All Blog
621129 กลุ่มชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินจีน

บนผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศจีนนั้น มีหลายชนเผ่ามาอยู่ร่วมกัน ปัจจุบันนับได้ถึง 56 กลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ ๆ แต่ในอดีตนานนับพันปี อาจมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่านี้ก็เป็นได้
            เมื่อชาวฮั่นนับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากที่สุด จึงคิดว่านี่คือผืนแผ่นดินของพวกเขา แต่การยกย่องให้เกียรติว่าเป็นชาวจีนด้วยกัน ทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข อาจมีบางครั้งบางคราวที่มีปัญหากระทบกระทั่งกันบ้าง
            ถึงชาวฮั่นจะเป็นชนกลุ่มใหญ่บนผืนแผ่นดินจีน แต่ทว่ากลับกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในหลายประเทศทั่วโลก ด้วยเกิดสงครามและความไม่สงบบ่อยครั้ง ทำให้กลุ่มหนึ่งอพยพหนีภัยไปแสวงหาดินแดนใหม่
            ต้นตระกูลของชาวฮั่นสืบเชื้อสายมาจากชาวหัวเซี่ยในแถบลุ่มแม่น้ำฮวงโห ที่ก่อเกิดอารยธรรมจีนโบราณ เมื่อมีอำนาจปกครองจีน และยิ่งใหญ่สุดเริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ฉินนั้น ได้ผลัดเปลี่ยนกันมามีอำนาจจนถึงยุคหนึ่งที่ชาวแมนจูมาบุกยึดและเถลิงอำนาจเหนือแผ่นดินจีน ทำให้ชาวแมนจูนับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งรองลงมา
            ราชวงศ์ชิงปกครองจีนเป็นราชวงศ์สุดท้าย ถึงจะพยายามบังคับให้ชาวฮั่นเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่เมื่อถึงช่วงการปฎิวัติซินไห่ ทำให้ชาวแมนจูกลับมายอมรับวัฒนธรรมของชาวฮั่น และพูดภาษาจีน จนภาษาของชาวแมนจูใกล้สาบสูญเหลือคนพูดได้เพียงผู้สูงอายุในชนบทภาคเหนือของจีนเท่านั้น
            กลุ่มชาติพันธุ์หุยเป็นชาวจีนที่เป็นมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม ส่วนใหญ่อยู่ในดินแดนปกครองตนเองมณฑลหนิงเซีย กานซู่ ซิงไห่และซินเกียง บางส่วนกระจายอยู่ทั่วประเทศ เช่น ในปักกิ่ง หยุนหนาน ชาวหุยพูดภาษาจีนและมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับชาวฮั่น
กลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์เป็นชาวมุสลิมกลุ่มใหญ่ในภาคตะวันตกของจีน นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนหนี่และซูฟี ส่วนภาษาอุยกูร์เป็นภาษาหนึ่งในตระกูลอัลตาอิก เนื่องจากศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากชาวฮั่น ทำให้บางครั้งเกิดการกระทบกระทั่งกับชาวฮั่นและมีการเรียกร้องเอกราชในนามของเตอร์กิสถานตะวันออก
กลุ่มชาติพันธุ์ถู่จีอา หรือชาวทู่เจี๋ยสืบเชื้อสายมาจากชาวปาโบราณที่ก่อตั้งอาณาจักรปาในเขตนครฉ่งชิ่งเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว ต่อมาถูกทำลายลงโดยจักรวรรดิฉิน ชาวทู่เจี๋ยมีภาษาเป็นของตนเอง สื่อสารด้วยภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น

 
 



Create Date : 29 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2562 15:53:53 น.
Counter : 702 Pageviews.

0 comment
จิ๋นซีมาไทย
 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ว่าง ๆ มาเที่ยวชม สำหรับผู้ที่หาโอกาสไปซีอานยากนะ ถึง 15 ธค.62



Create Date : 17 ตุลาคม 2562
Last Update : 17 ตุลาคม 2562 5:24:31 น.
Counter : 649 Pageviews.

