All Blog
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ พ.ศ. 1124 - 1147
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ พ.ศ. 1124 - 1147
               สุยเหวินตี้ฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์สุย
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้พระนามเดิมเจ้าอ๋องหยางเจียน พ่อชื่อหยางจงเป็นขุนพลใหญ่ในราชวงศ์
ซีเว่ย เดิมทีนั้นเจ้าอ๋องหยางเจียนเป็นพระเจ้าตาของโจวจิ้งฮ่องเต้แห่งราชวงศ์โจวเหนือหรือเป่ยโจว
องค์สุดท้าย ต่อมาสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้ปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์สุย โจวจิ้งฮ่องเต้ครองราชย์ได้เพียง 2 ปี เจ้าอ๋องหยางเจียนมหาอุปราชผู้ซึ่งเป็นบิดาของหยางฮองเฮาในโจวเสวียนตี้ฮ่องเต้โค่นบัลลังก์โจวจิ้งฮ่องเต้ด้วยการสนับสนุนของข้าราชบริพารที่ต้องการคนที่เก่งกาจรอบรู้เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าฮ่องเต้เด็กที่ไม่รู้เดียงสามาเป็นผู้นำแต่เพียงในนามและได้สิทธิ์ด้วยการสืบทอดต่อกันมาทางสายเลือด
               ฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์สุยที่ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นมามีอำนาจเหนือผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินจีนมีประวัติที่คล้ายคลึงกับฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์ฉินนามจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นอย่างมากในเรื่องของความฉลาดที่ล้ำเลิศเหนือผู้คนทั่วไป มีความสามารถทางการรบ แต่คงความดุร้าย เข้มงวด จริงจัง สามารถรวบรวมก๊กทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวแต่ราชวงศ์ไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้นานเท่าที่ควรเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็จะสามารถปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นใหญ่เหนือผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินได้ คงจะต้องมีอำนาจบารมีมากพอสมควร เมื่อได้จังหวะและโอกาสที่เหมาะสมจึงสามารถฉกฉวยผลประโยชน์นั้นมาเป็นของตนได้ พระเจ้าตาของฮ่องเต้องค์น้อยที่มีอายุเพียง 8 ขวบ ไม่รู้ภาษามากพอที่จะยึดอำนาจของตนให้อยู่กับตนต่อไป ขณะที่เจ้าอ๋องหยางเจียนมีอำนาจมากที่สุดในการคุมกำลังทหารและกองทัพ เมื่อหลานได้เป็นฮ่องเต้เมื่ออายุยังน้อยจึงง่ายต่อการยึดอำนาจมาเป็นของตนแทนการพิทักษ์ปกป้องหลานให้อยู่ในอำนาจต่อไป
คำว่าเจ้าอ๋องมีความหมายว่าเป็นญาติกับฮ่องเต้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งหรือนับเป็นหนึ่งในพระราชวงศ์
               ราชวงศ์เป่ยโจวปกครองจีนก่อนราชวงศ์สุยแต่มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจด้วยเหตุที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์โจวคือโจวจิ้งฮ่องเต้พระนามหยีเหวินเอี่ยนโดนแย่งชิงราชสมบัติจากพระเจ้าตา บางแห่งบอกว่าโจวจิ้งฮ่องเต้ยอมสละราชบัลลังก์ให้ด้วยเห็นแก่แผ่นดิน ความตอนนี้คงบอกเล่าข้อเท็จจริงไม่ได้อย่างชัดเจนว่าตาแย่งหลานหรือหลานยอมยกให้โดยดี แต่อย่างไรก็ตามพระเจ้าตาก็ได้เป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์สุยด้วยวิธีการปราบดาภิเษกหรือยกตนขึ้นมามีอำนาจด้วยตัวของตัวเองไม่ใช่สืบทอดต่ออำนาจทางสายเลือด
               แล้วก็ใช่ว่าการแย่งอำนาจจากหลานครั้งนี้จะเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะเจ้าอ๋องหรือพระญาติคนอื่น ๆ คงรู้ระแคะระคายว่าเจ้าอ๋องหยางเจียนพระเจ้าตาขณะนั้นผู้ซึ่งเป็นถึงมหาอุปราชกำลังคิดก่อการใหญ่ เจ้าอ๋องหยีเหวินเจาหนึ่งในพระญาติราชวงศ์เป่ยโจวคิดจะกำจัดเจ้าอ๋องหยางเจียนด้วยกลวิธีง่าย ๆ ด้วยการเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ ตำหนักของตน การเชื้อเชิญมหาอุปราชให้ไปทานอาหารตามลำพังโดยไม่มีกองกำลังทหารติดตามย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทำการได้โดยยาก แต่เจ้าอ๋องหยีเหวินเจาสามารถหากลอุบายใช้ความสนิทสนมส่วนตัวเพื่อให้บรรลุถึงแผนการนี้ได้
ถึงแม้เจ้าอ๋องหยางเจียนจะไม่ได้ใช้กองกำลังทหารติดตามแต่เขาไปกับขุนพลหยวนโจ้วทหารคนสนิทคู่กายซึ่งเป็นคนฉลาดทันคน มีไหวพริบปฏิภาณ มองเห็นหนทางและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อมองเห็นท่าไม่ค่อยดีมีกลิ่นทะแม่ง ๆ แค่นั้นเองขุนพลหยวนโจ้วก็กระซิบกับเจ้าอ๋องหยางเจียนให้รีบเผ่นหนี ซึ่งเท่ากับได้ช่วยชีวิตเจ้าอ๋องหยางเจียนจากการลอบทำร้ายหวังเอาชีวิตในคืนนั้นได้สำเร็จ
               ที่ว่ากลิ่นทะแม่ง ๆ ที่ขุนพลหยวนโจ้วรู้สึกคือทำไมเจ้าอ๋องหยีเหวินเจาจึงใช้ความพยายามที่จะหาทางแยกขุนพลหยวนโจ้วให้ออกห่างจากเจ้าอ๋องหยางเจียนมากจนเกินความจำเป็นในทุกวิถีทาง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ทั้งการขู่ การปลอบ การหาเหตุผลต่าง ๆ นานาเพื่อหาทางให้เจ้าอ๋องหยางเจียนอยู่ตามลำพังกับเจ้าอ๋องหยีเหวินเจา
เมื่อเจ้าอ๋องหยีเหวินเจาคิดการเพื่อหมายปลิดชีพเงียบ ๆ ให้เจ้าอ๋องหยางเจียน อยู่ตามลำพังกับตนไม่สำเร็จจึงใช้แผนสำรองให้ลูกชาย 2 คนยกกำลังทหารเข้าจู่โจมหมายเอาชีวิต แต่ขุนพลหยวนโจ้วผู้ซึ่งเฝ้าอยู่เคียงกายตลอดเวลาสามารถลักลอบพาเจ้าอ๋องหยางเจียนออกจากตำหนักเจ้าอ๋องหยีเหวินเจาได้สำเร็จ
ภายหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่นาน เจ้าอ๋องหยางเจียนได้ยึดอำนาจปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์สุยด้วยความสามารถที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เจ้าอ๋องหยางเจียนคิดจะกุมอำนาจให้เบ็ดเสร็จโดยไว เพราะถ้าขืนปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป กำลังของศัตรูจะกล้าแข็งมากขึ้น มีหรือที่ราชวงศ์โจวหรือพระญาติจะยอมปล่อยให้คนอื่นเข้ามาแย่งอำนาจได้
บางทีเจ้าอ๋องหยางเจียนอาจเจตนาที่จะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็เป็นได้ จะได้หาเหตุก่อการปฏิวัติยึดอำนาจ เป็นไปได้หรือที่ผู้มีอำนาจล้นฟ้าขนาดนั้นจะเชื่อใจคนง่าย ๆ ยอมทำตามคำของผู้อื่นและไปกับขุนพลคนสนิทเท่านั้น ถ้าไม่คิดว่านี่คือแผนล่อเสือออกจากถ้ำให้ปรากฏลายให้ชัดเจนว่าคิดเช่นไรกับตนเป็นแน่แท้เสียก่อนและจะได้นำเหตุนี้มาเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ
               เมื่อเป็นฮ่องเต้สมใจเจ้าอ๋องหยางเจียนหรือนามใหม่สุยเหวินตี้ฮ่องเต้แล้ว สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้ทำตนสมกับเป็นฮ่องเต้ที่ดีด้วยการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการแผ่นดินในทุกเรื่อง เช่นปรับระบบการใช้เงินในราชสำนักให้เข้มงวดมากขึ้น ทุกสิ่งที่ฟุ่มเฟือยให้ตัดลดงบประมาณออก ตัวอย่างหนึ่งที่พูดกันได้แก่การใช้ตะขอที่ทำด้วยเงินแท้เอาไว้ใช้แขวนผ้าม่าน และการใช้ข้าวของอันมีค่าที่มีมูลค่าเกินความจำเป็นให้ลดลง การส่งเสริมและประกาศเป็นนโยบายเรื่องการประหยัดมัธยัสถ์ได้เกิดขึ้นจริงไม่เฉพาะแต่ในวังเท่านั้นแต่รวมถึงประชาชนพลเมืองทั่วไปด้วย แม้แต่ลูกหลานก็ไม่ได้ละเว้น เมื่อฮ่องเต้มองเห็นชุดเกราะของยุพราชหยางหย่งที่สวยงามก็ไม่ทรงพอพระทัย กล่าวเตือนสติว่าถ้าฮ่องเต้มัวแต่สนใจเครื่องแต่งองค์ทรงเครื่องโดยไม่สนใจราชกิจคงไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้อย่างสงบร่มเย็น นโยบายนี้จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่เอ่ยถึงต่อมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
               สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ปกครองบ้านเมืองอย่างพระราชาที่ทรงคุณธรรม ใช้นโยบายประหยัด มัธยัสถ์
เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเงินการทองที่ขาดแคลน ซึ่งนโยบายเช่นนี้ปัจจุบันภาคพื้นยุโรปได้ใช้อยู่ ในขณะที่บางกระแสต่อต้านเพราะเชื่อว่าการทุ่มเทเงินทองให้ผู้คนได้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้นจึงจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แต่ในยุคนั้นบ้านเมืองฟื้นสภาพกลับคืนและเจริญได้อย่างรวดเร็ว
ผลงานดีเด่นอีกประการคือการยกเลิกการปกครองระบบเสนาบดี 6 ฝ่ายของราชวงศ์โจวเหนือหรือเป่ยโจวลง และจัดตั้งระบบ 3 กระทรวง 6 ฝ่ายขึ้นมาแทนที่ การปกครองใช้วิธีรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ฮ่องเต้เพียงคนเดียว ยุบรวมการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ฮ่องเต้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวในการตัดสินใจสั่งการใด ๆ ทั้งการบริหารจัดการในการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ขุนนางมีหน้าที่แค่ช่วยงานบริหารเท่านั้น ยุคนี้ฮ่องเต้จึงเป็นเผด็จการอย่างแท้จริงภายใต้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบนี้ถ้าได้ผู้นำที่เก่งและฉลาดประเทศจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันตา เพราะแม้แต่ชี้ไม้ให้เป็นนกทุกคนย่อมเห็นไม้เป็นนกเช่นกัน จะไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางคัดค้านให้เสียเวลา
               สุยเหวินตี้ฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่ปกครองแบบเผด็จการยึดอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียวดูไปแล้วเหมือนฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ด้วย สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้ปฏิรูประบอบการปกครองบ้านเมืองเช่นเดียวกับฉินจิ๋นซีฮ่องเต้โดยฟื้นฟูบ้านเมืองให้สงบราบคาบได้หลังจากเกิดสงครามมานาน
มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้รับรายงานว่า ราษฎรกินฟองเต้าหู้กับรำข้าว ทำให้สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ไม่เสวยเนื้อสัตว์กับเหล้า อีกสิ่งหนึ่งที่สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ทรงแตกต่างจากฮ่องเต้องค์อื่น ๆ หรือผู้นำระดับประเทศทั้งหลายคือทรงมีฮองเฮาเพียงองค์เดียว ไม่มีสนมเคียงกายมากมาย แต่เมื่อสิ้นตู๋กูฮองเฮาแล้วจึงมีสนม ทำให้หลายคนคิดว่าสุยเหวินตี้ฮ่องเต้กลัวตู๋กูฮองเฮา ภาษาชาวบ้านเรียกว่ากลัวเมีย ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ที่คนยิ่งใหญ่ขนาดนี้จะกลัวผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียว และธรรมเนียมจีนผู้หญิงไม่มีอำนาจเหนือผู้ชาย
นอกจากนี้นิสัยของสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้เปลี่ยนไปจากนิสัยประหยัดมัธยัสถ์ในวัยหนุ่มกลายมาเป็นคนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยในวัยชรา โดยสร้างพระราชวังใหญ่โตที่ใช้ทรัพย์สินในท้องพระคลังมากมาย เขาถึงว่าอำนาจทำให้คนเปลี่ยนไปหรือไม่ด้วยวัยที่เปลี่ยนไป พอแก่ตัวลงอะไรที่ไม่เคยทำก็ให้อยากทำ อะไรที่ไม่เคยได้ก็ให้อยากได้
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งให้หยางหย่งเป็นรัชทายาท แต่บางคนบุญน้อยเพราะหยางหย่งไม่มีโอกาสขึ้นครองราชย์เนื่องด้วยหยางกวงจัดการพระเชษฐาให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง ด้วยความชั่วร้ายของหยางกวงทำให้บางคนคิดว่าสุยเหวินตี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์เพราะฝีมือของหยางกวงด้วยซ้ำ ทั้งนี้เป็นเพราะตู๋กูฮองเฮารักในหยางกวงมากกว่าหยางหย่ง แม่รักลูกไม่เท่ากันจึงเกิดการลำเอียง ผลที่ตามมาไม่ได้ส่งผลต่อลำดับการครองราชย์ของราชสำนักเท่านั้นแต่ส่งผลถึงการสิ้นราชวงศ์เลยทีเดียว
ภายหลังจากที่สิ้นตู๋กูฮองเฮาแล้ว ฮัวฮูหยินได้เป็นสนมในสุยเหวินตี้ฮ่องเต้และความชั่วร้ายของหยางกวงที่คิดจะปลุกปล้ำขืนใจเมียของพ่อทำให้เกิดโศกนาฏกรรมตามมา เพราะจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่นานนักสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ทรงประชวรและสิ้นพระชนม์ต่อมา บางคนตั้งข้อกล่าวหาว่าลูกฆ่าพ่อเพราะหวังในตัวของฮัวฮูหยิน อะไรจะขนาดนั้น

 



Create Date : 11 กันยายน 2562
Last Update : 11 กันยายน 2562 10:07:39 น.
Counter : 1560 Pageviews.

0 comment
ราชวงศ์สุย พ.ศ. 1124 – 1161
ราชวงศ์สุย พ.ศ. 1124 – 1161
 
หลังจากบ้านเมืองยุ่งวุ่นวายเป็นหลายก๊กหลายเหล่า
ราชวงศ์สุยสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหนึ่ง
แต่อยู่ต่อมาได้อีกรัชกาลเดียวสิ้นสุดราชวงศ์สุย

ก่อนจะมาถึงยุคราชวงศ์สุยเป็นปลายสมัยหนันเป่าเฉา (พ.ศ. 963 – 1132) จีนแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าหลายก๊ก แล้วจีนกลับมาผงาดยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งด้วยการรวมตัวกันในยุคสมัยราชวงศ์สุย ในราชวงศ์สุยมีฮ่องเต้เพียง 2 องค์ คือ สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ผู้เป็นพ่อกับสุยหยางตี้ฮ่องเต้ผู้เป็นลูก พ่อเก่งกาจเลิศล้ำ เข้าใจทุกข์เข็ญของประชาชน สามารถทางการรบและรวมหลายเผ่าพันธุ์เข้าเป็นหนึ่งเดียวได้ ส่วนลูกฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเอาแต่ใจตนเป็นที่ตั้งลืมดูแลทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ทำให้กองทรายที่ก่อไว้ด้วยฝีมือพ่อพังทลายครืนลงมาอย่างง่ายดายด้วยฝีมือลูก และต้องเซ่นสังเวยชีวิตตนเอง จบสิ้นสิ่งที่พ่อได้สร้างไว้เพียง 37 ปีเท่านั้น
 

 



Create Date : 11 กันยายน 2562
Last Update : 11 กันยายน 2562 10:06:06 น.
Counter : 480 Pageviews.

0 comment
ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้พ.ศ. 402 - 456
ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้พ.ศ. 402 - 456
               ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่น
               ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้เป็นพระโอรสของฮ่องเต้องค์ที่ 6 ฮั่นจิงตี้ฮ่องเต้กับหวังจื้อฮองเฮาพระนามเดิมคือหลิวเช่อ ขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนม์16 พรรษาได้ครองบัลลังก์นานถึง 54 ปี นานกว่าฮ่องเต้องค์อื่น ๆ ของราชวงศ์ฮั่น
               ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ได้ชื่อว่าเป็นมหาราช เป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจมีความสามารถมาก ชื่อในภาษาฮกเกี้ยนเรียกว่าฮั่นเกงเต้ โอรสชื่อจงซานจิ้งอ๋องซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเล่าปี่แห่งจ๊กก๊กในสามก๊กหรือหลิวเป้ย
               ในบรรดาฮ่องเต้แล้วต้องนับว่าฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้เป็นผู้ที่เก่งกาจและมีฝีมือมากไม่ว่าจะเป็นการทหาร การปกครอง อาจจะเทียบได้กับฉินซีฮ่องเต้ สิ่งที่เหนือกว่าอาจจะเป็นการขยายแผ่นดินจีนได้กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดมากกว่าสมัยของฉินซีฮ่องเต้เสียอีก ด้านผลงานการปกครองมีที่ปรากฏเป็นหลักฐานชัดแจ้งเช่นกัน
ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่นิยมลัทธิขงจื้อ รวมทั้งได้ศึกษาแนวคิดของต่งจงซู และคัมภีร์อู่จิงที่เป็นตำราว่าด้วยหลักการประพฤติปฏิบัติตนของเหล่าปัญญาชนในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ได้เผยแพร่ลัทธิขงจื้อจนเป็นที่แพร่หลายในสังคม และได้ส่งเสริมความรู้ให้แก่ประชาชนชาวบ้านด้วยการจัดทำหอสมุดแห่งชาติรวบรวมสรรพความรู้ทั้งปวงของแผ่นดินจีน ทำให้ความรู้ที่กระจัดกระจายหลายแห่งได้มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งเดียว ห้องสมุดแห่งนี้นอกจากเกิดประโยชน์ต่อคนในยุคนั้นยังกลายมาเป็นขุมทรัพย์อันมหาศาลและกลายเป็นแหล่งค้นคว้าอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ของคนรุ่นต่อมา
               ความเจริญของบ้านเมืองที่สั่งสมมาหลายยุคหลายสมัยได้ก่อตัวให้เกิดอารยธรรมของประเทศแผ่นดินของราชวงศ์ฮั่นก็เช่นกัน บ้านเมืองได้พัฒนามาหลายสมัยตั้งแต่ฮั่นเกาจู่ฮ่องเต้พอมาถึงรัชสมัยนี้บ้านเมืองจึงเกิดความเจริญสูงสุด ด้านการคมนาคมขนส่งมีการบุกเบิกเส้นทางสายไหมเพื่อเดินทางค้าขายกับชาติทางตะวันตก เชื่อมเส้นทางระหว่างประเทศทางตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน และเกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชนต่างเผ่าพันธุ์ ด้านการทูตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ส่งจางเซียนเป็นทูตสันถวไมตรีเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศทางตะวันตก
               ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่ครองราชย์นานที่สุดของราชวงศ์ฮั่นและของประเทศจีน ได้สร้างพระราชวังและทำสงครามบ่อยครั้ง จำต้องทำธุรกิจหาเงินให้พอใช้ โดยรัฐใช้อำนาจผูกขาดทำมาค้าขายค้าขายด้วยรัฐดำเนินการเอง ควบคุมกำกับราคาสินค้าเองในกิจการหลายอย่าง เช่น ค้าเกลือ โลหะ เหล้า ด้านการเงินการคลังของประเทศได้จัดทำเหรียญกษาปณ์ขึ้นใช้เป็นครั้งแรกกำหนดเงินตราสกุลเดียวกัน เงินเหรียญ 5 จูมีน้ำหนักเท่ากับน้ำหนักของเมล็ดข้าวโพด 500 เมล็ด เขียนภาษาจีนกำกับอย่างชัดเจน และตั้งกฎห้ามเศรษฐีทำเหรียญกษาปณ์ใช้เอง ต้องใช้เฉพาะเหรียญกษาปณ์ของรัฐเท่านั้นทำให้ธุรกิจการหลอมเหล็กต้องตกเป็นของรัฐโดยปริยาย ด้านกฎหมายได้ตรากฎหมายที่เกี่ยวกับการขนส่งลำเลียงสินค้าและตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมทั้งใบอนุญาต การดูแลธุรกิจการเงินการคลังเช่นนี้ทำให้เป็นช่วงที่ประเทศเจริญสูงสุดโดยดูจากเงินในท้องพระคลังที่มากมาย

เมื่อแผ่นดินสงบสุขบ้านเมืองมั่นคง การปกครองได้เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนั้นได้ส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น และเจริญสัมพันธไมตรีกับดินแดนแถบตะวันตกฝั่งด่านอี้เหมินกวนและด่านหยังกวน

ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อชายแดนทางภาคเหนือที่ชนเผ่าซงหนูคอยมาระราน ด้านการทหารฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้มีนโยบายที่จะปราบปราบชนเผ่าพื้นเมืองที่รายล้อมรอบชายแดนประเทศไม่ให้มาก่อกวนปล้นชิงทรัพย์ชาวฮั่นอีกต่อไป โดยฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ได้นำทัพเองถึง 3 ครั้งและส่งขุนพลประจำกายชื่อเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้งพร้อมทหารนับเรือนแสนไปโจมตีชนเผ่าซงหนูถึงที่ใจกลางฐานทัพ ทำให้ชนเผ่าซงหนูแตกกระเจิงออกไปไกลจากชายแดนฮั่นหนีถอยร่นออกไปทางทิศเหนือที่เป็นทะเลทรายมองโกเลีย ทางภาคเหนือไม่มารุกรานอีก เมื่อได้ชัยชนะเหนือชนเผ่าซงหนูซึ่งเป็นชนเผ่าท้องถิ่นที่มีขุมกำลังมากที่สุดสำเร็จ ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ได้ใช้กองกำลังเข้าปราบปรามชนเผ่าต่าง ๆ ให้ราบคาบ ส่งผลให้ดินแดนชาวฮั่นภายใต้การปกครองของฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ขยายขอบเขตออกไปกว้างใหญ่ต่อจากนั้นได้บุกเบิกพื้นที่ทำกินทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซ่อมแซมกำแพงเมืองจีน จัดทำระบบสัญญาณเตือนภัยตามชายแดนและกำแพงเมือง

ถึงแม้ว่าบ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองแต่ภายในราชสำนักค่อนข้างยุ่งเหยิงเนื่องแต่ฮองเฮาและสนมมีจำนวนมาก เฉินฮองเฮาโดนปลดด้วยข้อหาใช้มนต์ดำ ส่วนเว่ยฮองเฮารวมทั้งพระโอรสพระธิดาโดนชะตากรรมที่รุนแรงต้องโทษหนักข้อหาคิดจะแย่งราชสมบัติ ตั้งแต่องค์ชายหลิวจูตำแหน่งองค์รัชทายาทหลี่ทรงปลงพระชนม์เอง องค์หญิงเว่ย องค์หญิงหยางฉี องค์หญิงจูอี้โดนคำสั่งประหาร

บรรดาพระสนมที่ปรากฏหลักฐาน คือ พระสนมหลี่ฟูหยินพระมารดาขององค์ชายหลิวโปต่อมาได้เป็นองค์ชายไอ่แห่งฉางอี้ พระสนมหวังพระมารดาขององค์ชายหลิวฮง พระสนมหลี่จี้พระมารดาขององค์ชายหลิวตันและองค์ชายหลิวซู พระสนมโจวพระมารดาขององค์ชายหลิวฟูหลิงต่อมาได้เป็นฮั่นโจวตี้ฮ่องเต้

พระนัดดาองค์ชายหลิวจินเป็นโอรสในองค์ชายหลิวจู ตำแหน่งรัชทายาทหลี่และเป็นพระบิดาของฮั่นเสวียนตี้ฮ่องเต้ องค์ชายหลิวเหอโอรสขององค์ชายหลิวโปได้ครองราชย์ต่อจากฮั่นโจวตี้ฮ่องเต้เพียง 27 วัน โดนปลดจากตำแหน่ง สุดท้ายพระปนัดดาองค์ชายหลิวปิงอี้ได้ครองราชย์เป็นฮั่นเสวียนตี้ฮ่องเต้




Create Date : 11 กันยายน 2562
Last Update : 11 กันยายน 2562 9:57:34 น.
Counter : 1538 Pageviews.

0 comment
ชื่อราชวงศ์จีน
รายชื่อราชวงศ์ที่ปกครองจีนโดยฮ่องเต้ เรียงตามลำดับ
ลำดับ 1 ราชวงศ์ ฉิน พ.ศ. 322 - 337
ลำดับ 2 ราชวงศ์ ฮั่นตะวันตก พ.ศ. 337 - 552
ลำดับ 3 ราชวงศ์ ซิน พ.ศ. 552 - 568
ลำดับ 4 ราชวงศ์ ฮั่นตะวันออก พ.ศ. 568 - 763
ลำดับ 5 ราชวงศ์ ยุคสามก๊ก พ.ศ. 763 - 823
ลำดับ 6 ราชวงศ์ จิ้น พ.ศ. 808 - 963
ลำดับ 7 ราชวงศ์ ยุคห้าชนเผ่าสิบหกแคว้น พ.ศ. 847 - 982
ลำดับ 8 ราชวงศ์ เหนือ-ใต้ พ.ศ. 963 - 1132
ลำดับ 9 ราชวงศ์ สุย พ.ศ. 1124 - 1160
ลำดับ 10 ราชวงศ์ ถัง พ.ศ. 1161 - 1450
ลำดับ 11 ราชวงศ์ อู่โจว พ.ศ. 1233 - 1248
ลำดับ 12 ราชวงศ์ ห้าราชวงศ์ พ.ศ. 1450 – 1503
ลำดับ 13 ราชวงศ์ เหลียว พ.ศ. 1450 – 1503
ลำดับ 14 ราชวงศ์ ซ่ง พ.ศ. 1503 – 1822
ลำดับ 15 ราชวงศ์ จิน พ.ศ. 1658 – 1777
ลำดับ 16 ราชวงศ์ หยวน พ.ศ. 1749 – 1930
ลำดับ 17 ราชวงศ์ หมิง พ.ศ. 1911 – 2187
ลำดับ 18 ราชวงศ์ ชิง พ.ศ. 2187 – 2454



Create Date : 11 กันยายน 2562
Last Update : 11 กันยายน 2562 9:52:00 น.
Counter : 1211 Pageviews.

0 comment
ฮั่นโจวตี้พ.ศ. 456 – 469
ฮั่นโจวตี้พ.ศ. 456 – 469
            ฮั่นโจวตี้เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ฮั่น
            ฮั่นโจวตี้พระนามเดิมคือหลิวฟูหลิง เป็นโอรสองค์เล็กของฮ่องเต้องค์ที่ 7 ฮั่นอู่ตี้กับสนมโจว ไม่ใช่พระโอรสของฮองเฮา แต่มีโอกาสได้ครองราชย์ด้วยความสับสนภายในราชสำนัก
            ความสับสนนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ปั่นป่วนวุ่นวายยุ่งเหยิง แทบจะล้างตระกูลลูกหลานของฮั่นอู่ตี้ทีเดียว ไม่ว่าพระโอรส พระธิดา ฮองเฮา หรือสนม สังเวยชีวิตให้กับเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ ที่น่าเสียดายทั้งหมดเกิดจากแผนการใส่ร้ายป้ายสีของคนไม่กี่คน
            คนข้างกายฮั่นอู่ตี้ ต้นเหตุแห่งความวุ่นวาย จนถึงกับไม่ไว้ใจแม้แต่ลูกแท้ ๆ ว่าจะก่อกบฏ กลับไปเชื่อคนอื่น ด้วยคิดว่าเรื่องฝันบอกเหตุ กับมนต์ดำเป็นเรื่องจริงที่น่ากลัว หารู้ไม่ต้นตอที่แท้คือตัวเองทั้งนั้น ถ้าใจมั่นคง ไม่มีใครหรือสิ่งใดมาทำร้ายได้หรอก
            หลิวฟูหลิงประสูติเมื่อพระบิดามีพระชนม์ 62 พรรษา ได้เป็นองค์รัชทายาทแทนองค์ชายหลิวจูตำแหน่งองค์รัชทายาทหลี่ ที่ปลงพระชนม์เอง หลังจากที่โดนข้อกล่าวหาว่าใช้มนต์ดำและก่อกบฏ แล้วพ่ายแพ้ ทั้งที่เป็นการใส่ความเท็จ
            กอปรกับฮั่นอู่ตี้มีเมียเยอะลูกมาก การแข่งขันชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยาจึงเกิดขึ้น ไม่รู้ใครต่อใครเป็นพวกใครกันแน่ การวางแผนอันแยบยลจึงเกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ และสามารถทำได้สำเร็จอีกต่างหาก เพราะพ่อมัวแต่เชื่อความฝัน และกลัวการใช้มนต์ดำอย่างฝังจิตฝังใจ
            ทำไมต้องก่อกบฏ ในเมื่อได้เป็นรัชทายาทอยู่แล้ว เพราะราชสำนักวุ่นวายยุ่งเหยิง ทำให้เกิดการแข่งขันชิงดีชิงเด่นระหว่างฮองเฮาและสนมในการสืบทอดอำนาจรัชทายาท
            ใคร ๆ คงอยากให้ลูกของตัวเองได้เป็นรัชทายาท ทั้งที่ได้แต่งตั้งไปแล้ว โอกาสทองอาจผ่านมาอีกครั้ง ถ้ารัชทายาทโดนปลด
            การใส่ร้ายป้ายสีว่าใช้มนต์ดำและก่อกบฏ ไม่รู้เป็นแผนการที่แท้จริงของใคร แต่ทำให้ฮั่นอู่ตี้ผู้เชื่อในเรื่องความฝันจะทำนายเหตุการณ์ได้ เมื่อโดนเจียงชงและซูเหวินหลอกล่อ และใส่ความว่า เว่ยฮองเฮาและองค์ชายหลิวจูใช้ตุ๊กตาไม้ทำมนต์ดำ
            บุญใครกรรมมัน ไม่รู้ใครมีบุญอภินิหารมากกว่า ผู้ที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ต้องมีบุญญาธิการสูงส่งเหนือกว่าใคร ๆ ในใต้หล้า
            ลูกเล็กที่เกิดเมื่อพ่อแก่เฒ่าคงเป็นที่รักของพ่อจนถึงกับมอบสิ่งมีค่ามากที่สุดให้ แทนที่จะมอบบัลลังก์ให้กับลูกคนอื่น ๆ ที่โตกว่ารู้เดียงสามากกว่า อาจเป็นเพราะลูกเล็กยังไม่อาจรู้ความมากพอที่จะต่อต้านพ่อหรือไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับพี่ ๆ
            หลังจากผ่านเหตุอันเลวร้ายและน่าสยดสยองที่ทำร้ายองค์ชายหลิวจูจนต้องฆ่าองค์เองนั้น คงสืบสวนหาข้อเท็จจริงและได้ลงโทษบรรดาสนม โอรสและธิดาอีกจนแทบจะไม่เหลือ ยกเว้นโอรสองค์สุดท้องที่ยังเด็กเกินจะไปรู้ความอันชั่วร้ายที่พี่ ๆ ได้ทำลงไป
            ฮั่นโจวตี้ขึ้นครองราชย์ด้วยพระชนม์เพียง 7 พรรษา มีฮั่วกวงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตลอดรัชสมัย 13 ปี สวรรคตเมื่อพระชนม์ 20 พรรษา เท่ากับฮั่วกวงได้ว่าราชการแทนตลอดรัชสมัยของฮั่นโจวตี้ฮ่องเต้
 

            ฮั่วกวง เป็นผู้มีอำนาจ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในฮั่นโจวตี้
            การแต่งตั้งเด็ก 7 ขวบให้เป็นรัชทายาทอาจไม่ใช่เกิดจากความรักของพ่อเพียงอย่างเดียว อาจมีเงื่อนงำทางการเมืองอื่น ๆ ก็เป็นได้
            ฮั่วกวงคือใครกันแน่ จึงได้มีอำนาจบทบาทใหญ่โตเป็นผู้สำเร็จราชการแทน
            ถึงฮั่นอู่ตี้จะดูเก่งกาจเป็นมหาราช แต่มีส่วนทำให้บัลลังก์คลอนแคลนได้ ด้วยแต่งตั้งเด็ก 7 ขวบ สืบทอดอำนาจแทน ทั้งที่มีลูกชายที่โตเป็นหนุ่มแล้วมากมาย เกิดอะไรขึ้นกันนะ อยากรู้เหลือเกิน
            ฮั่วกวง ชื่อรองจื่อเหมิง เป็นขุนนางที่ฮั่นอู่ตี้ทรงไว้วางพระทัยให้เป็นผู้สำเร็จราชการให้ฮั่นโจวตี้ ฮั่วกวงเป็นหลานชายของแม่ทัพเว่ยชิง เป็นน้องชายต่างมารดากับแม่ทัพฮั่วชี่ปิ้ง ส่วนฮั่วชี่ปิ้งเป็นหลานน้าของเว่ยชิง  เว่ยชิงเป็นน้องชายของเว่ยจื่อฟู ฮองเฮาคนโปรดของฮั่นอู่ตี้ จึงมีเส้นสายที่ใหญ่โตจากตระกูลแม่ทัพที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา
            รักเพื่อนร่วมรบมาก ไว้ใจในสายเลือดของเพื่อนที่เป็นหลานชาย และได้แรงสนับสนุนจากฮองเฮา ฮั่นอู่ตี้จึงมอบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้แก่ฮั่วกวง
 
            ด้วยฮั่นโจวตี้ไม่มีโอรสสืบต่อเพราะสวรรคตเมื่อพระชนม์เพียง 20 ยังไม่ทันมีพระโอรสสืบต่อ
ฮ่องเต้บางองค์สามารถมีพระโอรสในอายุเพียงเท่านี้ แต่ฮั่นโจวตี้ยังไม่มี
            ฮั่วกวงจึงเชิญองค์ชายหลิวเหอโอรสขององค์ชายหลิวโปครองราชย์ต่อจากฮั่นโจวตี้แต่เพียง 27 วัน ฮั่วกวงสั่งปลดองค์ชายหลิวเหอจากตำแหน่ง
            องค์ชายหลิวเหอสวรรคตในอีก 15 ปีต่อมา เห็นไหมอำนาจของฮั่วกวงผู้สำเร็จราชการใหญ่แค่ไหนสั่งปลดฮ่องเต้ได้ด้วย ไม่ชอบใจหรือมีเหตุอันใด แค่ 27 วันเท่านั้นนะ อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งหลักเลย ตกสวรรค์
            เมื่อมีคนรัก ย่อมมีคนเกลียด ยิ่งมีอำนาจล้นฟ้า ชี้เป็นชี้ตายได้ ย่อมส่งผลต่ออีกหลายชีวิต
            ผ่านมาจนถึงรัชสมัยฮั่นเสวียนตี้ ขุนนางที่ไม่ลงรอย ได้ถวายฎีกา จนเป็นเหตุให้ยึดทรัพย์และประหารทุกคนที่แซ่ฮั่วจนหมดสิ้น ไม่รู้กี่ชั่วโคตรกัน หมดสิ้นตระกูลทั้งโคตรเหง้าเหล่ากอ
            คนเป็นผู้สำเร็จราชการย่อมมีอำนาจเต็ม เพราะฮ่องเต้องค์น้อยยังเด็กนัก ไม่ประสีประสา
            เมื่อมีอำนาจ ย่อมเหลิงและหลงในอำนาจ จึงกดขี่ผู้ที่อ่อนด้อยและคอยคัดค้าน ที่ร้ายสุดให้พระนางซ่านกวงอภิเษกสมรสกับฮั่นเจาตี้ แล้วสองตระกูลนี้เกิดขัดใจจนถึงขั้นทะเลาะกันอย่างรุนแรง
            ซ่านกวงเจี๋ยเชิญฮั่วกวงมาในงานเลี้ยง หมายจะลอบฆ่า แต่ฮั่วกวงรู้ทัน คงมีอีกาคาบข่าวมาบอกจึงไปงานเลี้ยงตามคำเชิญ แต่ทว่าเพื่อจับตระกูลซ่านกวงประหารชีวิตทั้งสิ้น
            หลังสิ้นฮั่นโจวตี้ ผู้สำเร็จราชการย่อมมีอำนาจมากอยู่จึงคัดเลือกฮ่องเต้ตามลำพัง
            ช่วงแรกจะเลือกหลิวซวยเป็นพระญาติที่อาวุโสที่สุด ทว่ามีนิสัยที่ไม่ค่อยดี จึงเปลี่ยนใจจะให้หลิวเฮ่อ แต่หลิวเฮ่อเห่อเหิมทะเยอทะยานเกินเหตุ เลยอด สุดท้ายให้หลิวปิงอี้เป็นฮั่นเสวียนตี้ฮ่องเต้
            ฮั่วกวงทำให้คนเกลียดชังมาก โดยเฉพาะหลิวซวยกับหลิวเฮ่อที่พลาดตำแหน่ง จึงถวายฎีกาให้เอาผิดคนในตระกูลฮั่วซะเลย ฮั่นเสวียนตี้เลยถือโอกาสใช้ตำแหน่งฮ่องเต้ปลดระวางกลุ่มขั้วอำนาจเก่าซะเลย          
            รัชสมัยของฮั่นโจวตี้ พูดถึงแต่ฮั่วกวงผู้มีอำนาจตัวจริง ส่วนฮั่นโจวตี้เป็นเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิด

 
 



Create Date : 13 สิงหาคม 2562
Last Update : 13 สิงหาคม 2562 16:31:32 น.
Counter : 1310 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments