวกับสื่อมวลชน ทั้งแบบเปิดเผยและแหล่งข่าว เช่น บอกว่าผู้ต้องสงสัยที่เรียกมาสอบเป็นใครบ้าง พบวัตถุต้องสงสัยที่คล้ายกับระเบิดในที่เกิดเหตุบ้าง ใช้สื่อเพื่อโน้มน้าวสังคมให้เชื่อว่า ตำรวจคลำเข้าไปถูกที่แล้ว ไม่ว่าตำรวจจะทำอะไรก็จะให้ข่าวกับสื่อ แอบเอาใครมาสอบบ้าง ให้การว่าอะไร ผู้ต้องสงสัยสารภาพแล้ว ทั้งที่ผู้ต้องสงสัยนั้นจะต้องเชื่อไว้ก่อนว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ตำรวจจะต้องให้ความเป็นธรรมเพื่อไม่เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง

เพราะเมื่อเป็นข่าว ผู้ต้องสงสัยเหล่านั้นจะผิดไม่ผิดไม่รู้ แต่ก็ถูกสังคมตำหนิติเตียนไปแล้วว่าเป็นคนชั่วช้าคนเลว

ทั้งๆ ที่คดีนี้ตำรวจยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยแต่การเรียกมาสอบ 18-19 คนนั้นใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 8 เกี่ยวอำนาจการตรวจค้น มาตรา 12 การยึด และมาตรา 15 ทวิ ซึ่งให้อำนาจกักตัวได้ 7 วัน หลังจากนั้นหากไม่พบหลักฐานอะไรที่เชื่อมโยงและสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ ตำรวจก็ต้องปล่อยตัวไป

หรือโชคดีก็อาจจะมีผู้ต้องสงสัยสัก 2-3 ราย ส่วนที่เหลือก็กลายเป็นแพะไป กลายเป็นจำเลยสังคมตามที่ตกเป็นข่าว

คอยดูนะครับว่า หลังจากพ้นอำนาจการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกครบ 7 วันแล้ว ตำรวจจะออกหมายจับผู้ต้องหาในข้อหาบึ้มกรุงได้สักกี่คน หรือสุดท้ายแค่แจ้งข้อหาว่า ครอบครองวัตถุระเบิดหรือยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อกักตัวไว้ก่อน ซึ่งความผิดต่างกัน และความชั่วก็ต่างกันด้วย

อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า กรณีแบบนี้ต้องเป็นฝีมือของ “คนมีสี” แน่ แต่ที่หลายคนอยากฟังคำอธิบายจากตำรวจก็คือ ผู้ต้องสงสัยกลุ่มหนึ่งที่ตำรวจเรียกไปสอบนั้น เคยถูกตั้งข้อหาในคดีคาร์บ๊องและให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาไว้ แล้วมาถูกเรียกไปสอบสวนในคดีบึ้มกรุงอีกว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร

อย่าลืมว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้เคยถูกตำรวจชี้ว่า หมายลอบสังหารนายทักษิณ แต่พอเกิดคดีบึ้มกรุง พล.อ.สุรยุทธ์ และพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พูดตรงกันว่า เป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจเก่า แต่พรรคพวกของนายทักษิณและลิ่วล้อบอกว่า เป็นฝีมือของ คมช.ใครผิดใครถูกก็ต้องสอบสวนกันไป แต่สุดท้ายข่าวที่ออกจากทางตำรวจกลับสอดคล้องกับทักษิณและลิ่วล้อ

โดยเฉพาะการข่าวของนายชนาพัทธ์ ณ นคร ที่ออกมาบอกว่ามีใครทำเรื่องนี้บ้าง รับเงินจากใคร แล้วตำรวจก็เรียกนายชนาพัทธ์ไปสอบ จนกระทั่งใช้กฎอัยการศึกควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยมา สังคมก็ใคร่รู้ว่า ทำไมตำรวจถึงเชื่อถือนายชนาพัทธ์เพราะคดีนั้นเดินไปตามที่นายชนาพัทธ์ให้ข่าวไว้