0 comment
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ พ.ศ. 1124 - 1147
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ พ.ศ. 1124 - 1147
          สุยเหวินตี้ฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์สุย
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้พระนามเดิมเจ้าอ๋องหยางเจียน พ่อชื่อหยางจงเป็นขุนพลใหญ่ในราชวงศ์
ซีเว่ย เดิมทีนั้นเจ้าอ๋องหยางเจียนเป็นพระเจ้าตาของโจวจิ้งฮ่องเต้แห่งราชวงศ์โจวเหนือหรือเป่ยโจว
องค์สุดท้าย ต่อมาสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้ปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์สุย โจวจิ้งฮ่องเต้ครองราชย์ได้เพียง 2 ปี เจ้าอ๋องหยางเจียนมหาอุปราชผู้ซึ่งเป็นบิดาของหยางฮองเฮาในโจวเสวียนตี้ฮ่องเต้โค่นบัลลังก์โจวจิ้งฮ่องเต้ด้วยการสนับสนุนของข้าราชบริพารที่ต้องการคนที่เก่งกาจรอบรู้เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าฮ่องเต้เด็กที่ไม่รู้เดียงสามาเป็นผู้นำแต่เพียงในนามและได้สิทธิ์ด้วยการสืบทอดต่อกันมาทางสายเลือด
            ฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์สุยที่ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นมามีอำนาจเหนือผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินจีนมีประวัติที่คล้ายคลึงกับฮ่องเต้องค์แรกในราชวงศ์ฉินนามจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นอย่างมากในเรื่องของความฉลาดที่ล้ำเลิศเหนือผู้คนทั่วไป มีความสามารถทางการรบ แต่คงความดุร้าย เข้มงวด จริงจัง สามารถรวบรวมก๊กทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวแต่ราชวงศ์ไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้นานเท่าที่ควรเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็จะสามารถปราบดาภิเษกตั้งตนเป็นใหญ่เหนือผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินได้ คงจะต้องมีอำนาจบารมีมากพอสมควร เมื่อได้จังหวะและโอกาสที่เหมาะสมจึงสามารถฉกฉวยผลประโยชน์นั้นมาเป็นของตนได้ พระเจ้าตาของฮ่องเต้องค์น้อยที่มีอายุเพียง 8 ขวบ ไม่รู้ภาษามากพอที่จะยึดอำนาจของตนให้อยู่กับตนต่อไป ขณะที่เจ้าอ๋องหยางเจียนมีอำนาจมากที่สุดในการคุมกำลังทหารและกองทัพ เมื่อหลานได้เป็นฮ่องเต้เมื่ออายุยังน้อยจึงง่ายต่อการยึดอำนาจมาเป็นของตนแทนการพิทักษ์ปกป้องหลานให้อยู่ในอำนาจต่อไป
คำว่าเจ้าอ๋องมีความหมายว่าเป็นญาติกับฮ่องเต้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งหรือนับเป็นหนึ่งในพระราชวงศ์
            ราชวงศ์เป่ยโจวปกครองจีนก่อนราชวงศ์สุยแต่มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจด้วยเหตุที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์โจวคือโจวจิ้งฮ่องเต้พระนามหยีเหวินเอี่ยนโดนแย่งชิงราชสมบัติจากพระเจ้าตา บางแห่งบอกว่าโจวจิ้งฮ่องเต้ยอมสละราชบัลลังก์ให้ด้วยเห็นแก่แผ่นดิน ความตอนนี้คงบอกเล่าข้อเท็จจริงไม่ได้อย่างชัดเจนว่าตาแย่งหลานหรือหลานยอมยกให้โดยดี แต่อย่างไรก็ตามพระเจ้าตาก็ได้เป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์สุยด้วยวิธีการปราบดาภิเษกหรือยกตนขึ้นมามีอำนาจด้วยตัวของตัวเองไม่ใช่สืบทอดต่ออำนาจทางสายเลือด
            แล้วก็ใช่ว่าการแย่งอำนาจจากหลานครั้งนี้จะเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะเจ้าอ๋องหรือพระญาติคนอื่น ๆ คงรู้ระแคะระคายว่าเจ้าอ๋องหยางเจียนพระเจ้าตาขณะนั้นผู้ซึ่งเป็นถึงมหาอุปราชกำลังคิดก่อการใหญ่ เจ้าอ๋องหยีเหวินเจาหนึ่งในพระญาติราชวงศ์เป่ยโจวคิดจะกำจัดเจ้าอ๋องหยางเจียนด้วยกลวิธีง่าย ๆ ด้วยการเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำ ณ ตำหนักของตน การเชื้อเชิญมหาอุปราชให้ไปทานอาหารตามลำพังโดยไม่มีกองกำลังทหารติดตามย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทำการได้โดยยาก แต่เจ้าอ๋องหยีเหวินเจาสามารถหากลอุบายใช้ความสนิทสนมส่วนตัวเพื่อให้บรรลุถึงแผนการนี้ได้
ถึงแม้เจ้าอ๋องหยางเจียนจะไม่ได้ใช้กองกำลังทหารติดตามแต่เขาไปกับขุนพลหยวนโจ้วทหารคนสนิทคู่กายซึ่งเป็นคนฉลาดทันคน มีไหวพริบปฏิภาณ มองเห็นหนทางและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อมองเห็นท่าไม่ค่อยดีมีกลิ่นทะแม่ง ๆ แค่นั้นเองขุนพลหยวนโจ้วก็กระซิบกับเจ้าอ๋องหยางเจียนให้รีบเผ่นหนี ซึ่งเท่ากับได้ช่วยชีวิตเจ้าอ๋องหยางเจียนจากการลอบทำร้ายหวังเอาชีวิตในคืนนั้นได้สำเร็จ
            ที่ว่ากลิ่นทะแม่ง ๆ ที่ขุนพลหยวนโจ้วรู้สึกคือทำไมเจ้าอ๋องหยีเหวินเจาจึงใช้ความพยายามที่จะหาทางแยกขุนพลหยวนโจ้วให้ออกห่างจากเจ้าอ๋องหยางเจียนมากจนเกินความจำเป็นในทุกวิถีทาง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ทั้งการขู่ การปลอบ การหาเหตุผลต่าง ๆ นานาเพื่อหาทางให้เจ้าอ๋องหยางเจียนอยู่ตามลำพังกับเจ้าอ๋องหยีเหวินเจา
เมื่อเจ้าอ๋องหยีเหวินเจาคิดการเพื่อหมายปลิดชีพเงียบ ๆ ให้เจ้าอ๋องหยางเจียน อยู่ตามลำพังกับตนไม่สำเร็จจึงใช้แผนสำรองให้ลูกชาย 2 คนยกกำลังทหารเข้าจู่โจมหมายเอาชีวิต แต่ขุนพลหยวนโจ้วผู้ซึ่งเฝ้าอยู่เคียงกายตลอดเวลาสามารถลักลอบพาเจ้าอ๋องหยางเจียนออกจากตำหนักเจ้าอ๋องหยีเหวินเจาได้สำเร็จ
ภายหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่นาน เจ้าอ๋องหยางเจียนได้ยึดอำนาจปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้องค์แรกแห่งราชวงศ์สุยด้วยความสามารถที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส นี่คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เจ้าอ๋องหยางเจียนคิดจะกุมอำนาจให้เบ็ดเสร็จโดยไว เพราะถ้าขืนปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป กำลังของศัตรูจะกล้าแข็งมากขึ้น มีหรือที่ราชวงศ์โจวหรือพระญาติจะยอมปล่อยให้คนอื่นเข้ามาแย่งอำนาจได้
บางทีเจ้าอ๋องหยางเจียนอาจเจตนาที่จะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็เป็นได้ จะได้หาเหตุก่อการปฏิวัติยึดอำนาจ เป็นไปได้หรือที่ผู้มีอำนาจล้นฟ้าขนาดนั้นจะเชื่อใจคนง่าย ๆ ยอมทำตามคำของผู้อื่นและไปกับขุนพลคนสนิทเท่านั้น ถ้าไม่คิดว่านี่คือแผนล่อเสือออกจากถ้ำให้ปรากฏลายให้ชัดเจนว่าคิดเช่นไรกับตนเป็นแน่แท้เสียก่อนและจะได้นำเหตุนี้มาเป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ
            เมื่อเป็นฮ่องเต้สมใจเจ้าอ๋องหยางเจียนหรือนามใหม่สุยเหวินตี้ฮ่องเต้แล้ว สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้ทำตนสมกับเป็นฮ่องเต้ที่ดีด้วยการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการแผ่นดินในทุกเรื่อง เช่นปรับระบบการใช้เงินในราชสำนักให้เข้มงวดมากขึ้น ทุกสิ่งที่ฟุ่มเฟือยให้ตัดลดงบประมาณออก ตัวอย่างหนึ่งที่พูดกันได้แก่การใช้ตะขอที่ทำด้วยเงินแท้เอาไว้ใช้แขวนผ้าม่าน และการใช้ข้าวของอันมีค่าที่มีมูลค่าเกินความจำเป็นให้ลดลง การส่งเสริมและประกาศเป็นนโยบายเรื่องการประหยัดมัธยัสถ์ได้เกิดขึ้นจริงไม่เฉพาะแต่ในวังเท่านั้นแต่รวมถึงประชาชนพลเมืองทั่วไปด้วย แม้แต่ลูกหลานก็ไม่ได้ละเว้น เมื่อฮ่องเต้มองเห็นชุดเกราะของยุพราชหยางหย่งที่สวยงามก็ไม่ทรงพอพระทัย กล่าวเตือนสติว่าถ้าฮ่องเต้มัวแต่สนใจเครื่องแต่งองค์ทรงเครื่องโดยไม่สนใจราชกิจคงไม่สามารถปกครองบ้านเมืองได้อย่างสงบร่มเย็น นโยบายนี้จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่เอ่ยถึงต่อมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
            สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ปกครองบ้านเมืองอย่างพระราชาที่ทรงคุณธรรม ใช้นโยบายประหยัด มัธยัสถ์
เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเงินการทองที่ขาดแคลน ซึ่งนโยบายเช่นนี้ปัจจุบันภาคพื้นยุโรปได้ใช้อยู่ ในขณะที่บางกระแสต่อต้านเพราะเชื่อว่าการทุ่มเทเงินทองให้ผู้คนได้จับจ่ายใช้สอยมากขึ้นจึงจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แต่ในยุคนั้นบ้านเมืองฟื้นสภาพกลับคืนและเจริญได้อย่างรวดเร็ว
ผลงานดีเด่นอีกประการคือการยกเลิกการปกครองระบบเสนาบดี 6 ฝ่ายของราชวงศ์โจวเหนือหรือเป่ยโจวลง และจัดตั้งระบบ 3 กระทรวง 6 ฝ่ายขึ้นมาแทนที่ การปกครองใช้วิธีรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ฮ่องเต้เพียงคนเดียว ยุบรวมการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ฮ่องเต้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวในการตัดสินใจสั่งการใด ๆ ทั้งการบริหารจัดการในการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ขุนนางมีหน้าที่แค่ช่วยงานบริหารเท่านั้น ยุคนี้ฮ่องเต้จึงเป็นเผด็จการอย่างแท้จริงภายใต้การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบนี้ถ้าได้ผู้นำที่เก่งและฉลาดประเทศจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเห็นผลทันตา เพราะแม้แต่ชี้ไม้ให้เป็นนกทุกคนย่อมเห็นไม้เป็นนกเช่นกัน จะไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางคัดค้านให้เสียเวลา
            สุยเหวินตี้ฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่ปกครองแบบเผด็จการยึดอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียวดูไปแล้วเหมือนฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ด้วย สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้ปฏิรูประบอบการปกครองบ้านเมืองเช่นเดียวกับฉินจิ๋นซีฮ่องเต้โดยฟื้นฟูบ้านเมืองให้สงบราบคาบได้หลังจากเกิดสงครามมานาน
มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้รับรายงานว่า ราษฎรกินฟองเต้าหู้กับรำข้าว ทำให้สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ไม่เสวยเนื้อสัตว์กับเหล้า อีกสิ่งหนึ่งที่สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ทรงแตกต่างจากฮ่องเต้องค์อื่น ๆ หรือผู้นำระดับประเทศทั้งหลายคือทรงมีฮองเฮาเพียงองค์เดียว ไม่มีสนมเคียงกายมากมาย แต่เมื่อสิ้นตู๋กูฮองเฮาแล้วจึงมีสนม ทำให้หลายคนคิดว่าสุยเหวินตี้ฮ่องเต้กลัวตู๋กูฮองเฮา ภาษาชาวบ้านเรียกว่ากลัวเมีย ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ที่คนยิ่งใหญ่ขนาดนี้จะกลัวผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียว และธรรมเนียมจีนผู้หญิงไม่มีอำนาจเหนือผู้ชาย
นอกจากนี้นิสัยของสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้เปลี่ยนไปจากนิสัยประหยัดมัธยัสถ์ในวัยหนุ่มกลายมาเป็นคนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยในวัยชรา โดยสร้างพระราชวังใหญ่โตที่ใช้ทรัพย์สินในท้องพระคลังมากมาย เขาถึงว่าอำนาจทำให้คนเปลี่ยนไปหรือไม่ด้วยวัยที่เปลี่ยนไป พอแก่ตัวลงอะไรที่ไม่เคยทำก็ให้อยากทำ อะไรที่ไม่เคยได้ก็ให้อยากได้
สุยเหวินตี้ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งให้หยางหย่งเป็นรัชทายาท แต่บางคนบุญน้อยเพราะหยางหย่งไม่มีโอกาสขึ้นครองราชย์เนื่องด้วยหยางกวงจัดการพระเชษฐาให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง ด้วยความชั่วร้ายของหยางกวงทำให้บางคนคิดว่าสุยเหวินตี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์เพราะฝีมือของหยางกวงด้วยซ้ำ ทั้งนี้เป็นเพราะตู๋กูฮองเฮารักในหยางกวงมากกว่าหยางหย่ง แม่รักลูกไม่เท่ากันจึงเกิดการลำเอียง ผลที่ตามมาไม่ได้ส่งผลต่อลำดับการครองราชย์ของราชสำนักเท่านั้นแต่ส่งผลถึงการสิ้นราชวงศ์เลยทีเดียว
ภายหลังจากที่สิ้นตู๋กูฮองเฮาแล้ว ฮัวฮูหยินได้เป็นสนมในสุยเหวินตี้ฮ่องเต้และความชั่วร้ายของหยางกวงที่คิดจะปลุกปล้ำขืนใจเมียของพ่อทำให้เกิดโศกนาฏกรรมตามมา เพราะจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่นานนักสุยเหวินตี้ฮ่องเต้ทรงประชวรและสิ้นพระชนม์ต่อมา บางคนตั้งข้อกล่าวหาว่าลูกฆ่าพ่อเพราะหวังในตัวของฮัวฮูหยิน อะไรจะขนาดนั้น

 



Create Date : 13 ตุลาคม 2562
Last Update : 13 ตุลาคม 2562 16:39:15 น.
Counter : 699 Pageviews.

0 comment
ฉินจิ๋นซี
ฉินจิ๋นซีเป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฉิน
พระนามเดิม อิ๋งเจิ้ง
พระบิดาคือหวังจวังเซียง เป็นเจ้าผู้ครองนครฉิน พระมารดาคือพระสนมเจ้า
อดีตของฉินจิ๋นซีที่เกิดขึ้นนานมาแล้วนั้น ค่อนข้างสับสนและแตกต่างกันไปในหลายแห่ง
หนึ่งในนั้นกล่าวว่า อิ๋งเจิ้งเกิดที่แคว้นเจ้า เป็นบุตรองค์ชายอี้เหรินแห่งแคว้นฉินที่เป็นตัวประกันที่แคว้นเจ้า กับเจ้าจีอดีตนางรำของหลี่ปู้เหว่ย ตอนนั้นแคว้นเจ้ายิ่งใหญ่กว่าแคว้นฉิน ทำให้พ่อของอิ๋งเจิ้งต้องตกเป็นตัวประกัน
อดีตของอิ๋งเจิ้งนี้ค่อนข้างสับสน ทำให้ไปแต่งเป็นภาพยนตร์ได้หลากหลาย ทำให้เกิดข่าวลือที่ว่า ที่แท้อิ๋งเจิ้งเป็นบุตรที่ติดท้องมาของเจ้าจีกับหลี่ปู้เหว่ย ด้วยเจ้าจีเป็นเมียลับและตั้งท้องก่อนที่จะได้ถวายตัวเป็นสนมของอี้เหริน จริงเท็จไม่รู้ได้ ทำให้หลี่ปู้เหว่ยได้สนับสนุนอิ๋งเจิ้งจนก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่สุดเหนือหกแคว้น
 เมื่ออี้เหรินกลับแคว้นฉิน และได้เป็นฉินจวงเซียงหวาง อิ๋งเจิ้งในฐานะบุตรชายและเจ้าจีพระสนมได้กลับแคว้นฉินด้วย สถาปนาอิ๋งเจิ้งเป็นรัชทายาท
ฉินจวงเซียงหวางครองราชย์ได้เพียง 3 ปี สิ้นพระชนม์ อิ๋งเจิ้งขึ้นครองราชย์ต่อ เมื่ออายุเพียง 13 ปี โดยหลี่ปู้เหว่ยเป็นอัครเสนาบดีและผู้สำเร็จราชการ พ่อตัวจริงได้ครองอำนาจ ซึ่งได้วางแผนมาเนิ่นนานแล้ว โดยให้เจ้าจีเป็นตัวเดินเรื่อง
หลี่ปู้เหว่ยกุมอำนาจสูงสุดในแคว้นฉิน และยังคงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเจ้าจีไทเฮา เพราะเคยเป็นคู่ขากันมาแต่เก่าก่อน แต่เมื่ออิ๋งเจิ้งเป็นใหญ่สุดและเริ่มโตเป็นหนุ่มพอรู้ความ ทำให้ไม่กล้ามีความสัมพันธ์แบบเดิมอย่างชัดแจ้ง
หลี่ปู้เหว่ยกลัวเรื่องราวจะลุกลามบานปลายใหญ่โต จึงหยุดความสัมพันธ์กับเจ้าจีไทเฮา แต่ได้แนะนำเล่าไอ่มาแทนตน โดยให้ปลอมมาเป็นขันทีในตำหนักเจ้าจีไทเฮา
ไม่มีใครรู้เจตนาที่แท้จริงของหลี่ปู้เหว่ย ที่ทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โตในภายหลัง
ทำไมหลี่ปู้เหว่ยให้ชายแท้เข้ามาดูแลเจ้าจีไทเฮา แต่ที่รู้แน่ เล่าไอ่น่าจะทำเกินคำสั่ง เพราะได้เสียกับเจ้าจีไทเฮาและมีลูกด้วยกันถึงสองคน สมัยนั้นไม่มียาคุมกำเนิด เมื่อทำแล้วต้องให้กำเนิดลูกแน่
เล่าไอ่เข้ามากุมอำนาจในราชสำนักผ่านทางเจ้าจีไทเฮา ด้วยความเป็นชายแต่ปลอมตัวในฐานะขันที ทำให้มีความสัมพันธ์กัน และมีบุตรลับ ๆ กับเจ้าจีไทเฮาอีก 2 คน
เรื่องนี้ยิ่งแปลกประหลาดใหญ่ เพราะสามารถปกปิดได้เป็นนานสองนาน
เมื่ออิ๋งเจิ้งโตเป็นหนุ่ม รู้เรื่องราวที่ตนคิดว่าน่าบัดสี และอดีตของพระมารดาที่เป็นของหลี่ปู้เหว่ยกับเล่าไอ่ จึงเริ่มคิดแผนการกำจัดคู่ขาของพระมารดา
ระหว่างที่อิ๋งเจิ้งเดินทางออกจากเมืองหลวงเสียนหยาง เล่าไอ่ได้ก่อการกบฏ
แผนล่อเสือออกจากถ้ำครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นธาตุแท้ของชายชู้ของแม่
อิ๋งเจิ้งเรียกระดมพลและปรามกบฏเล่าไอ่และพรรคพวก ทั้งหมดโดนประหารชิวิต
ถ้าไม่แน่จริง คงไม่สามารถปราบกบฏพ่อเลี้ยงได้
เจ้าจีไทเฮาถูกส่งตัวไปกักบริเวณในตำหนักที่ยงตูเมืองหลวงเก่า บุตร 2 คนของเจ้าจี ไทเฮา กับเล่าไอ่โดนประหารชีวิตเช่นกัน จะเก็บไว้ทำไม ถึงจะเป็นน้องร่วมแม่ แต่มันทำให้คนทั้งเมืองได้รู้ว่า แม่ของตนทำการบัดสี ไม่สมฐานะของการเป็นไทเฮาเอาเสียเลย
ส่วนหลี่ปู้เหว่ยโดนปลดจากอัครเสนาบดีและผู้สำเร็จราชการ และโดนย้ายไปอยู่ลั่วหยางเมืองศักดินาของตน ต่อมาโดนเนรเทศไปชายแดนเสฉวน และบีบคั้นจนต้องดื่มสุราพิษฆ่าตัวตาย
ในหนังเรื่องนี้ แท้จริงหลี่ปู้เหว่ยเป็นพ่อแท้จริงของฉินจิ๋นซี แต่ไม่ได้ประกาศตน ไม่เช่นนั้นอิ๋งเจิ้งจะไม่ได้สิทธิของการเป็นฉินจิ๋นซี ด้วยความร่ำรวย ด้วยความเก่งกาจของหลี่ปู้เหว่ยที่ได้ปูทางทุกอย่างให้อิ๋งเจิ้งก้าวสู่การเป็นอ๋องแคว้นฉินและเป็นอ่องเต้พระองค์แรกของประเทศจีน
 
