♥ สมุนไพรแห่งความรัก (อีกครั้ง)
ยังไม่ถึงวันแห่งความรักแต่อย่างใด...แต่มีความรู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับความรักในเวลานี้เลยมีความคิดที่จะนำมาพิมพ์อีครั้ง...ก้อขอภาวนาให้ต้นความรักเบิกบานไปในทุกที่..ทุกใจ..ในโลกสีฟ้าใบกลมๆนี้....ใครที่ยังไร้ความรักหรือยังคิดว่ารักไม่เพียงพอ..ขอเสนอตำรับยาทางใจสูตรโบราณบรรเทาอาการทุกข์กังวล..และยังเป็นยาบำรุงต้นรักด้วยครับ...(ต้นตำรับยาเป็นนักเขียนท่านนึง..ปรุงไว้นานแล้ว..ผมเอามาปรับสูตรใหม่ให้รสชาติอ่อนลง..เด็กทานได้ผู้ใหญ่ทานดีครับ... ตัวยาประกอบไปด้วยสมุนไพร 9 ส่วน 9 ชนิด...หากเลือกทานเฉพาะส่วนที่ชอบอาจผิดสำแดงกลายเป็นคนใจร้ายไปก็เป็นได้...ดังนั้นผู้ปรุงขอสงวนสิทธิ์ไม่รับผิดชอบครับ.... สมุนไพรตัวที่หนึ่ง การถนอมน้ำใจผู้คน การถนอมน้ำใจผู้คน..โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เรารัก.."ให้ถือเป็นเป้าหมายหลัก" ที่จะต้องพึงปฎิบัติ สมุนไพรตัวที่สอง การรู้จักให้อภัย การให้อภัยผู้คนไม่ใช่เรื่องยากเย็นหากหมั่นฝึกฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เรารัก.."ให้ถือเป็นหน้าที่หลัก " ที่จะต้องพึงปฎิบัติ และมันจะเป็นทางที่จะทำให้เราบรรลุถึงวิธีการถนอมน้ำใจนั้น สมุนไพรตัวที่สาม การพิจารณาเรื่องราวและการให้อภัยโดยไร้อคติ เมื่อเรารู้จักการให้อภัยแล้ว, ผ่านเจ้าตัวการให้อภัยนั้น...เราจะเริ่มเรียนรู้ถึงการที่จะไม่ตัดสินหรือพิจารณาคนที่เรารักหรือคนอื่นๆ และรวมทั้งตัวเราด้วยความมีอคติหรือมีแต่ควรมีให้น้อยที่สุด สมุนไพรตัวที่สี่ การหยุดความกังวล..ละทิ้งอดีต..และอยู่กับปัจจุบัน เราสามารถที่จะหยุดความกังวล เมื่อเราหยุดที่จะตัดสินและคาดการณ์ใดๆในอนาคตโดยใช้พื้นฐานมาจากอดีต...อย่าลืมว่าเราล้วนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน..ดังนั้นพยายามใช้ชีวิตให้อยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุด(ถ้าไม่อยากรับประทานตัวนี้กรุณารับประทานสมุนไพรตัวที่ 5 ให้มากขึ้น) สมุนไพรตัวที่ห้า การหยั่งรู้เสียงจากภายใน เราสามารถเรียนรู้ที่จะยอมรับทิศทางของเราจากจากภายใน...จากสิ่งที่ผุดขึ้นจากภายในใจ ของเรา ซึ่งมันจะเป็นเครื่องมือที่จะนำทางเราในการรู้และเรียนรู้ได้ดีที่สุด สมุนไพรตัวที่หก การค้นพบคำตอบจากใจตนเอง และหลังจากสมุนไพรตัวที่ห้าออกฤทธิ์แล้วเสียงที่เกิด(ผุด)ขึ้นภายในใจนั้นจะบอกชี้ชัดถึงทิศทางและวิธีการกับเรา, และพร้อมกันนี้มันได้จัดหาความหมายและคำตอบของวิธีการที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในเรื่องที่คาดหวัง(มรรคผล) รวมทั้งอะไรก็ตามที่จำเป็น สมุนไพรตัวที่เจ็ด การมุ่งมั่นปฎิบัติตามจินตภาพที่บังเกิดจากใจ ในการปฎิบัติตามวิธีการและข้อแนะนำที่ผุดขึ้นมาจากใจนั้น บ่อยครั้งที่เราจำเป็นที่จะต้องสร้างข้อผูกมัดหรืออุทิศตนเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายนั้นๆ หรือแม้กระทั่งเรายังไม่อาจสามารถบรรลุผลสำเร็จในทันทีทันใดก็ตาม(เป็นเด็กดีต้องฝึกรอ). นี่คือการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมแห่งเหตุผล(ที่เรามักยกขึ้นมาอ้าง)ของเราที่เคยมีมา สมุนไพรตัวที่แปด การสร้างทางเลือกและเข้าใจจิตใจตนเอง เราสามารถมีและสร้างทางเลือกสำหรับการตัดสินใจ, และอะไรที่เราควรสำเหนียก(รู้)ว่าอะไรควรไม่ควร..และความรู้สึก และอารมณ์แบบไหนที่เรามีประสบการณ์ สมุนไพรตัวที่เก้า การหมั่นฝึกฝน สมุนไพรตัวสุดท้ายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดนั่นคือหากเราหมั่นรับประทาน(ฝึกฝน) 1-8 บ่อยๆ เราจะสามารถเรียนรู้ถึงการใช้จินตนาการในด้านดี(กุศลจิต)ได้อย่างคล่องแคล่ว, และมันสามารถที่จะนำไปใช้พัฒนาการปฎิบัติในสิ่งที่ดีงามต่อผู้คนปรับใช้อย่างเป็นธรรมชาติได้ในภาวะปัจจุบันโดยรวมทั้งพัฒนาและปรับปรุงจินตภาพแห่งความรักที่ผุดขึ้นมาจากจิตใจของเราเองให้ดีขึ้นได้ด้วยครับ... ขอขอบคุณ Jerry Jampolsky อาจารย์ผู้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาการปรุงสมุนไพร ขอขอบคุณ The Blue Planet ที่ให้ที่อยู่อาศัยแด่มวลมนุษย์ ขอขอบคุณ นักบุญ Valentine ผู้เป็นต้นกำเนิดนิยามในวันแห่งความรัก และขอบคุณพิเศษ สำหรับ ความรัก ที่พระเจ้าจากทุกศาสนาทรงเผื่อแผ่ให้หมู่มวลมนุษย์ชาติ ซึ่งเจ้าต้นความรักนั้นสามารถปลูกเพาะได้เจริญงอกงามดีในโลกสีฟ้าใบนี้..และเจริญงอกงามดีได้ในใจแห่งผู้คนตลอดมา และท้ายที่สุดขอขอบคุณ พ่อ ผู้ล่วงลับและ แม่ ที่ยังอยู่ที่ให้โอกาสเด็กชายคนนึงได้เกิดเติบโตมาพร้อมกับความรัก..และขอบคุณ สมอง และ สองมือ ที่สามารถปรุงยาได้โดยไม่ติดขัด.... ปล.ถ้าอ่านแล้วไม่พึงใจกรุณารับประทานสมุนไพรตัวที่ 2 ให้เยอะๆครับ พิมพ์ไปทีนึงคราวที่แล้วในที่แห่งนึง...มีเพื่อนท่านนึงแนะนำว่าให้ไปปรุงกินเองเยอะๆเสียก่อน.....ผมว่าผมอาจกินยาสูตรนี้มากไปจนรักเค้าไปหมดเลย...อิ..อิที่มา -//www.thais.it/botanica/erbeamore/default_uk.htm
เวลา...ภาษาลวง
" เวลาคืออะไร...? "/---แนวคิดทางศาสนาพุทธ : เวลาย่อมกลืนกินทุกสรรพสิ่งและตัวมันเอง.../---ท่านพุทธทาสภิกขุ : เวลาคือระยะทางแห่งความอยากและสมอยาก.../---ไอน์สไตน์ : พูดถึงเรื่องเวลาเมื่อคราวอธิบายความหมายของทฤษฎีสัมพันธภาพให้เพื่อนฟังว่า " เมื่อเรานั่งคุยกับคนรักเรา ๒ ชั่วโมง เราจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเพี่ยง ๒ นาที...แต่ถ้าเรานั่งอยู่หน้าเตาไฟ ๒ นาที เราจะรู้สึกว่า เรานั่งอยู่ ๒ ชั่วโมง " .../---กฤษณะมูรติ : เช่นเดียวกันกับกฤษณะมูรติ ที่ได้ให้ความหมายของเวลาไว้เป็น ๒ นัยคือ เวลาตามปฎิทิน ที่คำนวณจาการโคจรหรือการหมุนของโลก(โครโนโลจิคัลไทม์) และ เวลาทางจิต ซึ่งก็คือเวลาตามความรู้สึกของเราที่สั้นยาวต่างกัน..และไม่ได้เดินคงที่ดุจเวลาตามปฎิทิน.../---คำสนทนาของพราหมณ์คนหนึ่งกับวอลแตร์เกี่ยวกับเรื่องเวลา : พราหมณ์กล่าวว่า "ฉันมีชีวิตอยู่ในเวลา แต่ไม่รู้ว่า เวลาคืออะไร ".../---คาลิล ยิบราน : เวลาก็เป็นเช่นความรัก...แบ่งไม่ได้..และไม่เคลื่อนที่ไปเป็นก้าว...*/---พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน : เวลาคือชั่วขณะความยาวนานที่มีอยู่หรือเป็นอยู่ โดยนิยมกำหนดขึ้นเป็นครู่ คราว วัน เดือน ปี เป็นต้น.../---ช่างทํานาฬิกา : เวลาคือเสียงนาฬิกาเดิน.../---นักฟิสิกส์ : เวลาคือองค์ประกอบหนึ่งของจักรวาล.../---นักชีววิทยา : เวลาคือสิ่งที่กําหนดพฤติกรรมของสัตวและพืชให้คล้องจองกับธรรมชาติภายนอก.../---นักจิตวิทยา : บอกว่าคนทุกคนรู้ว่าเวลาคืออะไร.../---เด็กต่ำกว่าสองขวบ : เขาจะไมรู้จักเวลาเลย.../---เวลาอินเตอร์เน็ต : เวลาอินเตอร์เน็ตถูกสร้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงโซนต่างๆ โดยการกำหนดว่า ใน 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง ให้มีจำนวน 1000 บีตส์ (Beats) ดังนั้น 1 บีตส์จะเท่ากับ 1.44 นาที = 1 + 44/100 = 1 นาที 26.4 วินาที ที่กรุงเทพเราเริ่ม 0 บีตส์ ที่ 6.00 A.M. หรือ 6 โมงเช้า .../---เวลาเล่นอินเตอร์เนต..เป็นเวลาที่ช่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียจริง ๆ...พับผ่าสิ... /---นาฬิกา : ไม่ใช่เวลา..มันเป็นเครื่องมือบอกเวลาเท่านั้น..ที่มาของข้อมูล : จากหนังสือ "อยู่อย่างเซน" โดย ละเอียด ศิลาน้อย, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน๒๕๔๒(ฉบับออนไลน์) และจากเรื่อง"วิทยาศาสตร์ของเวลา"หาอ่านเพื่มเติมได้ที //www.ipst.ac.th/ThaiVersion/publications/in_sci/science_time.pdfและที่ //www.physics.sci.rit.ac.th/charud/oldnews/17/index17.htm*ใน "The Prophet"/-----/ เวลาเปรียบแท้แน่...........ความลวงโลก บ่ สนหมุนควง.........อยู่เฝ้าคนเสพเปลี่ยนยามตวง*....สลับที่หมุ่นถี่ตามใจเร้า.............เร่งเจ้าเวลา//เวลาใจช่างไร้................เกินตามโหมเร่งเวลาถาม.............ถี่เข้าใจถึงก่อนตามความ.........คิดเร่ง ทุกข์ที่คนคอยเร้า............เร่าร้อนเกินกาล///นาฬิการ้องสั่ง.................บอกคนติดจั่นความกังวล.............รุ่มร้อนเวลาอยู่ตามกล ..............ไกที่ เจ้าทำคนหาก บ่ เคยย้อน...........ผ่อนคร้ามใจตน...****" ยาม " ในที่นี้หมายถึง ชื่อส่วนแห่งวัน ยามหนึ่งมี ๓ ชั่วโมง รวมวันหนึ่งมี ๘ ยาม.(ความตามพจนานุกรมฯ)"ตวง" นับ, กะ, ประมาณ
ฤดูกาล..ในสายตาเธอ (ความเรียง)
.... ค่ำคืนเหงา ๆ คืนหนึ่ง ลมอุ่นจาง ๆ ที่พัดสอดลอดหน้าต่างใจได้พยายามไชชอน..และง้อแง้มเปิดประตูแห่งความทรงจำแลความเหงาแห่งผู้คน....... อารมณ์อุ่นที่แสนเพรียวบางในยามนี้ก็กระไรอยู่..กลับก่อมวลน้อยๆแง้มรอรับอย่างกระหาย....สายลมที่อุ่นอวลเป็นมิตรนั้นพอได้ใจภายนอกแล้วจึงพยายามแง้มเปิดแผ่นผิวแห่งความทรงจำด้วยกำลังแรงที่ควบรวมกับลมภายในให้ย้อนหลังไปทีละหน้า..ทีละหน้า..และค่อยๆอ่อนแรงลงทอดสมอหยุดลงอยู่ ณ ที่หน้าความทรงจำหนึ่ง....เพลงเก่า ๆ เปื้อนฝุ่นเพลงหนึ่ง...ได้ปรากฎชัดเจนขึ้น......ในท่อนรำพึงท่อนหนึ่งของเพลงนั้น...ได้เปรียบเทียบฤดูกาลกับสาวคนรัก...ทำให้เกิดอาการอยากร้อยต่อคำ..รำพึง..เรื่อยเปื่อยผสมผเสจากจุดนั้น..ตามนิสัยบาง ๆ ที่มีอยู่ครับ....***************/.... ฤดูหนาวที่ยังไม่ทันจากจางหาย..กุหลาบสวยที่แห้งจากไปภายใต้ลมแห้ง..และเย็นนั้น.../.... ความหนาวระเรื่อที่มิเคยรู้สึกรู้สา....หากแต่ร้อนเสียเต็มประดาระอุอวลจนรู้สึกได้อยู่ในสายตาของเธอ..../.... ฤดูกาลที่ทอดเปลี่ยน...ช่างเล่นตลกร้ายนัก...ฤดูร้อนที่แผดเผาใจให้มืดดำ...มิเฉกเช่นความร้อนร้าวพราวจากตะวัน...หากมันเป็นฤดูร้อนที่ทอดออกมาจากสายตาของเธอ !... มันร้อนจนแทบเจียนตาย ...มันร้อนเสียจนแทบเป็นบ้า !.../.... เสียงราตรีสวัสดิ์ของเธอ ที่ร้องบอกว่าค่ำคืนได้มาถึง...มิอาจได้ยินจากกองกุหลาบที่ตายแล้ว...เหี่ยวแห้งแล้ว... มันอาจเป็นคำบอกลาก็เป็นได้....จะทำอย่างไรดี...มันเป็นค่ำคืนที่ช่างร้อนรนและยาวนานเสียนี่กระไร !.../.... หากความรักที่เธอมีให้..กำลังจะจากไป..ขอได้ไหม ?...ขอให้รอเวลาฤดูฝนที่กำลังจะมา...ขอเวลาอีกหน่อยเถิดนะ..ที่รัก../.... ได้ไหมที่รัก ?... ได้ไหม ?... ขอให้แม่น้ำแห่งน้ำตาช้ำได้ไหลไปตามครรลองของมันเถิด...มันจะแห้งเหือดไปเองจากฤดูร้อนในดวงตาของเธอเอง.../.... อย่าเร่งเร้ามันอีกเลย !...ได้โปรดเถิดที่รัก !...สายแม่น้ำแห่งน้ำตามันสั้นไปใช่ไหม ?... หน้าฝนมันเยื้องย่างมาช้าเกินใจเธอรอใช่ไหม ?... จะให้ร่ำร้องแทนสายฝน...จนสายตามืดบอดไม่ให้รับรู้เห็นใครอีกเลยใช่ไหม ?...ใช่ไหมที่รัก ?...*จินตนรำพัน เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเพลงของศิลปินต่างประเทศท่านนึง
บริบทแห่งชีวิต (ความเรียง)
.......................................ชีวิต....มีจะค่ามีความหมายใด....หากคุณค่าแห่งชีวิตนั้นมีไว้สำหรับเพื่อตนเอง วันวานของแต่ละวันที่ถูกวันแห่งวันนี้กลืนกินไป.....กาลเวลาที่เคลื่อนที่ได้ทั้งช้าเร็วตามความรู้สึกแห่งผู้คน การเฝ้ารอพ้อเพ้อถึงแต่วันพรุ่งจะมีค่ามีความหมายหรือหากเรายังคงต้องเผชิญหน้าอยู่แต่กับวันนี้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด คนเราเกิดมาเพื่อที่จะต้องตายไป แต่มิใช่ตายจากด้วยลิขิตแห่งฟ้าหรือโชคชะตากำหนด หากแต่ต้องตายเพราะเวลาที่ขับเคลื่อนชีวิตของตัวได้หมดลง กาลเวลาและมิติแห่งจักรวาลที่ห้อมล้อมเหล่าชีวิตและสรรพสิ่งบนโลกแห่งนี้ต่างหากที่ไม่เคลื่อนไหวเลยในความรู้สึกยามเมื่อธุลีชีวิตเล็กๆนั้นได้ดับสูญไป และยังคงเป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป...การเดินทางรอนแรมที่ไร้จุดหมาย..เคลื่อนไหวไปภาคหน้าอย่างคดเคี้ยวและโดดเดี่ยว ติดสอยห้อยตามเยี่ยงทาสแห่งความพึงใจในจุดหมายสดใหม่ไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด การเดินทางไปตามอนาคตที่นึกฝันนั้น มิใช่การค้นหา และยังไม่แตกต่างจากการเดินทางในความฝันโดยลำพังบนดินแดนที่ไร้พันธนาการแห่งกฎเกณฑ์ใดๆ วนเวียนเสพสมอยู่กับมันจนกระหวัดรัดตัวตนแห่งความจริงให้ดับดิ้นไป เหล่านี้ล้วนมิใช่การเดินทางขับเคลื่อนชีวิตที่มีความหมายใดๆ การมีชีวิตที่ต้องผูกพันอาศัยอยู่กับวันนี้ หากยังย้ำจำอยู่แต่วันวานที่คาคละไปด้วยทั้งความสมหวังและขมขื่น เปรียบเสมือนน้ำทิพย์ที่แสนหวานยามกระหาย และเสมือนน้ำกรดกร่อนกินใจให้ตายทั้งที่มีชีวิตอยู่ ชีวิตเฉกนี้ย่อมไม่อาจหลุดพ้นวังวนแห่งความคิดและจิตใจที่เฝ้ามุ่งแต่ตน แสวงหาเพียงแต่สิ่งที่ตนมุ่งหวังหมายเสพคล้ายดั่งเดินติดจั่นหวั่นวนอยู่บนปากเหวแห่งจักรวาลอันไพศาลที่มิอาจพานพบจบขอบสู่ทางออกได้ในชีวิตนี้ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สามารถเป็นของเรา..ติดตามเราไปได้ทุกหนแห่งอย่างเที่ยงแท้...เราต่างหากที่เป็นธุลีชีวิตแห่งโลกนี้และโลกเป็นเสี้ยวธุลีแห่งจักรวาลนี้...ดังนั้นแล้ว...การตกตมอยู่แต่ในกรอบเขตแห่งความเพ้อฝันหรือกรงขังในโลกแห่งตนนั้นเป็นการขับเคลื่อนเวลาแห่งชีวิตที่สูญเปล่าและเผาผลาญ......ขณะที่เราดำรงอยู่ในโลกใบนี้ในเวลานี้...เรายังได้ยืนอยู่บนจักรวาลที่โลกอาศัยนี้....และสรรพชีวิตรวมทั้งสรรพสิ่งบนโลกนี้หรือโลกอื่นๆจะมีความหมายใด....อยู่ได้อย่างไร....หากจักรวาลไม่เคลื่อนเดิน..ไม่ทำงาน...ไม่นำพา...ไม่เป็นไปตามครรลองแห่งจักรวาลเอง.....มวลมนุษย์มีชีวิตที่เป็นอิสระ....แสวงหาคำตอบที่ตนไขว่คว้าและต้องการอย่างไม่หยุดหย่อน...หากแต่การเป็นใครในโลกนี้จะไม่มีความหมายความสำคัญเลย...เมื่อมนุษย์มีเป้าหมายอยู่เพียงแค่ความต้องการส่วนตน..ขยายขอบเขตเป็นกลุ่มที่มีหลายเข็มมุ่งไร้เอกภาพขาดความเมตตาและอยู่ร่วมอย่างกันอย่างพึ่งพายั่งยืน ...ท้ายที่สุดก็ควบกลืนคุมการขับเคลื่อนเดินทางของสรรพชีวิตอื่นๆ...ชีวิตเหล่านั้นจะไม่มีวันเข้าใจในธรรมชาติแห่งชีวิตอื่นๆหรือแม้กระทั่งชีวิตแห่งตนเอง....ลองแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้าง...หากอยากมองให้ไกลกว่านั้นอีก..เราจะรู้ทันทีว่าเรายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้พยายามและทุ่มเทเวลาอีกมากเพื่อไปให้ถึงจักรวาลที่มองไม่เห็นและเพื่อหลุดพ้นจากข้อจำกัดแห่งมนุษย์เอง...นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดีมีความหมาย....แต่หากเราลืมไปว่าเรายังสามารถมองเห็นตัวเราและสิ่งรอบตัวเราได้ชัดเจนโดยทันทีและไกลมากกว่าในความหลากหลายแห่งสรรพสิ่งและข้อเท็จจริงแห่งปัจจุบัน.....นั่นเอง...หากเราเริ่มพิจารณาสิ่งรอบข้างตั้งแต่วันนี้...เริ่มต้นเข้าใจสรรพชีวิตอื่นๆที่รายล้อม...เคารพในความหมายแห่งการเคลือนไหวเหล่านั้นเท่าที่เราเคลื่อนไหวชีวิตแห่งเรา...ถือเป็นการเริ่มต้นเดินทางกลับเข้าเส้นทางแห่งความเป็นจริงของชีวิตที่ดำรงอยู่ภายใต้จักรวาล....การเดินทางเช่นนี้จะไม่โดดเดี่ยวไร้เพื่อนร่วมทาง...นั่นคือการเดินทางใช้ชีวิตในห้วงเวลาที่เป็นอยุ่อย่างมีคุณค่า...อย่างแท้จริง............................................