ถ้าผู้ต้องหาคาร์บ๊องเป็นฝ่ายตรงข้ามทักษิณ อย่างที่ตำรวจเคยตั้งธงไว้ แล้วถ้ากลุ่มนี้เป็นคนทำอีกก็สันนิษฐานได้ว่ารับงานมาจากฝ่ายตรงข้ามทักษิณมากกว่าที่จะบอกว่าฝ่ายทักษิณเป็นคนจ้าง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ทักษิณจะจ้างคนที่คิดฆ่าตัวเองมาทำระเบิด แล้วตำรวจลองอธิบายซิครับว่า ฝ่ายตรงข้ามทักษิณเป็นใครแล้ว ทำทำไม หรือตำรวจกำลังตั้งธงอย่างที่ทักษิณและลิ่วล้อขีดไว้

ไม่เช่นนั้นจะเกิดความสับสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่ออกมาเหมือนกับนายชนาพัทธ์เป็นตัวเปิดเกมและตำรวจออกมารับลูกกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว

ส่วนที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ออกมาพูดเหมือนการันตีให้กับตำรวจนั้น ท่านก็ออกมาแก้ข่าวแล้วว่า ท่านพูดไปตามคำชี้แจงของตำรวจ เพราะต้องไว้ใจตำรวจ ส่วนที่บอกว่าไม่มีการจับแพะนั้น หมายความแค่ว่า เมื่อจับคนที่มีวัตถุระเบิดอยู่ก็ถือว่ามีความผิดแล้ว ส่วนคดีบึ้มกรุงถ้ามีพยานหลักฐานโยงไปหาผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องออกหมายจับ

เรื่องนี้จึงต้องฟังให้ดี เหมือนที่พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกอีกคน เตือนว่า ไม่อยากให้เราไปสนใจความคืบหน้ารายวันว่าค้นบ้านใครบ้าง แต่ต้องดูให้ลึกซึ้งว่าใครวางแผน ที่เรายังจับกันไม่ได้เพราะระบบยุติธรรมเราสั่นคลอน การไม่ยึดความถูกต้อง และการไม่ใช้อำนาจหน้าที่ที่ตัวเองมีเพื่อความถูกต้อง มันกลับถูกเบี่ยงเบนบางส่วน บางระดับ แม้แต่ในกองทัพก็มีการเบี่ยงเบนเกิดขึ้นในอดีต

คงไม่ต้องอธิบายว่า พล.อ.สะพรั่งหมายถึงการทำงานของใคร ใครที่ทำให้ระบบยุติธรรมสั่นคลอน ไม่ยึดความถูกต้อง ไม่ใช้อำนาจหน้าที่ที่ตัวเองมีเพื่อความถูกต้อง

และผมคงไม่ต้องอภิปรายว่า ทุกวันนี้สังคมมีความเชื่อถือต่อสถาบันตำรวจเพียงไหน




 

Create Date : 27 มกราคม 2550    
Last Update : 27 มกราคม 2550 6:01:16 น.
Counter : 325 Pageviews.  

กลับสู่สามัญ-ดอนเมือง

น่าสลดใจเมื่อความไม่พร้อมของสนามบินสุวรรณภูมิทำให้ต้องเปิดสนามบินดอนเมืองมาใช้อีกครั้ง

ซึ่งผมคิดว่าต้องยอมรับกันว่า การเร่งเปิดสุวรรณภูมินั้นควรสืบหาความจริงกันว่า อะไรเป็นเหตุผล

มิฉะนั้นจะเป็นที่กังขาว่า ที่ต้องรีบเปิดเป็นเพราะฝ่ายการเมืองรีบเอาเงินค่าคอมมิชชั่นจำนวนมาก ทั้งจากผู้รับเหมาและผู้ประมูลหลายราย

บางคนก็บอกว่า ร้านค้าที่เข้าไปอยู่ในนั้น รวมทั้งพวกร้านใหญ่จริงๆ เช่น Tax Free ขาใหญ่ต้องการ “หาเงิน” เร็วๆ

จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ

แต่รู้นานแล้วว่า สนามบินมีปัญหาในหลายๆ ด้าน

แม้แต่พื้นรันเวย์ ก็มีปัญหา เรื่องการผสมคอนกรีตมันไม่ได้มาตรฐานเพราะใช้คอนกรีตโดยส่วนผสมของปูนนอกจากผิดส่วนแล้ว ยังโกงด้านคุณภาพอีกต่างหาก

กินกันแบบบัดซบ

ไม่ดูว่ามันจะปลอดภัยต่อประชาชน และผู้โดยสารเลย

เสียชื่อประเทศชาติช่างมัน ขอโกงกัน กินกันยัดเงินนักการเมืองเป็นพอ

การใช้ดอนเมืองทดแทนนั้น นัยว่าจะใช้สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ

บอร์ดของ ทอท.ก็เห็นด้วยว่า ควรใช้ประโยชน์กับดอนเมืองแต่สำหรับเที่ยวบินประจำจะใช้เที่ยวบินระหว่างจุดถึงจุด และใช้ทั้งภายในภายนอกประเทศ

บอกว่าเพื่อลดความแออัดของเที่ยวบินที่สุวรรณภูมิ

น่าตกใจใช่ไหม?

เปิดสนามบินได้ไม่นาน แต่แออัดแล้วไม่รู้วางแผนกันอย่างไร?

หรือวางแผนจะขยายสุวรรณภูมิเพื่อกินกันตับแตกอีกแล้วอ้างว่าจะใช้ดอนเมืองภายใน 15 มีนาคม ก่อนเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากผู้โดยสารจะมากในเทศกาลที่ว่านี้

แต่จะมาใช้ดอนเมือง มันต้องปรับปรุงพื้นที่อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศด้วย อย่างน้อยก็เป็นเดือนครับ

ต้องใช้งบ 13 ล้านบาท!

และอุปกรณ์ภาคพื้นดิน อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยเวลานี้อยู่ในอาคารหนึ่งดอนเมืองยังมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้ปีละ 15 ล้านคน ....มีอายุใช้งานได้อีกนาน คือใช้ได้อีก 10 ปี

ซึ่งฟ้องว่า... ไม่เห็นต้องเร่งย้ายไปเปิดสุวรรณภูมิเลย

ทุกวันนี้ดอนเมืองก็ใช้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาโดยมี ต.ม. และศุลกากรดูแล มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 10 ล้านบาททุกเดือน การเปิดใช้ดอนเมืองอีกจะทำให้เกิดรายได้เพิ่ม

แต่ก็ต้องจ้างคนเพิ่มทั้งด้าน รปภ.และต้องพนักงานอื่นๆ ด้วย

การบินไทยก็บอกว่าพร้อมปรับแผน โดยจะย้ายเฉพาะเที่ยวบินในประเทศแต่ว่ายังมีบางเส้นทางที่คนต่างชาติหนาแน่นไว้สุวรรณภูมิ เช่น เที่ยวบินไป-กลับ ภูเก็ต, เชียงใหม่, เชียงราย และกระบี่

ที่เหลือก็จะปรับแผนใช้เครื่องบินและปรับตารางการบินเสียใหม่

การบินไทยเห็นว่า ดอนเมืองเหมาะเป็นสนามบินที่ 2 เป็นการช่วยลดความแออัดที่สุวรรณภูมิเพราะเวลานี้คับคั่งมาก




 

Create Date : 18 มกราคม 2550    
Last Update : 18 มกราคม 2550 2:36:55 น.
Counter : 327 Pageviews.  

ล้มแผนปฏิวัติซ้อน!

ห้วงเวลาที่ผ่านมามีข้อความสองข้อความที่ค่อนข้างหนาหู นั่นคือข้อความที่ว่าปฏิวัติซ้ำ ปฏิวัติซ้อน แต่บางครั้งก็มีข้อความปฏิวัติเสริมแหลมออกมาบ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นลอย ๆ เพราะไม่มีไฟไหนเลยจะมีควัน

เพียงแต่ไขว้เขวกันในเรื่องความหมายเท่านั้น

ปฏิวัติซ้ำหรือปฏิวัติเสริมมีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน คือปฏิวัติโดยคณะเดิมเพื่อซ้ำหรือเสริมสิ่งที่ยังขาดตกบกพร่อง หรือที่ยังไม่อาจทำอะไรโดยเด็ดขาดได้ให้มันเด็ดขาดลงไป

ส่วนปฏิวัติซ้อนนั้นหมายถึงการยึดอำนาจของขั้วอำนาจเดิมเพื่อยึดอำนาจกลับคืน เพราะพวกขั้วอำนาจเดิมนั้นไม่เหมือนนักการเมืองหรือพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ถือว่ามาทำหน้าที่ทางการเมืองชั่วระยะเวลาหนึ่ง ๆ ตามเวลาวาระแล้ว เมื่อถึงห้วงเวลาหนึ่งก็ต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไป

แต่พวกอำนาจเก่านั้นปกครองบ้านเมืองมา 5-6 ปีแล้วติดยึดในอำนาจ หลงเข้าใจผิดคิดว่าบ้านเมืองนี้ประเทศนี้เป็นของพวกเขา

ดังนั้นจึงคิดว่าการที่ถูกคณะทหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นการถูกแย่งของรักของหวงของตัวเอง จึงผูกแค้นพยาบาทและหมายมาดปรารถนาจะกลับมามีอำนาจใหม่


ซึ่งคนทั้งหลายก็พอจะรู้เท่าทันว่าหากปล่อยให้กลับมา สถาบันสำคัญของบ้านเมืองก็จะถูกล้างแค้น ถูกทำลายจนย่อยยับดับสูญ คณะทหาร ข้าราชการ และประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยก็จะถูกล้างผลาญจนวายวอดตาม ๆ กัน

เพราะเหตุที่อำนาจเก่ายังคิดอ่านที่จะกลับมามีอำนาจใหม่ ดังนั้นการต่อสู้จึงยังไม่สิ้นสุดลง ยังคงดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อจะกลับมามีอำนาจใหม่ นี่คือต้นตอของเรื่องปฏิวัติซ้อน

ในขณะเดียวกันอำนาจใหม่ซึ่งหลงลมแก๊งนักร่างรัฐธรรมนูญที่มีจุดยืนไม่แจ่มชัด และนักวิชาการบางส่วนที่เป็นพวกประชาธิปไตยเฟ้อได้สละอำนาจของตนเองจนกลายเป็นยักษ์ไร้กระบองและทำอะไรไม่ได้ จนถูกกดดันอยู่ทุกวันคืนในขณะนี้

แรกเริ่มเดิมทีก็เข้าใจผิดคิดว่ายึดอำนาจมาเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วจึงตั้งความระแวงประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยว่าจะเป็นเสี้ยนหนามใหญ่ในภายหน้า จึงพยายามลิดรอนและบ่อนทำลายโดยลำดับมา

แต่ประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยในยุคนี้ไม่เหมือนยุคเก่าแล้ว จึงรู้เท่าทันและเสนอเข็มมุ่งขึ้นภูดูเสือกัดกัน โดยด้านหนึ่งสนับสนุนด้านกำลังใจและทางความคิดแก่รัฐบาลและ คมช. แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังคงปักหลักต่อสู้กับระบอบทักษิณอย่างเด็ดเดี่ยว

เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งรัฐบาลและ คมช. ก็เผชิญหน้ากับอำนาจเก่ากันซึ่งหน้าตรง ๆ และเมื่อผ่านวันเวลามา 3 เดือนเศษ ความจริงก็ได้ประจักษ์ชัดเจนว่าอำนาจเก่ายังไม่ได้ดับสูญจริง ยังซึมแทรกอยู่ในหลายหน่วยงาน และพร้อมที่จะลุกมาโค่นล้มอำนาจใหม่อย่างโหดเหี้ยมอำมหิตด้วย

ร่วม 4 เดือนที่ผ่านมานี้รัฐบาลและ คมช. ต้องต่อสู้ ต้องสกัดยับยั้งการเคลื่อนกำลังมวลชนจากภาคเหนือ ภาคอีสาน เข้ามายึดอำนาจคืน

ชักคะเย่อกันอยู่เกือบ 4 เดือน ในที่สุดแผนนี้ก็ถูกทำลายลงแทบจะสิ้นเชิงในวันที่ 9 ธันวาคม 2549 ซึ่งถือว่าเป็นวันดีเดย์ของแผนการระดมมวลชนล้มรัฐบาลและ คมช.

ด้วยการหนุนช่วยจากประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั่วประเทศกว่า 10 ล้านคน รัฐบาลและ คมช. สามารถทำลายแผนเคลื่อนมวลชนดังกล่าวได้อย่างมีชัย

แต่กระบวนการล้มล้างอำนาจรัฐใหม่ยังไม่สิ้นสุด ยังคงดำเนินต่อมาภายใต้แผนเผาแหลก เผาเละ ซึ่งได้เผาโรงเรียนในภาคเหนือและภาคอีสานไปเป็นจำนวนมาก

สถานการณ์ยังคงอยู่ในขั้นยันและยังไม่สิ้นสุดเพราะยังมีเหตุการณ์เผาโรงเรียนอยู่ในเขตอีสานใต้ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้

แผนอุบาทว์นี้ทำให้ลูกเด็กเล็ก ๆ ซึ่งเป็นลูกหลานชาวบ้านอย่างเราท่านต้องรับชะตากรรม จึงถูกต่อต้านจากประชาชนกว้างขวางขึ้นทุกวัน แต่น่าแปลกใจที่ไม่สามารถจับคนร้ายได้เลยแม้แต่คนเดียว

เรายืนยันฟันธงว่าคนร้ายเคลื่อนไหวและดำเนินแผนดังกล่าวได้เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนที่เป็นลิ่วล้อทรราชให้การคุ้มครอง เปิดไฟเขียวให้ หนุนช่วยอยู่อย่างลับ ๆ และละเว้นไม่สืบสวนจับกุมคนผิดเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลและ คมช.

แต่เมื่อรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ได้เปิดโปงแผนอุบาทว์นี้และเป้าหมายแผนอุบาทว์นี้ที่มุ่งดิสเครดิตรัฐบาลและ คมช. ออกไปแล้ว อำนาจเก่ายิ่งเดินแผนนี้ต่อไปก็ยิ่งมีแต่ความบรรลัยอยู่เบื้องหน้าและจะต้องถูกประชาชนจับประชาทัณฑ์ในไม่ช้านี้

เท่านั้นยังไม่หมด แผนปฏิวัติซ้อนได้กำหนดวันดีเดย์ขึ้นในห้วงเวลาต้นปีใหม่ โดยเริ่มแผนการจากการวางระเบิดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก่อสถานการณ์จลาจลขึ้น แล้วจะมีการใช้กำลังจำนวนน้อยบุกเข้าจับตัวหัวหน้ารัฐบาลและแกนนำ คมช. จากนั้นก็ใช้โทรทัศน์บางช่องเป็นศูนย์กลางในการประกาศการยึดอำนาจ

จากนั้นจะมีพิธีการต้อนรับอัครมหาบุรุษที่สัญจรอยู่ในประเทศจีนเข้าประเทศไทยทางภาคเหนือ ซึ่งมีคนที่รู้แผนการนี้เตรียมการไปต้อนรับขับสู้อย่างเนืองแน่น มีการจองโรงแรมและบ้านพักในบางหมู่บ้านในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่อย่างลับ ๆ

แต่ทว่าแผนการปฏิวัติซ้อนนี้มีจุดอ่อนอยู่สองข้อ จึงล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า

ข้อแรก

คนวางแผนลืมคิดไปว่าพลังประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยกว่าสิบ ล้านคนมีอยู่ในทุกภาคส่วน ทุกหน่วยงานของประเทศนี้ ไม่ว่าเหล่าทัพไหน ไม่ว่าสำนักงานไหนของตำรวจ และไม่ว่าแห่งหนตำบลไหน แม้ในครอบครัวของพวกอำนาจเก่าก็ตาม

ความสำนึกจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความตื่นตัวทางการเมืองเปี่ยมล้น ดังนั้นที่ไหนที่มีลมก็มีหูของประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่ได้ยินทุกเสียง ที่ไหนที่มีความสว่างมองเห็นได้ ที่นั่นก็มีตาของประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่มองเห็นได้

หูตาประชาชนหลายสิบล้านคู่ที่มีอยู่ทุกหนแห่งนี้จึงทำให้ทุกเหตุการณ์ไม่อาจหลุดรอดจากความรับรู้ไปได้ ทำให้รัฐบาลและ คมช. ได้ล่วงรู้แผนอุบาทว์นี้

ฝ่ายทหารจึงได้เตรียมการอย่างพรักพร้อมและทันทีที่เกิดเหตุระเบิด พวกวางแผนปฏิวัติซ้อนก็ต้องผิดหวังเพราะไม่อาจขยับแผนต่อไปได้อีก เนื่องจากกำลังทหารได้เข้าตรึงกำลังในจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่างๆ ทั่วทั้งพื้นที่

และแกนนำหัวโจกต้องพากันหนีกระเจิดกระเจิง จนวันนี้ก็ยังรวมตัวกันไม่ติด

กระบวนการปล่อยข่าวลือกระทำโดยใคร จากที่ไหน การประกอบวัตถุระเบิดทำที่ไหน โดยใคร ใครเป็นจุดประสานงานและจุดตัดตอนก็รู้ ๆ กัน

ข้อสอง

คนวางแผนลืมคิดไปว่ากองทัพไทยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพนั้นเป็นเอกภาพ ไม่มีทางที่จะอ่อนข้อหรือยอมขายตัวให้กับอำนาจเงินใด ๆ โดยเฉพาะผู้คุมกำลังระดับกองพันนั้นล้วนมีความจงรักภักดีอย่างเหนียวแน่น และมีความเป็นเอกภาพกับผู้บังคับบัญชาปัจจุบันอย่างเหนียวแน่น

ความจริงคนคิดแผนก็ระแวงเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงทำทีตีสองหน้าหนีอออกไปจากเหตุการณ์ บ้างก็ไปอยู่ต่างประเทศ บ้างก็ไปอยู่ต่างจังหวัด จะได้ปัดความเกี่ยวข้องหากว่าล้มเหลว

กระบวนการของคนรับจ้างมันก็เป็นเช่นนี้แหละ! มันไม่ใช่การต่อสู้ด้วยอุดมการณ์ มันเป็นการรับแผนรับจ้างกันมา จึงพังอย่างไม่เป็นท่า

เหตุการณ์ระเบิดส่งท้ายปีเก่าจึงไม่ใช่เหตุการณ์ธรรมดา หากเป็นส่วนหนึ่งของการก่อกบฎในราชอาณาจักร ซึ่งความจริงรัฐบาลและ คมช. จะต้องเร่งรีบจัดการอย่างเด็ดขาดกับเหล่ากบฏนั้น

ใครเป็นญาติพี่น้องของคนพวกนี้ก็ต้องเตือนให้รีบถอนตัวเสียโดยไว

เราบอกได้ว่าการระเบิดเมืองมีโทษสถานหนักถึงขั้นประหารชีวิต รีบออกตัวเสียให้ทันจึงจะมีความปลอดภัยและยังนับได้ว่าเป็นการช่วยชาติบ้านเมือง

งานนี้ต้องสดุดีพี่น้องประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่เป็นหูเป็นตาให้กับรัฐบาลและ คมช. ทำให้ข่าวและเบาะแสการเตรียมกำลังคนและความเคลื่อนไหวก่อกบฏปรากฏชัดเจน และทำให้การรับมือตรงเป้าเข้าจุดอย่างยิ่ง

เราคนไทยทั้งประเทศจะต้องผนึกกำลังสามัคคีกำจัดอริราชศัตรู ถอนรากถอนโคนลิ่วล้อทรราชต่อไปอย่างเด็ดเดี่ยว มิฉะนั้นแผ่นดินนี้จะไม่มีวันเป็นสุข

มิฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะไม่มีวันปลอดภัย

ประชาชนไทยที่รักชาติรักประชาธิปไตยกว่าสิบล้านคนตื่นขึ้นแล้ว เผด็จการทรราชจะไม่มีทางขยับขับเคลื่อนอะไรได้ อีกไม่นานคงจะได้เห็นอะไรดี ๆ กว่านี้แน่.




 

Create Date : 09 มกราคม 2550    
Last Update : 9 มกราคม 2550 6:28:53 น.
Counter : 317 Pageviews.  

วิถีชีวิตคนกรุงที่เปลี่ยนแปลง…คืออันตรายทางการเมือง

การบึ้มกรุงเทพฯ ในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎรทั้งปวง กระทบต่อวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ หลายล้านคน

ในขณะที่เกิดผลเสียหายต่อความเชื่อมั่นในทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน ในเรื่องเศรษฐกิจ ในเรื่องการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว

ภาพลักษณ์ของประเทศชาติเสียหายป่นปี้ เป็นความเสียหายครั้งมโหฬารที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติไทย

เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากคนอุบาทว์ที่ไม่เห็นแก่ชาติ ไม่เห็นแก่ศาสนา ไม่เห็นแก่พระมหากษัตริย์ และไม่เห็นแก่ประชาชนตาดำ ๆ

ขอผองเราคนไทยทั้งประเทศจงช่วยกันประณามหยามเหยียดคนอุบาทว์ชาติชั่วนี้อย่าให้ได้ผุดได้เกิดมาร่วมชาติร่วมแผ่นดินกันอีกต่อไป ขออำนาจแห่งพระสยามเทวาธิราชได้ล้างผลาญชีวิตมันและครอบครัวของมันให้ดับดิ้นติดตามไปรับใช้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ต้องตกตายเพราะระเบิดในครั้งนี้

แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง ย่อมต้องไม่ดูดาย และปล่อยให้คนก่อกรรมทำเข็ญกับชาติบ้านเมืองลอยหน้าลอยนวลต่อไปอีก

เราเรียกร้องพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้ปลดพลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ และพลตำรวจเอก อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ออกจากตำแหน่งหน้าที่โดยเร็วที่สุด

เราเห็นว่าทั้งสองคนนี้คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการดูแลความปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของประชาชนในการปกป้องสันติราษฎร์ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข และต้องเป็นแขนขามือไม้ที่เอาการเอางานในความรับผิดชอบของตน

แต่ผลปรากฏชัดเจนแล้วว่า

ประการแรก ระยะที่ผ่านมามีเหตุการณ์ส่งเสริมคนชั่วให้ได้ดีในตำแหน่งหน้าที่ราชการ เป็นการทรยศต่อคำตรัสสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพราะเป็นการส่งเสริมให้คนชั่วมีอำนาจมากขึ้น ก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองและราษฎรมากขึ้น

ประการที่สอง เกิดเหตุเผาโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน รวมทั้งภาคกกลางบางส่วนถึง 45 แห่ง แต่ไม่สามารถสืบสวนสอบสวนเอาคนผิดมาลงโทษได้ตามกฎหมาย เหตุการณ์ล่วงเลยมานับเดือนแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะจับคนผิดได้ หรือจะป้องกันเหตุร้ายได้ สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพและไม่พึงไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญนี้ต่อไปอีก

ประการที่สาม เกิดเหตุระเบิดกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่ที่สุด และเวลาล่วงเลยมาถึง 5 วันแล้วก็ยังไม่ปรากฏวี่แววว่าจะจับคนผิดได้ ผลักภาระอันหนักอึ้งให้กับฝ่ายทหารซึ่งมิได้มีหน้าที่สืบสวนสอบสวนโดยตรง

เกิดเหตุล่วงแล้วถึง 2 วัน พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ จึงโผล่หน้าออกมาและไม่พูดไม่จาว่าจะทำอะไรเพื่อเอาตัวคนผิดมาลงโทษ ในคืนเกิดเหตุหายหัวไปไหนและไปทำอะไรอยู่ นี่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองและความปลอดภัยของชาติและประชาชน

ตรงกันข้ามกับพลตำรวจเอกอชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผลุนผลันออกมาให้สัมภาษณ์ จูงความคิดผู้คนให้ไขว้เขวว่าเป็นเรื่องของไฟใต้ลามกรุง และยังอ้างอิงรหัสลับบ้า ๆ บอ ๆ ทำให้ผู้คนตกใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง เป็นพฤติกรรมการให้สัมภาษณ์ทำนองเดียวกันกับการแถลงข่าวเรื่องคาร์บ๊อง
ที่หนักหนาสาหัสก็คือการให้สัมภาษณ์ลักษณะนี้มีผลเป็นการชักศึกเข้าเมือง เพราะนอกจากปัญหาการจับคนร้ายมาลงโทษแล้ว ยังสร้างความไม่พอใจให้กับชาวไทยมุสลิมที่ถูกโยนความผิดใส่ให้ โดยที่ยังไม่มีการสอบสวนอะไรเลย
รหัสลับที่อ้างกลายเป็นเรื่องโจ๊กที่เหลวไหลเละเทะที่สุด ทั้ง ๆ ที่การอ้างเช่นนั้นเป็นการกล่าวหาชาวไทยมุสลิม เป็นการกุข่าวว่าผู้ก่อการร้ายบุกกรุง มีผลเป็นการชักศึกเข้าเมือง และทำลายขวัญกำลังใจของประชาชนอย่างร้ายแรง

ปัญหายังไม่ได้แก้ แต่สร้างปัญหาซ้ำเติมเข้ามาอีก อย่างนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีสิ่งใดแอบแฝงหรือทำไปเพื่อใครกันแน่ เพราะสิ่งที่ให้สัมภาษณ์นั้นช่างสอดคล้องต้องกันกับจดหมายสามหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ราวกับว่าซักซ้อมกันมาก่อน

พอวันรุ่งขึ้นก็โบ้ยว่าไม่ทราบว่าใครก่อเหตุและผลักภาระว่าให้ไปถามพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เห็นหรือยังพี่น้องผองไทยว่ามันน่าแปลกใจสักเพียงไหน

ประการที่สี่ ตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนเรื่องบึ้มกรุงโดยมีองค์ประกอบที่น่ากังขา นำคนที่เป็นมือไม้แขนขาในการสังหารผลาญชีวิตพี่น้องมุสลิมและในการอุ้มฆ่ามากหลาย รวมทั้งคนที่เคยทำหน้าที่อารักขาติดตาม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ใกล้ชิดถึงขนาดนั่งชิดติดหน้ารถเป็นประจำมาเป็นคณะทำงานเรื่องนี้

สร้างความไม่สบายใจและความกังขาในหัวใจคนโดยทั่วไป และขัดกับถ้อยแถลงของรัฐบาลและ คมช. ที่ปรากฏการข่าวชัดเจนว่าเป็นน้ำมือของผู้สูญเสียผลประโยชน์ และถ้าหากผู้สูญเสียผลประโยชน์นั้นเป็นวัวเคยขาม้าเคยขี่มาแต่ก่อน ผลการสอบสวนจะเป็นประการใด

จะตรงไปตรงมาหรือจะเบี่ยงเบนบิดเบี้ยวไปประการใดใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้

ตำรวจมีถึง 300,000 คน คนดีคนที่ประชาชนไม่เคลือบแคลงสงสัยก็มีอยู่เป็นแสน เหตุไฉนจึงตั้งเอาคนที่น่าสงสัยคลุมเครือมาทำเรื่องนี้

ทั้งสี่ประการนี้ทำให้ประชาชนอึดอัดขัดใจเต็มที และอึดอัดขัดใจมานานแสนนานแล้ว แล้วทำไมเหตุการณ์เช่นนี้จึงยังคงดำรงอยู่ต่อมา

จะปล่อยให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟต่อไป จะปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายล้างผลาญเสียก่อนแล้วจึงจะรู้สึกรู้สาอย่างนั้นหรือ

วันนี้วิถีชีวิตคนกรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว จะไปกินอาหาร จะไปธุระ จะไปซื้อข้าวของ ก็ต้องระมัดระวัง ลูกหลานไปโรงเรียนก็ห่วงหาอาทร ลูกหลานไปทำงาน พ่อแม่ไปทำงานก็มีแต่ความวิตกทุกข์ร้อน ธุรกิจทั้งหลายฉิบหายป่นปี้

อย่างนี้แล้วจะปล่อยให้สองคนนี้ดูแลรับผิดชอบความปลอดภัยในชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินและสันติราษฎร์ต่อไปได้อีกหรือ?

พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ท่านรักประเทศชาติราชบัลลังก์และประชาชนจริงหรือไม่? พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ท่านรักประเทศชาติราชบัลลังก์และประชาชนมากหรือน้อยกว่าเพื่อนร่วมรุ่นกันแน่?

เราจะเห็นได้จากการตัดสินใจเรื่องคนสองคนนี้แหละ และประชาชนทั่วประเทศกำลังอดรนทนรออยู่อย่างใจจดใจจ่อแล้ว.




 

Create Date : 06 มกราคม 2550    
Last Update : 6 มกราคม 2550 5:14:11 น.
Counter : 378 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

ไข่เหลิม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ไข่เหลิม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.