ฉินจิ๋นซีได้ประกาศตนเป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฉินและนับได้ว่าเป็นฮ่องเต้องค์แรกของประเทศจีน
คำว่าอ๋องแทนกษัตริย์หรือผู้ครองแคว้น เมื่อฉินจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแคว้นทั้ง 6 เข้ากับแคว้นฉิน 7 แคว้นนี้จึงมีฐานะเป็นประเทศจีน
ฉินจิ๋นซีได้คิดคำใหม่เพื่อแทนความยิ่งใหญ่ของผู้คุมอ๋องทั้งหมด จึงใช้คำว่าฮ่องเต้สำเนียงแต้จิ๋ว หรือหวงตี้สำเนียงจีนกลาง ซึ่งมีความหมายว่าโอรสแห่งสวรรค์
เมื่อพระองค์ได้ปกครองแคว้นฉิน ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของ 6 รัชกาลแต่ก่อนของฉิน นับตั้งแต่ ฉินเซี่ยวกงเป็นต้นมา ใช้การปฏิบัติทางการเมืองและการปฏิรูประบอบต่าง ๆ เพื่อทำให้แคว้นฉินมั่นคงเข้มแข็ง และมีกำลังกล้าแข็งจนผงาดขึ้นมาปราบแคว้นทั้งหมดได้
ฉินจิ๋นซีสามารถรวบรวมและผนวก 6 แคว้นเป็นเอกภาพ ปิดฉากยุคจ้านกว๋อ สถาปนาราชวงศ์ฉิน ออกโจมตีชนเผ่าซงหนูทางเหนือ พิทักษ์ดินแดนของฉิน รุกรานชนเผ่าไป่เยว่ทางใต้ รวบอำนาจเข้ามาสู่ส่วนกลาง และสร้างมาตรฐานให้เป็นเสมือนประเทศเดียวกัน แทนที่จะเป็นแคว้นต่างกัน 6 แคว้น
การสถาปนาตนขึ้นเป็นใหญ่ได้พระนามว่าฉินสื่อหวงตี้ หรือฉินฉื่อหวังตี้ แต่คนไทยจะขานพระนามว่าฉินจิ๋นซีตามสำเนียงของจีนแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นคนจีนที่อพยพมาเมืองไทยในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมากที่สุด และนับเป็นจำนวนที่อยู่ในเมืองไทยมาก
            ฉินจิ๋นซีเป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจฉลาดหลักแหลมมากที่สุด แต่ราชวงศ์ฉินอยู่ได้เพียง 2 รัชกาลเท่านั้น เป็นอันจบสิ้นราชวงศ์ การวางรากฐานที่มั่นคงก็ใช่ว่าจะคงอยู่ได้นานถ้าผู้ที่สานต่อไร้ซึ่งคุณธรรมและความสามารถ
            เรื่องของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นภาพยนตร์หลายครั้ง แต่ละครั้งมีพลอตเรื่องที่แตกต่างกันไปขึ้นกับผู้แต่ง แค่เรื่องอดีตของฮ่องเต้ยังไม่อาจระบุได้ชัดเจน
            บ้างว่า แม่ของเขาเป็นหญิงเริงเมืองที่บังเอิญมีลูกกับอ๋อง และไปอยู่ยังแคว้นอื่นเพื่อเป็นตัวประกัน ได้กลับมายังฉินเมื่อโตขึ้น จึงมีโอกาสเป็นอ๋อง
            บ้างว่า แท้ที่จริงเขาไม่ใช่ลูกของอ๋องตัวจริง มีการสับเปลี่ยนตัว เพื่อหาคนมาเป็นตัวแทน ช่วงแรกเด็กคนนี้ไม่ยินยอมที่จะเป็นตัวแทน เมื่อหมดหนทางจริง ๆ จึงจำยอมเป็นอ๋อง และสามารถเป็นได้อย่างดี
 
            เมืองหลวงในขณะนั้นคือเมืองเสียนหยางหรือซีอานในปัจจุบัน คนไทยนิยมไปเที่ยวเพื่อเยี่ยมชมสุสานฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ที่มีตุ๊กตาหินทหารจำนวนมากมายน่าจะเท่ากับจำนวนทหารในอดีตเพราะตุ๊กตาหินแต่ละตัวมีหน้าตารูปร่างไม่เหมือนกันอันอาจจะเกิดจากช่างปูนปั้นตั้งใจปั้นให้หน้าตาเหมือนทหารแต่ละคนหรือไม่ก็ฝีมือช่างปูนปั้นไม่คงที่ซึ่งกลายเป็นเสน่ห์อย่างยิ่งในกาลต่อมา
            บางคนอาจเคยดูหนังจีนเรื่องหนึ่งที่คนรุ่นนี้ย้อนเวลาหาอดีตได้ และพยายามผูกโยงเรื่องว่าทำไมต้องปั้นปูนเป็นรูปทหารและม้าศึก เพราะโดยคติความเชื่อว่าต้องฆ่าทหารและม้าศึกฝังกลบในสุสานฮ่องเต้ ซึ่งหนุ่มนี้คิดแผนการใหม่ว่าถ้าใช้ปูนปั้นทหารและม้าศึกจะใช้แทนกันได้ ทำให้ไม่เสียทรัพยากรและชีวิตทหารจำนวนมากเพื่อติดตามรับใช้ในชาติหน้า ก็เป็นเพียงหนังสนุก ๆ ให้ดูกันและพยายามหาเหตุผลว่าทำไมจึงทำเช่นนี้แทนการทำตามจารีตประเพณีแต่ดั้งเดิม
            ปัจจุบันสุสานนักรบดินเผาที่กลายเป็นหินนับพันนับหมื่นนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศจีน
           
            เมื่อได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ฉินจิ๋นซีได้ปรับระบบต่าง ๆ ให้ทันสมัย เช่น ระบบเงินตรา ระบบชั่งตวงวัด  ระบบตัวหนังสือซึ่งจะเป็นภาษากลางให้ทุกแคว้นใช้เหมือนกัน ระบบการปกครองเป็นจังหวัด อำเภอ การปราบปรามชนต่างเผ่า
การสร้างกำแพงเมืองจีนให้เชื่อมกำแพงของทุกแคว้นเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ว่าฉินจิ๋นซีเพียงคนเดียวที่สร้างกำแพงเมืองจีนทั้งหมด ทุกแคว้นต่างมีกำแพงเมืองของตนอยู่แล้ว เพียงแต่ให้กำแพงทั้งหมดเชื่อมติดต่อกันเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนต่างเผ่าที่อยู่ทางเหนือของประเทศ ได้แก่ พวกมองโกล ชี่ตัน ซ่งหนู กำแพงนี้มีความยาวหมื่นลี้ บางคนจึงเรียกกำแพงเมืองจีนว่ากำแพงหมื่นลี้
พวกชนเผ่าทางเหนือต่างมีฝีมือและต้องการมารุกราน ยึดครองแผ่นดินทางใต้ที่อุดมสมบูรณ์และอบอุ่นกว่า มาถึงยุคหนึ่ง ชาวมองโกลสามารถยึดครองจีนได้และตั้งราชวงศ์หยวน และชาวแมนจูเรียมายึดครองแล้วตั้งราชวงศ์ชิง
กำแพงเมืองจีนที่เชื่อมต่อกันทุกเมืองสามารถมองเห็นได้เมื่ออยู่นอกโลกจากคำบอกเล่าของนักบินอวกาศ จึงเป็นมรดกโลกที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำรายได้มหาศาล
ใครจะไปรู้ว่า สิ่งที่ทำในวันนี้จะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลในอนาคต
 
            ฉินจิ๋นซีเป็นนักปฏิรูปหัวก้าวหน้าที่คิดค้นนวตกรรมมาปกครองประเทศ ช่วงแรกฉินจิ๋นซีสร้างความเข้มแข็งทางการทหารและเศรษฐกิจของแคว้นฉินแล้วรุกรานแคว้นทั้ง 6 จนพ่ายแพ้
ใช้เวลานาน 26 ปี สามารถรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์จีน ตั้งตนในตำแหน่งฮ่องเต้ครั้งแรก ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้จึงเป็นฮ่องเต้องค์แรกของจักรวรรดิจีน
เมื่อเป็นฮ่องเต้ได้เริ่มระบบการปฏิรูปแบบซางหยางขับเคลื่อนให้แคว้นทั้ง 7 พัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ใช้การปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ฮ่องเต้ ยกเลิกระบบอำนาจแบบอ๋องเดิมที่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นทั้ง 6 มีอำนาจเด็ดขาด
อ๋องและบรรดาขุนนางมีหน้าที่รับถ่ายทอดพระบัญชาไปปฏิบัติตามโดยไม่ต้องโต้แย้งหรือให้ข้อคิดเห็น แต่งตั้งขุนนางใหญ่ 3 คน ในตำแหน่งมหาอำมาตย์หรืออัครมหาเสนาบดีหรือเฉิงเซี่ยงเป็นผู้มีอำนาจรองจากฮ่องเต้ ที่ปรึกษาฮ่องเต้หรือยวี่สื่อต้าฟูคอยกำกับดูแลข้าราชบริพารทุกระดับชั้น
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดหรือไท่เว่ยดูแลกิจการทหาร แบ่งดินแดนจาก 7 แคว้นใหญ่ออกเป็น 36 แคว้นย่อย แต่ละแคว้นแบ่งย่อยเป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน แคว้นยินยอมให้ประชาชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินโดยกำหนดให้มีโฉนดกำกับสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ดิน
สร้างความแข็งแกร่งของประเทศด้วยการสร้างเอกภาพของชาติ จัดทำระบบสำมะโนประชากรทั่วทั้งประเทศ จัดทำมาตรฐานภาษาเขียน จัดทำระบบเงินตรา มาตราชั่งตวงวัด สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างความเจริญให้แก่ประเทศจีนในกาลต่อมา
การเป็นผู้นำที่จะให้ผู้คนจดจำควรเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และคิดค้นนวตกรรมใหม่ที่จะมาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองหรือเพื่อพัฒนาให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้น ไม่ใช่สักแต่ทำงานประจำให้รอดพ้นไปวัน ๆ
การสั่งย้ายเศรษฐีผู้ดีมีเงินหรือเจ้าสัวทั้งหลายให้อพยพมาอยู่ยังเมืองหลวงหรือนครเสียนหยางยิ่งเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ส่วนชาวบ้านให้ไปทำไร่ไถนาและพัฒนาที่ดินในถิ่นทุรกันดาร พวกนักโทษอาชญากรให้ไปอยู่ตามชายแดน จัดสรรปันส่วนที่อยู่ที่ดินทำกินให้เหมาะกับคนแต่ละกลุ่มแต่ละพวกเพื่อเป็นฐานความเจริญในแต่ละจุด
            ผลงานที่โดดเด่นจนถึงปัจจุบันคือการสร้างถนนขนาดรถม้า 2 คัน สวนกันได้ตลอดบนกำแพงเมืองจีน และถนนทุกแห่งในเมือง เชื่อมต่อกำแพงของทุกเมืองเพื่อป้องกันชนต่างเผ่าเช่นเผ่าซงหนู กำแพงนี้กลายเป็นกำแพงเมืองจีนที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดของโลกและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกปัจจุบัน รวมทั้งการขุดลอกคูคลองขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการคมนาคมขนส่งทางน้ำภายในประเทศ
 
            ด้วยความเป็นคนเก่งและมีอำนาจในตนสามารถสั่งการได้ทุกเรื่องจึงใช้อาญาสิทธิ์จัดการกับทุกคนที่ไม่ทำตามพระราชประสงค์หรือบังอาจขัดขืน แน่นอนย่อมก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำสร้างความไม่พึงพอใจให้แก่ขุนนางได้ เพียงแต่ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อสิ้นบุญพ่อหมดอำนาจวาสนา ผู้เป็นลูกจึงไม่อาจทนต่อกระแสของคลื่นใต้น้ำได้
            คนเก่งจะคู่กับความเป็นเผด็จการ เพราะคิดว่าตนเองเก่งแน่ จะเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก จึงเชื่อในฝีมือความสามารถของตนและสามารถทำได้ดีกว่าเหนือกว่ามากกว่ายอมรับว่าคนอื่นทำได้
            ด้วยเหตุนี้จึงมักเผอเรอทำกิริยาที่ไม่เหมาะไม่งามคล้ายดูถูกดูแคลนคนอื่นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเหตุให้คนรอบข้างที่อ่อนด้อยกว่าไม่พึงพอใจและพร้อมจะหาเรื่องโจมตี น่าแปลกที่หลายคนไม่ชอบผู้นำที่เก่งเกินไป
            เชื่อว่าบรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายอยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดและเสนอ เป็นเต่าหัวหดในกระดอง ครั้นสิ้นฉินจิ๋นซีฮ่องเต้จึงลุกขึ้นมาต่อต้านพระโอรสที่ไม่มีฝีมือ
การทำสิ่งแปลกใหม่ที่ดีเด่นกว่าเดิมใช่ว่าจะนำมาซึ่งความพอใจของคนส่วนมากในสังคมที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
            การเป็นคนเก่งและตั้งใจทำงานสูงมากเพื่อให้เสร็จทันใจของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ย่อมบ่มเพาะนิสัยเอาแต่ใจไว้ด้วย ยิ่งในสมัยที่ฮ่องเต้มีอำนาจเหนือทุกผู้คนจึงสั่งการได้ทุกเรื่องราวแม้แต่เรื่องที่ไม่น่าทำ
ความอำมหิตโหดร้ายนี้มีคนเล่าต่อกันมาว่าจะจับประหารชีวิตทันทีโดยไม่ต้องไต่สวนทวนความว่าจริงเท็จประการใด แค่สงสัยก็กระทำได้และไม่ใช่แต่บุคคลที่สงสัยว่ากระทำความผิดเท่านั้นแต่ได้ลงโทษทั้งโคตร แต่จะกี่ชั่วโคตรไม่ได้บอกไว้ 
วิธีการประหารในสมัยนั้นจะใช้การแยกร่างด้วยม้าห้าตัวผูกเชือกเข้ากับร่างผู้โดนประหาร แน่นอนม้าทั้งห้าคงแยกวิ่งกันคนละทิศละทาง ร่างมนุษย์ก็คงแยกชิ้นส่วน ความเจ็บปวดก่อนตายคงสุดคณานับแต่พวกเขาคงไม่มีโอกาสบรรยายความโหดร้ายนี้ได้ด้วยตนเอง
ผู้ที่เฝ้ามองอยู่คงกระอักกระอ่วนอ๊วกแตกไปตามกัน  นอกจากนี้การประหารอาจใช้การตัดหัวเสียบประจานซึ่งดูจะทารุณน้อยกว่าการให้ม้าห้าตัวแยกร่าง
 
บางทีสิ่งที่คิดอาจดีหรือไม่ดีก็ได้ สิ่งที่เลวร้ายในสายตาของนักวิชาการก็มี
            สิ่งที่ฉินจิ๋นซีทำและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันคือการเผาตำราของขงจื๊อทั้งหมดรวมทั้งคัมภีร์ที่คิดอ่านแตกต่างจากฮ่องเต้ การฆ่าบัณฑิตผู้นิยมลัทธิขงจื๊อทั้งหมดกว่า 400 คน ด้วยการเผาทั้งเป็นหรือไม่ก็ฝังทั้งเป็นหรือไม่ก็ฝังแค่ร่างแล้วตัดหัว
            ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่หรือไม่ ในการล้มเลิกศรัทธาความเชื่อของคนส่วนมาก แล้วพยายามยัดเยียดสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้แก่ประชาชน
สิ่งที่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ทำเช่นนี้ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้มีมาตรฐานเดียวกันทุกเรื่องบนผืนแผ่นดินที่พระองค์ทรงรวบรวมได้ แต่การกระทำเช่นนี้เหมือนการหักด้ามพร้าด้วยเข่ามันรุนแรงและโหดร้ายเกินไปในสายตาของผู้คนที่ยึดมั่นในลัทธิขงจื๊อ
วิธีการทารุณผู้ต่อต้านโหดร้ายรุนแรง แต่ทั้งหมดที่ได้ทำกลับกลายเป็นพื้นฐานที่สร้างให้จีนเป็นอารยประเทศในกาลต่อมา เลยไม่รู้ว่าวิธีการที่เด็ดขาดเข้มแข็งโหดร้ายนี้ดีหรือไม่ดี
            ความดุร้ายเข้มงวดรวมไปถึงการเกณฑ์แรงงานเพื่อสร้างกำแพงเมืองจีน สร้างสุสาน พระราชวังทำให้ผู้คนล้มตายอย่างน่าอเน็จอนาถใจเป็นอันมากนับเป็นเรือนล้านกว่างานจะสำเร็จตามพระราชประสงค์ เพราะเช่นนี้กำแพงเมืองจีนจึงสำเร็จลุล่วงและเป็นสิ่งมหัศจรรยืของโลกในทุกวันนี้ บนซากศพของแรงงานนับล้าน บนความทารุณโหดร้ายที่บีบบังคับชนชั้นผู้ไม่มีโอกาสต่อสู้
การขูดรีดภาษีจากประชาชนเพื่อบำรุงบำเรอความสุขและความปรารถนาของตนในการเดินทางท่องเที่ยวทั่วผืนแผ่นดินที่ตนรวบรวมได้ ทั้งหมดกลายเป็นภาพลบที่เกิดแก่ฮ่องเต้องค์แรกของประเทศจีน แม้ว่าบางสิ่งบางอย่างได้กลายเป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่าต่อผู้คนในยุคต่อมาก็ตามที
            ความอำมหิตโหดร้ายไม่ใช่กระทำต่อประชาชนเท่านั้นแต่รวมไปถึงพระโอรสองค์โตพระโอรสฝูซูที่น่าจะเป็นรัชทายาท ที่จริงน่าจะเรียกว่า ความเข้มงวดกวดขันและจริงจังต่อทุกเรื่องราวเสียมากกว่า
ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้โดนขัดใจเพราะพระโอรสฝูซูขัดคำสั่งพระบิดา เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ได้เนรเทศว่าที่รัชทายาทฝูซูให้ไปสร้างกำแพงเมืองจีนเหมือนชาวบ้านทั่วไป
แม้แต่เพื่อน ๆ ที่บังอาจเพ็ดทูลในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิดของพระองค์ก็จับลงโทษเช่นกัน อย่างนี้ซิจึงจะเรียกว่าเผด็จการสมบูรณ์แบบและอำมหิตโหดร้ายตัวพ่อ
            ความที่อำมหิตโหดร้ายเกินธรรมดา จึงมีหลายคนคิดที่จะล้มล้างอำนาจนี้ให้หมดไป บรรดาผู้ที่ไม่ชอบเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทำอย่างปกปิดซ่อนเร้นเหมือนคลื่นใต้น้ำ เพราะถ้าโดนจับก็คงต้องตายอย่างทารุณ ชีวิตความเป็นอยู่ของขุนนางและประชาชนคงอยู่กันด้วยความหวาดผวาและไม่มีความสุข
            ที่น่าแปลกคนยิ่งมีอำนาจมากยิ่งอยากเสพอำนาจให้มากขึ้นและนานขึ้น เมื่อฉินจิ๋นซีฮ่องเต้หลงอยู่ในอำนาจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ในใจคงหวั่นเกรงว่าตนจะหมดอำนาจด้วยวัยชราที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้จึงเร่งแสวงหายาอายุวัฒนะเพื่อให้ตนเป็นหนุ่มอยู่ยงคงกระพันไปตลอด
ความจริงย่อมเป็นความจริง เกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจธรรมโลก แต่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้คงทำใจยอมรับสัจธรรมนี้ไม่ได้ จึงดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์ เพื่อค้นคว้าหายาอายุวัฒนะให้จงได้
            คนมีอำนาจมาก เสพสุขได้ทุกสิ่งตามใจปรารถนา ย่อมปรารถนาให้ชีวิตอยู่ยืนยาว ส่วนคนยากไร้นับวันรอให้จากโลกนี้ไปเร็ว ๆ เผื่อชาติหน้าอาจสบายขึ้นมาบ้าง
            ช่วงหลังฉินจิ๋นซีต้องการอายุที่ยืนยาว จึงเดินทางรอนแรมแสวงหาสมุนไพรในถิ่นทุรกันดารด้วยตนเอง ได้เรียกให้พระโอรสองค์โตฝูซูกลับวังหลังจากโดนเนรเทศ แต่พระอนุชาหูไห่รวมหัวกับเจ้าเกาขันทีขัดขวาง จะว่าไปแล้วพระโอรสองค์โตฝูซูว่าที่รัชทายาทเป็นคนที่เก่งกาจฉลาดเฉลียวไม่แพ้ผู้เป็นพระบิดาแต่อ่อนโยนและใจดีมากกว่ามาก
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเมื่อจะต้องสิ้นราชวงศ์ฉินจึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ระหว่างการเดินทางรอนแรมลงทางภาคใต้ของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ กลุ่มการเมืองของหูไห่ที่มีเจ้าเกาขันที และเฉิงเซี่ยงหลี่ซือได้วางแผนปลงพระชนม์รัชทายาทฝูซูและแต่งตั้งให้หูไห่เป็นรัชทายาทแทน ด้วยการปลอมแปลงราชโองการที่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ต้องการให้พระโอรสองค์โตฝูซูว่าที่รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดอำนาจนั้นกลายเป็นสั่งให้พระโอรสองค์โตฝูซูและเหมิงเถียนฆ่าตัวตาย แทนที่จะได้กลับวังอย่างคนเป็น ๆ กลายเป็นศพกลับแทนทั้งที่เป็นราชโองการปลอมแท้ ๆ
            โลกจะจารึกแต่ชื่อผู้เก่งกาจและทำคุณประโยชน์ ฉินจิ๋นซีเป็นคนหนึ่งที่โลกได้จารึกถึงเขา ทั้งผู้ที่สานต่อกำแพงเมืองจีนจนมองเห็นได้จากนอกโลก และผู้ที่ทำลายล้างตำราของขงจื๊อ เพื่อจะสร้างมาตรฐานชีวิตใหม่ แต่ลืมไปว่า ศรัทธาความเชื่อมิใช่สิ่งที่จะสร้างหรือทำลายได้ในพริบตาเดียว
ฉินจิ๋นซีเป็นฮ่องเต้พระองค์แรก
ที่สร้างมาตรฐานความเป็นหนึ่งเดียว
มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและโดดเด่น
แต่พลาดท่าที่คิดทำลายศรัทธาดั้งเดิม

 



Create Date : 04 ตุลาคม 2562
Last Update : 4 ตุลาคม 2562 4:57:15 น.
Counter : 1323 Pageviews.

1 comment
621003 เมื่อจิ๋นซีมาเยือนไทย
621003 เมื่อจิ๋นซีมาเยือนไทย
               จิ๋นซีฮ่องเต้มาเยือนไทย 15 กันยา ถึง 15 ธันวา 2562 จำเป็นที่คนไม่เคยไปถึงซีอานเพื่อชมสุสานกองทัพนักรบจีน ต้องหาโอกาสไปที่พิพิธภัณฑสถาน พระนครให้จงได้
               ครั้งแรกวันจันทร์ที่ 23 กันยา ตั้งท่าไปอย่างดี อ๊ะ ๆ เซ่อมากไม่รู้ว่าเขาปิดวันจันทร์กับอังคาร
               วันนี้ 3 ตุลาไปอีกรอบ โอ้โห คนมากมาย ทั้งไทยเทศ คนจีนเยอะ คงไม่เคยไปถึงซีอานด้วย ฝรั่งก็เยอะ
               ผู้สูงอายุ เลย 60 กับเด็ก ฟรีจ้า แต่ราคาเข้าแค่ 30 บาทเอง
               ไม่ผิดหวังจริง ๆ ยืนพิศดูดินเผาของเขาแล้ว อดทึ่งไม่ได้ เนื้อเนียนแน่นเกือบคล้ายเซรามิคหรู ๆ แต่เป็นแค่สีดิน เขาบอกตอนขุดพบใหม่ ๆ มันฝังอยู่ใต้ดิน มีสีสรรสวยงามมาก หลากสี
               กาลเวลาผ่านไปนานกว่า 2,200 ปี เมื่อขุดขึ้นมาบนดิน สีเหล่านี้จางหายไป จีนเลยสั่งยกเลิกส่วนที่เหลือ ต้องหาวิทยาการใหม่ ๆ ให้ได้ก่อน แล้วที่ไม่ขุด เขาว่ากันว่า เพชรนิลจินดามากล้น กลไกป้องกันโจรกรรมมากหลาย เกรงว่าจะเกิดอันตรายจากสารปรอทที่ป้องกันดินแถบนั้นแทนน้ำจากแม่น้ำที่มาหล่อเลี้ยง
               อียิปต์เจริญมีฟาโรห์ ฝังในปีรามิด จีนมีฮ่องเต้ฝังในสุสาน ให้รู้ไปเลยว่าผู้มีอำนาจในกาลก่อนนั้นมีบารมีมากล้นจริง ๆ ไม่ว่าอำนาจลาภยศ ทรัพย์สินศฤงการ ผ่านไปนานนับพัน ๆ ปี ผู้คนยุคหลังยังต้องอ้าปากค้าง
               การฝังร่างมัมมี่กับร่างฮ่องเต้ เพื่อหวังมีชีวิตที่เป็นอมตะและฟื้นคืนชีพ พร้อมทรัพย์สิน ข้าทาสบริวารจำนวนมากในอดีตนั้น ผ่านพิธีกรรมมากมาย ไม่รู้ว่า บัดนี้ดวงวิญญาณจะรับรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่คิดนั้นเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

 



Create Date : 04 ตุลาคม 2562
Last Update : 4 ตุลาคม 2562 4:21:30 น.
Counter : 504 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments