Group Blog All Blog
|
กวางป่ากับพวงองุ่น
![]() เรื่อง กระต่ายป่ากับกบ
เรื่อง กระต่ายป่ากับกบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายทุ่งแห่งหนึ่ง ที่นี่มีกระต่ายป่าอยู่รวมกันฝูงหนึ่ง กระต่ายป่าฝูงนี้อยู่ร่วมกันอย่างไม่มีความสุขสักเท่าใดนัก เพราะที่นี่นอกจากมีพวกตนแล้วยังมีสัตว์น้อยใหญ่อื่น ๆ อีกมาก โดยเฉพาะพวกสัตว์ใหญ่มักมาทำร้าย บางทีแค่มาแกล้งให้ตกใจเล่น บางทีมาเอาพวกมันไปเป็นอาหาร เราต้องเข้าใจว่ากระต่ายเป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย คนที่เลี้ยงกระต่ายจะรู้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ใจเสาะเอามาก ๆ ด้วยเหตุนี้มันจึงตายง่ายตายดายเสียเหลือเกิน กระต่ายป่าคงเช่นเดียวกัน กระต่ายป่าฝูงนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนละเหี่ยเพลียใจจนสุดจะทานทนแล้ว พวกมันประชุมกันแล้วตกลงกันว่า ถ้าต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวและอยู่อย่างไม่มีความสุขแล้วไซร้ พวกเราสมควรตายเพื่อหนีปัญหาซะจะดีไหม เมื่อกระต่ายป่าเห็นพ้องต้องกันมันจะฟังสัญญาณจากหัวหน้าแล้วรีบวิ่งหนีไปกระโดดลงน้ำให้ตาย ๆ ไปเสีย จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไป นับว่าเป็นการแก้ปัญหาด้วยการหนีออกจากต้นตอแต่จะดีไหมยังสงสัยอยู่ วันที่พวกกระต่ายป่าคิดและตกลงกันไว้ก็มาถึง ฝูงม้าป่าวิ่งควบมาทางถิ่นที่อยู่ของกระต่ายป่า พวกมันให้สัญญาณต่อ ๆ กันว่า พวกเรารีบวิ่งหนีกันเถอะ วิ่งไปลงหนองน้ำให้ตาย ๆ ไปเสียตามที่ได้ตกลงกันไว้ ขณะที่พวกกระต่ายป่าวิ่งลงหนองน้ำนั้น บรรดากบที่อาศัยอยู่ในหนองน้ำต่างหวาดกลัวกระต่ายป่าพากันกระโดดลงน้ำจ๋อมแจ๋มเช่นเดียวกัน ขณะนั้นพวกกระต่ายป่าต่างพากันได้คิดว่าพวกเรากลัวฝูงม้าป่า แต่พวกกบกลัวพวกเรา ชีวิตของกระต่ายป่าอย่างพวกเราไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวเพราะพวกกบมีชีวิตที่หวาดกลัวไม่ต่างจากพวกเราเหมือนกัน แสดงว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะรู้สึกหวาดกลัวต่อภยันตรายที่คืบคลานเข้ามาหาอย่างเชื่องช้าหรือจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อหัวหน้ากระต่ายป่าคิดได้เช่นนี้ด้วยรู้ซึ้งในสัจธรรมที่เกิดขึ้นในบัดดล มันจึงรีบตะโกนบอกเพื่อน ในฝูงกระต่ายป่าให้รีบขึ้นจากน้ำเพื่อเอาชีวิตให้รอด จะตายไปทำไมนะ ใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้แหละ ทุกคนต่างมีความกลัวเป็นอาจิณขึ้นอยู่กับจะรู้ว่าควรจะกลัวมากน้อยแค่ไหน สิ่งใดอันตรายมากหรือน้อยและวิธีเผชิญหน้ารับกับมันเมื่อเกิดความกลัวขึ้นมา นิทานเรื่องนี้สอนให้คิดว่า ยังมีคนที่แย่กว่าเราอีก เราไม่ใช่คนที่กำลังลำบากมากที่สุดในโลกใบนี้แน่นอน ยามใดที่รู้สึกท้อถอยหมดสิ้นความหวังในชีวิตให้ก้มหน้ามองดิน จะเห็นคนที่ต่ำต้อยด้อยค่ากว่าเรา แต่ใช่ว่าจะให้ก้มหน้ามองดินแต่อย่างเดียวต้องเงยหน้ามองฟ้าด้วย เพราะจะมองเห็นคนที่เด่นสูงค่ากว่าเราจะได้เกิดแรงทะเยอทะยานอยากได้ใคร่ดีกับเขาบ้าง สำนวนไทยที่บอกว่า ยกภูเขาออกจากอก แปลว่า โล่งใจ หมดวิตกกังวล ถ้าเรารู้สึกว่าเราแย่มากแล้วมองเห็นคนที่แย่กว่าเราอีก จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น การมองคนที่ต่ำกว่าแล้วจะเกิดความคิดว่าเราโชคดีกว่าเขา ทำให้เราคลายความเศร้า ท้อถอย ลงไปได้บ้าง คงไม่มีใครที่สูงเสียดฟ้าและคงไม่มีใครต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เรามันแค่คนระดับกลาง ๆ มีคนที่ดีกว่าเราและมีคนที่แย่กว่าเรา ยามดีใจอย่าดีใจเกินเหตุ ยามเสียใจไม่ต้องฟูมฟายจนเกินไป ทำตัวให้มันพอเหมาะพอควร บางทีอยากบอกว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป พูดแบบนี้จะดูเป็นคนธรรมะธัมโมจนเกินไปไหมนี่ เมื่อเกิดสิ่งใดอย่าตื่นตระหนกและหวาดกลัว เมื่อเจอปัญหาอย่าเอาแต่วิ่งหนีแต่ต้องกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างมีสติ ลองกันสักตั้งดีไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ บางทีภาพที่คิดมันอาจมากเกินกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ได้ มันคงต้องมีทางออกมีทางแก้ปัญหาได้บ้างหรอกน่า วันนี้ไม่มีวันหน้าอาจมองเห็นได้บ้าง แต่ถ้าเอาแต่วิ่งหนีหรือหลบลี้หนีหน้าไปเรื่อย ๆ คงจะเฉาตายไปสักวันเป็นแน่แท้ ไม่ต้องเปรียบเทียบตนเองกับใคร เปรียบกับตนในอดีตก็คงมากพอแล้ว วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน และวันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ ทำได้แค่นี้ชีวิตจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันตกอับหรอก เรื่อง กระต่ายกับเต่า
เรื่อง กระต่ายกับเต่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานจนคนเล่าได้เล่าเรื่องนี้ซ้ำซากหลายต่อหลายรอบและได้เล่าสืบต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น บางคนพูดจากวนอารมณ์นิดหน่อยบอกว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วนานจนจำไม่ได้เลยไม่ยอมเล่านิทานให้ฟังต่อ ที่จริงอาจขี้เกียจหรือไม่ก็จำไม่ได้ นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮิตเอามาก ๆ ทีเดียว คงไม่มีใครบอกว่าไม่รู้จักเรื่องกระต่ายกับเต่าเป็นแน่แท้ วันหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้มีเต่ากับกระต่ายอย่างละ 1 ตัว ทั้งสองไม่ได้เป็นเพื่อนเล่นกันแต่อย่างใด อาจจะบังเอิญมาเจอกัน กระต่ายจะกระโดดตุ้บ ๆ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ส่วนเต่านั้นคลานต้วมเตี้ยม ใช้คำว่าคลานแปลว่าเดินอย่างเชื่องช้ามาก ๆ ส่วนต้วมเตี้ยมหมายถึงอาการที่ค่อย ๆ เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ กระต่ายเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ที่เห็นเต่าคลานต้วมเตี้ยม กระต่ายจึงบอกเต่าว่าทำไมเจ้าต้องคลานทำไมไม่กระโดดแบบข้า แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะไปถึงที่ที่ต้องการ เต่ายิ้มเล็กน้อยตอบอย่างอารมณ์ดีว่าไปถึงเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ได้รีบร้อนไปไหนนี่ ทั้งสองตอบโต้กันไปมา จนกระต่ายท้าให้เต่ามาวิ่งแข่งกันเต่ารับคำท้าทั้งที่รู้อยู่ว่าแพ้แน่นอนแต่คิดว่าความเพียรที่ตนมีอยู่คงทำให้ไปถึงเส้นชัยได้ ส่วนกระต่ายลำพองใจว่า เจ้าเต่านี่น่าจะโง่ที่มารับคำท้า วันที่นัดประลองความเร็วมาถึง เพื่อนเต่าและกระต่ายมาร่วมเป็นกองเชียร์มากมาย รวมทั้งสัตว์น้อยใหญ่อื่น ๆ มากันเต็มเพียบหวังจะดูมวยคู่ที่ต่างกันอย่างมาก ไม่ต้องลุ้นไม่ต้องเชียร์ก็รู้อยู่แก่ใจว่ากระต่ายต้องได้รับชัยชนะแน่นอน แต่สงสัยว่าเต่ารับคำท้าได้อย่างไร โง่หรือบ้ากันแน่ คิดเหมือนกับกระต่ายเลยนะนี่ กองเชียร์ส่วนใหญ่คงจะเข้าข้างกระต่ายอยู่แล้ว เป็นใครก็ต้องเชียร์กระต่าย ใครจะโง่ไปเชียร์เต่านะ แต่นี่เป็นนิทานสอนใจ จึงต้องมีพลิกผันกันบ้าง ฉะนั้นของที่เห็นตรงหน้าอาจไม่ใช่ของตาย มันอาจดิ้นพราด ๆ แล้วเปลี่ยนทิศตรงกันข้าม คนที่ชอบเล่นพนันจึงมักเชียร์มวยรองที่มีแต้มต่อน้อย แต่ถ้าพลิกผันไม่ใช่อย่างที่คนทั่วไปคิดล่ะก็เงินตั๋ง ๆ จะเข้ามือมาอย่างรวดเร็ว กระต่ายนั้นวิ่งนำเต่าไปได้อย่างมากมาย พอมาถึงกลางทาง ชะเง้อคอมองหาเต่าคู่แข่งไม่เห็น คิดว่าเจ้าเต่าคงมัวแต่คลานต้วมเตี้ยม เอาล่ะเราต่อให้มันสักหน่อยดีกว่า ชนะมากเกินไปจะดูน่าเกลียดมากไปไหม คิดแล้วลงนอนทันที อากาศเย็น ๆ พัดผ่านทำให้กระต่ายหลับสนิท เต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านมามองเห็นกระต่ายหลับสนิท ได้แต่คลานต้วมเตี้ยมต่อไป คลานไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หวังแพ้ชนะแต่อย่างใด ในที่สุดเมื่อเต่ามาถึงเส้นชัย เพื่อน ๆ ต่างพากันไชโยโห่ร้องที่เห็นมวยรองได้ชัยชนะ หลายคนชอบเชียร์มวยรองทั้งที่มองไม่เห็นเค้ารางแห่งความสำเร็จเลยก็ตาม ส่วนกระต่ายที่หลับสนิทพอรู้สึกตัวงัวเงียขึ้นมานึกได้ว่าเรากำลังอยู่ในสนามประลองความเร็วกับเต่าอยู่ กระต่ายรีบกระโดดไปหวังให้ถึงเส้นชัยก่อน พอกระต่ายใกล้จะถึงเส้นชัย ได้มองเห็นว่าที่เส้นชัยมีเต่ารออยู่รวมทั้งเพื่อนสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย รายการนี้เรียกว่า หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ มีฝีมือแต่ชะล่าใจใช่ว่าจะชนะเสมอไป นิทานเรื่องนี้สอนให้คิดว่า บางสิ่งที่เราคิดว่าเป็นของตายมันอาจกลับตรงข้าม เป็นของที่ดิ้นได้แล้วจากไป ผู้ชายหลายคนหลงตัวเองว่า ภรรยาที่ได้อยู่กินกันมานาน ยังไงเสียเป็นลูกไก่ในกำมือ หรือพูดต่อให้เต็มสำนวนได้ว่า ลูกไก่อยู่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคายก็รอด หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าบุคคลที่อยู่ใต้อำนาจมากมายนัก จะจัดการอย่างไรก็ได้ตามที่ต้องการ ผู้ชายประเภทนี้จะทอดทิ้ง ไม่ใส่ใจในความรู้สึกนึกคิดที่ภรรยามีต่อตน สุดท้ายผู้หญิงขอหย่าขาดและไปหาผู้ชายคนใหม่ที่เห็นคุณค่าในตนมากกว่าสามีคนเก่า เรื่องนี้กระต่ายหลงคิดว่าตนเองทั้งเก่ง ฉลาด คล่องแคล่วว่องไว กระโดดได้รวดเร็ว ผิดกับเต่าที่เอาแต่คลานต้วมเตี้ยม อีสปจึงพยายามเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ให้คนคิดในมุมตรงข้ามบ้าง มุมที่บางคนอาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อน มันอาจเป็นไปไม่ได้ แต่มันบ่แน่หรอกนาย หนึ่งในล้านอาจเกิดขึ้นอย่างปาฏิหาริย์ได้ อีกเรื่องหนึ่งที่น่าคิด คือ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น คนเก่งคนฉลาดย่อมรู้ว่าผลของความพยายามจะทำให้ได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนาและยกระดับชีวิตของตนให้มีคุณภาพดีขึ้น พวกเขาจะมีวิสัยทัศน์และมองเห็นภาพของความสำเร็จชัดเจนจนทำให้ยอมอุทิศแรงกายแรงใจแม้ว่าระหว่างเส้นทางอาจเจอปัญหาอุปสรรคก็จะไม่ย่อท้อหรือถอยหลังเป็นอันขาด คงจะรับรู้กันมาว่าเศรษฐีส่วนใหญ่มักมีอดีตที่ยากจนข้นแค้น ลำบากสายตัวแทบขาด มีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญจริง ๆ เขาจะใช้ความพยายามที่สูงมากกว่าคนทั่วไปจนสามารถก้าวขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่าคนอื่น ๆ ในขณะที่ลูกเศรษฐีจะขาดความมุ่งมั่นเช่นเดียวกับที่พ่อแม่ของเขาเคยมีมาก่อน ความทะเยอทะยานที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมแทบจะหาไม่เจอในขณะที่รุ่นพ่อมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม มีสำนวนไทยสำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความพยายามคือ เข็นครกขึ้นภูเขาหมายถึงการทำงานที่ยากลำบากและต้องใช้ความพากเพียรอุตสาหะเป็นอย่างมากโดยไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อหวังให้ได้ความสำเร็จที่ต้องการ หรืองมเข็มในมหาสมุทร หมายความว่าทำกิจที่สำเร็จได้ยาก เป็นงานที่ใหญ่เกินกำลัง แต่ในที่สุดสามารถทำได้สำเร็จ เหมือนกับเต่าที่มีความมานะพยายามอดทน
ถ้าพยายามมากความสำเร็จย่อมมากตาม ลงทุนด้วยความพยายามผลตอบแทนคือความสำเร็จ ถ้าพยายามน้อยความสำเร็จอาจจะมาไม่ถึง ไม่ลงทุนแล้วจะได้อะไร อันของสูงแม้ปองต้องจิตถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ จำไว้ให้ดีเพลงนี้จะช่วยเตือนใจให้ขยันได้
เรื่อง กวางป่ากับพวงองุ่น
เรื่อง กวางป่ากับพวงองุ่น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายป่าแห่งหนึ่งที่มีต้นองุ่นขึ้นเองตามธรรมชาติ ใคร ๆ รู้จักองุ่นกันทั้งนั้น องุ่นเป็นพืชยืนต้น เป็นไม้พุ่มเลื้อย จะเจริญเติบโตตามธรรมชาติได้เองและเลื้อยเกาะกิ่งไม้ ใบกลมขอบหยักเว้าลึก 5 พู โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ดอกออกเป็นช่อแยกแขนง ผลย่อยรูปกลมรีและฉ่ำน้ำ มีผิวนวลเกาะและรสหวาน มีสีเขียว, ม่วงแดงและม่วงดำแล้วแต่พันธุ์ ในผลมีเมล็ดประมาณ 1 - 4 เมล็ด องุ่นที่ขึ้นเองตามธรรมชาติคงจะกินได้สะดวกปากไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีสารเคมีตกค้างเช่นองุ่นที่มีคนปลูกกันเองในปัจจุบันที่มักจะพ่นยากันแมลงจนน่ากลัวสารเคมีที่ตกค้าง เมื่อทำให้องุ่นแห้งจะเรียกว่าลูกเกดแทนที่จะเรียกว่าลูกองุ่น องุ่นสีเขียวพอตากแห้งแล้วจะกลายเป็นลูกเกดสีเหลืองส่วนองุ่นสีม่วงแดงพอตากแห้งสีจะออกน้ำตาลเข้ม ส่วนองุ่นม่วงดำคนมักเอามาทำไวน์ ลูกเกดสีน้ำตาลเข้มรสชาติจะหวานจัดกว่าลูกเกดสีเหลือง เขาว่ากันว่าลูกเกดทั้งสีเหลืองและสีน้ำตาลเข้มนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมายนักจึงควรซื้อหามากินกันบ้าง กาลครั้งนั้นที่ป่าแห่งนี้มีกวางป่าตัวหนึ่งและพรานป่าอีกคนที่คอยตามล่ากวางป่าตัวนี้อยู่ ณ ชายป่าแห่งนี้นี่เองกวางป่าวิ่งหนีพรานป่าเตลิดเข้าไปในต้นองุ่น กวางป่าทำเสียงออดอ้อนอย่างสุภาพอ่อนโยนว่า ต้นองุ่นจ๋าข้าหนีร้อนมาพึ่งเย็นอาศัยความมีเมตตาของท่านช่วยปกปักรักษาชีวิตของข้าน้อยด้วยทีเถิดเพราะพรานป่ากำลังวิ่งไล่ตามล่าข้าน้อยอยู่ เสียงออดอ้อนเช่นนี้ทำให้ต้นองุ่นที่ไม่ได้รู้จักมักจี่หรือคุ้นเคยกับกวางป่าตัวนี้มาก่อนอดสงสารไม่ได้ กวางป่าพูดจบแทรกตัวหลบเข้าไปในต้นองุ่นทันที ต้นองุ่นไม่ได้โวยวายหรือรังเกียจเดียดฉันท์แต่อย่างใด จังหวะนั้นเองพรานป่าวิ่งตามมาพอดีแต่ไม่อาจมองเห็นกวางป่าได้ คิดสงสัยว่า เอ๊ะ แล้วกวางป่าหายไปไหนนะ มันน่าจะผลุบหายไปในต้นองุ่นนี่แหละ พรานป่าเป็นผู้มีมารยาทไม่ผลีผลามฟันต้นองุ่นในทันที แต่พรานป่าได้เอ่ยปากถามต้นองุ่นอย่างสุภาพว่า เห็นกวางป่าวิ่งผ่านมาทางนี้บ้างหรือเปล่าหนอ ต้นองุ่นเห็นพรานป่านิสัยดีแต่สงสารกวางป่าที่อาจโดนจับไป ได้แต่พลอยร่วมมือกับกวางป่ามุสาบอกพรานป่าว่า ไม่เห็นหรอก มันคงไม่ได้วิ่งหนีมาทางนี้กระมัง เมื่อพรานป่าได้ฟังคำตอบจากต้นองุ่นไม่คิดว่าต้นองุ่นจะพูดมุสาหลอกลวงตนจึงวิ่งไล่ล่ากวางป่าไปอีกทางหนึ่ง เจ้ากวางป่าผู้ซึ่งเพิ่งจะได้รับการช่วยเหลือจากต้นองุ่นที่ช่วยโกหกหลอกพรานป่าไป เพียงเสี้ยวนาทีเดียวที่ช่วยทำให้ตนรอดชีวิตมาได้อย่างเฉียดตายกลับไม่นึกถึงบุญคุณอันใหญ่หลวงในครั้งนี้ มันกัดกินพวงองุ่นอันแสนจะโอชะนี้ทันที พวงองุ่นที่โดนกวางป่ากัดกินรู้สึกเจ็บจึงร้องโอดโอยบอกต้นองุ่นว่า เจ็บนะ ช่วยด้วย ๆ ต้นองุ่นตะโกนด้วยความไม่พอใจว่า เจ้ากวางป่าผู้ไม่รู้จักบุญคุณของข้ากลับกล้ามาทำลายพวงองุ่นของข้าได้ กวางป่าหัวเราะเยาะหยันว่า ต้นองุ่นเอ๋ยทำไมเจ้าจึงโง่เช่นนี้นะ พวงองุ่นอันแสนจะโอชะนี้ใครจะไม่อยากกินเล่า แล้วถ้าข้าไม่กินเดี๋ยวสัตว์อื่นผ่านมาก็ต้องกินอยู่ดีนั่นแหละ ต้นองุ่นโกรธมากที่พวงองุ่นสวย ๆ โดนกวางป่าที่เพิ่งจะช่วยเหลือมาหยก ๆ กัดกินอย่างหน้าตาเฉย คิดว่าอย่างนี้เรียกว่าปิดทองหลังพระกระมัง ทำคุณกับใครไม่ขึ้น เขามองไม่เห็นสิ่งดีงามที่เราทำ ทันใดนั้นเองพรานป่าอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านมาพอดี อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ เรียกว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกเสียมากกว่า เขามองเห็นกวางป่ากำลังกัดกินพวงองุ่นอย่างเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินจนลืมระวังภัยให้ตัวเอง เขาคิดในใจว่า โชคดีอะไรเช่นนี้ วันนี้ล่ากวางป่าได้ แล้วกวางป่าตัวนี้โดนพรานป่าคนนี้จับได้ในนาทีนั้นนั่นเอง มันไม่อาจร้องขอชีวิตหรือตะโกนให้ต้นองุ่นได้ช่วยเหลืออีกครั้ง ต้นองุ่นรู้สึกสาแก่ใจมากที่เจ้ากวางป่าผู้ชั่วร้ายโดนพรานป่าจับไปเสียได้ นิทานเรื่องนี้สอนให้คิดว่า คนที่ไม่รู้จักการทดแทนบุญคุณมักจะประสบแต่หายนะ แทนที่คิดจะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยช่วยตนกลับไปทำร้ายให้เขาบาดเจ็บแบบนี้มันสมควรไหมล่ะ การกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สังคมอยู่รอดได้ ผู้ที่อ่อนแอต้องการการช่วยเหลือครั้นเมื่อแข็งแรงดีแล้วควรจะช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าตนไปเรื่อย ๆ ในสังคมกลางเมืองใหญ่ บ้านหลังหนึ่งอาจมีทั้งพ่อแม่ปู่ย่าตายายและหลานตัวเล็ก ๆ เมื่อหลานยังเป็นเด็กเล็กไม่รู้ประสีประสา ใครจะช่วยเลี้ยงดูถ้าไม่ใช่ปู่ย่าหรือตายาย เมื่อพ่อแม่ไปทำงานปู่ย่าตายายรับภาระเลี้ยงดูหลาน ครั้นหลานโตขึ้น ปู่ย่าตายายแก่ตัวลงจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใครล่ะจะเลี้ยงดูพ่อแม่ปู่ย่าตายายถ้าไม่ใช่ลูกหลาน มันเป็นเช่นนี้ชั่วนาตาปีในสังคมมนุษย์ เรื่องนี้ต้องอ้างสำนวนจีนที่ว่า บุญคุณต้องทดแทน แต่ไม่ต้องพูดต่อว่า แค้นต้องชำระหรอก มันจะจบไม่สวย ถ้ากวางป่ารู้จักสำนึกในบุญคุณของต้นองุ่นและไม่กัดกินพวงองุ่นอย่างเพลิดเพลิน ไม่พูดจายโสโอหังเช่นนี้ เมื่อพรานป่าคนใหม่มา กวางป่าอาจจะได้รับการช่วยเหลือจากต้นองุ่นอีกครั้งก็ได้แล้วไม่ต้องมาจบชีวิตอันน่าเศร้าเช่นนี้ สำนึกในบุญคุณผู้มีพระคุณ ชาตินี้ไม่มีวันล่มจม ถ้าลำเลิกในบุญคุณ อาจหมดเนื้อหมดตัวได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เรื่อง กระต่ายป่ากับกบ
เรื่อง กระต่ายป่ากับกบ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายทุ่งแห่งหนึ่ง ที่นี่มีกระต่ายป่าอยู่รวมกันฝูงหนึ่ง กระต่ายป่าฝูงนี้อยู่ร่วมกันอย่างไม่มีความสุขสักเท่าใดนัก เพราะที่นี่นอกจากมีพวกตนแล้วยังมีสัตว์น้อยใหญ่อื่น ๆ อีกมาก โดยเฉพาะพวกสัตว์ใหญ่มักมาทำร้าย บางทีแค่มาแกล้งให้ตกใจเล่น บางทีมาเอาพวกมันไปเป็นอาหาร เราต้องเข้าใจว่ากระต่ายเป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย คนที่เลี้ยงกระต่ายจะรู้ว่ามันเป็นสัตว์ที่ใจเสาะเอามาก ๆ ด้วยเหตุนี้มันจึงตายง่ายตายดายเสียเหลือเกิน กระต่ายป่าคงเช่นเดียวกัน กระต่ายป่าฝูงนี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนละเหี่ยเพลียใจจนสุดจะทานทนแล้ว พวกมันประชุมกันแล้วตกลงกันว่า ถ้าต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวและอยู่อย่างไม่มีความสุขแล้วไซร้ พวกเราสมควรตายเพื่อหนีปัญหาซะจะดีไหม เมื่อกระต่ายป่าเห็นพ้องต้องกันมันจะฟังสัญญาณจากหัวหน้าแล้วรีบวิ่งหนีไปกระโดดลงน้ำให้ตาย ๆ ไปเสีย จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไป นับว่าเป็นการแก้ปัญหาด้วยการหนีออกจากต้นตอแต่จะดีไหมยังสงสัยอยู่ วันที่พวกกระต่ายป่าคิดและตกลงกันไว้ก็มาถึง ฝูงม้าป่าวิ่งควบมาทางถิ่นที่อยู่ของกระต่ายป่า พวกมันให้สัญญาณต่อ ๆ กันว่า พวกเรารีบวิ่งหนีกันเถอะ วิ่งไปลงหนองน้ำให้ตาย ๆ ไปเสียตามที่ได้ตกลงกันไว้ ขณะที่พวกกระต่ายป่าวิ่งลงหนองน้ำนั้น บรรดากบที่อาศัยอยู่ในหนองน้ำต่างหวาดกลัวกระต่ายป่าพากันกระโดดลงน้ำจ๋อมแจ๋มเช่นเดียวกัน ขณะนั้นพวกกระต่ายป่าต่างพากันได้คิดว่าพวกเรากลัวฝูงม้าป่า แต่พวกกบกลัวพวกเรา ชีวิตของกระต่ายป่าอย่างพวกเราไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวเพราะพวกกบมีชีวิตที่หวาดกลัวไม่ต่างจากพวกเราเหมือนกัน แสดงว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะรู้สึกหวาดกลัวต่อภยันตรายที่คืบคลานเข้ามาหาอย่างเชื่องช้าหรือจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อหัวหน้ากระต่ายป่าคิดได้เช่นนี้ด้วยรู้ซึ้งในสัจธรรมที่เกิดขึ้นในบัดดล มันจึงรีบตะโกนบอกเพื่อน ในฝูงกระต่ายป่าให้รีบขึ้นจากน้ำเพื่อเอาชีวิตให้รอด จะตายไปทำไมนะ ใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้แหละ ทุกคนต่างมีความกลัวเป็นอาจิณขึ้นอยู่กับจะรู้ว่าควรจะกลัวมากน้อยแค่ไหน สิ่งใดอันตรายมากหรือน้อยและวิธีเผชิญหน้ารับกับมันเมื่อเกิดความกลัวขึ้นมา นิทานเรื่องนี้สอนให้คิดว่า ยังมีคนที่แย่กว่าเราอีก เราไม่ใช่คนที่กำลังลำบากมากที่สุดในโลกใบนี้แน่นอน ยามใดที่รู้สึกท้อถอยหมดสิ้นความหวังในชีวิตให้ก้มหน้ามองดิน จะเห็นคนที่ต่ำต้อยด้อยค่ากว่าเรา แต่ใช่ว่าจะให้ก้มหน้ามองดินแต่อย่างเดียวต้องเงยหน้ามองฟ้าด้วย เพราะจะมองเห็นคนที่เด่นสูงค่ากว่าเราจะได้เกิดแรงทะเยอทะยานอยากได้ใคร่ดีกับเขาบ้าง สำนวนไทยที่บอกว่า ยกภูเขาออกจากอก แปลว่า โล่งใจ หมดวิตกกังวล ถ้าเรารู้สึกว่าเราแย่มากแล้วมองเห็นคนที่แย่กว่าเราอีก จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น การมองคนที่ต่ำกว่าแล้วจะเกิดความคิดว่าเราโชคดีกว่าเขา ทำให้เราคลายความเศร้า ท้อถอย ลงไปได้บ้าง คงไม่มีใครที่สูงเสียดฟ้าและคงไม่มีใครต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เรามันแค่คนระดับกลาง ๆ มีคนที่ดีกว่าเราและมีคนที่แย่กว่าเรา ยามดีใจอย่าดีใจเกินเหตุ ยามเสียใจไม่ต้องฟูมฟายจนเกินไป ทำตัวให้มันพอเหมาะพอควร บางทีอยากบอกว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป พูดแบบนี้จะดูเป็นคนธรรมะธัมโมจนเกินไปไหมนี่ เมื่อเกิดสิ่งใดอย่าตื่นตระหนกและหวาดกลัว เมื่อเจอปัญหาอย่าเอาแต่วิ่งหนีแต่ต้องกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างมีสติ ลองกันสักตั้งดีไหมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ บางทีภาพที่คิดมันอาจมากเกินกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ได้ มันคงต้องมีทางออกมีทางแก้ปัญหาได้บ้างหรอกน่า วันนี้ไม่มีวันหน้าอาจมองเห็นได้บ้าง แต่ถ้าเอาแต่วิ่งหนีหรือหลบลี้หนีหน้าไปเรื่อย ๆ คงจะเฉาตายไปสักวันเป็นแน่แท้ ไม่ต้องเปรียบเทียบตนเองกับใคร เปรียบกับตนในอดีตก็คงมากพอแล้ว วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน และวันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ ทำได้แค่นี้ชีวิตจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีวันตกอับหรอก |
สมาชิกหมายเลข 4665919
![]() ![]() ![]() ![]() ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
Friends Blog Link |