Group Blog All Blog
|
หมิงซือจงฮ่องเต้ ตอนที่ 1
![]() หมิงซือจงฮ่องเต้หรือหมิงฉงเจินฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 16 และเป็นองค์สุดท้ายของราชวงศ์ หมิง รัชศกฉงเจิน หมิงซือจงฮ่องเต้พระนามเดิมจูโหยวเจี่ยน ประสูติเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2148 สวรรคตวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2187 รวมอายุ 39 ปี เป็นโอรสของหมิงกวงจงฮ่องเต้ และเป็นพระอนุชาของ หมิงซีจงฮ่องเต้ ซึ่งสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2170 นี่เป็นอีกครั้งที่น้องชายสืบอำนาจต่อจากพี่ชาย แทนที่จะเป็นลูกชายคนโตสืบอำนาจต่อจากพ่อ เพราะเหตุใด สายราชสกุลขาดด้วนไป ไร้ผู้สืบทอดอำนาจ ไร้รัชทายาท ในรัชสมัยของพระเชษฐาหมิงซีจงฮ่องเต้นั้น ว่ากันว่าเกิดความผิดปกติในราชสำนักอีกครั้งในเมื่อพระโอรสและพระธิดาเสียชีวิตแต่วัยเยาว์ทำให้ผู้สืบสันตติวงศ์หมดสิ้นไป โอกาสการครองราชย์ต่อมาจึงตกอยู่ที่พระอนุชา มันไม่ใช่เหตุปกติวิสัย ในเมื่อขันทีเว่ยจงเสียนร่วมมือกับแม่นมกีในหมิงซีจงฮ่องเต้ กำจัดว่าที่รัชทายาท และโอรสธิดาที่เกิดจากนางในสนมทั้งหมด ด้วยเหตุผลอันใดกันแน่ หรือเป็นแต่เพียงข้ออ้างว่า เกิดจากเงื้อมมือของทั้งสอง ขณะนั้นบ้านเมืองเกิดระส่ำระสายมากขึ้นแล้ว ไม่สงบและเจริญรุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน ถึงแม้ว่า หมิงซือจงฮ่องเต้จะพยายามมากสักเท่าไรก็คงไม่อาจกอบกู้สถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ ช่วง 7 ปี ในอำนาจของหมิงซีจงฮ่องเต้พระเชษฐา เกิดการต่อต้านอำนาจของขันทีเว่ยจงเสียนที่ใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต กำจัดศัตรูทางการเมืองอย่างโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม แล้วในรัชสมัยนี้ อำนาจป่าเถื่อนภายใต้การบงการของขันทีเว่ยจงเสียนจะยังคงมีอยู่หรือหมดสิ้นไปแล้วล่ะ ถึงกับทำให้สิ้นราชวงศ์หมิงได้ทีเดียว แม้แต่ในราชสำนัก บรรดาขุนนางกับบรรดาขันทีไม่ลงรอยและคอยเขม่นซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพยายามช่วงชิงอำนาจกันเอง ทุกคนรู้ สังคมรู้ ขันทีมีอำนาจเหนือราชสำนัก และเหนือขุนนาง ทำอย่างไรล่ะ จึงจะลดทอนอำนาจของขันทีโฉดเขลาเบาปัญญาเว่ยจงเสียนได้ ขันทีเว่ยจงเสียนมีอำนาจคับฟ้ายิ่งใหญ่มากเท่าใด ยิ่งก่อความยุ่งยากแก่การปกครองมากเท่านั้น เมื่อขันทีเว่ยจงเสียนเหนือทุกคนบนผืนแผ่นดินต้าหมิง รองอยู่เพียงหนึ่งคือฮ่องเต้ ผู้ที่จะจัดการกับขันทีเว่ยจงเสียนได้ คงมีเพียงแต่หมิงซือจงฮ่องเต้เท่านั้น แต่จะทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้คงจะคืนอำนาจให้กับขุนนาง ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม หมิงซือจงฮ่องเต้จัดการขจัดขันทีเว่ยจงเสียนให้พ้นเส้นทางแห่งอำนาจได้เป็นคนแรก ด้วยความร่วมมือกับแม่ทัพขุนนางที่เกลียดชังน้ำหน้ามานาน สิ่งที่ทำต่อมาคือการริดรอนอำนาจของบรรดาขันทีให้ลดลงไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันเพิ่มอำนาจของบรรดาขุนนางให้มากขึ้น รวมทั้งการคืนอำนาจให้กองกำลังทหาร เช่นยกย่องแม่ทัพหยวนชงหวนที่มีชัยชนะเหนือกองทัพแมนจู สิ่งใดจะเกิดย่อมต้องเกิด ดวงชะตาบ้านเมืองย่อมเป็นไปเช่นนั้น ถึงจะลดทอนอำนาจของขันทีเว่ยจงเสียนและบรรดาขันทีได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมให้สถานการณ์ต่าง ๆ ในบ้านเมืองเลวร้ายลง