Group Blog All Blog
|
#ราชวงศ์หยวน พ.ศ. 1822 1911 #พรรณีเกษกมล
#พรรณีเกษกมล #ราชวงศ์หยวน พ.ศ. 1822 – 1911 หลังจากแผ่นดินจีนแตกแยกเป็นหลายส่วน มาถึงคราวที่จีนได้รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง และรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ตลอดมา จากเจงกีสข่านชาวมองโกลผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้ลูกหลานก่อตั้งราชวงศ์หยวน แต่ไม่มีกฎมณเฑียรบาลในการสืบทอดอำนาจ ทำให้เกิดความยุ่งเหยิงและแย่งชิงในหมู่เครือญาติ คนเก่งเท่านั้นจึงมีสิทธิ์สืบครองบัลลังก์ ในปี พ.ศ.1777 เจงกีสข่านหัวหน้าชนเผ่าชาวมองโกลได้ฉายแววแห่งความเป็นผู้นำ ที่จะควบรวมอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน โดยการนำทัพชาวมองโกล พร้อมลูกหลานของพระองค์ บุกยึดอาณาจักรจิน เมื่ออาณาจักรจินล่มสลาย เจงกีสข่านได้บุกยึดอาณาจักรซีเซี่ยและอาณาจักรซ่งใต้ ทำให้อาณาจักรซีเซี่ยและอาณาจักรซ่งใต้ล่มสลายเช่นกัน อาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล จากเทือกเขาซิงอันทางตอนเหนือจรดแม่น้ำหวยเหอทางตอนใต้ และจากแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกไปจรดส่านซีทางภาคตะวันตกของอาณาจักรจิน กลายเป็นอาณาจักรของชาวมองโกลผู้ได้รับชัยชนะ เจงกีสข่าน นักรบชาวมองโกล รวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว กุบไลข่าน ผู้หลานก่อตั้งราชวงศ์หยวน ปกครองแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ เจงกีสข่าน กุบไลข่าน ช่วงแรกเจงกีสข่านยังไม่ได้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนเป็นแต่เพียงผู้ปกครองอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล กุบไลข่านได้ปกครองจีนภายใต้อำนาจแห่งราชวงศ์หยวน และเป็นข่านปกครองมองโกลในคราวเดียวกัน ชาวจีนที่แทนตัวเองว่าชาวฮั่นและเป็นผู้ที่ถือตัวว่ามีอารยธรรมอันแสนจะเจริญรุ่งเรืองแล้ว ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของชนต่างเผ่าพันธุ์ที่เป็นเพียงนักรบทะเลทรายร่อนเร่ไปรบตามสถานที่ต่าง ๆ และเอาชนะดินแดนทุกแห่งที่เหยียบย่างไปได้เท่านั้น จึงเป็นความขมขื่นในใจพอสมควร ช่วงแรกกุบไลข่านผู้ซึ่งเป็นหลานของเจงกีสข่าน ได้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนซึ่งเป็นราชวงศ์แรกที่เป็นชนต่างเผ่าที่ไม่ใช่คนจีนฮั่น และขานพระนามว่าข่าน เพราะปกครองมองโกลพร้อมกัน ช่วงแรกอาจจะมองว่า มองโกลคือเมืองของพระองค์ ส่วนจีนเป็นเพียงเมืองที่ตีมาเพิ่มเติมอาณาจักรเดิมเท่านั้น ต่อมาเริ่มขานพระนามเป็นฮ่องเต้เพราะประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลกว่ามาก และเริ่มจะคิดว่า ได้ปกครองทั้งสองเมืองอย่างมีศักดิ์ศรีทัดเทียมกัน เพราะได้คงพระนามว่า ข่าน อยู่ตามความเป็นชาวมองโกลแต่ดั้งเดิม บางแห่งนับเจงกีสข่านเป็นต้นราชวงศ์หยวน แต่บางแห่งนับกุบไลข่านเป็นต้นราชวงศ์หยวน เพราะผู้ที่ก่อตั้งราชวงศ์หยวนจริง ๆ คือกุบไลข่าน กุบไลข่านได้ยกย่องบรรพบุรุษของพระองค์ว่าเป็นฮ่องเต้เช่นกัน การขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ สำหรับราชวงศ์หยวนไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนแตกต่างจากราชวงศ์จีนอื่น ที่มักกำหนดให้พระโอรสองค์โตเป็นฮ่องเต้องค์ ต่อมา การให้ลูกหลานที่เก่งกว่าคนอื่นได้มีโอกาสทัดเทียมกันในการก้าวสู่อำนาจทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างผู้ที่อยู่ในข่ายที่มีสิทธิ์ทั้งหลาย วิธีการนี้อาจดีต่อประชาชนที่จะได้ผู้ปกครองประเทศที่เก่งกาจ แต่ความมั่นคงในราชวงศ์อาจลดน้อยถอยลงไปได้ จริงหรือไม่ คงต้องรอดูต่อไป ซึ่งเป็นบทเตือนใจให้คิดว่า วิธีการแบบใดจะดีกว่ากันระหว่างกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดชัดเจนให้พระโอรสองค์โตเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ในการครองราชย์ต่อ กับหลักการที่เปิดโอกาสให้พระโอรสที่มีความสามารถสูงกว่าพี่น้องใช้ความสามารถ และเอาชนะใจกรรมการในการคัดเลือกให้ได้เป็นผู้นำสูงสุด กำหนดกฎเกณฑ์ตายตัว โอรสองค์โตได้เป็นฮ่องเต้ หรือ โอรส พระนัดดาที่เก่งกาจ คือผู้ที่จะได้สืบครองอำนาจ เช่นไรดีที่สุด ฮ่องเต้ในราชวงศ์หยวนบางคนได้ขึ้นสู่อำนาจ ไม่นานก็โดนอีกคนแย่งชิงอำนาจไปต่อ จึงไม่มีความมั่นคงในอำนาจ บางองค์ครองราชย์ในช่วงสั้น ๆ และสวรรคตลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์หยวน ชื่อหยวนซุ่นตี้สามารถอยู่ในราชสมบัติได้นานกว่าใคร ๆ แต่แล้วไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้ ต้องอพยพแล้วไปตั้งราชวงศ์หยวนเหนือแทน ราชวงศ์หยวนปกครองประเทศจีนได้ 90 ปีเศษก็ล่มสลายลง ทั้งนี้เป็นเพราะชาวมองโกลมีความสามารถด้านการรบ มีกำลังทหารและอาวุธที่ดี แต่ขาดความสามารถด้านการปกครอง ราชวงศ์หยวนปกครองในยุคที่บ้านเมืองวุ่นวาย อันเนื่องมาจากเกิดกบฏมากมาย ทั้งนี้เป็นเพราะขุนนาง เชื้อพระวงศ์ชอบข่มเหงรังแกชาวบ้าน ด้วยพื้นเพเป็นนักรบอยู่กลางทะเลทรายเคยชินแต่การรบพุ่ง แต่ไม่สันทัดในการปกครองประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่เช่นจีน ถึงแม้จะมีฮ่องเต้บางองค์ที่พอจะมีฝีมือในการปกครองอยู่บ้าง แต่จะไม่กล้าออกนอกกรอบกฎระเบียบที่ราชสำนักได้ตั้งไว้ ทำให้ชาวจีนคิดก่อการล้มล้างราชวงศ์ ในที่สุดจูหยวนจางได้ก่อการกบฏและทำได้สำเร็จสามารถปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงราชวงศ์ต่อไปของจีนได้ จินชีจงฮ่องเต้ พ.ศ. 1704 - 1732
#จินชีจงฮ่องเต้ พ.ศ. 1704 - 1732
#พรรณีเกษกมล จินชีจงฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์จิน จินชีจงฮ่องเต้ พระนามแบบจีนคือหวันเหยียนหย่ง พระนามแบบราชวงศ์เจอร์เชนคือหวันเหยียนวูลู ประสูติวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 1666 ครองราชย์ วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 1704 รัชศกด้าดิง สวรรคตวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 1732 หวันเหยียนวูลูเป็นพระนัดดาในจินไท่จูฮ่องเต้เช่นกันกับจินไฮหลิงหวังฮ่องเต้ พระนัดดาของฮ่องเต้องค์แรกได้แย่งชิงอำนาจกัน หวันเหยียนวูลูเป็นพระโอรสของหวันเหยียนจงฟูหรือหวันเหยียนจงเหยา พระบิดาสิ้นพระชนม์เมื่อพระองค์มีพระชนม์ 12 ชันษา พระมารดามาจากตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลของเมืองเลี่ยวหยางได้รับการศึกษาสูงตามแบบอย่างชาวจีน ตามธรรมเนียมของชาวเจอร์เชนเมื่อสามีตายผู้หญิงควรจะแต่งงานใหม่กับญาติของสามี แต่นางกลับไปบวชชีแทน ก่อนที่หวันเหยียนวูลูจะได้เป็นฮ่องเต้ พระองค์เป็นคนที่เกรงใจภรรยามาก เธอคอยแนะนำว่าพระองค์ควรจะอดทน และทำดีต่อราชสำนักในฐานะของพระญาติสนิท วันหนึ่งจินไฮหลิงหวังฮ่องเต้ ได้เรียกตัวภรรยาหวันเหยียนวูลู เพื่อนำไปเป็นนางใน นางจึงฆ่าตัวตาย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างหวันเหยียนวูลูกับจินไฮหลิงหวังฮ่องเต้ บางทีอาจเป็นความแค้นส่วนตัวที่ภรรยาต้องมาเสียชีวิต เพราะจินไฮหลิงหวังฮ่องเต้ เมื่อพระองค์ขึ้นมามีอำนาจแทนที่ จึงยกเลิกทุกนโยบายที่ศัตรูเคยสร้างไว้ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเข้มแข็งของบ้านเมือง จินชีจงฮ่องเต้ได้ยกเลิกแผนการที่จินไฮหลิงหวังฮ่องเต้วางไว้ เรื่องเพิ่มอำนาจให้แก่หัวหน้าชนเผ่ากลุ่มย่อย และเข้าโจมตีซ่งใต้เพื่อความมั่นคงของประเทศ พระองค์ทรงคิดว่าความแข็งแกร่งของเจอร์เชนเป็นเรื่องเรียบง่ายและธรรมดามาก ควรจะได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย หลายเรื่องที่ควรแก้ไข เช่น ชนเผ่าเจอร์เชนปล่อยให้คนจีนเช่าที่ดินทำกินของตนแล้วเอาแต่เที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา ประชาชนควรมีจิตวิญญาณที่ดีกว่านี้ และให้มีทักษะทางการทหารเพิ่มขึ้น จินชีจงฮ่องเต้จึงได้จัดกิจกรรมล่าสัตว์ เล่นบอล การยิงธนู ทุกฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว กิจกรรมเช่นนี้เป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเจอร์เชนในอดีตและเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นชาวเจอร์เชน รวมทั้งต้องการให้ทุกคนได้เป็นชาวนาที่ดี การแปลภาษาระหว่างภาษาจีนโบราณกับภาษาเจอร์เชน เพื่อให้ชาวเจอร์เชนเข้าใจวัฒนธรรมของชาวจีนและส่งเสริมวัฒนธรรมชาวเจอร์เชนให้ชาวจีนเข้าใจ ผลงานชิ้นนี้สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองเชื้อชาติ ในช่วงแรกให้ชายเจอร์เชน 3,000 นาย เรียนรู้ภาษาของเจอร์เชนให้เข้าใจเป็นอย่างดีเสียก่อน เปิดสำนักวิชาการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาเจอร์เชนให้มากขึ้น และคาดหวังให้ภาษาเจอร์เชนกลายเป็นภาษาทางการแทนภาษาจีน สิ่งที่จินชีจงฮ่องเต้พยายามทำ คือ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวจีน ให้เป็นอย่างชาวเจอร์เชน ชนเผ่าดั้งเดิมของราชวงศ์จิน นอกจากเรื่องภาษาแล้วยังห้ามการแต่งกายเยี่ยงชาวจีน คนทั่วไป ชาวบ้าน คนรับใช้ห้ามสวมใส่ผ้าไหมและเสื้อผ้าแบบชาวจีน เคยมีคนกล่าวว่า การกลืนชาติย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ แม้ว่าผู้มีอำนาจจะพยายามยับยั้งไม่ให้เกิด ยิ่งเป็นชนกลุ่มน้อยย่อมโดนชนกลุ่มใหญ่กลืนหายไปได้ ราชวงศ์เจอร์เชนคิดเช่นนี้ จึงพยายามที่จะเปลี่ยนให้ชาวจีนมาเป็นอย่างชาวเจอร์เชนมากกว่าที่ยอมให้ชาวเจอร์เชนโดนกลืนชาติกลายเป็นชาวจีนไป ความคิดของจินชีจงฮ่องเต้ ได้รับการคัดค้านว่า ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเพราะความเจริญของภาษาจีนสูงกว่าภาษาเจอร์เชน หลายคนมองว่าภาษาเจอร์เชนเป็นภาษาที่ตายแล้ว คือ ไม่ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะบังคับให้ประชาชนใช้ภาษาเจอร์เชน รัชกาลต่อมาได้สานความคิดและกฎระเบียบเช่นนี้ และพยายามอธิบายในรูปความเชื่อทางศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า ฮ่องเต้ราชวงศ์จินเป็นนักอนุรักษ์นิยม แต่ต่างกันที่ว่าฮ่องเต้แต่ละองค์จะมองเห็นจุดดีส่วนใดในชนเผ่าเดิมของตน ที่สมควรจะอนุรักษ์และให้ดำรงคงอยู่ต่อไป ในสมัยของจินไฮหลิงหวังฮ่องเต้ อดีตจอมพลคุมกองกำลังทหารชอบการรบและต้องการเอาชนะซ่งใต้ จึงเสริมกองกำลังทหารเพื่อความเข้มแข็งของกองทัพ ตรงกันข้ามกับจินชีจงฮ่องเต้ที่ต้องการสันติภาพจึงขอเจรจาเพื่อเซ็นสัญญาสงบศึกและลงนามใน พ.ศ. 1707 ความสงบในบ้านเมืองจึงได้เกิดขึ้นต่อมาอีก 40 ปี จินฉางจงฮ่องเต้ พ.ศ. 1732 - 1751
#จินฉางจงฮ่องเต้ พ.ศ. 1732 - 1751
#พรรณีเกษกมล จินฉางจงฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์จิน จินฉางจงฮ่องเต้ พระนามแบบจีนคือหวันเหยียนจิง พระนามแบบราชวงศ์เจอร์เชน คือ หวันเหยียนมาเดกี ประสูติวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 1711 เป็นพระนัดดาในจินชีจงฮ่องเต้ เป็นพระโอรสของหวันเหยียนหยุนกง ครองราชย์วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 1732 รัชศกหมิงฉาง พ.ศ. 1732 – 1739 รัชศกเจิ้งอัน พ.ศ. 1739 – 1743 รัชศกไตฮี พ.ศ. 1744 – 1751 สวรรคตวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 1751 จินฉางจงฮ่องเต้สานต่อนโยบายของจินชีจงฮ่องเต้ที่จะส่งเสริมการใช้เจอร์เชนเป็นภาษาทางการและอนุรักษ์วัฒนธรรมเจอร์เชน รวมทั้งการห้ามสวมใส่เสื้อผ้าแบบชาวจีน ตั้งแต่รัชสมัยของจินไฮหลิงหวังฮ่องเต้ ที่คิดจะจัดการกับซ่งใต้ แต่ทำไม่สำเร็จ มาถึงรัชกาลนี้ได้รบกับซ่งใต้อีกครั้ง และพ่ายแพ้จนถึงขั้นต้องจ่ายเงินให้กับสงครามจำนวนมาก เจงกีสข่านผู้นำชาวมองโกลได้บุกโจมตีพวกเซี่ยตะวันตก พ.ศ. 1748 ใช้เวลาอีก 4 ปี จึงเอาชนะได้ ต่อมานำทหารม้า 50,000 นาย บุกโจมตีจิน จัดการกับกบฏคีตันและเจอร์เชน ถึงแม้จินจะมีทหาร 150,000 นาย แต่ทั้งหมดหนีทัพออกจากเมืองหลวงฝั่งตะวันตก เจงกีสข่านจึงบุกต่อไปยังเมืองหลวงฝั่งตะวันออก ซึ่งตรงกับรัชสมัยของจินซวนจงฮ่องเต้ ซ่งตี้ปิงฮ่องเต้ พ.ศ. 1821 - 1822
#ซ่งตี้ปิงฮ่องเต้ พ.ศ. 1821 - 1822
#พรรณีเกษกมล ซ่งตี้ปิงฮ่องเต้หรือซ่งม่อจงฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 9 และองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ หรือองค์ที่ 18 แห่งราชวงศ์ซ่ง ซ่งตี้ปิงฮ่องเต้พระนามเดิมเจ้าปิงประสูติ พ.ศ. 1814 เป็นพระอนุชาของซ่งต้วนจงฮ่องเต้ เป็นพระโอรสของฮ่องเต้องค์ที่ 6 ซ่งตู้จงฮ่องเต้ พระมารดาสนม หยู ตำแหน่งองค์ชายซิน พ.ศ. 1817 และองค์ชายกวง กับองค์ชายเหวย ได้ครองราชย์วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 1821 พระชนม์ 7 ชันษาที่เหมยหยู เมืองกังโจวได้เพียงปีเดียว กองทัพมองโกลของกุบไลข่านบุกยึดมาถึงเมืองหลินอันหรือหางโจวในปัจจุบัน อำมาตย์เจียซิเดาผู้ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในขณะนั้นและเป็นผู้ที่ใช้ความพยายามจะยื้อราชวงศ์ซ่งใต้ให้คงอยู่ต่อไปได้นำทัพสู้กับมองโกลและเสียชีวิตในสนามรบ เมื่อกองทัพบุกเข้าเมือง มีกระแสเล่าว่าซ่งตี้ปิงฮ่องเต้ได้ขี่หลังขุนนางคนหนึ่งออกจากประตูเมืองหนีเข้าป่าไป และหายสาบสูญไปไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร บางกระแสว่าอำมาตย์ลู่ซิ่วฟู รู้ว่าขณะนี้ซ่งแพ้มองโกลอย่างหมดรูปแล้ว การมีฮ่องเต้เด็ก ๆ หลังจากที่น่าจะสูญสิ้นราชวงศ์ซ่งใต้ตั้งแต่สมัยซ่งตู้จงฮ่องเต้นั้นเป็นเพียงความพยายามที่จะดึงเกมให้นานที่สุด ทั้งที่รู้ว่าจะต้องแพ้แน่นอนไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง ราชสำนักคิดจะกอบกู้ราชวงศ์ซ่งใต้ แต่วันนี้ซ่งใต้ไม่มีวันที่จะฟื้นได้อีกแล้ว จึงพาซ่งตี้ปิงฮ่องเต้หนีลงเรือแล้วโดดลงทะเลตายไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียด้วยกันทั้งคู่ บางกระแสว่าซ่งตี้ปิงฮ่องเต้สวรรคตในสงครามยาเมน วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 1822 ช่วงปลายราชวงศ์ซ่งใต้ประวัติศาสตร์จีนได้ยกย่องอำมาตย์เจียซิเดา ลู่ซิ่วฟู และเหวินเทียนว่าเป็นผู้กล้าและจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซ่งใต้ เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ซ่งใต้แล้วราชวงศ์หยวนได้ขึ้นมามีอำนาจแทน ซ่งต้วนจงฮ่องเต้ พ.ศ. 1819 - 1821
#ซ่งต้วนจงฮ่องเต้ พ.ศ. 1819 - 1821 #พรรณีเกษกมล ซ่งต้วนจงฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ หรือองค์ที่ 17 แห่งราชวงศ์ซ่ง ซ่งต้วนจงฮ่องเต้ พระนามเดิมเจ้าซันประสูติ พ.ศ. 1811 เป็นพระโอรสของฮ่องเต้องค์ที่ 6 ซ่งตู้จงฮ่องเต้ เป็นองค์ชายจิ พ.ศ. 1817 เป็นองค์ชายยิ พ.ศ. 1819 รัชสมัยจิงกี้ มีความหมายว่าฉลาดเฉลียว พระนามฮ่องเต้หมายถึงผู้ปกครองคนสุดท้าย ได้ครองราชย์เมื่อพระชนม์ 8 พรรษา ที่เมืองฟูโจว วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 1819 อีกสองปีต่อมากองทัพมองโกลบุกเข้าโจมตีทำให้ซ่งต้วนจงฮ่องเต้ต้องลี้ภัยไปฮ่องกงและเกาลูนและสวรรคตในอีกสองเดือนต่อมาด้วยพระชนม์ 10 ชันษา วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 1821 ช่วงที่มองโกลบุก ซ่งกงตี้ฮ่องเต้โดนจับตัวไป ส่วนซ่งต้วนจงฮ่องเต้กับพระอนุชาเจ้าปิง หนีไปยังเมืองฟูเจียนและตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ฟูโจว สุดท้ายซ่งแพ้มองโกล อำมาตย์ลู่ซิ่วฟู หนีลงเรือ ซ่งต้วนจงฮ่องเต้หนีไปฮ่องกงและเกาลูน เดือนมีนาคม พ.ศ. 1821 ซ่งต้วนจงฮ่องเต้หล่นลงจากเรือ จมน้ำเลยทำให้ไม่สบายและสวรรคตไม่กี่เดือนต่อมาในเมืองกังโจว ปัจจุบันคือเมืองลันเตาในฮ่องกง |
สมาชิกหมายเลข 4665919
![]() ![]() ![]() ![]() ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |