All Blog
ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ พ.ศ. 322 – 335
ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ พ.ศ. 322 – 335
            ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฉิน
ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ประกาศตนเป็นฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ฉินและนับได้ว่าเป็นฮ่องเต้องค์แรกของประเทศจีน การสถาปนาตนขึ้นเป็นใหญ่ได้พระนามว่าฉินสื่อหวงตี้ แต่คนไทยจะขานพระนามว่าฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ตามสำเนียงของจีนแต้จิ๋วซึ่งเป็นคนจีนอพยพที่มาเมืองไทยในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
            ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจฉลาดหลักแหลมมากที่สุด แต่ราชวงศ์ฉินอยู่ได้เพียง 2 รัชกาลเท่านั้น เป็นอันจบสิ้นราชวงศ์ การวางรากฐานที่มั่นคงก็ใช่ว่าจะคงอยู่ได้นานถ้าผู้ที่สานต่อไร้ซึ่งคุณธรรมและความสามารถ
            เรื่องของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นภาพยนตร์หลายครั้ง แต่ละครั้งมีพลอตเรื่องที่แตกต่างกันไปขึ้นกับผู้แต่ง แค่เรื่องอดีตของฮ่องเต้ยังไม่อาจระบุได้ชัดเจน
            บ้างว่า แม่ของเขาเป็นหญิงเริงเมืองที่บังเอิญมีลูกกับอ๋อง และไปอยู่ยังแคว้นอื่นเพื่อเป็นตัวจำนำ เมื่อกลับมายังฉิน เมื่อโตขึ้นจึงมีโอกาสเป็นอ๋อง
            บ้างว่า แท้ที่จริงเขาไม่ใช่ลูกของอ๋องตัวจริง มีการสับเปลี่ยนตัว เพื่อหาคนมาเป็นตัวแทน ช่วงแรกเด็กคนนี้ไม่ยินยอมที่จะเป็นตัวแทน เมื่อหมดหนทางจริง ๆ จึงจำยอมเป็นอ๋อง และสามารถเป็นได้อย่างดี
 
            เมืองหลวงในขณะนั้นคือเมืองเสียนหยางหรือซีอานในปัจจุบัน คนไทยนิยมไปเที่ยวเพื่อเยี่ยมชมสุสานฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ที่มีตุ๊กตาหินทหารจำนวนมากมายน่าจะเท่ากับจำนวนทหารในอดีตเพราะตุ๊กตาหินแต่ละตัวมีหน้าตารูปร่างไม่เหมือนกันอันอาจจะเกิดจากช่างปูนปั้นตั้งใจปั้นให้หน้าตาเหมือนทหารแต่ละคนหรือไม่ก็ฝีมือช่างปูนปั้นไม่คงที่ซึ่งกลายเป็นเสน่ห์อย่างยิ่งในกาลต่อมา
            บางคนอาจเคยดูหนังจีนเรื่องหนึ่งที่คนรุ่นนี้ย้อนเวลาหาอดีตได้ และพยายามผูกโยงเรื่องว่าทำไมต้องปั้นปูนเป็นรูปทหารและม้าศึก เพราะโดยคติความเชื่อว่าต้องฆ่าทหารและม้าศึกฝังกลบในสุสานฮ่องเต้ ซึ่งหนุ่มนี้คิดแผนการใหม่ว่าถ้าใช้ปูนปั้นทหารและม้าศึกจะใช้แทนกันได้ ทำให้ไม่เสียทรัพยากรและชีวิตทหารจำนวนมากเพื่อติดตามรับใช้ในชาติหน้า ก็เป็นเพียงหนังสนุก ๆ ให้ดูกันและพยายามหาเหตุผลว่าทำไมจึงทำเช่นนี้แทนการทำตามจารีตประเพณีแต่ดั้งเดิม
            ปัจจุบันสุสานนักรบดินเผาที่กลายเป็นหินนับพันนับหมื่นนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศจีน
            คำว่าอ๋องแทนกษัตริย์หรือผู้ครองแคว้น เมื่อฉินจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแคว้นทั้ง 7 ได้จึงคิดคำใหม่เพื่อแทนความยิ่งใหญ่ของผู้คุมอ๋องทั้ง 7 อีกที จึงใช้คำว่าฮ่องเต้สำเนียงแต้จิ๋ว หรือหวงตี้สำเนียงจีนกลางซึ่งมีความหมายว่าโอรสแห่งสวรรค์
            เมื่อได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ปรับระบบต่าง ๆ ให้ทันสมัย เช่น ระบบเงินตรา ระบบชั่งตวงวัด  ระบบตัวหนังสือซึ่งจะเป็นภาษากลางให้ทุกแคว้นใช้เหมือนกัน ระบบการปกครองเป็นจังหวัด อำเภอ การปราบปรามชนต่างเผ่า
การสร้างกำแพงเมืองจีนให้เชื่อมกำแพงของทุกแคว้นเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ว่าฉินจิ๋นซีฮ่องเต้เพียงคนเดียวที่สร้างกำแพงเมืองจีนทั้งหมด ทุกแคว้นต่างมีกำแพงเมืองของตนอยู่แล้ว เพียงแต่ให้กำแพงทั้งหมดเชื่อมติดต่อกันเพื่อป้องกันการรุกรานจากชนต่างเผ่าที่อยู่ทางเหนือของประเทศ ได้แก่ พวกมองโกล ชี่ตัน ซ่งหนู กำแพงนี้มีความยาวหมื่นลี้ บางคนจึงเรียกกำแพงเมืองจีนว่ากำแพงหมื่นลี้
พวกชนเผ่าทางเหนือต่างมีฝีมือและต้องการมารุกราน ยึดครองแผ่นดินทางใต้ที่อุดมสมบูรณ์และอบอุ่นกว่า มาถึงยุคหนึ่ง ชาวมองโกลสามารถยึดครองจีนได้และตั้งราชวงศ์หยวน และชาวแมนจูเรียมายึดครองแล้วตั้งราชวงศ์ชิง
กำแพงเมืองจีนที่เชื่อมต่อกันทุกเมืองสามารถมองเห็นได้เมื่ออยู่นอกโลกจากคำบอกเล่าของนักบินอวกาศ จึงเป็นมรดกโลกที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำรายได้มหาศาล
ใครจะไปรู้ว่า สิ่งที่ทำในวันนี้จะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลในอนาคต
 
            ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นนักปฏิรูปหัวก้าวหน้าที่คิดค้นนวตกรรมมาปกครองประเทศ ช่วงแรกฉินจิ๋นซีฮ่องเต้สร้างความเข้มแข็งทางการทหารและเศรษฐกิจของแคว้นฉินแล้วรุกรานแคว้นทั้ง 6 จนพ่ายแพ้ ใช้เวลานาน 26 ปี สามารถรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์จีน ตั้งตนในตำแหน่งฮ่องเต้ครั้งแรก ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้จึงเป็นฮ่องเต้องค์แรกของจักรวรรดิจีน
เมื่อเป็นฮ่องเต้ได้เริ่มระบบการปฏิรูปแบบซางหยางขับเคลื่อนให้แคว้นทั้ง 7 พัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ใช้การปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ฮ่องเต้ ยกเลิกระบบอำนาจแบบอ๋องเดิมที่เป็นเจ้าผู้ครองแคว้นทั้ง 6 มีอำนาจเด็ดขาด
อ๋องและบรรดาขุนนางมีหน้าที่รับถ่ายทอดพระบัญชาไปปฏิบัติตามโดยไม่ต้องโต้แย้งหรือให้ข้อคิดเห็น แต่งตั้งขุนนางใหญ่ 3 คน ในตำแหน่งมหาอำมาตย์หรืออัครมหาเสนาบดีหรือเฉิงเซี่ยงเป็นผู้มีอำนาจรองจากฮ่องเต้ ที่ปรึกษาฮ่องเต้หรือยวี่สื่อต้าฟูคอยกำกับดูแลข้าราชบริพารทุกระดับชั้น
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดหรือไท่เว่ยดูแลกิจการทหาร แบ่งดินแดนจาก 7 แคว้นใหญ่ออกเป็น 36 แคว้นย่อย แต่ละแคว้นแบ่งย่อยเป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน แคว้นยินยอมให้ประชาชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินโดยกำหนดให้มีโฉนดกำกับสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ดิน
สร้างความแข็งแกร่งของประเทศด้วยการสร้างเอกภาพของชาติ จัดทำระบบสำมะโนประชากรทั่วทั้งประเทศ จัดทำมาตรฐานภาษาเขียน จัดทำระบบเงินตรา มาตราชั่งตวงวัด สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างความเจริญให้แก่ประเทศจีนในกาลต่อมา
การเป็นผู้นำที่จะให้ผู้คนจดจำควรเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และคิดค้นนวตกรรมใหม่ที่จะมาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองหรือเพื่อพัฒนาให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้น ไม่ใช่สักแต่ทำงานประจำให้รอดพ้นไปวัน ๆ
การสั่งย้ายเศรษฐีผู้ดีมีเงินหรือเจ้าสัวทั้งหลายให้อพยพมาอยู่ยังเมืองหลวงหรือนครเสียนหยางยิ่งเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ส่วนชาวบ้านให้ไปทำไร่ไถนาและพัฒนาที่ดินในถิ่นทุรกันดาร พวกนักโทษอาชญากรให้ไปอยู่ตามชายแดน จัดสรรปันส่วนที่อยู่ที่ดินทำกินให้เหมาะกับคนแต่ละกลุ่มแต่ละพวกเพื่อเป็นฐานความเจริญในแต่ละจุด
            ผลงานที่โดดเด่นจนถึงปัจจุบันคือการสร้างถนนขนาดรถม้า 2 คัน สวนกันได้ตลอดบนกำแพงเมืองจีน และถนนทุกแห่งในเมือง เชื่อมต่อกำแพงของทุกเมืองเพื่อป้องกันชนต่างเผ่าเช่นเผ่าซงหนู กำแพงนี้กลายเป็นกำแพงเมืองจีนที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดของโลกและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกปัจจุบัน รวมทั้งการขุดลอกคูคลองขนาดใหญ่เพื่อใช้ในการคมนาคมขนส่งทางน้ำภายในประเทศ
 
            ด้วยความเป็นคนเก่งและมีอำนาจในตนสามารถสั่งการได้ทุกเรื่องจึงใช้อาญาสิทธิ์จัดการกับทุกคนที่ไม่ทำตามพระราชประสงค์หรือบังอาจขัดขืน แน่นอนย่อมก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำสร้างความไม่พึงพอใจให้แก่ขุนนางได้ เพียงแต่ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อสิ้นบุญพ่อหมดอำนาจวาสนา ผู้เป็นลูกจึงไม่อาจทนต่อกระแสของคลื่นใต้น้ำได้
            คนเก่งจะคู่กับความเป็นเผด็จการ เพราะคิดว่าตนเองเก่งแน่ จะเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก จึงเชื่อในฝีมือความสามารถของตนและสามารถทำได้ดีกว่าเหนือกว่ามากกว่ายอมรับว่าคนอื่นทำได้
            ด้วยเหตุนี้จึงมักเผอเรอทำกิริยาที่ไม่เหมาะไม่งามคล้ายดูถูกดูแคลนคนอื่นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเหตุให้คนรอบข้างที่อ่อนด้อยกว่าไม่พึงพอใจและพร้อมจะหาเรื่องโจมตี น่าแปลกที่หลายคนไม่ชอบผู้นำที่เก่งเกินไป
            เชื่อว่าบรรดาขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายอยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดและเสนอ เป็นเต่าหัวหดในกระดอง ครั้นสิ้นฉินจิ๋นซีฮ่องเต้จึงลุกขึ้นมาต่อต้านพระโอรสที่ไม่มีฝีมือ
การทำสิ่งแปลกใหม่ที่ดีเด่นกว่าเดิมใช่ว่าจะนำมาซึ่งความพอใจของคนส่วนมากในสังคมที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงในชีวิต
            การเป็นคนเก่งและตั้งใจทำงานสูงมากเพื่อให้เสร็จทันใจของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ย่อมบ่มเพาะนิสัยเอาแต่ใจไว้ด้วย ยิ่งในสมัยที่ฮ่องเต้มีอำนาจเหนือทุกผู้คนจึงสั่งการได้ทุกเรื่องราวแม้แต่เรื่องที่ไม่น่าทำ
ความอำมหิตโหดร้ายนี้มีคนเล่าต่อกันมาว่าจะจับประหารชีวิตทันทีโดยไม่ต้องไต่สวนทวนความว่าจริงเท็จประการใด แค่สงสัยก็กระทำได้และไม่ใช่แต่บุคคลที่สงสัยว่ากระทำความผิดเท่านั้นแต่ได้ลงโทษทั้งโคตร แต่จะกี่ชั่วโคตรไม่ได้บอกไว้ 
วิธีการประหารในสมัยนั้นจะใช้การแยกร่างด้วยม้าห้าตัวผูกเชือกเข้ากับร่างผู้โดนประหาร แน่นอนม้าทั้งห้าคงแยกวิ่งกันคนละทิศละทาง ร่างมนุษย์ก็คงแยกชิ้นส่วน ความเจ็บปวดก่อนตายคงสุดคณานับแต่พวกเขาคงไม่มีโอกาสบรรยายความโหดร้ายนี้ได้ด้วยตนเอง
ผู้ที่เฝ้ามองอยู่คงกระอักกระอ่วนอ๊วกแตกไปตามกัน  นอกจากนี้การประหารอาจใช้การตัดหัวเสียบประจานซึ่งดูจะทารุณน้อยกว่าการให้ม้าห้าตัวแยกร่าง
 
บางทีสิ่งที่คิดอาจดีหรือไม่ดีก็ได้ สิ่งที่เลวร้ายในสายตาของนักวิชาการก็มี
            สิ่งที่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ทำและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบันคือการเผาตำราของขงจื๊อทั้งหมดรวมทั้งคัมภีร์ที่คิดอ่านแตกต่างจากฮ่องเต้ การฆ่าบัณฑิตผู้นิยมลัทธิขงจื๊อทั้งหมดกว่า 400 คน ด้วยการเผาทั้งเป็นหรือไม่ก็ฝังทั้งเป็นหรือไม่ก็ฝังแค่ร่างแล้วตัดหัว
สิ่งที่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ทำเช่นนี้ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้มีมาตรฐานเดียวกันทุกเรื่องบนผืนแผ่นดินที่พระองค์ทรงรวบรวมได้ แต่การกระทำเช่นนี้เหมือนการหักด้ามพร้าด้วยเข่ามันรุนแรงและโหดร้าย
วิธีการทารุณผู้ต่อต้านโหดร้ายรุนแรง แต่ทั้งหมดที่ได้ทำกลับกลายเป็นพื้นฐานที่สร้างให้จีนเป็นอารยประเทศในกาลต่อมา เลยไม่รู้ว่าวิธีการที่เด็ดขาดเข้มแข็งโหดร้ายนี้ดีหรือไม่ดี
            ความดุร้ายเข้มงวดรวมไปถึงการเกณฑ์แรงงานเพื่อสร้างกำแพงเมืองจีน สร้างสุสาน พระราชวังทำให้ผู้คนล้มตายอย่างน่าอเน็จอนาถใจเป็นอันมากนับเป็นเรือนล้านกว่างานจะสำเร็จตามพระราชประสงค์ การขูดรีดภาษีจากประชาชนเพื่อบำรุงบำเรอความสุขและความปรารถนาของตนในการเดินทางท่องเที่ยวทั่วผืนแผ่นดินที่ตนรวบรวมได้ ทั้งหมดกลายเป็นภาพลบที่เกิดแก่ฮ่องเต้องค์แรกของประเทศจีน แม้ว่าบางสิ่งบางอย่างได้กลายเป็นมรดกโลกที่ทรงคุณค่าต่อผู้คนในยุคต่อมาก็ตามที
            ความอำมหิตโหดร้ายไม่ใช่กระทำต่อประชาชนเท่านั้นแต่รวมไปถึงพระโอรสองค์โตพระโอรสฝูซูที่น่าจะเป็นรัชทายาท แต่เพราะฉินจิ๋นซีฮ่องเต้โดนขัดใจและพระโอรสฝูซูขัดคำสั่งพระบิดา เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ได้เนรเทศว่าที่รัชทายาทฝูซูให้ไปสร้างกำแพงเมืองจีนเหมือนชาวบ้านทั่วไป แม้แต่เพื่อน ๆ ที่บังอาจเพ็ดทูลในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิดของพระองค์ก็จับลงโทษเช่นกัน อย่างนี้ซิจึงจะเรียกว่าเผด็จการสมบูรณ์แบบและอำมหิตโหดร้ายตัวพ่อ
            ความที่อำมหิตโหดร้ายเกินธรรมดา จึงมีหลายคนคิดที่จะล้มล้างอำนาจนี้ให้หมดไป บรรดาผู้ที่ไม่ชอบเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทำอย่างปกปิดซ่อนเร้นเหมือนคลื่นใต้น้ำ เพราะถ้าโดนจับก็คงต้องตายอย่างทารุณ ชีวิตความเป็นอยู่ของขุนนางและประชาชนคงอยู่กันด้วยความหวาดผวาและไม่มีความสุข
            ที่น่าแปลกคนยิ่งมีอำนาจมากยิ่งอยากเสพอำนาจให้มากขึ้นและนานขึ้น เมื่อฉินจิ๋นซีฮ่องเต้หลงอยู่ในอำนาจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ในใจคงหวั่นเกรงว่าตนจะหมดอำนาจด้วยวัยชราที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้จึงเร่งแสวงหายาอายุวัฒนะเพื่อให้ตนเป็นหนุ่มอยู่ยงคงกระพันไปตลอด ความจริงย่อมเป็นความจริง เกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจธรรมโลกแต่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้คงทำใจยอมรับสัจธรรมนี้ไม่ได้
            คนมีอำนาจมาก เสพสุขได้ทุกสิ่งตามใจปรารถนา ย่อมปรารถนาให้ชีวิตอยู่ยืนยาว ส่วนคนยากไร้นับวันรอให้จากโลกนี้ไปเร็ว ๆ เผื่อชาติหน้าอาจสบายขึ้นมาบ้าง
            ช่วงหลังฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ต้องการอายุที่ยืนยาวจึงเดินทางรอนแรมแสวงหาสมุนไพรในถิ่นทุรกันดารด้วยตนเอง ได้เรียกให้พระโอรสองค์โตฝูซูกลับวังหลังจากโดนเนรเทศแต่ก็โดนพระอนุชาหูไห่รวมหัวกับเจ้าเกาขันทีขัดขวาง จะว่าไปแล้วพระโอรสองค์โตฝูซูว่าที่รัชทายาทเป็นคนที่เก่งกาจฉลาดเฉลียวไม่แพ้ผู้เป็นพระบิดาแต่อ่อนโยนและใจดีมากกว่ามาก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเมื่อจะต้องสิ้นราชวงศ์ฉินจึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ระหว่างการเดินทางรอนแรมลงทางภาคใต้ของฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ กลุ่มการเมืองของหูไห่ที่มีเจ้าเกาขันที และเฉิงเซี่ยงหลี่ซือได้วางแผนปลงพระชนม์รัชทายาทฝูซูและแต่งตั้งให้หูไห่เป็นรัชทายาทแทน ด้วยการปลอมแปลงราชโองการที่ฉินจิ๋นซีฮ่องเต้ต้องการให้พระโอรสองค์โตฝูซูว่าที่รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดอำนาจนั้นกลายเป็นสั่งให้พระโอรสองค์โตฝูซูและเหมิงเถียนฆ่าตัวตาย แทนที่จะได้กลับวังอย่างคนเป็น ๆ กลายเป็นศพกลับแทนทั้งที่เป็นราชโองการปลอมแท้ ๆ
 



Create Date : 05 กรกฎาคม 2562
Last Update : 5 กรกฎาคม 2562 16:01:59 น.
Counter : 629 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สมาชิกหมายเลข 4665919
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



ดร.พรรณี เกษกมล นักเขียน ข้าราชการบำนาญ ครูซี 9 แนะแนว
New Comments