ช่วงนี้ถือว่าเป็นจุดใกล้สิ้นสุดราชวงศ์หมิงเต็มที ความเสื่อมทุกเรื่องเกิดขึ้น การผูกขาดที่ดินโดยเชื้อพระวงศ์ และบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทำให้ถือครองที่ดินเกือบทั่วประเทศ การขูดรีดเก็บภาษีจากประชาชนเพิ่มสูงขึ้นทุกปีทั้งที่ประชาชนยากจนลงทุกวัน พรรคตงหลินได้เกิดขึ้นจากขุนนางที่ดีและนักวิชาการที่มองเห็นความเสื่อมโทรมของประเทศและพยายามที่จะช่วยฟื้นฟู แต่ฝ่ายตรงข้ามแทนที่จะเห็นความดีและคอยสนับสนุน กลับหาเรื่องและคอยกลั่นแกล้ง น้ำดีส่วนน้อย มีหรือจะสู้น้ำเน่าส่วนใหญ่ได้ เมื่อเทน้ำใส 1 ถ้วย ลงในคลองเน่า ๆ คงจะเน่าต่อไป ไม่มีทางจะแก้ไข ฟื้นคืนสังคมให้ดีขึ้นได้เชียวหรือ เมื่อเกิดทุพภิกขภัยที่มณฑลส่านซีและขุนนางยังคงขูดรีดภาษีจากประชาชนอีก ทำให้เกิดกบฏนำโดยหลี่จื้อเฉิง ภัยพิบัติในครั้งนั้นทำให้ประชาชนล้มตายลงเป็นจำนวนมากสร้างความไม่พอใจให้เกิดกับประชาชนรากหญ้าที่ทางการไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ทันท่วงที ในขณะเดียวกับที่เหล่าบรรดาขุนนางคอรัปชัน ขูดรีดภาษีจากประชาชน ไม่ดูแลยามทุกข์ยากยิ่งสร้างความไม่พอใจให้มากขึ้น ใช่ว่าเมื่อหมดสิ้นการรีดนาทาเร้นจากพวกขันทีแล้ว ชาวบ้านจะสุขสบายขึ้น ขุนนางโฉดยังคงมีอยู่ไปทั่ว แม้ว่าจะมีขุนนางน้ำดีบางส่วนพยายามอย่างสุดกำลังที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่ทับถมกันมานาน การคอรัปชันฉ้อราษฎรบังหลวงเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า แม้แต่พวกเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน และ บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ร่ำรวยและมีอำนาจ ยังมองไม่เห็นหนทางแห่งหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ มัวแต่ไขว่คว้าเอามาเป็นของตนและพวกตนให้มากที่สุด ลืมไปว่า คนที่โดนกดขี่ข่มเหงมาก ๆ ยากลำบากถึงที่สุด จะอดทนต่อไปได้ คงมีสักวันที่ความอดทนสิ้นสุดลง และบอกว่า จะไม่ยอมทนอีกต่อไป สิบ่ทนแล้วหนา ปี พ.ศ. 2187 เริ่มเกิดขบวนการต่อต้านเหล่าบรรดาขุนนาง นำโดยหลี่จื้อเฉิงผู้นำชาวนาเข้าบุกยึดเมืองซีอานได้เป็นผลสำเร็จ และตั้งตนเป็นใหญ่ปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้ราชวงศ์ซุ่น เริ่มต้นราชวงศ์หมิงด้วยชาวนาที่ยากจนคนหนึ่ง แล้วจะมาสิ้นสุดลงด้วยชาวนาที่ยากจนอีกคนหนึ่งที่อดทนไม่ได้เช่นกัน เช่นนั้นรึ เมื่อได้เมืองซีอาน ต่อจากนั้นกองกำลังของซุ่นหลี่จื้อเฉิงฮ่องเต้ได้นำกองกำลังทหารเข้ายึดกรุงปักกิ่งเมืองหลวง จะทำได้หรือไม่ ที่จริงคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ซุ่นหลี่จื้อเฉิงฮ่องเต้จะยึดกรุงปักกิ่ง แต่ทั้งนี้เป็นเพราะบรรดาขันทีที่หมดอำนาจหันเหไปเข้าพวกด้วย แค้นนัก เมื่อพวกตนหมดอำนาจ จึงหวังพึ่งอำนาจใหม่ การแอบเปิดประตูเมืองให้ บางทีน่าจะเรียกพวกนี้ว่าพวกขายชาติ ไม่ใช่ชังชาตินะ ตอนได้ดีมีสุขก็ทำบ้านเมืองปั่นป่วน พอหมดอำนาจ อยากได้อำนาจนั้นกลับคืนมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามที บ้านเมืองจะเป็นไร ช่างมัน ขอให้พวกตนได้เสพสุขอีกครั้ง ส่วนบรรดาขุนนางและกองกำลังทหารต่างหนีเอาตัวรอดไม่คิดต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมือง ในรัชสมัยของหมิงซือจงฮ่องเต้คงมีแต่ความวุ่นวายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า การที่ซุ่นหลี่จื้อเฉิงฮ่องเต้ยึดครองกรุงปักกิ่งได้ด้วยกำลังพล 60,000 นายนั้น ได้เผชิญหน้ากับอู๋ซานกุ้ยนายทหารหมิงผู้ซึ่งคุมกองกำลังทหารถึง 100,000 นาย ณ ป้อมซานไฮ่กวานทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ป้อมนี้จะป้องกันชาวแมนจูไม่ให้เข้าเมือง อู๋ซานกุ้ยพ่ายแพ้ต่อหลี่จื้อเฉิง กลุ่มกบฏหลี่จื้อเฉิงและชาวแมนจูต่างคิดว่าองค์ชายซุ่นจื่ออายุ 6 ปี น่าจะเหมาะเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป จึงหันไปสวามิภักดิ์ต่อ โดยให้องค์ชายทอร์กุนเป็นผู้สำเร็จราชการขององค์ชายซุ่นจื่อ ส่วนหมิงซือจงฮ่องเต้ผู้แพ้ภัยสงครามกลางเมือง โดนกบฏที่นำโดยหลี่จื้อเฉิงยกทัพเข้าเมืองหลวงและบุกเข้าพระราชวัง ได้หลบหนีขึ้นยอดเขาเจียงซานทางด้านเหนือของพระราชวังและผูกคอตายใต้ต้นไม้ด้วยพระองค์เองหนีความอัปยศที่ไม่สามารถปกครองประเทศในตำแหน่งฮ่องเต้ที่ดีได้ในขณะที่มีพระชนม์34 พรรษา พระองค์ทรงละอายต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วว่า ไม่สามารถรักษาราชวงศ์ให้คงอยู่ต่อไป ตำแหน่งของต้นไม้นั้นสามารถมองเห็นพระราชวังได้อย่างชัดเจนเพื่อให้เกิดสำนึกว่าพระองค์คือฮ่องเต้แต่ไม่สามารถดูแลอาณาประชาราษฎร์ได้สมที่ตั้งใจไว้ ปัญหาใหญ่ทับถมมานาน ยิ่งกว่าดินพอกหางหมู ยากนักที่จะแกะดินนั้นให้หลุดออกไปได้ในเร็ววัน วาระสุดท้ายของชีวิตฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง หนึ่งชั่วโมงก่อนจะตัดสินใจผูกคอตายด้วยความอับอาย ความคับแค้นใจและอีกหลายความรู้สึกที่พรั่งพรูตามมาเพราะพ่ายแพ้ต่อกลุ่มกบฏหลี่จื้อเฉิง หมดสิ้นในอำนาจ ผู้ที่ยังคงติดตามพระองค์แม้ว่าจะไม่หลงเหลืออำนาจใด ๆ แล้วก็ตาม ยังคงมี และติดตามไปในปรโลกอีกต่างหาก สมัยนี้จะหาเช่นนี้ได้อีกหรือไม่ ถ้าไม่โดนบังคับ ขันทีหวังเฉิงเอิน ขุนนางเจ้าหน้าที่กว่า 700 ชีวิต ฆ่าตัวตายตามพระองค์ และขันทีอีกกว่าพันคนตายในวังขณะต่อสู้กับกบฏ สาวใช้อีก 300 ชีวิต ฆ่าตัวตายตามเช่นกันหลังการสวรรคตของฮ่องเต้ ก็ใช่ว่าจะไปตามลำพัง อย่างน้อยยังพอมีผู้จงรักภักดีพร้อมที่จะติดตามและปกป้องพระองค์อยู่บ้าง คงไม่มีฮ่องเต้องค์ใดยอมปลิดชีพพระองค์เองด้วยการแขวนคอนอกพระราชวัง ณ จุดที่เฝ้ามองพระราชวัง ในห้วงสุดท้ายที่ลมหายใจจะออกจากร่าง หมดสิ้นไปในบัดดล ความรู้สึกผิดของสามัญชน หัวหน้ากบฏที่เป็นแค่ชาวนาได้เอ่ยถึงฮ่องเต้ว่า พระองค์ไม่ใช่คนที่เลวร้าย แต่อาจมีหลายเหตุที่มารุมเร้า ทำให้บ้านเมืองย่ำแย่เช่นนี้ มหาอำมาตย์เอาแต่ยุ่งเรื่องส่วนตัวไม่สนใจกิจการบ้านเมือง แล้วหลี่จื้อเฉิงสั่งให้ฝังพระศพฮ่องเต้และฮองเฮาไว้ในสุสานราชวงศ์หมิงเพื่อเป็นการให้เกียรติครั้งสุดท้าย อู๋ซานกุ้ยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่เฝ้าประตูเมืองฝั่งแมนจูต้องสู้รบทั้งแมนจูและกบฏหลี่จื้อเฉิงคงจะหมดแรงไปแล้วจึงยอมแพ้ทั้งสองฝ่าย ส่วนกบฏหลี่จื้อเฉิงสู้กองกำลังของแมนจูไม่ได้ต้องตีฝ่าวงล้อมออกนอกเมือง อู๋ซานกุ้ยยอมให้ผ่านแต่โดยดี กองทัพแมนจูเข้าโจมตีกรุงปักกิ่งสำเร็จในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2187 แต่ต้องใช้เวลาอีก 17 ปี จึงปราบกบฏสำเร็จรวมทั้งพวกภักดีต่อราชวงศ์หมิง องค์ชายกุยเป็นเชื้อพระวงศ์คนสุดท้ายของราชวงศ์หมิงที่อู๋ซานกุ้ยไปตามจับที่เมืองพม่าแล้วประหารชีวิตที่มณฑลยูนนานในปี พ.ศ. 2205 หมิงซีจงฮ่องเต้ พ.ศ. 2163 2170
![]() หมิงซีจงฮ่องเต้ พ.ศ. 2163 – 2170 หมิงซีจงฮ่องเต้หรือหมิงเทียนฉี่ฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 15 ในราชวงศ์หมิง รัชศก หมิงซีจงฮ่องเต้พระนามเดิมจูโหยวเจี้ยว ความหมายของพระนามฮ่องเต้ หมายถึง การเปิดประตูสวรรค์ เป็นพระโอรสองค์โตและเป็นรัชทายาทในหมิงกวงจงฮ่องเต้ ประสูติวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2148 ได้ขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนม์ 15 พรรษา สวรรคตวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2170 เมื่อพระชนม์ 22 พรรษา การขึ้นครองราชย์เกิดปุบปับแบบไม่คาดฝัน ไม่นึกไม่ฝันเอาทีเดียว เมื่อพระบิดาสวรรคตหลังจากครองราชย์ได้ไม่ถึงเดือน เรียกได้ว่าเตรียมตัวเป็นแค่รัชทายาท แต่ยังไม่ฝันว่าจะได้เป็นฮ่องเต้ ถึงแม้จะเกิดเรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับการสวรรคตของพระบิดา และคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าอดีตสนมเฉิงในรัชกาลที่ 13 วางแผนปลงพระชนม์เพื่อให้พระโอรสของเธอได้ขึ้นครองอำนาจต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาส บุญมีแต่กรรมบัง สายนั้นขึ้น สายนี้จะอดไปโดยปริยาย พระโอรสของฮ่องเต้ที่ครองราชย์ไม่ถึงเดือน ได้ขึ้นครองแทน อาจคิดว่าเพียงเวลาไม่ถึงเดือนอาจพลิกผันโอกาสกลับไปหาว่าที่คู่แข่งในรัชทายาทสมัยเดิมได้ ในรัชกาลที่ 13 นั้น มีว่าที่ผู้สืบต่ออำนาจ 2 คน คือ พระโอรสองค์ที่ 1 เกิดจากมเหสี อดีตสาวใช้ไทเฮา กับพระโอรสองค์ที่ 3 เกิดจากสนมเฉิงผู้มักใหญ่ใฝ่สูง และโดนข้อกล่าวหาว่า ให้รัชกาลที่ 14 หลงติดกับสาว ๆ ที่เอามาบรรณาการ และให้กินยาเม็ดสีแดงจนสวรรคต เมื่อพระโอรสของรัชกาลที่ 14 ได้ขึ้นครองราชย์ ทำให้โอรสจากสนมเฉิงหมดโอกาสที่จะแย่งอำนาจนั้นมาเป็นฮ่องเต้ ทว่าผู้ที่ได้อำนาจมาโดยมิได้เตรียมตัวเตรียมใจ กลับไม่คิดว่า นี่คือโอกาสทอง หรือโดนอำนาจจากขันทีและแม่นม ปิดตา ไม่ให้รู้เห็นข้อเท็จจริง ราชวงศ์หมิงเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยอย่างชัดเจน หมิงซีจงฮ่องเต้ไม่ได้ใส่ใจในกิจการบ้านเมืองเช่นที่ฮ่องเต้ควรปฏิบัติ อาจคิดว่าฮ่องเต้ทำหน้าที่เสมือนสัญลักษณ์ที่มีอำนาจสูงสุดโดยไม่ต้องไปลงมือปฏิบัติให้เหนื่อยยากอันใด ไม่ได้สืบสานงานเดิมที่เคยทำ มีคนบอกว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะไม่ใช่คนเก่ง เรียนหนังสือไม่ได้ดีหรือไม่ฉลาดเท่าที่ควร หรือเพราะผู้มีอำนาจตัวจริง ตั้งใจไม่ให้ปฏิบัติภารกิจที่พึงกระทำ การได้อำนาจมาโดยสิทธิอันชอบธรรม ตามจารีต ไม่ได้แปลว่า ผู้นั้นสมควรต่อตำแหน่งที่ได้รับ ไม่รู้ว่า แผ่นดินหมิงจะเป็นเช่นไร ถ้าโอรสจากสนมเฉิงได้สิทธิ์นี้แทน เพราะหมิงซีจงฮ่องเต้ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ เพราะขาดฝีมือในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งไม่รู้ว่า แท้จริงเบื้องหลังคือใคร ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ หัวหน้าขันทีเว่ยจงเสียนกับแม่นมกีจึงยึดอำนาจไว้ในกำมือโดยสับเปลี่ยนคนที่ตนไว้ใจได้มาทำงานในวังแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งที่สำคัญ ๆ เมื่อฮ่องเต้ไม่ทำงาน อำนาจอยู่กับหัวหน้าขันทีเว่ยจงเสียนและมาดามกี อะไรจะเกิดตามมา แม่นมกีเป็นใคร มาดามกีเป็นแม่นมของหมิงซีจงฮ่องเต้ เรื่องราวภายในราชสำนัก แม่นมกีมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แม่นมกีร่วมมือกับหัวหน้าขันทีเว่ยจงเสียนได้ขจัดสาวอื่นในวัง ให้หลุดพ้นจากตำแหน่งสนม บางรายอาจถึงแก่ชีวิต ขันทีเว่ยจงเสียนกับแม่นมกีขจัดสนมที่ทำท่าจะมีพระโอรส หรือถ้ามีครรภ์หาทางทำลายล้าง นี่เองทำให้ หมดสิ้นผู้สืบทอดอำนาจต่อ หัวหน้าขันทีเว่ยจงเสียน ขันทีผู้เรืองอำนาจนั้น ในช่วงวัยรุ่นเป็นนักเลงโต ขลุกอยู่กับแหล่ง อโคจร เป็นคนข้างถนน เกเร ชอบตีรันฟันแทง พออายุ 20 กว่า เป็นหนี้การพนัน สุดท้ายเพื่อหลบหนีการตามล่าของเจ้าหนี้ จึงตัดสินใจตอนตนเองแล้วลอบเข้าวังไปเป็นขันที แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นจิ้นจง เมื่อเข้าวังมามีโอกาสรับใช้รัชทายาท ซึ่งต่อมาเป็นรัชกาลที่ 14 เว่ยจงเสียนได้รับหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเครื่องเสวย ในตำหนักองค์รัชทายาท ส่วนแม่นมกีรับใช้ดูแลโอรสของรัชทายาท ทำให้ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เว่ยจงเสียนเห็นว่า องค์ชายจูโหยวเจี้ยว ติดแม่นมกี หรือนางเค่อซื่อ จึงพยายามตีสนิทกับนางจนเกิดความรักต่อกัน ถึงแม้เคยแต่งงาน แต่ตอนด้วยตนเองซึ่งทำไม่ได้สมบูรณ์แบบ แล้วเข้าวังมาเป็นขันที ทำให้ยังมีอารมณ์รักใคร่กับแม่นมกี จูโหยวเจี้ยวรับรู้ว่าแม่นมกีรักกับเว่ยจงเสียน ผูกสัมพันธ์กันเป็นตุ้ยสือ คู่ที่เป็นขันทีกับนางกำนัล เมื่อพระบิดาครองราชย์เพียงเดือนเดียวแล้วสวรรคต จูโหยวเจี้ยวขึ้นเป็นหมิงซีจงฮ่องเต้ เว่ยจงเสียนได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจฎีกาและผู้ร่างฎีกา อันเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจในราชสำนัก รับผิดชอบการตรวจสอบและควบคุมข้อเสนอแนะทางราชการของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ หมิงซีจงฮ่องเต้ชอบทรงงานไม้ และผลักภาระงานราชการให้ขันทีเว่ยจงเสียนทำแทน ปีที่ 4 เว่ยจงเสียนสามารถรวบอำนาจทั้งในและนอกราชสำนักได้แต่เพียงผู้เดียว ทำให้เหล่าขุนนางเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก คณะตงหลินลุกฮือขึ้น ลงชื่อถวายฎีกากล่าวโทษเว่ยจงเสียน ผู้ตรวจราชการแผ่นดินชื่อหยางเหลียน เป็นผู้ถวายฎีกาแถลงข้อเท็จจริงที่เว่ยจงเสียนกระทำผิดจำนวน 24 ข้อ และประณามเขาอย่างเจ็บแสบ แต่เว่ยจงเสียนก็ได้เดินเกมอีกก้าวหนึ่ง โดยใช้แผนร่ำไห้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ และให้แม่นมกีพูดจาชมเชยถึงความดีของเว่ยจงเสียน หมิงซีจงฮ่องเต้กลับออกราชโองการปลอบใจเว่ยจงเสียน และตำหนิหยางเหลียนอย่างรุนแรงว่าใส่ร้ายป้ายสีเว่ยจงเสียน และลงโทษเขาด้วยการคุมขัง ขันทีเว่ยจงเสียนก้าวสู่แวดวงอำนาจ ใช้การทุจริตหาเงิน เพื่อไต่เต้าซื้อตำแหน่งที่สูงขึ้น ส่วนงานราชการ ขันทีเว่ยจงเสียนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาขันที กุมอำนาจด้วยการคุมกององครักษ์เสื้อแพร ฝั่งบูรพา อย่าลืมว่าหน่วยงานนี้มีอำนาจล้นฟ้าตั้งแต่ต้นราชวงศ์หมิง ใครจะรู้ว่าหน่วยงานนี้ทำลายราชวงศ์หมิงได้ด้วย เมื่อขันทีเว่ยจงเสียนกุมอำนาจ ได้เอาเพื่อนที่เกเร เป็นอันธพาลเข้ามาทำงานในกององครักษ์เสื้อแพร เป็นการเสริมสร้างบารมีของตน หลังจากที่หยางเหลียนโดนกุมขัง เหล่าปัญญาชน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ 70 คน ถวายฎีกากล่าวโทษเว่ยจงเสียนอีกครั้ง คราวนี้เว่ยจงเสียนได้ใช้อำนาจของหน่วยงานตงฉ่าง องครักษ์เสื้อแพร ฝั่งบูรพา ที่สามารถลงโทษข้าราชการและประชาชนได้ทันทีโดยมิต้องถวายรายงานฮ่องเต้ จับกุมและกวาดล้างเหล่าขุนนางสายคณะตงหลินอย่างโหดเหี้ยม ใครไม่เข้าร่วมกับเขาก็จะถูกกวาดล้างทันที รวมถึงสั่งปิดสถานการศึกษาที่สนับสนุนโดยคณะตงหลินลงทั้งหมด ในครั้งนั้นมีผู้ถูกจับกุมทั้งสิ้น 700 คน ใครอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับขันทีเว่ยจงเสียนโดนกำจัดหมด อำนาจเช่นนี้ เลยโดนจารึกชื่อว่าเป็นขันทีโฉดครองเมือง เว่ยจงเสียนได้วางเครือข่ายของตนทั้งในตำแหน่งขุนนางราชสำนัก รวมไปถึงขุนนางท้องถิ่น แต่งตั้งคนสนิทของตนดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเมือง เครือข่ายของเว่ยจงเสียนมีฉายาว่า เสือ 5 ตัว ลูกเสือ 5 ตัว สุนัข 5 ตัว ลูกทั้ง 10 และหลานทั้ง 40 แฝงตัวทั้งในและนอกราชสำนักตั้งแต่เสนาบดี กระทรวงทั้ง 6 ไปจนถึงข้าหลวงใหญ่และผู้ตรวจราชการมณฑลแทบทุกพื้นที่ อำนาจทางการเมืองของต้าหมิงอยู่ใต้อุ้งมือของเว่ยจงเสียนแต่เพียงผู้เดียว อำนาจเผด็จการ ถ้าอยู่ในกำมือคนเก่งคนฉลาดมีคุณธรรม บ้านเมืองไปโลด แต่ถ้าอยู่ในกำมือคนโฉดเขลาเบาปัญญา บ้านเมืองถึงแก่กาลวิบัติ อำนาจที่ล้นฟ้าแต่ปราศจากคุณธรรม เข่นฆ่าทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างแบบไม่ปราณีปราศรัย เพียงแค่สงสัยว่าคิดต่าง หรือไม่ใช่พวกของตน ชีวาจะอาสัญ ตอนนี้ขันทีเว่ยจงเสียนใหญ่ที่สุดบนแผ่นดิน เป็นรองแค่หนึ่งคือหมิงซีจงฮ่องเต้ และคอยให้ฮ่องเต้นิสัยเสีย เพลิดเพลินกับสุรานารี ไม่ใส่ใจในราชกิจ เพื่อที่ตนจะได้มีอำนาจคับฟ้าแทน แต่ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด และเลวเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้บ้านเมืองย่ำแย่สุด ๆ กลุ่มลัทธิขงจื้อได้โจมตีฮ่องเต้และสถานะของราชสำนัก เกิดกบฏต่อต้านราชวงศ์หมิงหลายครั้งในช่วง 7 ปีของการครองราชย์ของหมิงซีจงฮ่องเต้ 630204 ประชานิยมมีมาตั้งนานแล้ว
630204 ประชานิยมมีมาตั้งนานแล้ว by พรรณี เกษกมล การดูแลคนแก่ให้อยู่ดีกินดีเป็นภาระหนักของบางรัฐบาล ไม่ว่าคนนั้นเคยจ่ายภาษีให้รัฐหรือไม่ จะดูดีมีคุณธรรม ไม่ทอดทิ้งผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ โดยจ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐ เข้าบัญชีเป็นรายเดือน คนแก่บางคนไม่มีปัญญาไปธนาคาร ทำธุรกรรม บางคนนอนติดเตียง บางคนเดินทางไปเบิกเงินไม่ได้ ไกลเกิน ลำบาก บางคนจำต้องใช้ลูกหลานหรือคนรู้จัก ถ้าไปเจอลูกหลานที่เบียดบังอีก ซวยเลย ขอบอก คงไม่รู้จะทำเช่นไร ที่จะให้ถึงมือเต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่ไม่ได้มากเกินในแต่ละเดือน บางคนมีฐานะการเงินดีมากถึงขั้นร่ำรวย แต่เหมารวมว่าคือผู้สูงอายุ จึงได้รับเศษเงินนี้ด้วย ส่วนคนแก่ที่ยากจนมาก ไม่มีลูกหลานมาเหลียวแล เงินที่ได้นั้นแทบจะไม่พอให้อิ่มหนำ มันยากตรงที่จะทำอย่างไรให้เกิดความพอดี คนรวยไม่ต้องรับ คนจนได้มากพอ ส่วนข้าราชการบำนาญหมดสิทธิ์ตั้งแต่แรก ทั้งที่อาจจนกว่าคนแก่ที่มีฐานะ แต่ไม่เคยรับราชการ ทำงานอิสระ บอกแล้วว่ามันยากตรงที่จะจำแนกให้ได้ และช่วยได้ตรงกับจุดที่ควรช่วย เมื่อหมิงไท่จู่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ด้วยความที่เป็นคนจนมากในอดีต รู้ดีว่าครอบครัวนั้นอัตคัดขัดสน แทบไม่มีกินนั้น มันรันทดแสนสาหัสเพียงใด จึงจัดการช่วยเหลือคนจนเป็นอันดับแรก และช่วยคนแก่ให้ได้เงินทองอาหารมากพอยังชีพ ผู้เฒ่าผู้แก่ได้รับการดูแลอย่างดี หมู่บ้านที่มีคนแก่อายุเกิน 80 ปี จะให้จัดงานเฉลิมฉลอง และได้แจกข้าวของเครื่องใช้ เพื่อไม่ให้คนในหมู่บ้านคิดว่าคนแก่เป็นภาระ แต่กลับเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา ได้รับการเหลียวแลจากรัฐ คนที่อายุ 80 ปีขึ้นไป จะได้รับแจกข้าวเดือนละ 5 โต่ว เนื้อสัตว์ 5 จิน เหล้า 3 โต่ว คนที่อายุ 90 ปีขึ้นไป แจกเพิ่มผ้าไหมและม้าให้หนึ่งตัว ฝ้าย 10 จิน การทำงานเพียงแค่เดินด้วยเท้าไปถึง ดังนั้นจึงให้เหล้า เนื้อสัตว์ ฝ้ายและผ้าไหม คงจำได้ว่า พ่อของหมิงไท่จู่ฮ่องเต้ แค่เจอผ้าแพรแดงดีใจมากมาย ทึกทักว่าลูกที่จะเกิดต้องเป็นคนมีบุญ แล้วนี่ฮ่องเต้แจกผ้าไหมให้คนแก่ มิเป็นที่โจษขานใหญ่หรือ คงได้กล่าวชื่นชมฮ่องเต้ มิหยุดหย่อนขาดปากเป็นแน่ เมื่อหมิงไท่จู่ฮ่องเต้เป็นเด็ก ผ้าแพรคงเป็นผ้าต้องห้ามสำหรับชาวนา ส่วนพ่อค้าสามารถใส่ผ้าไหมและผ้าถักทอได้เพียง 2 อย่าง เมื่อหมิงไท่จู่ฮ่องเต้ออกกฎให้ชาวบ้านมีโอกาสสวมใส่ผ้าไหม ผ้าทอด้าย ผ้าถักไหม ผ้าถักทอได้ คงเป็นจุดเปลี่ยนของสังคมมากทีเดียว
ชาวฮั่นโดนชาวมองโกลกดขี่ข่มเหง
630121 ชาวฮั่นโดนชาวมองโกลกดขี่ข่มเหง by พรรณี เกษกมล ห้าสิบปีหลังการล่มสลายของราชวงศ์ซ่งใต้ ราชวงศ์หยวนปกครองประเทศ เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น ขูดรีดข่มเหงประชาชน ช่วงนี้ชนชั้นทางสังคมแบ่งเป็น 4 ชนชั้น ชาวมองโกลเป็นชนชั้นหนึ่ง ชาวเซ่อมู่เป็นชนชั้นสอง ชาวฮั่นที่เคยเป็นประชากรของราชวงศ์จินเป็นชนชั้นสาม ส่วนชาวฮั่นทางใต้เป็นชนชั้นสี่ ชาวฮั่นทางใต้มีสถานะต่ำมาก บางทีต้องยอมเป็นคนรับใช้หรือคนงาน ถ้าฆ่าชาวฮั่นทางใต้คนหนึ่งจ่ายค่าปรับเทียบเท่าราคาหัวลาตัวหนึ่ง ชาวฮั่นทางเหนือดีกว่าหน่อย ที่ดีกว่าไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะเหลือชาวฮั่นน้อยลง ข้อห้ามของชาวฮั่นมีมากมาย เช่น ห้ามตั้งชื่อ ให้ใช้แค่วันเดือนปีเกิด ห้ามมีอาวุธในครอบครอง แม้แต่มีดทำครัวสักด้าม ยังห้ามมี โดนกดขี่เก็บภาษีอย่างหนัก ทั้งที่ชาวบ้านต่อสู้ดิ้นรนกับความอดอยากและความตาย แต่ชนชั้นปกครองไม่คิดช่วยเหลือ มีแต่กดขี่ข่มเหง มันมากเกินไปไหม ห้ามอะไรกันมากมายขนาดนี้ ข้อห้ามมากมายเช่นนี้ มีแต่ทนกับทน เมื่อสุดจะทนจึงเกิดกลุ่มต่อต้านมากขึ้นเรื่อย ๆ แรงต้านเท่ากับแรงกด กดมากขึ้น ต้านมากตาม ไม่อยากให้ต้าน อย่ากด จำไว้ยิ่งแรง ยิ่งต้านมาก จูหยวนจางเริ่มชีวิตนักต่อสู้ทางการเมือง
630121 จูหยวนจางเริ่มชีวิตนักต่อสู้ทางการเมือง การเดินทางรอนแรมเที่ยวภิกขาจาร เพื่อยังชีพในภาวะที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงอย่างเต็มรูปแบบนั้น ทำให้รับรู้ว่า ไม่ใช่เพียงแต่ตัวเขาที่ต้องร่อนเร่พเนจรเพื่อหาอาหารประทังชีวิต แต่ทุกผู้คนที่เป็นชาวฮั่นต่างได้รับกันถ้วนหน้าอย่างทั่วถึง มิมีเว้นเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อพบเห็นและเสวนากับกลุ่มกบฏที่มีความคิดเห็นต้องการช่วยเหลือชาวฮั่นที่ยากจน จึงขอเข้าร่วมขบวนการลัทธิบัวขาว ที่จะทำให้พอมองเห็นอนาคตทางการเมืองบ้าง จึงใช้ชีวิตเยี่ยงสาวกที่โพกผ้าแดง อยู่เมืองเหาโจวเป็นที่มั่นตั้งแต่นั้น ไฟอุดมการณ์แห่งการต่อสู้ทางการเมือง เริ่มจุดติดและปะทุลุกโพลงขึ้นมาในใจแล้ว ส่วนจะมอดไหม้ต่อไปหรือไม่ ยังสงสัยอยู่ ในใจที่ฮึกเหิม โดนอุดมการณ์ของลัทธิบัวขาวปั่นหูทุกเช้าค่ำ เกิดฮึกเหิมลำพองใจ จึงสาบานกับตนเองว่า “หากวันใดได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุด ภารกิจแรกที่จะดำเนินการคือปราบปรามเหล่าขุนนางคอรัปชั่น” การคอรัปชั่นนี่คงมีมาทุกยุคทุกสมัย ยิ่งกินยิ่งอยาก ยิ่งมียิ่งละโมภ ไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันพอ หารู้ไม่ มันยิ่งทำให้บ้านเมืองย่ำแย่เพราะความความละโมภโลภมาก คิดแต่เพียงว่า ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย มันคือช่องทางทำมาหากิน แล้วพวกที่มันลำบาก มันเป็นชาวฮั่นไม่ชาวมองโกล ความคิดที่อยากได้ใคร่ดี ร่ำรวยแต่พอตนของขุนนางที่เอาแต่กอบโกย คนอื่นหาอยู่ในสายตาไม่นี้ มันคือบ่อเกิดของเชื้อเพลิงที่เติมลงไปในกองแห่งความเกลียดชังของชาวฮั่นให้รุนแรงยิ่งขึ้น จูหยวนจางใช้เวลายาวนานกว่าสามปีที่รับรู้ถึงความยากลำบาก มันยิ่งสุมในอกจนอัดแน่นไปหมด และรู้ว่ามีวิธีเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้คือขับไล่ชาวมองโกลและล้มล้างราชวงศ์หยวน เรื่องใหญ่โตขนาดนี้กล้าคิดได้เยี่ยงไร เป็นเพียงหนูตัวเล็ก ๆ คิดจะต่อกรกับราชสีห์เจ้าป่า คงไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียวที่คิดเช่นนี้ ทุกความคิดกระพือโหมยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง กลุ่มกบฏผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด คำที่ฮิตติดปากทุกผู้คนคือ “หมิงหวางชูซื่อ ผู่ตู้จ้งเซิน” ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เกิดในโลกแล้ว ปลดปล่อยผู้คนจากทุกข์ยากลำบาก ด้วยไฟแค้นของชาวฮั่นที่โดนปลุกระดมทุกเมื่อเชื่อวัน ก่อให้เกิดแรงฮึดที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ ด้วยสติปัญญาอันน้อยนิด ด้วยฝีมือไม่เท่าไหร่ มีหรือจะสู้ได้ หลังจากนั้นเขากลับมาที่วัดหวางเจ๋ยสึ ได้เร่งขวนขวายศึกษาตำราอย่างขยันขันแข็ง คบหาสร้างมิตร เตรียมพร้อมที่จะเข้าร่วมก่อการ จะสู้ทั้งที ต้องสู้ให้ได้ชัยชนะ ไม่ใช่แค่แยบ ๆ แล้วตัวเองพ่ายแพ้ ชีวิตมีอุดมการณ์ทางการเมือง มากกว่าอยู่ไปวัน ๆ แค่หาอาหารมายาไส้อย่างเดิม พรรคบัวขาวนำโดยหานซันถงแต่งตั้งตัวเองเป็นหมิงหวาง และหลิวฝูทงร่วมกัน ก่อจลาจลที่อิ่นโจว เผิงอิ๋งยวี้ สวีโส่วหุย ฉีสุ่ย ผู้ก่อกบฎทั้งหมดต่างโพกผ้าแดงบนหัวเป็นสัญลักษณ์ จึงเรียกว่า กองทัพหงจินจวิน ต่อมากัวจื่อซิงและซุนเต๋อหยาก่อกบฏที่เหาโจว กลุ่มกบฎมีมากมายหลายกลุ่มก้อน ต่างมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ล้มล้างการปกครองเดิม ๆ ของชาวมองโกล จูหยวนจางได้รับจดหมายจากทังเหอเพื่อนวัยเด็กเขียนจดหมายชักชวนให้เข้าร่วมกับกัวจื่อซิง ชีวิตชาวฮั่นช่วงนี้อยู่ใต้คมหอกคมดาบ ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง อาจโดนข้อหาจากขุนนางหยวนเมื่อใดก็ได้ เมื่อเขาได้รับจดหมายนี้จากเพื่อน พี่ชายรองเตือนว่า อาจมีคนรู้เห็น และโดนโทษหนักได้ นี่เป็นจุดพลิกผันให้เข้าร่วมขบวนการใต้ดินอย่างจริงจังเมื่ออายุ 25 ปี เมื่อแรงฮึดสู้มันแรงกล้า มีหรือจะกลัว ในใจมีแต่ ไม่ถอย ไม่ทน ฮึกเหิมอยากสู้แม้ตัวจะตาย หรือหมดสิ้นในอำนาจวาสนา ขอเพียงแต่ได้สู้ และสู้เท่านั้น น่าแปลกที่เราเรียกว่าอุดมการณ์ทางการเมืองที่ปลูกฝั ปั่นหูทุกเช้าค่ำนี้ มันก่อให้เกิดพลังได้จริง ๆ และอย่างแรงกล้าด้วย มันทำได้ และทำได้เสมอมา เลือดรักชาติ เลือดรักความยุติธรรม คิดจะสร้างสิ่งดี ๆ ให้แก่บ้านเมืองและลูกหลานในสายตาของพวกเขา มันคือพลังอันบริสุทธิ์ และทำให้ชนชั้นปกครองกลายเป็นปีศาจมารร้ายที่ต้องโดนกำจัดให้หมดสิ้นซาก |
สมาชิกหมายเลข 4665919
![]() ![]() ![]() ![]() ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |